Wellness
ไม่อ้วนก็เป็นได้! สาเหตุเกิด ‘ไขมันพอกตับ’ มักไม่มีอาการจนกว่าโรคจะลุกลามเป็นตับแข็ง
ไขมันพอกตับ คือภาวะการสะสมไขมันในตับที่มากเกินไป คือ มากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งนำไปสู่การเกิดตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับได้ในที่สุด โดยปกติร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งมาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือหน้าท้องและตับ ไขมันที่ตับนับเป็นแหล่งพลังงานใหญ่ที่สุด หากเกิดการสะสมของไขมันที่ตับมากๆ จะส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับอีกด้วย ตับเป็นอวัยวะสำคัญมีหน้าที่ในการดำรงชีวิตหลายอย่าง เช่น ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร สร้างโปรตีนให้กับร่างกาย เก็บสะสมธาตุเหล็กและวิตามินต่างๆ เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน สร้างสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (เกาะตัวกันเพื่อรักษาบาดแผล) รวมถึงช่วยต่อต้านการติดเชื้อ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันและกำจัดแบคทีเรียและสารพิษออกจากเลือด การกำจัดสารพิษและยาต่างๆ จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นไขมันพอกตับ (Fatty liver disease)ปกติตับที่แข็งแรงจะมีไขมันเพียงเล็กน้อย หากตรวจพบไขมันในตับประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตับ ถือว่ามีภาวะไขมันพอกตับ โรคไขมันพอกตับ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง หรือส่งผลต่อการทำงานของตับ แต่พบว่า 7- 30% ของผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับจะมีอาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป เกิดการอักเสบและมีพังผืดเกิดขึ้นภายในตับ ส่งผลให้มีการดำเนินโรคที่มากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นต้น ไขมันพอกตับ มีกี่ระยะโดยภาวะไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น […]
7 พฤติกรรมที่ควรทำหลัง ‘กินมากเกินไป’ หากไม่อยากหุ่นพัง
เราทุกคนมีวันที่ ‘กินมากเกินไป‘ แม้แต่คนที่มักกังวลเกี่ยวกับปริมาณของมื้ออาหารก็อาจลงเอยด้วยการกินมากเกินไปในงานหรือปาร์ตี้ ซึ่งสิ่งที่คุณกินเข้าไปไม่ได้เปลี่ยนเป็นไขมันในทันที และบางส่วนจะถูกใช้เป็นพลังงานหรือถูกขับออกจากร่างกาย แม้ว่าคุณจะน้ำหนักขึ้นเพียงชั่วคราวแต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นน้ำ ดังนั้นอย่ากังวลมากเกินไป อย่างไรก็ตาม หากคุณยังคงกินมากเกินไปในวันถัดไป น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นในที่สุด และนี่คือ 7 พฤติกรรมที่ควรทำหลัง ‘กินมากเกินไป’ ดื่มน้ำมากๆหลังมื้อพิเศษที่กินอาหารมากเกินไป ใบหน้าและแขนขามักบวม เกิดจากการกินเกลือมากเกินไปในเวลาเดียวกัน หรือเพราะมีอาหารหลายสิ่งหลายอย่างที่มีเครื่องปรุงรสเข้มข้น จึงจำเป็นต้องระบายอาการบวมออกจากร่างกายโดยการปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดและการไหลเวียนของน้ำเหลือง ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำมากๆ หรือจิบบ่อยๆ รับโพแทสเซียมสิ่งสำคัญคือต้องใช้โพแทสเซียมเพื่อป้องกันอาการบวม โพแทสเซียมมีหน้าที่ขับเกลือในร่างกายออกนอกร่างกาย โดยโพแทสเซียมมีมากในผลไม้ อาทิเช่น อะโวคาโด หัวไชเท้าแห้ง ฮิจิกิ ถั่วแระเขียว กล้วย และเนื่องจากโพแทสเซียมสามารถละลายได้ในน้ำ จึงแนะนำให้กินในสภาพที่ยังดิบอยู่ รวมสลัด และผลไม้สด กินวิตามินบีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 6 เป็นสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนตามลำดับ โดยวิตามินบี 1 มีมากในอาหารจากถั่วเหลืองและเนื้อหมู ส่วนวิตามินบี 2 มีมากในอาหาร เช่น ตับหมู ไข่ และนัตโตะ ส่วนอาหารอย่างเช่น ปลาทูน่า ปลาโบนิโต และเนื้อไก่ มีวิตามินบี 6 อยู่มาก กินอะไรอุ่นๆการกินของเย็นจะทำให้ร่างกายเย็น ออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอจะไปไม่ถึงเซลล์ต่างๆ […]
รู้จัก ‘โรค SLE’ หรือ ‘โรคแพ้ภูมิตนเอง’ มักพบในผู้หญิงช่วงอายุราว 20 – 40 ปี
โรค SLE เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะทั่วร่างกาย และอวัยวะที่เกิดการอักเสบจะได้รับความเสียหาย โดยผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีการอักเสบในแต่ละอวัยวะแตกต่าง และมีอาการแสดงแตกต่างกัน แต่มักเกิดการอักเสบของหลายอวัยวะร่วมกัน แนะผู้ป่วยหมั่นสังเกตอาการตนเอง หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ โรค SLE ย่อมาจาก Systemic Lupus Erythematosus เป็นโรคภูมิคุ้มกันทําลายตนเองหรือ โรคแพ้ภูมิตนเอง นับเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย และมีอัตราการเสียชีวิตตํ่า โดยพบเพียงร้อยละ 0.1 (0.014 – 0.122) หรือคิดเป็นจํานวนผู้ป่วยในประเทศไทยราว 50,000 – 700,000 คน ส่วนใหญ่มักพบในเพศหญิงช่วงอายุราว 20 – 40 ปี ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม แสงแดด การติดเชื้อไวรัส การติดเชื้อแบคทีเรีย การได้วัคซีน การได้รับยาหรือสารเคมีบางชนิด อาการที่พบได้บ่อยของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยมักจะมีอาการไข้ตํ่า ปวดข้อ ปวดเมื่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร นํ้าหนักลด ผมร่วง มีผื่นที่หน้า ที่แก้ม คล้ายปีกผีเสื้อ ผื่นตามตัว […]
‘ท้องผูกเรื้อรัง’ เสี่ยงลำไส้พัง แต่สามารถป้องกันได้ แค่ปรับพฤติกรรมการกิน
ระบบขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญมากในชีวิตประจำวัน การดูแลระบบขับถ่ายให้ดีจึงเป็นส่วนที่ช่วยให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจแข็งแรง เกิดความสมดุลของร่างกาย ซึ่งส่วนมากภาวะท้องผูกมักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและเป็นได้ในทุกช่วงอายุ โดยส่วนใหญ่พบได้ในวัยทำงาน ท้องผูก คือ ภาวะการถ่ายอุจจาระยาก หรือห่างผิดปกติ ร่วมกับอุจจาระที่มีลักษณะแข็งหรือแห้งผิดปกติด้วยเช่นกัน ส่วน ท้องผูกเรื้อรัง หมายถึง ภาวะท้องผูกที่เป็นต่อเนื่องกันนานเกิน 3 เดือน ภาวะท้องผูกเป็นภาวะที่พบบ่อยทั่วโลก ในประเทศไทยพบได้ถึงร้อยละ 25 โดยพบได้ในกลุ่มช่วงอายุ 20 – 40 ปีบ่อยที่สุดถึงร้อยละ 57 เพศหญิงพบได้บ่อยกว่าเพศชาย นอกจากนี้ยังพบบ่อยในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ ขาดอาหารที่มีกากใยสูง ผู้ที่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกาย และที่สำคัญคือผู้ที่มีภาวะเครียดทางอารมณ์ สาเหตุของภาวะท้องผูก แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มแรก “ท้องผูกปฐมภูมิ” คือ ท้องผูกที่เกิดจากการบีบและคลายตัวผิดปกติของลำไส้เอง ตัวอย่างเช่น ภาวะลำไส้แปรปรวน ภาวะลำไส้เฉื่อย หรือ การเบ่งถ่ายอุจจาระผิดวิธี กลุ่มที่สอง “ท้องผูกทุติยภูมิ” คือ ภาวะท้องผูกที่มีสาเหตุจากความผิดปกติเชิงโครงสร้างของลำไส้ หรือ โรคระบบอื่นๆ ส่งผลให้เกิดภาวะท้องผูก ตัวอย่าง เช่น มะเร็งลำไส้, โรคทางสมอง, […]
รู้จัก ‘ชิคุนกุนยา’ โรคร้ายที่มาพร้อมกับยุงลาย มีความแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก
ชิคุนกุนยา เป็นโรคที่มีความรุนแรงแต่ไม่อันตรายเท่าโรคไข้เลือดออก พบการระบาดมากในช่วงฤดูฝน แนะป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย หากมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน ปวดข้อ ผื่นขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี “โรคชิคุนกุนยา” (Chikungunya) หรือ “โรคไข้ปวดข้อยุงลาย” เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงลายสวนและยุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค พบได้ในทุกกลุ่มอายุ รวมทั้งเด็กเล็ก มีอาการคล้ายกับโรคไข้เลือดออกแต่ไม่รุนแรงเท่า โรคชิคุนกุนยามักไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเรื้อรังต่อเนื่อง สำหรับในรายที่รุนแรงอาจพบเกล็ดเลือดต่ำและมีอาการช็อกได้ แต่พบได้น้อยมาก โดยทั่วไปเมื่อผู้ป่วยถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยากัด จะมีระยะฟักตัวของโรค 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยจะอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน เมื่อครบระยะฟักตัวผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน โดยอาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-4 วัน และไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย บางรายอาจมีอาการบวมที่มือและเท้า หรือมีอาการคันร่วมด้วย รวมทั้งอาจจะมีตาแดง อาการที่เด่นชัดในผู้ใหญ่คืออาการปวดข้อร่วมกับมีการอักเสบ มักพบที่ นิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า โดยมักจะพบได้หลายข้อและเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ บางรายอาจมีอาการรุนแรงทำให้ไม่สามารถขยับข้อได้ โดยอาการปวดข้อช่วงแรกมักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้ออาจอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี […]
ใยอาหารลดเสี่ยง “มะเร็งลำไส้” สร้างสมดุลระบบทางเดินอาหาร
คนจำนวนมากยังมีความเข้าใจที่ผิดว่า ทางเดินอาหารเป็นเรื่องของการย่อยอาหารเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงระบบทางเดินอาหารมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพคนเราในหลายมิติ โดยนอกจากจะเกี่ยวข้องกับระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหารเพื่อไปใช้ในร่างกายแล้ว การกินอาหารที่มีคุณค่าและพฤติกรรมการกินที่ถูกต้อง ยังส่งผลต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ความดันโลหิต การเผาผลาญไขมัน การต้านทานอนุมูลอิสระ เป็นต้น ดังนั้น นอกจากจะคำนึงถึงประโยชน์ในแง่ของพลังงานและสารอาหารที่จะได้รับแล้ว เราควรมีความเข้าใจธรรมชาติและกระบวนการที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร เพื่อการเลือกกินและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อร่างกาย คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย ต้องการส่งเสริมการศึกษาต่อเนื่องจึงจัดประชุมวิชาการในหัวข้อ “การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในร้านยา” ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยในครั้งนี้ได้นำเสนอความรู้และข้อมูลจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ พรีไบโอติกส์ (prebiotics) และ โปรไบโอติกส์ (probiotics) ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร พรีไบโอติกส์ คือ ส่วนของอาหารที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหารส่วนต้น แต่จะช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์บางชนิดในลำไส้ใหญ่และส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย จุลินทรีย์บางชนิดดังกล่าวอาจเรียกว่า โปรไบโอติกส์ ซึ่งมีความหมายว่ากลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเข้าไปอยู่ในระบบของร่างกายมนุษย์และสัตว์ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ โดยจุลินทรีย์นั้นทำหน้าที่ช่วยปรับสมดุลของสภาพแวดล้อมในระบบลำไส้ ตัวอย่าง เช่น โปรไบโอติกส์แบคทีเรีย ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส บิฟิโดแบคทีเรีย และโปรไบโอติกส์ยีสต์ ได้แก่ Saccharomyces boulardii เป็นต้น คุณสมบัติที่ดีของโปรไบโอติกส์ ได้แก่ […]
8 วิธีบรรเทา ‘โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้’ ให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง
ไม่เคยชินสักที เจออากาศร้อนทีไรเหงื่อออกทุกที บางครั้งก็เดี๋ยวเข้าๆ ออกๆ ห้องแอร์ทันที จึงต้องเจอภาวะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้คนที่เป็นภูมิแพ้มีอาการจามและมีอาการต่างๆ ตามมา เช่น คัดจมูก ซึ่งโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ผ่านพฤติกรรมการใช้ชีวิตหลายอย่าง เช่น การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การทำให้ห้องสะอาดมีอากาศถ่ายเท ฯลฯ ล้วนเป็นวิธีที่ง่ายและดีในการอยู่บ้าน นอกจากนี้ การเสริมโปรไบโอติกเป็นประจำก็สามารถช่วยได้ แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า ‘โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้‘ กับ ‘อาการหวัด’ ต่างกันอย่างไร? ในแง่ของอาการโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อาจมีอาการตาแดง บวม คัน จาม คันหู น้ำมูกไหล คันคอ ตาคล้ำ ลมพิษ เป็นต้น ในขณะที่อาการหวัดอาจมีอาการไอ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และมีไข้ร่วมด้วย โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มักจะเกิดในช่วงเช้าและเย็นและอาการจะชัดเจนขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่โรคหวัดจะคล้ายกันตลอดทั้งวัน โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มักจะรุนแรงเป็นพิเศษ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลง น้ำมูกจะมีสีใส ไม่เหมือนหวัดที่น้ำมูกจะข้นกว่าและมีสีเหลืองหรือเขียว อาการภูมิแพ้นี่มันน่ารำคาญใจจริงๆ อย่างไรก็ตาม การรักษาให้หายขาดนั้นง่ายมากหากปรับพฤติกรรมประจำวัน และนี่คือ 8 นิสัยที่ควรทำสม่ำเสมอ หากต้องการปราศจากอาการภูมิแพ้ 1. ออกกำลังกายการออกกำลังกายสามารถส่งเสริมการหดตัวของหลอดเลือดของเยื่อบุจมูก เสริมสร้างการทำงานของเส้นประสาทซิมพาเทติก ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้โพรงจมูกไม่ถูกปิดกั้น […]
สัญญาณเตือน ‘โรคผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตกเซาะ’ ภาวะเร่งด่วนต้องรีบรักษา
ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบแปลบอย่างทันทีและรุนแรงร่วมกับอาการเหนื่อย หายใจไม่ทัน อาจมีภาวะเสี่ยงหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตก ซึ่งถ้าได้รับการวินิจฉัยช้า และรับการรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้ หลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) เป็นหลอดเลือดสำคัญทำหน้าที่ส่งเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โรคผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตกเซาะ (Aortic dissection) เป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งสามารถเกิดได้กับทุกส่วนของหลอดเลือดแดงใหญ่ ตั้งแต่ต้นทางที่มีการปริแตกเซาะไปที่ขั้วหัวใจ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองและแขน หลอดเลือดที่เลี้ยงตับและลำไส้ หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ตลอดจนลงไปถึงหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงขาทั้งสองข้าง ทำให้มีอาการเกิดขึ้นได้หลายระบบ พบได้บ่อยในเพศชาย อายุ 50-70 ปี แต่สามารถเกิดในกลุ่มอายุน้อยกว่า 40 ปีได้ในกลุ่มที่มีโรคของความผิดปกติของผนังหลอดเลือด สาเหตุการปริแตกของผนังหลอดเลือดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ เบาหวาน หรือความผิดปกติของผนังหลอดเลือด จากกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง เช่น Marfan syndrome, Ehlers-Danlos syndrome สัญญาณเตือน ‘โรคผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตกเซาะ‘ ภาวะเร่งด่วนต้องรีบรักษา โรคผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตกเซาะ (Aortic dissection) ผู้ป่วยมักมีอาการอาการเจ็บหน้าอกแบบแปลบอย่างทันทีและรุนแรง สามารถแสดงอาการได้หลายแบบขึ้นกับตำแหน่งตามรอยโรคที่มีการแตกเซาะไป บางครั้งแสดงอาการเจ็บหน้าอกคล้ายโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เหนื่อย มีภาวะหัวใจลัมเหลว อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต แขน […]
‘นิ่วทอนซิล’ ไม่อันตราย รักษาได้ แต่ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ
การทำความสะอาดช่องปากเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ หากไม่ได้รับการดูแลอาจมีเศษอาหารติดอยู่บริเวณซอกหลืบของต่อมทอนซิลจนเกิดการรวมตัวของแบคทีเรียและเชื้อรา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ จับตัวกันเป็นก้อนแข็งที่เรียกว่า “นิ่ว” บริเวณต่อมทอนซิล ทำให้เกิดปัญหามีกลิ่นปาก เกิดการระคายเคือง เจ็บคอ ไอเรื้อรังหรือทำให้ต่อมทอนซิลบวมได้ ‘นิ่วทอนซิล‘ ไม่อันตราย รักษาได้ แต่ส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ นิ่วทอนซิล เกิดขึ้นได้ในคนทั่วไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาทอนซิลอักเสบหลายครั้งมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากการติดเชื้อของทอนซิลทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อส่วนเกินมากขึ้น และเนื้อเยื่อเหล่านี้อาจก่อตัวเป็นซอกและร่องในต่อมทอนซิล จึงทำให้เซลล์ที่ตายแล้ว น้ำลาย และเศษอาหารต่างๆ ติดอยู่จนเกิดการรวมตัวของแบคทีเรียและเชื้อรา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ จับตัวกันเป็นก้อนแข็งที่เรียกว่านิ่ว โดยนิ่วทอนซิลเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของต่อมทอนซิล มีลักษณะเป็นก้อนสีเหลืองหรือสีขาวขนาดเท่ากับเมล็ดถั่ว โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแต่อาจทำให้เกิดกลิ่นปาก เกิดการระคายเคือง เจ็บคอ ไอเรื้อรังหรือทำให้ต่อมทอนซิลบวม หรือเจ็บบริเวณหู ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบของทางเดินประสาทร่วมระหว่างหูและต่อมทอนซิลได้ สำหรับการวินิจฉัยนิ่วทอนซิลแพทย์จะวินิจฉัยโดยการใช้เครื่องมือตรวจที่ ช่องคอหรือบางกรณีอาจใช้ภาพเอกซเรย์หรือภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย ซึ่งปกติแล้วผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาใดๆ หากอาการไม่รุนแรง แต่หากนิ่วทอนซิลมีขนาดใหญ่หรือมีอาการต่างๆ เช่น เจ็บคอ มีกลิ่นปากมาก ต่อมทอนซิลบวมอักเสบ หรือปัญหาในการกลืนอาหาร ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ซึ่งการรักษานิ่วทอนซิลสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น ในกรณีที่มีนิ่วทอนซิลขนาดเล็กสามารถกลั้วคอบ้วนน้ำเกลืออุ่นๆ หรือใช้คอตตอนบัดก้านสำลีเขี่ยออกได้ แต่ถ้ามีขนาดปานกลางถึงใหญ่ อาจจะต้องทำการผ่าตัดต่อมทอนซิลเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อบริเวณที่มีนิ่วออกไป สำหรับวิธีป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วทอนซิลนั้น ทำได้โดยการดูแลช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปาก […]
ข้าวโพด ช่วยลด ‘อาการบวมน้ำ’ ได้จริงหรือไม่? และมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง
สายไดเอทบางคน หรือแม้กระทั่งคนที่ชอบกินข้าวโพดเป็นชีวิตจิตใจอาจสงสัยว่า “ข้าวโพด…กินแล้วอ้วนไหม?” ช่วยลด อาการบวมน้ำ ได้จริงหรือไม่? แม้ข้าวโพดจะมีประโยชน์ แต่ก็จัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต กินมากมีสิทธิ์อ้วนได้ ปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ ครึ่งฝัก (เลือกกินแบบต้มดีที่สุด) ถ้าใครนิยมกินข้าวโพดแปรรูป ก็กินแต่พอดี หรือไม่เกิน 1 หน่วยบริโภคตามที่ระบุในข้อมูลโภชนาการ เช่น ถ้าระบุว่า “1 หน่วยบริโภคเท่ากับ 2” หมายความว่า “1 ถุงแบ่งกินได้ 2 ครั้ง” หรือ 1 หน่วยบริโภคปริมาณเท่ากับ 30 กรัม ให้พลังงาน 150 kcal ถ้าปริมาณต่อถุงเท่ากับ 60 กรัม ก็อย่าลืมเอา 150 x 2 ด้วยนะ และนอกจากนี้กินอร่อยแล้ว สาวๆ รู้ไหมว่าข้าวโพดเมล็ดจิ๋ว แต่ประโยชน์แจ๋วนะ ข้าวโพดหวาน มีกรดเฟอรูลิก ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ชะลอวัย ลดเสี่ยงโรคมะเร็งและหัวใจ ยิ่งถ้าต้มนานจะยิ่งทำให้สารต้านอนุมูลอิสระและกรดเฟอรูลิกเพิ่มขึ้น (แต่อาจสูญเสียวิตามินบางชนิด) ข้าวโพดอ่อน […]
4 เรื่องเกี่ยวกับ ‘กล้ามเนื้อ’ ที่หลายคนยังไม่รู้ พร้อมเคล็ด(ไม่)ลับฟื้นฟูสุขภาพ
เดิน วิ่ง แดนซ์ หรือแม้กระทั่งการนอนนิ่งเฉยๆ ทุกกิจกรรมหลากหลายในแต่ละวันล้วนต้องใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวร่างกาย ในขณะที่เรากำลังทำกิจกรรมต่างๆ อยู่นั้น มีหลายอย่างเกี่ยวกับ กล้ามเนื้อ ในร่างกายที่หลายคนอาจยังไม่รู้ 4 เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ พร้อมเคล็ด(ไม่)ลับที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับในการดูแลสุขภาพของกล้ามเนื้อตั้งแต่หัวจรดเท้า 1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเชื่อมโยงกับสุขภาพหัวใจ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของไทยในปี พ.ศ. 2565 การเสียชีวิตทั่วโลกมีสาเหตุสำคัญจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 32% หรือประมาณ 18 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึงปีละ 7 หมื่นราย1 โดยที่ผู้ป่วยหลายคนไม่ได้มีอาการบ่งชี้ของโรคจึงไม่ทราบว่าตนกำลังประสบกับภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet พบว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ประเมินจากแรงบีบมืออาจระบุความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดร้ายแรงได้แม่นยำกว่าการตรวจความดันโลหิตซิสโตลิก (ค่าความดันช่วงบน ซึ่งเป็นแรงดันสูงสุดขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว)2 นอกจากนี้ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Current Opinion in Clinical Nutrition and Metabolic Care แนะว่าอัตราส่วนของมวลกล้ามเนื้อต่อมวลไขมันเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพโดยรวมที่ดีกว่าดัชนีมวลกาย (BMI)3 ดังนั้น ในการเริ่มดูแลสุขภาพกล้ามเนื้อควรเน้นในเรื่องของการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและโภชนาการสำหรับเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำว่าควรทานโปรตีน 0.8 ถึง 1 กรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับคือ 48-60 กรัม ต่อวัน เพื่อกล้ามเนื้อและร่างกายที่แข็งแรง4 2. เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็ต้องการโปรตีนที่เพิ่มขึ้น ในร่างกายประกอบด้วยกล้ามเนื้อกว่า 600 มัด คิดเป็น 40% ของร่างกาย5 และการสลายของกล้ามเนื้ออาจเริ่มต้นไวแบบไม่ทันตั้งตัว ผลการวิจัยพบว่าเมื่อถึงวัย 40 ปี กลุ่มวัยผู้ใหญ่จะเริ่มสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไปได้มากถึง 8% ในทุกๆ 10 ปี และอัตราการสูญเสียนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่ออายุ 70 ปี6 การสูญเสียกล้ามเนื้อจึงอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในผู้สูงวัย และอาจมีความเสี่ยงต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น ทำให้เกิดการพลัดตกหกล้มหรือขาดกำลังวังชาในการเดินขึ้นบันได การมีมวลกล้ามเนื้อน้อยยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้ออินซูลินจนอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ7 สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ การสูญเสียกล้ามเนื้ออาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ต่อการหายใจได้8 […]
วิธีลดน้ำหนักด้วย ‘โปรตีน’ ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น
หากคุณต้องการลดน้ำหนักให้สำเร็จ การผสมผสานระหว่างการปรับอาหารและการออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่ดีที่สุด และหากใครเคยลองวิธี intermittent fasting , ketogenic diet ฯลฯ ที่เป็นที่นิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามีอีกวิธีมานำเสนอนั่นคือ วิธีการลดน้ำหนักด้วย “โปรตีน” ของแพทย์ชาวญี่ปุ่น Takashi ได้อธิบายไว้ว่าวิธีนี้ช่วยไดเอทได้ วิธีลดน้ำหนักด้วยโปรตีน สารอาหารที่สำคัญที่สุดคือ โปรตีน วิธีการคือ: เพิ่มปริมาณโปรตีน และลดปริมาณไขมันและแป้ง โปรตีนที่กินเข้าไปจะสร้างกล้ามเนื้อและเปลี่ยนเป็นแคลอรีที่จำเป็นต่อกิจกรรมต่างๆ จึงไม่ก่อให้เกิดไขมันสะสม เมื่อกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารจะเร็วขึ้น และไขมันในร่างกายจะลดลง (*ข้อควรจำที่สำคัญที่สุดคือ บริโภคโปรตีน 25-30% ของปริมาณโปรตีนในแต่ละวัน) ประโยชน์ของวิธีลดน้ำหนักด้วยโปรตีน ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของวิธีลดน้ำหนักด้วยโปรตีนคือ คุณค่าทางโภชนาการที่สมดุลและไม่มากเกินไป แม้ว่าจะเพิ่มปริมาณโปรตีน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโปรตีนทั้งหมด เมื่อลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเปลี่ยนข้าวขาวเป็นธัญพืชชนิดต่างๆ ได้ และคุณไม่จำเป็นต้องกินไข่ต้มและไก่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใส่น้ำมันและปรุงรสในปริมาณสูง แต่ให้ทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในกระบวนการลดน้ำหนัก ซึ่งสามารถลดโอกาสในการกินมากเกินไปได้ กระบวนการย่อยโปรตีนค่อนข้างช้า ซึ่งสามารถเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณลดปริมาณอาหารในมื้อถัดไป แต่ยังลดความถี่ในการกินอาหารว่างอีกด้วย ด้วยการรักษานิสัยการกินเช่นนี้ คุณจะค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับร่างกายที่ผอมลงได้โดยที่น้ำหนักไม่ขึ้น ผู้ที่ไม่เหมาะกับ “วิธีลดน้ำหนักด้วยโปรตีน”ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไตและน้ำตาลในเลือดไม่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักด้วยโปรตีน ซึ่งอาจทำให้สารอาหารในร่างกายไม่สมดุลและทำให้สภาพร่างกายแย่ลงได้ นอกจากนี้ อาหารประเภทโปรตีน สามารถใช้วิธีนี้ได้สูงสุดสองสัปดาห์เท่านั้น วิธีการควบคุมอาหารและลดน้ำหนักนี้เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่หยุดนิ่งของการลดน้ำหนักได้วิธีอื่นๆ ทั้งนี้ การควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนักในระยะยาวยังคงต้องการนักโภชนาการและโค้ชมืออาชีพช่วยแนะนำในการปรับเปลี่ยน วิธีลดน้ำหนักด้วยโปรตีน 1: อาหารทะเลแทนเนื้อแดงอาหารทะเลมีแคลอรีต่ำกว่าเนื้อแดง หากคุณไม่ชอบเนื้อสัตว์ […]
‘โรคเท้าปุก’ คืออะไร? และมีลักษณะอาการอย่างไรจึงควรพบแพทย์เร็วที่สุด
เนื่องจากในเดือนนี้ (ทุกวันที่ 3 มิถุนายนของทุกปี) เป็นวันเท้าปุกโลก (World club foot day) และหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้หรือสงสัยว่า ‘โรคเท้าปุก’ คืออะไร? เท้าปุก (clubfoot) เป็นโรคที่เท้ามีลักษณะงุ้มเข้า บิดตะแคง และเขย่ง เป็นความผิดปกติของเท้าที่พบได้บ่อยที่สุดชนิดหนึ่งในกลุ่มโรคเป็นแต่กำเนิด ถ้ารักษาเร็วจะได้ผลดีโดยไม่ต้องผ่าตัด การรักษาทำได้โดยการดัดเท้าและใส่เฝือกต่อเนื่อง หากการใส่เฝือกไม่ได้ผล จึงพิจารณารักษาโดยการผ่าตัด เมื่อรักษาหาย เด็กจะวิ่งเล่นได้ดีสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้ของโรคเท้าปุก แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ ได้แก่ กรรมพันธุ์ ลูกคนแรก พัฒนาการเท้าผิดปกติในครรภ์ และโรคบางอย่างที่ส่งผลต่อเจริญเติบโตของเท้า เป็นต้น ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เช่น การดัดเท้าใส่เฝือกให้เท้าตรงก่อน ใส่รองเท้าเฉพาะ จะทำให้รูปเท้าโตปกติ และการรักษาระยะต่อมาง่ายยิ่งขึ้น ในบางรายสามารถตรวจพบได้จากการอัลตร้าซาวด์ในช่วงที่มีการฝากครรภ์ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการรักษาเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว แต่โดยทั่วไปโรคนี้อาศัยความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางโรคกระดูกเด็ก ก็สามารถให้การวินิจฉัยจากการตรวจร่างกายเด็กหลังจากคลอดออกมาแล้วโดยไม่ได้ทำให้การรักษาช้าเกินไป ปกติจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสีของเท้าเพื่อยืนยันการเป็นโรคนี้ นอกจากการตรวจส่วนเท้าที่มีความผิดรูปแล้ว แพทย์จะตรวจร่างกายระบบอื่นๆ เพื่อหาสาเหตุร่วมที่อาจทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น เช่น ระบบประสาทกล้ามเนื้อ เป็นต้น เท้าปุกแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ ประเภทแรก เป็นเท้าปุกเทียมพบตั้งแต่แรกเกิด เท้าจะมีลักษณะผิดปกติดังกล่าวข้างต้นทุกประการ […]
สาเหตุของ ‘โรคเดอกาแวง’ หรือ ‘โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ’ เกิดจากอะไร
โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ หรือ โรคเดอกาแวง (de Quervain’s Stenosing Tenosynovitis) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณข้อมือ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดข้อมือบริเวณฝั่งนิ้วหัวแม่มือ โดยเฉพาะในขณะทำงานที่ต้องกำมือหรือขยับข้อมือ ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ป่วย อายุประมาณ 30-50 ปี โดยที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายประมาณ 8-10เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อมือ บริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด โดยมักจะมีอาการในช่วงกลางคืน สาเหตุของ ‘โรคเดอกาแวง‘ หรือ ‘โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ’ เกิดจากอะไร สาเหตุที่แท้ของโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่พบว่า มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ได้แก่ การใช้งานข้อมือที่มากเกินไป อุบัติเหตุ หญิงตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือเกิดจากภาวะการอักเสบด้วย สาเหตุอื่นๆ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคนี้สามารถให้การวินิจฉัยจากอาการ ตำแหน่งที่ปวด และจากการตรวจร่างกาย โดยแพทย์อาจใช้การตรวจฟินเคิลสไตน์ โดยจะทำการบิดข้อมือของผู้ป่วยไปทางด้านนิ้วก้อย ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบจะมีอาการปวดข้อมือฝั่งนิ้วหัวแม่มือมากขึ้น การตรวจวินิจฉัยทางรังสีอื่นๆ ไม่มีความจำเป็นหากแพทย์ไม่ได้สงสัยภาวะอื่นๆ การรักษาโรคปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบมีทั้ง การรักษาโดยไม่ผ่าตัด และการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยทั่วไปแพทย์จะเริ่มต้นการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดก่อน โดยหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อมือในท่าซ้ำๆ หรือใส่อุปกรณ์ดามข้อมือและนิ้วโป้ง เพื่อลดการเคลื่อนไหว รับประทานยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ ในบางรายที่มีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อวิธีข้างต้น […]
3 ทริคคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างไร ให้หุ่นเฟิร์มสวยและสุขภาพดี
เทรนด์ยอดฮิตประจำปี 2023 ยังคงยกให้เป็นเทรนด์รักษาสุขภาพที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าผู้คนต่างเริ่มหันมาสนใจในเรื่องของการกินและการออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีการแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในเรื่องของอาหารการกินที่ถูกหลักโภชนาการ และการออกกำลังกายอย่างไร ให้ได้ทั้งหุ่นสวยเฟิร์มและสุขภาพดี จึงขอหยิบยกทริคเล็กๆ น้อยๆ ในการ คุมอาหาร อย่างไรให้สุขภาพดีมีหุ่นกระชับมาแนะนำ 3 ทริคคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างไร ให้หุ่นเฟิร์มสวยและสุขภาพดี ทุกคนรู้กันดีว่าการทำให้หุ่นสวยไม่ใช่แค่ควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปพร้อมกันให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทางด้านผู้เชี่ยวชาญหลายคนเน้นย้ำอยู่เสมอว่า คุมอาหารไม่ใช่การอด แต่คือการกินให้ถูกต้อง ส่วนการออกกำลังกายต้องมีประสิทธิภาพ ลองเลือกแนวทางการออกกำลังและการควบคุมอาหาร 3 ข้อทริค ดังนี้ 1.การคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อ’ลดน้ำหนัก‘คือการเลือกกินอาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น ซีเรียลโฮลเกรน ข้าว เมล็ดถั่ว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อาหารเหล่านี้จะให้คุณค่าพลังงานที่เหมาะสม และเลือกกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญพลังงาน อาทิ การวิ่ง ปั่นจักรยาน เดินเร็ว หรือการเต้นซุมบ้า เป็นต้น 2.การคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อ’เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ’ สิ่งที่ควรตระหนักในข้อนี้คือ ห้ามงดมื้ออาหาร เลือกกินอาหารที่มีโปรตีนสูง หลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และพยายามกินอาหารในเวลาเดิมเสมอ ควบคู่ไปกับการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยการทำครอสฟิต(CrossFit) ยกน้ำหนัก และวิดพื้นปิดท้ายด้วย 3.การคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อ’กระชับสัดส่วน’ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ งดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น ขนมอบ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป กระชับสัดส่วนด้วยการ พิลาทิส (Pilates) สเก็ตบอร์ด ว่ายน้ำ และ ไทเก๊ก […]
Bebe Rexha โดนวิจารณ์รูปร่างที่อ้วนขึ้น ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ
เมื่อไม่นานมานี้ เบเบ้ เร็กซ์ฮา (Bebe Rexha) โดนวิจารณ์รูปร่างที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากสังคมออนไลน์ โดยไม่รู้เหตุที่ทำให้เธอดูอวบขึ้น เนื่องจากเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบหรือ PCOS ในปี 2565 ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากอาการของเธอ โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ หรือ PCOS เป็นความผิดปกติของฮอร์โมนที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีมดลูกที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์มากถึง ร้อยละ 12 ตามรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค อาการทั่วไปของ PCOS ได้แก่ ประจำเดือนมาไม่ปกติ น้ำหนักขึ้น สิวขึ้น ขนขึ้น ผิวคล้ำ และอื่นๆ “มันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักว่าทำไมผู้หญิงถึงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นและเป็นโรคอ้วน และน้ำหนักของฉันก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 30 ปอนด์อาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย” หลังจากอ่านความคิดเห็นเชิงลบเกี่ยวกับการที่เธอมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เธอยิ่งรู้สึกเจ็บปวด “พวกคุณไม่รู้ว่าใครบางคนกำลังเจออะไรในชีวิต ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยาก แต่ฉันรู้สึกว่าในปี 2023 ยุคสมัยนี้ เราไม่ควรวิจารณ์ถึงน้ำหนักของผู้อื่นแล้ว” ในรายการ“Radio Andy” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม เธอได้เสริมว่า “ฉันต้องต่อสู้กับน้ำหนักของตัวเอง และฉันต้องต่อสู้กับรูปลักษณ์ของฉัน และมันก็ยากสำหรับฉัน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นครั้งแรก “ตอนที่ฉันเซ็นสัญญาครั้งแรก พวกเขาบอกฉันว่า ‘คุณพร้อมหรือยังที่จะเข้าแคมป์ฝึกบู๊? เพราะคุณต้องลดน้ำหนัก 20 ปอนด์เพื่อประกอบอาชีพนี้” ในอดีตคนดังอย่าง ลิซโซ และ เซเลนา […]
แพทย์ด้านจิตเวช แนะวิธีปรับสมดุลอารมณ์ช่วงหน้าร้อนด้วยกลิ่นหอมของ น้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ
“อากาศเปลี่ยน อารมณ์ปรวน” ช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวไม่เพียงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ อย่างเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมแดด หรือฮีตสโตรก (Heat stroke) แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจด้วย เพราะอากาศร้อนอบอ้าวจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสภาวะความเครียด ความฉุนเฉียว รวมถึงการแสดงออกถึงพฤติกรรมก้าวร้าว ‘ธัญ’ (THANN) ร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช แพทย์หญิงดุจฤดี อภิวงศ์ แนะ “วิธีปรับสมดุลอารมณ์ช่วงหน้าร้อนด้วยกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ” เมื่อคลื่นความร้อนมาปะทะกับตัวเราส่งผลทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เส้นเลือดเกิดการขยายตัว กล้ามเนื้อหดเกร็ง ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อรู้สึกไม่สบายตัวก็ทำให้มีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวและตีความสิ่งต่างๆ ในทางลบมากขึ้น เกิดสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดและอารมณ์เสียได้ง่าย กระบวนการดังกล่าวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก ซึ่งสามารถแบ่งออเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มฮอร์โมนความสุข ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะหลั่งจากต่อมใต้สมอง ได้แก่ เอ็นโดรฟิน (Endorphin) ฮอร์โมนแห่งความสุข ความพึงพอใจ ความผ่อนคลาย จะหลั่งเพื่อกระตุ้นความรู้สึกในแง่บวก แต่เมื่ออยู่ในภาวะเครียดฮอร์โมนชนิดนี้ก็จะลดลง โดพามีน (Dopamine) ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ รักใคร่ และความยินดี หากมีปริมาณต่ำเกินไปจะทำให้รู้สึกหดหู่และซึมเศร้า เซโรโทนิน (Serotonin) ฮอร์โมนต้านความเครียด ถ้าระดับฮอร์โมนต่ำเกินไปจะทำให้เราหงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ มีภาวะปวดศีรษะ ไมเกรน หรืออาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ กลุ่มฮอร์โมนความเครียด ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะหลั่งจากต่อมหมวกไต ได้แก่ คอร์ติซอล (Cortisol) ฮอร์โมนความเครียด ซึ่งจะถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์คับขัน เรื่องวิตกกังวล หรือความป่วยไข้ของร่างกาย อะดรีนาลีน (Adrenaline) หรืออิพิเนฟริน (Epinephrine) ฮอร์โมนแห่งความโกรธ […]
อัพเดต โควิด-19 สายพันธุ์ลูกผสม ในไทย แนะกลุ่มเสี่ยงรับเข็มกระตุ้นปีละครั้ง
เป็นไปตามที่หลายภาคส่วนคาดการณ์เกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกระลอก หลังช่วงวันหยุดยาวและการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น จากรายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์[1] กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 พบว่าสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดหลักในขณะนี้เป็นสายพันธุ์ลูกผสม คิดเป็น 86.8% โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายทุกเขตสุขภาพ สัดส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบสายพันธุ์ลูกผสมมากกว่า 74% ในเกือบทุกเขตสุขภาพ โดยสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือ XBB.1.16 คิดเป็น 27.7% รองลงมาคือสายพันธุ์ XBB.1.5 คิดเป็น 22.0% โดยทั้งสองสายพันธุ์มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดีทั้งคู่ แต่สายพันธุ์ XBB.1.16 สามารถแพร่กระจายได้ดีกว่า ขณะที่ BN.1 ซึ่งเคยเป็นสายพันธุ์หลักในไทยตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 มีสัดส่วนลดลง ล่าสุด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้คำแนะนำสำหรับประชาชนในการปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง เช่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากหรือไปในที่สาธารณะ และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ยังมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตได้ สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะได้รับการเสริมภูมิคุ้มกัน เนื่องจากหากได้รับเชื้อ จะเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง และเสี่ยงต่อการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ปัจจุบัน นอกจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วยังมี LAAB (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้โดยออกฤทธิ์ใน 6 ชั่วโมง โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาเอง ซึ่งตามปกติแล้วร่างกายจะใช้เวลาในสร้างภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ สำหรับการฉีดวัคซีนทั่วไป ดังนั้น LAAB จึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป ผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 มาก่อน แนะนำให้เว้น 2 สัปดาห์ แล้วจึงฉีด LAAB[2] ผู้ที่เคยได้รับ LAAB มาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน แนะนำให้ฉีด LAAB เข็มที่ 2[3] ผู้ที่เคยได้รับ LAAB เข็มที่ 2 มาแล้ว แนะนำให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 6 เดือน แล้วจึงกลับมารับ LAAB ซ้ำ[4] […]