อิ่มอร่อยรับปีใหม่กับบุฟเฟ่ต์นานาชาติสุดฟิน

อาทิ สลัดผักสดๆ ชีสนานาชนิด เนื้ออบหอมกรุ่น ปลาดิบ สปาเก็ตตี้สไตล์ญี่ปุ่น ชาบู ชาบู และที่ขาดไม่ได้คืออาหารทะเลสดใหม่ที่เชฟได้คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดของ แต่ละภูมิภาคของประเทศไทยมาให้บริการ อาทิ หอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยลาย ปูม้า ปลากระพง รวมไปถึงอาหารพิเศษที่ทุกคนชื่นชอบคือ กุ้งแม่น้ำจากอยุธยาขนาดใหญ่ ที่เชฟสามารถปรุงได้ 3 แบบ 3 สไตล์ ได้แก่ กุ้งเผา กุ้งอบเต้าซี่ และกุ้งผัดพริกไทยดำ

เชฟโทมัส จาโคบี ผู้อำนวยการฝ่ายอาหาร โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ผู้คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีมาปรุงเป็นอาหารการันตีความอร่อยของทุกเมนู โดยเฉพาะอาหารทะเล ที่เน้นเรื่องคุณภาพและความสดใหม่ นำมาปรุงอย่างพิถีพิถันให้ลูกค้าทุกท่านเลือกรับประทานอย่างจุใจ

บุฟเฟ่ต์ มื้อสายวันเสาร์ มีให้บริการทุกวันเสาร์ ตั้งแต่ 12.00 น ถึง 16.00 น. ราคาท่านละ 1,950++ บาท และราคาท่านละ 2,650++ บาท สำหรับท่านที่ต้องการรับประทานอาหารพร้อมจิบไวน์ เบียร์ และค็อกเทลนานาชนิดอย่างไม่จำกัด เริ่มต้นวันที่ 10 มกราคม 2558 เป็นต้นไป

ห้อง อาหาร อัพ แอนด์ อะบัฟ ตั้งอยู่ที่ชั้น 24 โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสำรองที่นั่ง กรุณาติดต่อ 02 687 9000 หรือ [email protected]

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ภาพ : http://www.thailandexhibition.com/

ปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส สุดยอดมาการองระดับโลก ครั้งแรกในไทย

 


ทั้ง นี้สำหรับประเทศไทย ก็จะได้พบกับมาการอง และขนมหวานจากปิแอร์ แอร์เม่ ปารีส” (Pierre Hermé Paris) เป็นครั้งแรกที่เอ็มควอเทีย โดยมาการองทุกชิ้นจะถูกส่งตรงจากฝรั่งเศสให้ได้สัมผัสรสชาติแบบดั้งเดิมจาก ต้นตำรับเหมือนไปทานที่บ้านเกิดมาการอง ที่มีจุดเด่นเรื่องการนำวัตถุดิบที่เป็นของหวานกับของคาว มาผสมผสานกลายเป็นขนมที่มีรสชาติกลมกล่อมลงตัว มีรสชาติไม่หวานนำเหมือนมาการองทั่วไป แต่ใช้รสของวัตถุดิบแต่ละชนิดนำลงตัวในสูตรลับเฉพาะที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้

นอก จากนี้ยังมีการสร้างสรรค์ไอเดียออกมาเป็นความสวยงามของขนมทุกชิ้นอย่างปราณี ต เปรียบเสมือนการสร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นเอกที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ชั้นสูง ระดับ โอต์ กูตูร์

เค้กอิสปาฮัน ซ เค้กอัลมอนด์ ที่มีส่วนผสมของกุหลาบและราสป์เบอร์รี่


ทีมผู้บริหารนำเข้ามาการอง ปีแอร์ แอร์เม่ ปารีส : กึ้งเฉลิมชัย มหากิจศิริ/อุษณา มหากิจศิริ ทัพพะรังสี/กมลสุทธิ์ ทัพพะรังสี

4 ซัมเมอร์ลุค สวย เอ็กซ์ เซ็กส์ แซ่บ!

ยีนส์สั้นสบาย เปรี้ยว และมีสไตล์
ลองหากางเกงยีนส์ขาสั้นมาใส่กับเสื้อแขนกุดสุดฮิปสีสดๆ รับรองว่าน่ารักดูโดดเด่นมาแต่ไกล หรือใส่กางเกงยีนส์ปลายรุ่ย ๆ แมทซ์กับเสื้อกล้ามสีดำ สบายๆ ชิลๆ แต่ถ้าอยากดูเรียบร้อยขึ้นมาอีกหน่อยก็แค่หาเสื้อสูทเนื้อผ้าชีฟองบางๆ มาสวมทับสักตัว เท่านี้ก็เท่แบบมีสไตล์แล้ว

เดรสทรงคาฟทาน (kaftan) สวยพริ้วท้าลมร้อน
เสื้อคาฟทานเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสาวๆ ที่รักการแต่งตัวสไตล์ชิลๆ ด้วยความที่เป็นเสื้อตัวยาว ใส่สบาย จึงเหมาะอย่างยิ่งในวันพักผ่อนที่ชายทะเลกับสภาพอากาศร้อนๆ หรือจะใส่คลุมทับชุดว่ายน้ำก็ดูเก๋ไปอีกแบบ

กางเกงทรงหลวมสุดชิค (comfy pants)
ร้อนนี้พลาดไม่ได้เลยสำหรับกางเกงขายาวทรงหลวมผ้าพลิ้วสบาย ทั้งแบบมีลวดลาย หรือแบบเรียบสไตล์มินิมัล อย่าลืมหามาใส่กันนะจ๊ะ


เสื้อกล้ามเผยผิว

ได้เวลาเอาเสื้อกล้ามตัวเก่งมาใส่กันแล้ว จะใส่แบบพอดีตัวโชว์หุ่น หรือแบบหลวมๆ ครอปเอว เนื้อผ้าบางเบาก็ดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ

เรื่อง : แพรวดอทคอม

 

ของขวัญพิเศษรับซัมเมอร์จากแพรวดอทคอม

คำถาม : The Dewa Koh Chang ตั้งอยู่ริมหาดชื่ออะไร อยู่ที่จังหวัดไหน

กติการ่วมสนุก

1. แสดงความคิดเห็นข้างต้นลงในหน้ากิจกรรมนี้เท่านั้น โดยพิมพ์คำตอบตามตัวอย่างดังนี้

“ร่วมสนุกกับแพรวดอทคอม The Dewa Koh Chang อยู่ริมหาด….. จังหวัด…… “

2. กดไลค์ และแชร์ ภาพกิจกรรมนี้ ไปยังFacebook ของคุณ พร้อมตั้งค่าการแชร์เป็นแบบสาธารณะ (Public)

ผู้ที่ทำถูกต้องตามกติกา รายชื่อทั้งหมดจะถูกนำมาจับฉลาก เพื่อหาผู้โชคดีที่จะได้รับGift Voucher ห้องพักแบบ
ดี ลักซ์ (Deluxe) 3 วัน 2 คืน พร้อมอาหารเช้า จำนวน 1 รางวัล (สำหรับ 2 ท่านระยะเวลาใช้ Gift Voucher 6 เดือน ยกเว้นการใช้ช่วงวันหยุดต่อเนื่อง นักขัตฤกษ์ และ Peak Season มูลค่า 16,478 บาท

*หมดเขตร่วมกิจกรรมวันที่ 29 มีนาคม 2558 ประกาศผลรายชื่อผู้โชคดีวันที่ 30 มีนาคม 2558*

 

โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จากเด็กวิ่งล่าฝัน สู่การเป็นมือลั่นชัตเตอร์ระดับโลก

คนไทยคนแรกที่ตอนนี้กลายเป็น 1 ใน 20 ช่างภาพที่ดีที่สุดในโลก และได้รางวัลชนะเลิศภาพถ่ายเวดดิ้งในหัวข้อ First dance จากการประกวดของ ISPWP (International Society of professional wedding photographers) วันนี้Exclusive Talk โดยแพรวดอทคอม ขอพามาทำความรู้จักกับช่างภาพหนุ่มคนนี้ ที่กำลังอนาคตไกลสุดๆ ในวงการถ่ายภาพเวดดิ้งต่างประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่ออายุประมาณ 20 ต้นๆ เชื่อว่าชีวิตของใครหลายคนคงอยู่ในช่วงของการค้นหาตัวเองว่าเราอยากจะทำอะไร กันแน่ บางคนเลือกที่จะคิดเฉยๆ บางคนอาจจะเริ่มทำบ้าง ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้โฟกัสอย่างจริงจัง แต่ก็มีคนอีกประเภทนึงที่คิดและทำอย่างจริงจังตั้งแต่ต้น เพื่อหวังว่าชีวิตของเขาจะได้ทำในสิ่งที่รักที่สุด และต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วย

ชัย สิทธิ์ จุนเจือดี หรือ “โอ๊ต” พอพูดชื่อนี้หลายคนคงไม่รู้จัก เพราะเขาไม่ใช่ดาราดังที่ไหน แต่ถ้าในแวดวงการถ่ายภาพโฆษณา และเวดดิ้ง เขาคือ 1 ในคนไทยไม่กี่คนที่มีโอกาสได้ไปทำงานกับช่างภาพระดับโลก จากการเก็บเงินด้วยตัวเอง 1 ล้านบาทอยู่ 1 ปีเพื่อออกไปตามความฝันที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุ 24 จนกระทั่งได้เป็นช่างภาพที่มีผลงานการถ่ายงานโฆษณาของแบรนด์ชื่อดัง รวมทั้งงานแต่งงานของเซเลบริตี้ที่อังกฤษอีกด้วย


ตอนอยู่อังกฤษ มีผลงานการถ่ายภาพที่ไหนบ้าง

โอ๊ต : ตอนอยู่ที่นั่นก็มีงานถ่ายงานโฆษณาของUrban Retreat ซึ่งเป็นพาร์ทนึงของห้าง Harrods เป็นโปรเจ็คท์ที่ผมภูมิใจมาก เพราะเป็นงานใหญ่ สไตลิลสต์ที่มาทำก็เป็นสไตลิสต์ที่ทำVogue ตอนเข้าไปคุยกับครีเอทีฟไดเร็คเตอร์งานนี้ เขาคัดช่างภาพหลายคน สุดท้ายเป็นผมที่ได้ทำ จริงๆเขาก็ยังดูไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าผมจะทำได้ดีไหม อายุก็แค่ 26 และเป็นคนเอเชียด้วย เลยลองให้ไปถ่ายPortrait สำหรับลงสัมภาษณ์โปรโมทก่อน ปรากฏว่าเขาชอบมาก เลยให้ผมคิดโปรเจ็คท์นี้ทั้งก้อน ตั้งแต่คอนเซ็ปต์จนถึงการหานางแบบมาถ่าย ทีนี้เลยทำงานง่ายเลย เพราะได้ทำในสิ่งที่ผมคิด กำหนดเองทุกอย่าง หลังจากที่ทำงานนี้จบพอเดินเข้าไปในห้าง แล้วเห็นดิจิตอลบิลบอร์ดเป็นงานตัวเองติดอยู่ ผมนี่ยิ้มเลย ดีใจมากครับที่มีโอกาสได้ทำ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ที่ทำงานนี้ก็บอกผมว่านี่แหละ ถ้าเราตั้งใจทำมันก็ดีกับตัวเราเอง ผลงานมันบอกอยู่แล้วว่าคุณตั้งใจกับมันแค่ไหน ตอนนั้นก็เลยได้ถ่ายงานให้เค้าต่อ รวมทั้งหมดก็ 2 ซีซั่นเลยครับ

ได้ข่าวว่านอกจาก Harrods ยังได้ไปถ่ายแฟชั่นของแบรนด์ในเครือ Topshop และแมกกาซีนด้วย

โอ๊ต : ครับผม..ชื่อแบรนด์ Portia ครับ และก็มีถ่ายแฟชั่นกับปกให้กับแมกกาซีนที่นั่นด้วย แต่งานเวดดิ้งที่ผมเริ่มต้นทำก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมที่ได้ไปถ่ายทั้งใน อังกฤษและที่ฝรั่งเศสด้วย

ได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ และเป็นที่รู้จักในวงการถ่ายภาพเวดดิ้งที่อังฤษมากขึ้น ทำไมถึงเลือกที่จะกลับมาอยู่เมืองไทย

โอ๊ต : จริงๆ ตอนแรกผมตั้งใจมาต่อวีซ่าเฉยๆ แต่พอมาถึงเมืองไทยก็มีงานให้ถ่ายล่วงหน้า 10 งาน บวกกับลึกๆ ก็คิดว่ากลับมาอยู่ที่บ้านก็ดี เพราะแม่ผมท่านอยู่คนเดียว เลยคิดว่าเอาวะ… กลับบ้านมาอยู่กับแม่ดีกว่า ก็ยังได้ทำงานที่ชอบด้วย ตอนนี้ก็เลยเปิดบริษัทรับงานเอง ทำทุกอย่างเลยครับ (หัวเราะ) งานส่วนใหญ่ที่เห็นๆอยู่ก็เป็นงานโฆษณา และเวดดิ้งเหมือนที่อังกฤษ

ทำงานถ่ายภาพที่เมืองไทยแตกต่างกับที่อังกฤษมากไหม

โอ๊ต : ตอนอยู่อังกฤษผมทำงานมีเอเจนซี่คอยชนลูกค้าให้แค่รับบรีฟมาแล้วไปทำ แต่มาเมืองไทยผมรับงานเอง ลักษณะการทำงานตอนนี้เลยมีหลายบทบาทมากขึ้น โค้ดราคาเอง อะไรเอง คุยกับลูกค้า ประชุมเองทุกอย่าง ชีวิตตอนนี้ทำงาน 7 วันเต็มเลย (ยิ้ม)…

ทำงานหนักขนาดนี้ แต่ก็ยังหาเวลาส่งภาพถ่ายของตัวเองไปประกวด จนได้รางวัลระดับโลกมาอีก

โอ๊ต : (หัวเราะ)… คือผมเป็นคนชอบคิดตลอดเวลา และรู้สึกว่าเวลามันมีค่ามาก เลยอยากใช้มันให้คุ้ม อะไรที่เป็นสิ่งที่เราชอบเลยต้องทำให้มันสุดจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเข้าไปคัดเป็นช่างภาพในองค์กร ISPWP ((International Society of professional wedding photographers) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีช่างภาพเป็นสมาชิกอยู่ทั่วโลก

ถ้าใครเป็นเมมเบอร์ที่นี่ได้เขาจะการันตีว่าเราเป็นช่างภาพที่มีฝีมือ มีคุณภาพ ซึ่งผมก็ได้เป็นสมาชิกแล้ว บวกกับองค์กรนี้เขาจะมีการให้ช่างภาพทั่วโลกที่เป็นสมาชิกส่งงานเข้าประกวด กันเพื่อจัดอันดับโลกด้วย ผมส่งภาพไปทั้งหมด 4 ควอเตอร์เลย และก็ได้รางวัลหมด แต่มีที่ได้รางวัลชนะเลิศก็คือในควอเตอร์ที่เป็นหัวข้อ First Dance พอจบสิ้นปีเขาก็จะคัดต่ออีกให้เหลือแค่ 80 คนที่เป็นช่างภาพที่ดีที่สุดในปีนี้ ผมก็ติดด้วย

จากนั้นข่าวนี้มัน ถูรีพับบลิชใหม่จากสำนักข่าวอื่นๆ ในอังกฤษ อย่างDaily Mail UK เขาก็คัดจาก 80 เหลือ 20 คนที่เป็นช่างภาพที่ดีที่สุดในปีนี้ ซึ่งก็มีผมติดอยู่ด้วยเหมือนกัน

ทำไมถึงเลือกภาพนี้ส่งเข้าประกวด

โอ๊ต : จริงๆ ภาพถ่ายคู่บ่าวสาวเต้นรำมีหลายภาพครับ แต่ที่เลือกภาพนี้ประกวดก็เพราะ องค์ประกอบโดยรวมมันได้ ทั้งBody Language อารมณ์ สีหน้าของทั้งคู่ อินเตอร์แอคชั่นของแขก และแสง มันลงตัวที่สุด แต่กว่าจะได้แต่ละภาพมาไม่ใช่ง่ายเลยครับ อย่างงานแต่งงานของคู่นี้ เจ้าบ่าวชื่อพีทเป็นนักดนตรีแจ๊สและเป็นเซเลบริตี้ด้วย ส่วนเจ้าสาวชื่อฟลอร่าจำได้ว่างานเขาโหดมาก อะไรที่คิดว่าในงานแต่งงานไม่มี แต่ของคู่นี้มีทุกอย่าง

วันนี้คุณอายุแค่ 29 แต่ใครๆ ก็บอกว่าคุณคือช่างภาพระดับโลกแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง

โอ๊ต : ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมอยู่อังกฤษ พยายามตั้งใจหาโอกาสที่จะได้มีประสบการณ์กับคนเก่งๆ ตอนนั้นก็มีคิดครับว่าอยากเป็นช่างภาพระดับโลก แต่ก็ไม่คาดหวังมาก ว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น พอวันที่ผมได้ถ่ายงานที่Harrods หรือแฟชั่นแบรนด์ต่างๆ ที่อังกฤษ ทุกคนก็บอกว่าผมเป็นแล้ว เพราะผลงานมันการันตี แต่ผมเองไม่อยากนิยามว่าตัวเองเป็น ไม่อยากไปยึดติดกับมันมาก กลับมามองตัวเองดีกว่าว่าเราทำงานดีพอรึยัง

“ถ้า ผมทำงานมาห่วย ผมไม่เป็นดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ที่คิดไว้คือ ผมต้องทำงานให้ได้มาตรฐานที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่ใช่เท่าเดิม ผมจะไม่มีทางให้ลูกน้องไปถ่ายงานคนเดียว แล้วตัวเองก็นั่งเฉยๆ ถ้าทำอย่างนั้นผมไม่เป็นดีกว่าช่างภาพระดับโลก”

พอมาอยู่ในจุดที่สูงขึ้น มันเลยเป็นการกดดันตัวเองหรือเปล่า

โอ๊ต : ไม่หรอกครับ ผมว่ามันดีด้วยซ้ำที่เรากดดันตัวเองบ้าง จะได้เตือนสติตัวเองว่าเราต้องทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม และต้องทำให้ดีกว่าเดิมด้วย

คิดว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตการเป็นช่างภาพประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้

โอ๊ต : ผมว่าเพราะความตั้งใจ และความมุ่งมั่นนี่แหละที่ทำให้มีทุกวันนี้ บวกกับโชคดีด้วยที่ได้เจ้านายดีตอนอยู่อังกฤษ อยู่ที่นั่นยิ่งช่วงแรกๆ ที่ไปไม่ได้สบายเลยครับ อุปสรรคเยอะมาก แต่ก็ต้องอดทนไม่ยอมแพ้ ที่สำคัญต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะการเป็นช่างภาพมันไม่ใช่แค่สะพายกล้องเท่ๆ แล้วกดชัตเตอร์ไปเรื่อยเปื่อย ตัวผมเองจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาพ เพื่อวิเคราะห์รูป ดูเซ้นส์ของภาพให้มากเข้าไว้ ส่วนการทำงานเวลาไปถ่ายเวดดิ้ง ก็ต้องวางแผนการทำงานดีๆ ต้องช่างสังเกตตลอดเวลา และดูอารมณ์ของทุกงานในงานให้ครอบคลุมมากที่สุดด้วย



ในอนาคตข้างหน้ามีแพลนที่จะทำอะไรต่ออีกบ้าง

โอ๊ต : ผมตั้งใจว่าอายุ 45 จะไปเป็นอาจารย์ประจำสอนนักศึกษา จริงๆ ตอนนี้ผมก็มีเป็นอาจารย์พิเศษอยู่หลายมหาวิทยาลัยด้วย ผมไม่เสียดายนะ ถ้าจะมองว่าตอนนี้เราเดินมาอยู่ในจุดที่ทุกคนยอมรับแล้ว แต่วันนึงเราเหมือนจะทิ้งมันไป เพราะผมเชื่อว่ามันไม่ใช่การทิ้งที่เสียเปล่าเลย แต่จะช่วยต่อยอดด้วยซ้ำ อะไรที่ผมแชร์แล้วเป็นประโยชน์ได้ผมก็จะทำให้เด็กรุ่นใหม่ฟัง เพราะเขาไม่ได้ไปสัมผัสว่าผมเจออะไรมาบ้าง เมื่อถึงเวลาคงเปลี่ยนจากช่างภาพไปเป็นคนที่ถ่ายทอดประสบการณ์สอนเด็กรุ่น ใหม่ๆ แน่นอน ส่วนอีกเรื่องที่คิดจะทำก็คือ ผมอยากสร้าง Art Community เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับแสดงงานศิลปะ จะได้สร้างประโยชน์ให้กับวงการศิลปะบ้านเราได้ไปนานๆ ด้วย

ตลอด เวลาของการนั่งสนทนากับผู้ชายคนนี้ เชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านจนจบคงได้สาระดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย และคงได้คำตอบแล้วว่า การเป็นคนไทยไม่ใช่อุปสรรคหรือความแตกต่างในการยอมรับจากทั่วโลก เพียงแค่มีความพยายาม และอดทนที่จะทำอย่างจริงจัง ไม่ว่าคุณอยากจะเป็นที่สุดในอาชีพไหนให้ใครๆ ยอมรับ คุณก็เป็นได้ ถ้าคุณตั้งใจที่จะเป็น

เรื่อง : SRIPLOI

ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ

ภาพผลงาน : OAT-CHAIYASITH

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

14 แบรนด์ดังกับรองเท้าแพลตฟอร์มสุดเริ่ด ร้อนนี้เตรียมจัดได้เลย!

Roberto Cavalli Spring 2015


John Galliano Spring 20151


Marni Spring 2015


Salvatore Ferragamo Spring 2015


Fendi Spring 2015


Junya Watanabe Spring 2015


Rick Owens Spring 2015


Miu Miu Spring 2015


Thakoon Spring 2015


Marchesa Spring-2015


Peter Pilotto Spring 2015


John Richmond Spring 2015


Creatures of wind 2015


DKNY Spring 2015

 

เกาะติดชีวิตรัก 19 ปี ‘อั๋น-เจนนี่’ ไม่หวือหวา แต่หวานสม่ำเสมอ

หลายคนเห็นทั้งคู่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จนช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิงแล้วเดินหน้าทำตามฝันไปเปิดร้านอาหารที่สหรัฐอเมริกา ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การมาประกาศออกสื่อว่าจะแต่งงาน หรือมีทายาทตัวน้อยๆ แต่อยู่ที่ว่าเขาทั้งสองคนครองรักกันมานานถึง 19 ปีได้อย่างไรต่างหาก

ทั้งคู่หายหน้าหายตาจากวงการไปนานเลยนะคะ
เจนนี่ยิ้มรับ “ก่อน หน้าที่จะไปอเมริกาก็มีทัวร์คอนเสิร์ต กับละครเรื่อง หางเครื่อง มีผลงานอยู่เรื่อยๆ นะคะ จนมีอยู่จุดหนึ่งคือ พอทำงานอยู่ในวงการมานานเราก็เริ่มคิดกันแล้วว่าต้องหาอะไรทำสักอย่างที่ เป็นอาชีพหลัก แล้วอั๋นเองเขาเคยไปเรียนภาษาอยู่ต่างประเทศประมาณ 1 ปี ควบคู่กับทำงานร้านอาหารแล้วเกิดชอบ พอกลับมาเมืองไทยก็มีความฝันว่าอยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง จึงเริ่มจากเปิดร้านแถวทองหล่อก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ จนตอนนี้มีทั้งหมด 3 ร้าน คือ Spaghetti House, Wine Republic และ Nangkwak Wine Bar & Italian Bistro บางร้านมีหุ้นหลายคนก็เบาแรงเราหน่อย ส่วนร้านไหนที่หุ้นกับอั๋นสองคนก็จะช่วยกันดูแลค่ะ
อั๋นขอย้อนกลับ ไปเล่าถึงตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาต่อ “ตอนที่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารผมรู้สึกว่าฝรั่งเขาซาบซึ้งกับ อาหารไทยมาก แม้แต่น้ำซุปก็ซดหมดเกลี้ยง เลยคิดอยากจะลองไปเปิดร้านอาหารที่เมืองนอกดู แต่ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะต้องดูแลร้านที่เมืองไทย จนเมื่อปีที่แล้วพอดีมีพี่คนหนึ่งเขาทำร้านอาหารอยู่อเมริกาแล้วดูแลไม่ไหว มาถามเรา ตอนนั้นสนใจมาก ลองไปเที่ยวรอบหนึ่งก่อน เพื่อดูตลาดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งร้านอาหารไทยที่โน่นมีเยอะมาก ใครๆ ก็เปิด แต่ยังไม่มีอาหารภาคเหนือ ภาคใต้ของไทย อย่างพวกแกงฮังเล แกงอ่อม ที่สุดผมตัดสินใจเปิดร้านชื่อว่า Isarn Thai Soul Kitchen ที่เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกาครับ

เปิดร้านอาหารที่เมืองนอกต้องเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
เจนนี่พยายามนึก “ไม่ ค่อยเยอะนะคะ เพราะเราอยู่ในวงการร้านอาหารมาจนพอรู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง จะมีปัญหาก็ตรงเรื่องกฏต่างๆ เพราะที่โน่นเขาค่อนข้างเคร่งเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย มาตรฐานเขาค่อนข้างสูงมากๆ
อั๋นรับช่วงเล่าต่อ “ช่วงแรกๆ ที่ไป ร้านยังก่อสร้างอยู่ เรายังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่าง แล้วทุกอย่างก็ล่าช้าไม่เปิดสักที ซึ่งผมใจร้อนอยากจะเปิดมาก แต่โชคดีอย่างตรงที่ผมมีพาร์ทเนอร์เป็นเพื่อนสนิททำร้านอาหารอยู่ที่อเมริกา มานาน ได้เขานี่แหละช่วยแนะนำเยอะว่าเราควรจะทำอะไรอย่างไร จริงๆ ผมว่าการทำร้านอาหารที่อเมริกาทำให้เราโตขึ้นในเรื่องของการทำงานที่เป็น ระบบ และมีมาตรฐานมากขึ้นนะ วิธีการเก็บของต่างๆ ต้องเป๊ะมาก เพราะอาหารที่เสิร์ฟลูกค้าแต่ละจานนั้นหมายถึงคุณภาพ อย่างบางที่ใช้มีดหั่นหมูเสร็จแล้วไปหั่นผักต่อ ซึ่งมันผิดสุขลักษณะ หรืออย่างการเก็บเนื้อไก่ซึ่งเป็นสัตว์ที่ติดเชื้อได้ง่ายก็ควรเก็บให้ดี เนื้อวัวก็ควรจะเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 41 องศาฟาเรนไฮต์หรือไม่ก็ 130 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไปเลย อย่าอยู่ตรงกลางระหว่างนี้ เพราะจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขึ้นมาได้ คือมีดีเทลเยอะมากครับ

แล้วชีวิตตอนที่อยู่อเมริกาในแต่ละวันทำอะไรบ้างคะ

เจนนี่แอบบ่น “ไม่ค่อยได้มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย เพราะช่วงเย็นๆ เจนนี่จะอยู่ที่ร้านทุกวัน ดูเรื่องเซอร์วิสว่าพนักงานทำงานโอเคหรือเปล่า มีปัญหาอะไรไหม คุยกับลูกค้า
อั๋นเสริม “เจนนี่เขาดูเรื่องดีเทลต่างๆ แต่ในส่วนของผมหลักๆ จะดูเรื่องอาหาร คิดเมนูใหม่ๆ แล้วต้องเมคชัวร์ว่ามาตรฐานอาหารรสชาติโอเคทุกวัน วันหนึ่งเหมือนผ่านไปเร็วมากครับ เรารู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปชั่วโมงเดียวเอง แต่จริงๆ หมดไปแล้ว 5 ชั่วโมง แต่สนุกครับ ตื่นแต่เช้ามาร้านอาหาร พอถึงช่วงกลางวันก็กลับมากินข้าวกับเจนนี่ ตกบ่ายถ้าว่างก็จะหาเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส พอเย็นๆ ก็เข้าร้าน

ตอนไปอยู่อเมริกาแรกๆ ดูท่าอั๋นจะต้องปรับตัวเยอะ
อั๋นพยักหน้ารับ “ปรับตัวเยอะมากครับ เพราะเรื่องภาษาผมไม่ค่อยดี แต่เจนนี่ภาษาดีกว่า ก็ช่วยซัพพอร์ตได้เยอะ ส่วนเรื่องอาหารก็มีปัญหา ด้วยความที่เราเป็นคนไทย ชอบกินอาหารรสจัดจ้าน ถ้าให้กินอาหารฝรั่งทุกมื้อคงไม่ไหว เลี่ยนมาก ผมเลยชอบไปเดินซื้อของกินที่ไชน่าทาวน์บ่อยๆ

ขอย้อนถามถึงโมเม้นตอนขอแต่งงานกันหน่อย โรแมนติกไหมคะ
อั๋นอธิบาย “คือคู่เราไม่ได้เป็นอารมณ์แบบมานั่งคุกเข่าขอแต่งงานอะไรแบบนั้น เพราะเราสองคนคบกันมานานแล้ว ถามว่ามีความตั้งใจจะแต่งไหม มีครับ ที่ผลัดมาเรื่อยๆ เพราะอยากให้พร้อมก่อน เวลามีลูกจะได้ดูแลเขาเต็มที่ แต่ผู้ใหญ่บางท่านให้ข้อคิดมาว่าเราไม่มีวันที่จะพร้อมหรอก แล้วก็ต้องผลัดไปเรื่อยๆ เอ่อ..ก็จริงนะ ตอนไปอยู่อเมริกา 1 ปี ช่วงเดือนที่ 6 เลยคุยกันว่าตอนนี้ธุรกิจเราเริ่มอยู่ตัว ถึงเวลาที่จะมาสร้างครอบครัวด้วยกันแล้วนะ แต่เรามองว่าการมีลูกสำคัญกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะช้า เพราะผู้หญิงอายุ 35 ปีก็เริ่มจะมีลูกยากแล้วนะ จึงลองปล่อยดู แล้วบังเอิญติด เพราะเจนนี่เขาไปซื้อเครื่องตรวจมาเลย
เจนนี่ขยายความ “เขาเรียกว่า ovulation kits เป็นเครื่องตรวจว่าเดือนนี้เราตกไข่เมื่อไหร่
อั๋นพูดไปอมยิ้มไป “ผมว่าดีนะ ดีกว่าเราไปทำมั่วๆ ซั่วๆ แล้วไม่รู้ว่าติดเมื่อไหร่ด้วย

แล้วตอนที่รู้ว่าท้องรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
เจนนี่บรรยายความรู้สึก “บอก อั๋นก่อนเลย เพราะเรานับวันอยู่แล้วว่าประจำเดือนหมดวันไหน แล้วพอประจำเดือนยังไม่มาก็ลองตรวจดู รอบแรกขึ้นมาสองเส้น ซึ่งหมายความว่าท้อง แต่ก็มีเส้นที่สามบางๆ ขึ้นมาอีกเส้นหนึ่ง ไม่ชัวร์ เลยไปซื้อมาตรวจ รอบที่สองก็ยังเป็นเหมือนเดิม เลยออกไปซื้อแบบดิจิตอลที่จะขึ้นมาว่า pregnant หรือ non-pregnant เอาให้ชัดไปเลย ปรากฎว่าขึ้น pregnant อั๋นก็เข้ามากอดเจนนี่แล้วบอกว่า ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวอั๋นดูแลเองทุกอย่าง หลังจากนั้นก็มาคุยกันว่า เราจะแต่งงานที่อเมริกา หรือว่าที่เมืองไทย ซึ่งสุดท้ายก็ลงตัวที่เมืองไทยค่ะ

ตอนนี้เตรียมงานแต่งงานไปถึงไหนแล้วคะ
เจนนี่แม่งานขออธิบาย “จริงๆ กระบวนการมันเยอะมาก แล้วเวลาเตรียมตัวเราค่อนข้างน้อย ตอนอยู่ที่อเมริกา ก็เริ่มติดต่อเพื่อนๆ ให้ช่วยติดต่อโน่นนี่นั่น แล้วเริ่มทำการ์ด พอมาถึงเมืองไทยก็ได้การ์ดพอดี ส่วนงานให้ออแกไนซ์ช่วยดูแล เพราะเรากลัวทำไม่ไหว เรื่องชุดแต่งงานเรามีคนดูแลให้ อาทิตย์แรกที่มาถึงเมืองไทยก็ลองชุดตลอด กับถ่ายพรีเว้ดดิ้ง ยุ่งๆ แต่ถือว่าโอเคนะ พยายามไปแจกการ์ดให้ได้เยอะที่สุด ส่วนธีมงานอั๋นกับเจนนี่ชอบความเป็นธรรมชาติ ไม่อยากให้ออกมาดูเว่อร์ คือหลายคนชอบไปสิ้นเปลืองกับการแต่งงานหมดเงินไป 2-3 ล้าน ซึ่งเราว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย ขอทำแบบพอดีดีกว่า
ด้านว่าที่เจ้าบ่าวอั๋นตอบสั้นๆ “ส่วนผมมีหน้าที่ยืนเฉยๆ ให้เจนนี่บอกอย่างเดียว เป็นผู้ตามที่ดีครับ (หัวเราะ)

คบกันมานานถึง 19 ปี เคยมีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหมคะ
อั๋นหันหน้าไปมองเจนนี่แล้วพยายามนึก “ก็นิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร โชคดีมากคือคู่เราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรที่ทะเลาะกันสักเท่าไหร่
เจนนี่เล่าบ้าง “ส่วนมากจะเป็นเรื่องธุรกิจมากกว่า เจนนี่อยากได้แบบนี้ แต่อั๋นอยากได้อีกแบบก็จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรแบบนี้มากกว่า
อั๋นขอพูดเอาใจเจนนี่ “แต่ตอนนี้พอเขาท้องก็พยายามจะไม่ทะเลาะด้วย เพราะผมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างเสียสละเยอะ ไหนจะอุ้มท้อง ฮอร์โมนก็เปลี่ยนด้วย แถมยังต้องคลอดลูกอีก ซึ่งผมคิดว่าเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ เราก็ควรทำตัวดีๆ ถึงจะถูก

อั๋นดูแลเจนนี่เป็นพิเศษอย่างไรบ้างคะ
อั๋นเล่าขำๆ “ตอนนี้ก็กินเป็นเพื่อน เลยอ้วนทั้งคู่ (หัวเราะ) อย่างก่อนมาเมืองไทยก็จะพาไปว่ายน้ำ พยายามให้เขาอยู่บ้าน ไม่ต้องเข้าร้านเยอะ
เจนนี่เม้าท์ “เขาจะขยันซื้อ ของกินมาไว้เต็มตู้เย็นเลย แล้วจะคอยถามตลอดว่ากินนี่ไหม กินโน่นไหม ซึ่งจริงๆ แล้วเขาบอกว่าคนท้องควรกินอาหารไม่เกิน 300 แคลอรี่ จากปกติที่เราเคยกิน แต่นี่น่ากินเกินไปหลายร้อยแคลอรี่แล้วล่ะค่ะ (หัวเราะ)

มีอาการแพ้ท้องไหมคะ
เจนนี่แชร์ประสบการณ์ “จะมีช่วงแรกๆ ที่เป็นกรดไหลย้อน แล้วก็นอนเยอะ แต่ไม่ถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ ก็ยังใช้ชีวิตปกติค่ะ

คิดภาพตอนเป็นคุณพ่อคุณแม่ไว้อย่างไรบ้างคะ
เจนนี่แซวอั๋น “คนนี้ต้องออกแนวโอ๋ลูกแน่นอน (หัวเราะ) แต่เจนนี่ไม่ เพราะเราถูกเลี้ยงมาแบบฝรั่ง
อั๋นพยักหน้ายอมรับ “ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผมคิดว่าเราคลอดลูกแล้วเลี้ยงที่โน่นก็น่าจะได้สไตล์อเมริกันแบบให้ดูแล ตัวเองมาบ้าง คือฝรั่งเขาดีอย่างตรงที่เลี้ยงลูกไม่โอ๋ ตอนผมอยู่ร้านจะมีลูกของลูกค้ามากินเยอะ ผมสังเกตเห็นว่าเขาจะไม่มีการมานั่งป้อนเหมือนคนไทย แค่เอาอาหารวางไว้บนโต๊ะแล้วปล่อยให้ลูกกินเอง แล้วแปลกมากคือลูกเด็กเล็กแดงที่มาที่ร้านไม่ส่งเสียงร้องไห้โวยวาย หรือวิ่งวุ่นแม้แต่คนเดียว
เจนนี่เสริม “แต่จริงๆ ก็อยากให้ลูกกลับมาเมืองไทย เพื่อให้ได้ความเป็นไทยด้วย อย่างตัวเจนนี่เองเกิดที่อเมริกาอยู่จนอายุ 10 ขวบ มีความเป็นฝรั่งเต็มตัวเลย จนคุณพ่อคุณแม่ส่งเจนนี่ให้มาอยู่ที่เมืองไทยเพื่อให้เราได้ความเป็นไทย เพราะเจนนี่คิดว่าความเป็นไทยทำให้เราอ่อนน้อม มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างไรลูกเราก็ต้องมีความเป็นไทยอยู่ในตัวด้วยค่ะ

คบกันมานานขนาดนี้ หมั่นเติมความหวานให้กันอย่างไรบ้างคะ

เจนนี่เผยมุมมองชีวิตคู่ให้ฟัง “จริงๆ เจนนี่ว่าชีวิตทุกคู่เป็นเหมือนกราฟนะ ช่วงคบกันแรกๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูดีไปหมด หวาน กุ๊กกิ๊ก ตื่นเต้น ซื้อของขวัญให้กันทุกช่วงเทศกาล พอเป็นวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนไปดูแล เป็นห่วงกันและกัน มีแต่สิ่งดีๆให้กัน จนมาถึงวัยกลางคนก็จะเป็นแนวทำธุรกิจ ช่วยกันคิด แต่ก็จะมีโมเม้นท์ของเราที่ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสวีทกันที่ไหน แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็แฮปปี้แล้วค่ะ
อั๋นแชร์บ้าง “คือผมรู้สึกว่ายิ่งคบนานยิ่งให้เกียรติกันมากขึ้น ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย ยิ่งคบยิ่งรู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้เขาเป็นแฟน ไม่ใช่ว่าพอเขามีลูกให้เราแล้ว รูปร่างเปลี่ยนไป ไม่สวยเหมือนเดิม แล้วเราไปทิ้งเขามันก็ไม่แฟร์ ดังนั้นเราต้องไปด้วยกันครับ

เห็นเจนนี่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตอนนี้อั๋นเปลี่ยนไปเยอะเลย
เจนนี่เฉลย “คือ เจนนี่เห็นเขาตั้งแต่อายุ 17 ปี ก็พัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนตอนทำธุรกิจเขาใจร้อนมาก แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้จักนึกคิดก่อนว่าควรจะทำอะไร พูดอย่างไร เขาค่อยๆ ผ่อนลงมาเยอะ เพราะโดยส่วนตัวเจนนี่เป็นคนใจเย็น ก็จะคอยเบรคตลอด ซึ่งเขาก็จะฟังเรานะแล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนตั้งใจไม่ว่าจะทำอะไร อย่างร้านอาหารก็ตั้งใจทำมาก ลงดีเทลอยู่กับอาหารตลอด แต่เวลาเล่นกันก็เหมือนตอนที่เราเจอกันตอนเด็กๆ แหละค่ะ
อั๋นชมว่าที่ภรรยา “เจนนี่เขาเป็นอย่างนี้ตลอดเลยนะ ตอนวัยรุ่นก็น่ารัก ใสๆ ในแบบของเขา มาตอนนี้เขาก็น่ารักในแบบคุณแม่ ผมมองเขาน่ารักตลอดอยู่แล้ว ไม่เคยเบื่อหรือรำคาญเลย เขาเป็นผู้หญิงเก่งแล้วก็ตั้งใจทำงานมาก บางทีเขายังตั้งใจมากกว่าผมอีก เพราะบางครั้งผมสมาธิสั้น

คู่นี้มีความแตกต่างที่ต้องปรับจูนกันเยอะไหมคะ
อั๋นพยายามถ่ายทอดความรู้สึก “จริงๆ ก็ไม่ต่างนะ เราค่อนข้างเหมือนกันมากกว่า เป็นคนง่ายๆ ไม่หวือหวา ไม่ต้องอะไรเยอะ ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย เป็นพวกที่ไม่ค่อยอยากได้อะไร ส่วนมากจะหมดเงินไปกับเรื่องกินมากกว่า เพราะเราทำอาชีพเกี่ยวกับร้านอาหารก็ต้องชิมตามร้านต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาทำอะไรอย่างไรกันบ้าง มีเมนูแบบไหน ถือว่าได้ทำงานด้วยครับ
เจนนี่เปิดเผยความในใจ “เรา มีนิสัยอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้วก็พยายามที่จะปรับเข้าหากัน รู้ว่าเราควรจะต้องบาลานซ์อย่างไร อย่างถ้าอั๋นอารมณ์ไม่ดีเราก็เริ่มรู้แล้ว เพราะจะชวนกลับบ้านอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) แต่ เขาไม่เคยเปลี่ยนเลย นี่คือสิ่งที่เจนนี่ประทับใจเขาตั้งแต่แรกที่ๆ เราคบกัน อาจไม่หวือหวาเหมือนช่วงแรกๆ แต่เขาค่อนข้างสม่ำเสมอ ขนาดทรงผมยังไว้ทรงเดิม แต่งตัวก็เหมือนเดิม (หัวเราะ)
อั๋นรีบแก้ตัว “ผมไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไม่ได้สนใจเรื่องอะไรตรงนั้นเลย ตอนนี้น้ำหนักขึ้นมา 5 กิโลฯแล้ว (หัวเราะ) ยิ่งไม่ได้ทำงานในวงการก็ยิ่งไม่สนใจใหญ่เลย เพราะผมเป็นคนง่ายๆ แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์จบ ทรงผมก็ไม่เคยเซ็ท ชีวิตนี้ผมขอแค่ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส อ่างจากุซซี่ ซาวน่า อาทิตย์หนึ่งไป 4 วันจบพอละ เจนนี่เองเขาก็เป็นคนง่ายๆ เขาขอแค่มีครอบครัวที่ดี มีงานทำที่โอเค ไม่ต้องร่ำรวยล้นฟ้า ขอแค่ไม่ลำบาก แล้วก็ขอแค่ให้อยู่ใกล้กับครอบครัวเขา ผมเลยคิดว่า 80-90% คงอยู่ด้วยกันที่โน่นแล้วก็ค่อยๆ ขยายธุรกิจร้านอาหารที่อเมริกา แค่นี้ก็แฮปปี้ ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราแล้ว
“ผมเคยพูดกับเจนนี่เสมอว่าชีวิตนี้ไม่คิดจะทิ้งเขา จะพยายามสร้างอนาคตร่วมกัน และขออยู่กันไปจนแก่เฒ่าครับ”

เรื่อง : apinya
ภาพ : เนาวพจน์

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม

‘เพื่อนแท้’ ตำนานสายเดี่ยว “โบว์-จ๊อยซ์” คู่ซี้ที่ไม่มีวันทิ้งกัน

โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม
โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม

ในชีวิตนี้ไม่ว่าเราจะมีเพื่อนสักกี่คน แต่สุดท้ายคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก หรือเพื่อนแท้ก็คงมีไม่มาก บางคนยังหาไม่เจอด้วยซ้ำว่าเพื่อนแบบนี้มีอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับ 2 สาว “โบว์-จ๊อยซ์” ซึ่งถ้าใครติดตามตั้งแต่สมัยที่ออกอัลบั้มด้วยกันจนกระทั่งวันนี้ ก็เป็นที่รู้กันดีว่ามิตรภาพของทั้งคู่ยาวนานมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว

 หลังจากการห่างหายไปพักใหญ่ของหนึ่งในสมาชิก ที่วันนี้กลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม และชีวิตใหม่ที่สดใสขึ้นกว่าเดิม วันนี้ Exclusive Talk แพรวดอทคอมได้ไปพูดคุยกับ 2 สาว แน่นอนว่าต้องมีเรื่องราวที่น่าประทับใจของทั้งคู่มาเล่ากันยาวเหยียดเลยล่ะ 

(บทสัมภาษณ์นี้ ได้สัมภาษณ์คุณโบว์และคุณจ๊อยซ์ตั้งแต่ ปี 2015)

หลังจบคอนเสิร์ตเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ทำอะไรกันอยู่บ้าง

โบว์ : ตอนนี้ก็ยังเป็นดีเจอยู่ค่ะ จะจัดช่วงเสาร์-อาทิตย์ 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน

จ๊อยซ์ : ทำงานกับกิจการของที่บ้านค่ะ ก็เรื่อยๆ ดี ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรหวือหวามาก

โบว์​-จ๊อยซ์เป็นเพื่อนสนิทกันมากี่ปีแล้ว

โบว์ : โห… 20 ปีแล้วค่ะ นานมากกกกกกกกก

แสดงว่าสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ

โบว์ : ใช่ค่ะ แต่มาเริ่มสนิทจริงๆ ตอนประมาณ ม. 3 ก่อนหน้านี้เราก็เรียนที่เดียวกันนะ เห็นหน้ากันมาตลอด

จ๊อยซ์ : เรารู้ว่าเพื่อนคนนี้อยู่ในรุ่นเดียวกัน เรียนชั้นเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กันคนละห้อง จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้คุยกันเลยค่ะ มาสนิทกันจริงๆ ก็ตอนออกจากโรงเรียนนี้แล้ว


เห็นหน้ากันมาตั้งนาน แล้วมาเริ่มสนิทกันได้ยังไง

โบว์ : ก็ไปเที่ยวนี่แหละ (หัวเราะ)

จ๊อยซ์ : เพราะว่าเรามีนโยบายเดียวกัน ชอบออกไปสนุกสนานข้างนอก เราสองคนมีแนวคิดคล้ายๆ กันว่าอยากเผชิญโลกข้างนอกเร็วกว่าเพื่อนคนอื่น อยากไปรู้จักเพื่อนนอกโรงเรียนบ้าง ก็เลยเหมือนชวนกันไปเที่ยวเลย

โบว์ : คุณพ่อจ๊อยซ์กับพ่อโบ เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันด้วยค่ะ เขาก็เลยไว้ใจ ใครว่างก็จะไปรับ-ส่งให้กันตลอด

โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม

พอเข้ามาอยู่วงการบันเทิงก็ดันเป็นนักร้องคู่กันอีก

โบว์ : อืม…จริงๆ ไม่ใช่ว่าเราเข้าวงการมาแล้วคู่กัน แต่ โบกับจ๊อยซ์ ถ้าไม่ได้พูดแบบเข้าข้างตัวเองนะ เราก็ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงก่อนออกอัลบั้ม มันก็ค่อนข้างโดดเด่น ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยนี้เราก็เหมือนเป็นเน็ตไอดอล… (จ๊อยซ์แอบเหลือบมามองแล้วขำ) ถ้าแต่ก่อนมีอินเตอร์เน็ตนะคะ (หัวเราะ)

จ๊อยซ์ : นี่นะโบว์ที่บอกไม่หลงตัวเอง (หัวเราะ)… ไม่ใช่หรอก ด้วยความที่เป็นเด็กชอบเที่ยวข้างนอก มีเพื่อนต่างโรงเรียนเยอะ ทำให้คนเลยรู้จักเราเยอะ แล้วเราชอบไปไหนด้วยกันสองคน จริงๆ ก็มีเพื่อนเยอะแหละ แต่จะมีช่วงหนึ่งที่เราตัวติดกันมาก

โบว์ : คือทุกเหตุการณ์ที่เล่าก่อนออกเทปหมดเลยค่ะ

จ๊อยซ์ : เราตัวติดกันมาก ทำให้คนเห็นเรามาเป็นคู่ตลอด จนวันนึงพอเข้าไปเป็นวงไทรอัมพ์ส คิงดอม ทุกคนก็ยิ่งเห็นว่าเออเราสนิทกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ว่าเพิ่งถูกมาจับคู่เพราะร้องเพลง แต่เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วค่ะ

‘เพื่อนแท้’ ตำนานสายเดี่ยว “โบว์-จ๊อยซ์” คู่ซี้ที่ไม่มีวันทิ้งกัน

สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ รู้ไส้รู้พุงกันหมด แล้วเคยทะเลาะกันบ้างไหม

โบว์ : ไม่มีค่ะ…เคยงอนกันแค่ 5 นาทีก็ดีกันแล้ว ส่วนใหญ่ก็เรื่องนิสัย – อารมณ์ของเราสองคนนี่แหละ

จ๊อยซ์ : เราสองคนรู้ว่าอะไรที่ชอบและไม่ชอบ พอผ่านไปแป๊ปเดียว เราก็หันมาคุยเรื่องอื่น จะไม่มานั่งปรับความเข้าใจ ดราม่าใส่กัน

โบว์ : เรามองตาเพื่อนคนนี้ก็รู้แล้วว่าเออไม่ชอบนะ หรือจ๊อยซ์เองเขาก็รู้เหมือนกัน งั้นก็โอเคเรื่องนี้จบ เปลี่ยนเรื่องคุย คือเราเรียนรู้นิสัยกันมาเยอะมาก จนรู้ว่าเวลางอนกันเราต้องแก้ปัญหายังไงถึงจะกลับมาได้ ดังนั้นถ้าจะมาเคลียร์กันแบบเครียดๆ ไม่มีเลยค่ะ เราข้ามจุดนั้นกันมาแล้ว

จ๊อยซ์ : มันไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้นด้วยค่ะ เพราะว่าเราคบกับด้วยความไว้ใจ สร้างความเข้าใจกันตลอดเวลา

‘เพื่อนแท้’ ตำนานสายเดี่ยว “โบว์-จ๊อยซ์” คู่ซี้ที่ไม่มีวันทิ้งกัน

ถือว่าสนิทกันมากยิ่งกว่าเพื่อนซี้ทั่วไปหรือเปล่า

จ๊อยซ์ : อืม…คู่จิ้นหรอ ฟังแล้วขนลุก! (หัวเราะ)

โบว์ : จริงๆ ถ้าให้เปรียบนี่ จ๊อยซ์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโบเลยนะ เหมือนญาติโบคนนึงเลย

จ๊อยซ์ : มันอธิบายยากนะ เหมือนอยู่ด้วยกันมาจนพร้อมที่จะทำความเข้าใจกันตลอดเวลา โดยที่เราไม่ง้องอน ไม่เกี่ยงกัน

โบว์ : ตอนเด็กๆ เราเจอกัน คบกันมาแบบไหน ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม

จอยซ์ – ใช่ค่ะ อย่างโบมีข้อเสีย จ๊อยซ์มีข้อเสีย เราก็จะไม่ว่าถึงข้อเสียของเพื่อน เราจะทำความเข้าใจกันว่า โอเคเพื่อนเรามีข้อเสียนะ ก็จะไม่ตำหนิเขา จะไม่มาว่ากันว่าทำแบบนี้ไม่ดีนะ จะไม่เคยทำแบบนั้น เราต่างเป็นตัวของตัวเอง ต่างยอมรับตัวตนของกันและกันมากกว่า

ทั้งสองคนน่าจะเห็นช่วงชีวิตของกันและกันว่าใครมีปัญหาอะไรมา มีให้กำลังใจกันยังไงบ้าง

โบว์ : ทุกอย่างมันอยู่ตรงนี้ที่เดิม บางเรื่องที่โบไม่ได้อยู่กับจ๊อยซ์ตลอดเวลา แต่เอาเป็นว่าโบอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน โบไม่ใช่เพื่อนที่แบบ เออตอนนี้ฉันเป็นกำลังใจให้แกนะ มันไม่ใช่… ความเป็นเพื่อนมันก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ

จ๊อยซ์ – เจอเรื่องดี เรื่องเลว เรื่องที่ทำให้ร้องไห้ อกหัก เราก็จะรับฟังกัน อยู่ด้วยกัน จะรู้กันดีว่าว่า โบอยู่ตรงนี้ จอยซ์อยู่ตรงนี้ มันก็รู้สึกอุ่นใจแล้วค่ะ

โบว์ : คือพูดไปจะไม่ฟังกันมากกว่า (หัวเราะ)

จ๊อยซ์ : ถึงแม้ว่าเราจะเจอเรื่องที่ไม่ดีมา ก็ไม่เอาตรงนั้นมาเป็นข้อเสียมาว่ากัน มองว่าจ๊อยซ์ไม่ดีนะ โบจะไม่มาพูดว่า ทำไมอย่างนั้น โบก็ยังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม

โบว์ : โบมองว่าคนเรามีข้อเสียหมด เพราะฉะนั้นการที่เราไปวิจารณ์คนอื่น มันเหมือนเราไม่มองตัวเอง และนี่คือเพื่อนเรา คือถ้าเพื่อนล้ม เราก็จะไม่ไปตอกย้ำอะไร ถ้าโบล้ม จ๊อยซ์ก็ไม่เคยซ้ำให้รู้สึกแย่ แต่เราก็จะไม่ไปไหน

โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม

เป็นเพื่อนซี้กันมานานขนาดนี้ ตอนที่จ๊อยซ์รู้ว่าโบว์กำลังจะแต่งงานรู้สึกใจหายไหม

จ๊อยซ์ : รู้สึกตื่นเต้น ตกใจมากกว่าค่ะ ความรู้สึกแรกคือแบบเฮ้ย! โบว์เป็นคนเจ้าชู้มาก มีแฟนเยอะ แต่โบว์แต่งงานอ่ะ โบว์แต่งกับใคร? …ส่วนเรื่องใจหายหรือหวงไม่มีหรอกค่ะ ปกติแล้วเราจะให้เกียรติกัน อย่างช่วงที่โบว์ติดแฟนก็อยู่กับแฟนนะ ส่วนจอยซ์ก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ

แล้วตอนนี้จ๊อยซ์เองมีคนรู้ใจหรือยัง และโบว์เองเป็นห่วงจ๊อยซ์เรื่องนี้ไหม

โบว์ : มีๆ.. โบว์ก็รู้จักค่ะ เลยไม่ห่วงอะไร

จ๊อยซ์ : ก็โตแล้ว เรื่องแฟน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนไหน ก็จะไม่ยุ่งกันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่แบบเพื่อนรัก เราก็รักด้วย

โบว์ : คือต่อให้แฟนเขาแย่แค่ไหน แต่ถ้าเขารัก เราก็รักด้วยนะ

จ๊อยซ์ : เพื่อนรักเราก็รักด้วย แต่ถ้าวันหนึ่งเพื่อนเลิก

โบว์ : เราก็เลิกด้วย (หัวเราะ)

ดูแล้วเป็นเพื่อนที่เฮฮากันตลอด เคยมีโมเม้นท์ไหนไหมที่รู้สึกประทับใจกันและกัน

จ๊อยซ์ : ก็มีค่ะ อย่างล่าสุดหลังจากที่เราสองคนไม่ได้เจอกันนาน จ๊อยซ์กับโบว์ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตด้วยกัน ตอนนั้นความรู้สึกเก่าๆ มันกลับมาเลยนะ เพราะตอนอยู่หลังเวทีเตรียมเปิดตัวขึ้นไป จ๊อยซ์ก็บอกให้โบจับมือกันนะ ก็สัมผัสได้เลยว่ามันโล่งใจมาก จ๊อยซ์ว่าโมเม้นท์นั้นซึ้งที่สุดแล้ว เพราะเราไม่เคยมีอารมณ์แบบนี้เลย คือถ้าจะดราม่ากันก็จะงงมากกว่า

โบว์ : (หัวเราะ) ประมาณว่า…ไม่สบายหรือเปล่า

โบว์ ไทรอัมพ์ คิงดอม

เปิดเผยตัวตนมาตั้งแต่แรก จริงๆ แล้วยังมีอะไรที่เราสองคนไม่เคยพูดบอกกันบ้างหรือเปล่า

โบว์ : เขารู้อยู่แล้วว่าโบรักเขามาก ไม่ต้องพูดอะไรกันเลย I love you more than I can say. (มองจ๊อยซ์แล้วหัวเราะ) ก็เป็นห่วงค่ะ ห่วงมานานแล้วแหละ แต่ด้วยความที่สนิทกัน เราเลยรู้สเปซของกันและกันว่าควรจะพูดได้แค่ไหน

จ๊อยซ์ : ทุกวันนี้ก็ยังเป็นห่วงโบเหมือนกัน

โบว์ : คือโบว์รู้ว่าเตือนไปก็ไม่ฟังนะบางเรื่อง (หัวเราะ) เพราะจ๊อยซ์ดื้อ…ดื้อเงียบด้วย (แอบกระซิบ)


แล้วจ๊อยซ์เองมีอะไรอยากบอกเพื่อนรักคนนี้ไหม

จ๊อยซ์ : ทุกวันนี้รูปแบบชีวิตมันเปลี่ยนไป เราไม่ได้เห็นกันในหลายๆ เรื่อง เพราะจ๊อยซ์ก็เพิ่งออกมาจากข้างในมาได้ปีเดียว แล้วมาเจอกัน เลยมองเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวโบ บางทีจ๊อยซ์ก็ไม่รู้เลยว่าวันนี้สังคมรอบด้านหล่อหลอมอะไรโบ บางมุมก็อยากให้โบกลับมาบ้าง ดึงความเป็นเด็กที่ไม่ต้องยึดติดกับอะไร อย่าตีกรอบสร้างขอบเขตตัวเองเยอะเกินไป แต่จริงๆ เราก็รักเขาอยู่แล้ว

ทุกวันนี้แม้ว่าวงไทรอัมพ์ส คิงดอม จะเป็นแค่ความทรงจำ แต่มิตรภาพของความเป็นเพื่อนที่มีมานานก็ยังผูกพันไม่จืดจางไปง่ายๆ การสนทนาในวันนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านเรื่องราวความเป็นเพื่อนของสองสาว จนจบ คงรู้สึกอมยิ้มตามไปด้วย ลองมองไปข้างๆ ตัวคุณดูบ้างก็ดีนะ ว่าทุกวันนี้เราเจอเพื่อนที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นเพื่อนรัก หรือเพื่อนแท้รึยัง ถ้ามีอย่าลืมรักษาให้ดีๆ เพราะการมีเพื่อนที่ดี ชีวิตคุณก็จะไม่โดดเดี่ยว แม้ว่าวันนึงคุณจะไม่มีคู่รัก แต่เชื่อเถอะว่าเพื่อนรักจะไม่มีทางทิ้งคุณแน่นอน

เรื่อง : SRIPLOI

 

ได้เวลาทวิสต์สไตล์ : Twist Your Style!!

ที่คุณต้องการก็แค่ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าเล็กน้อยบวกกับแฟชั่นเซนส์อีกนิดหน่อย… หลายคนอาจจะเป็นคนชอบทวิสต์สไตล์การแต่งตัวอยู่แล้วเป็นชีวิตจิตใน แต่สำหรับางคนที่ชอบโททัลลุคแบบเป๊ะ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เราอยากแนะนำให้ลองหาความสนุกจากการจับนู่นผสมนี่ เพื่อให้ได้ลุคการแต่งกายที่น่าสนใจและแปลกใหม่ยิ่งขึ้น

คำว่า Twist แปลตรงตัวอาจหมายถึง การบิด, การทำให้ผิดรูปร่าง, ไม่เข้ารูปเข้ารอย ในขณะที่สามารถใช้ตีความถึงผู้หญิงได้เช่นกัน แถมยังเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนใครอีกด้วย แต่สำหรับแฟชั่นนั้น การ Twist สไตล์ คือการนำเอาไอเท็มที่อยู่ในขั้วตรงข้ามมาสไตลิ่งให้เกิดเป็นความขัดแย้งที่ลงตัว

นึกภาพเทรนด์สุดชิค แห่ง SS 2015 ที่เป็นการนำสไตล์อันได้แรงบันดาลใจมาจากยุค 70’s ไม่ว่าจะเป็นเสื้อทูนิคพิมพ์ลายดอกไม้สไตล์วินเทจ กางเกงขาบาน โค้ทหนังกลับ ไปจนถึงรองเท้าClog มาสไตลิ่งเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะเป็นลุคแบบฮิปปี้สาว Groupies ที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังเรื่อง Almost famous มา 100% เพียงแต่มันอาจจะดูน่าสนใจขึ้นอีกหากคุณเพิ่มไอเท็มเก๋ๆสไตล์โมเดิร์น อย่างรองเท้าแซนดัลแม็ททาลิค ไปจนถึงเครื่องประดับและการแต่งหน้าทำผมที่กำลังเทรนดี้เข้าไปเพื่อเป็นการทวิสต์สไตล์ไม่ให้ดูวินเทจเกินไป แต่ก็ยังชิคพอจะใส่ไป Coachella ได้มากกว่าที่จะดูเหมือนหลุดมาจาก Woodstock

ในทางกลับกัน หากคุณลองสไตลิ่งเสื้อผ้าแม็ทททีเรียลแห่งอนาคต อย่างผ้าสังเคราะห์ ยางหรือพลาสติค ไปจนถึงหนังเงาที่ผ่านเทคนิคเลเซอร์คัทบนซิลุเอดแนวย้อนยุค อย่างชิพเดรส และกรงเกงขาบาน คุณก็จะได้ลุคใหม่ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความล้ำและล้าสมัย ทำให้โททัลลุคดูน่าสนใจขึ้นอีกเยอะ

ดังนั้นการเดินทางสู่แบบฉบับการแต่งตัวที่ดูซับซ้อนน่าค้นหานั้น อาจเริ่มต้นง่ายๆผ่านการทวิสต์สไตล์ให้เกิดสไตล์ใหม่ๆ อย่าง Boho ที่เป็นการนำสไตล์แบบสาวโบฮีเมียนมาผสมผสานกับความชิคและโมเดิร์นในแบบฉบับของสาว New Yorker ไปจนถึงแนวการแต่งตัวสำหรับชาวฮิปสเตอร์ อย่าง Sport Lux ที่นำเอาความแกลมของแม็ททีเรียล การตัดเย็บที่พิถีพิถัน ไปจนถึงบรรดาเอ็กเซสเซอรี่ มาอัพลุคและไฮไลท์สไตล์สปอร์ตให้ดูหรูหราทว่ายังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของสตรีทแวร์ แบบสาวคัฟเวอร์เกิลล์ของนิตยสารแฟชั่น ที่มักจะนำเสื้อผ้าชั้นสูงสไตล์กูตูร์มาทวิสต์ผ่านการจับคู่กับกางเกงยีนส์ ไปจนถึงเทรนด์สุดฮอตที่นำโดย ฟิบี้ ฟิโล ดีไซเนอร์ชื่อสุดชิคจากแบรนด์เซลีน ที่นำรองเท้าผ้าใบสนีคเกอร์มาทวิสต์สไตล์ ซะจนสาวๆแฟชั่นนิสต้าทั่วโลกพากันใส่ตามกันพักใหญ่

ปรากฎการ์ณเหล่านี้ได้สร้างความสดใหม่ และแรงบันดาลใจให้กับวงการแฟชั่น โดยทำหน้าที่เบลนด์ความแตกต่างระหว่างสตรีทแวร์และไฮเอนด์เข้าด้วยกัน จนทำให้แฟชั่นกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เกิดคำจำกัดความใหม่ๆให้กับสไตล์ที่ก่อกำเนิดขึ้นจากคนทั่วไปแทนที่จะโฟกัสไปที่บรรดาดีไซเนอร์จากห้องเสื้อชื่อดังเพียงเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นเทรนด์แด่นในซีซั่นนี้ ที่นำการผสมผสานกันของลายพิมพ์และสีสันแสบตาแบบชนเผ่ามาหลอมรวมเข้ากับซิลุเอดเรียบง่ายสไตล์มินิมัล หรือจะเป็นการนำไอเท็มในสไตล์คู่ตรงข้าม อย่าง Military หรือ Biker Jacket และรองเท้าคอมแบ็ทสไตล์มัสคูลินมาจับคู่กับเดรสหรือเบลาส์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นเฟมินีน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีที่มาจากการทวิสต์สไตล์แทบทั้งสิ้น

มาถึงตอนนี้แล้วไม่แน่ใจว่าผลงานที่ได้จากการผสมปนเปกันของไอเท็มหลากสไตล์จะสามารถเรียกว่าเป็นงานศิลปะได้รึเปล่า แต่ที่แน่ๆเราอดเห็นด้วยไม่ได้กับคำพูดของ จอนห์ กัลลิอาโน่ ที่บอกว่า “The joy of dressing is an art”

70’s chic, New Boho

Sport Luxe

Street Glam

Romantic Rock

Future Tribal

 

‘โดนัท มนัสนันท์’ กับนิยาม (รัก)บทต่อไปที่รอการพิสูจน์

 หลายคนรู้จักเธอในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาท แต่ตอนนี้เธอได้ก้าวเข้ามาสู่บทบาทของผู้กำกับหญิง ที่กำลังถูกจับตามองว่าจะสามารถยืนหยัดบนแผ่นฟิล์มได้หรือไม่ ต่อข้อเพ่งเล็งที่ว่าเธอจะทำผลงานออกมาได้ดีขนาดไหน ทำให้โดนัทต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เพื่อสื่อสารให้คนดูรับรู้ถึงความตั้งใจในอาชีพนี้ และวันนี้เธอพร้อมแล้วที่จะเปิดใจให้เราได้ซักถามทุกประเด็น รวมไปถึงเรื่องหัวใจของสาววัย30 กว่าๆ คนนี้ด้วย


เห็นว่าตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กำกับการตัดต่อหนังหรือคะ
“ใช่ค่ะ ห้องนอนกลายเป็นห้องทำงานตัดต่อหนังไปแล้ว โดนัทนอนตี 5 ทุกวัน จนรู้สึกว่าหน้าตาโทรมมาก ก็พยายามเปลี่ยนมาทำงานตอนกลางวันแทนแล้วนอนให้เป็นปกติดีกว่า ตอนนี้งานเบื้องหลังของโดนัทเริ่มชัดเจนขึ้น จริงๆ เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่จู่ๆ ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เริ่มจากหนังเรื่อง Love Suck ซึ่งโดนัทได้ทุนมาจากTrue Vision กับควักเงินตัวเองออกครึ่งหนึ่งด้วย เพราะเป็นหนังเรื่องแรกก็อยากทำให้เต็มที่ ระหว่างนั้นก็มีคนมาเสนอให้ทำหนังสั้น‘ค่านิยม 12 ประการ’ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามด้วยโปรเจ็คท์ของวงนูโวครบรอบ25 ปีซึ่งกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ แล้วอยากจะพีอาร์คอนเสิร์ตโดย่ไม่ต้องมีศิลปินเข้าไปด้วย จึงเป็นที่มาของ NUVO Love Story Signature Short Film ซึ่งจะออนแอร์ทุกวันจันทร์ใน www.sanook.com ร่ายมาเยอะขนาดนี้ บอกก่อนว่างานเบื้องหน้าไม่ได้ทิ้งนะ เมื่อปีที่แล้วโดนัทถ่ายละคร 3เรื่อง เพียงแค่ยังไม่ออนแอร์ ซึ่งก็น่าจะปีนี้ทั้งหมดเหมือนกัน
จากนักแสดงก้าวมาสู่การเป็นผู้กำกับได้อย่างไรคะ
“เป็นคนชอบทำอะไรที่ใช้ความรู้สึก ใช้จินตนาการมากกว่า แต่วาดรูปไม่ได้เรื่อง ถ่ายรูปก็แย่มาก จึงเลือกเรียนการแสดงแทน ซึ่งตอนเรียนก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำงานด้านกำกับ แต่เลือกเพราะรู้สึกสนใจแอ๊คติ้ง พอเรียนจบมาก็คิดอยู่ว่าจะทำอะไรต่อ เพราะตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าไม่สนุกกับการเป็นนักแสดงแล้ว เลยไปอยู่เมืองนอก ลองทำงานโน้นนี้อยู่พักก็รู้สึกไม่เวิร์ค คิดเองว่าไม่เหมาะกับการทำงานประจำ เลยกลับมาเมืองไทยเล่นละครต่อ ซึ่งระหว่างนั้น ความสนใจเรื่องภาพยนตร์ก็ค่อยๆ เกิดขึ้น โดนัทอาจจะไม่ใช่คนเนิร์ดถึงขนาดไปนั่งศึกษาประวัติความเป็นมาของภาพยนตร์ แต่เรามีผู้กำกับที่ชื่นชอบ มีหนังที่อยากดู แล้วก็เริ่มลองทำหนังสั้น ช่วงนั้นก็มั่วๆ นิดหน่อย ขั้นตอนการทำงานก็ยังทำไม่ถูกต้อง จนไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากจะเอามาทำเป็นหนัง เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สทำหนังที่นิวยอร์กฟิล์มประมาณ 2 เดือน เหมือนไปเรียนเพื่อจัดการกระบวนความคิด ไม่ได้ไปเพราะอยากจะคูล หรือดูเท่ แต่ไปด้วยอารมณ์ที่ทำไม่เป็น สอนหน่อย อยากรู้

ตอนที่ไปเรียนเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
“โดนัทไม่เคยเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯมาก่อน ก็ตลกดี ก่อนไปเรียนต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ตอนแรกๆ มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด ศัพท์เทคนิคเยอะมาก เวลาเรียนต้องอัดเสียงไว้ฟังตอนขึ้นรถไฟ แล้วค่อยกลับมาหาภาษาไทยอ่าน ต้องท่องจำเยอะมาก เรียน 7 วันเต็มตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงเย็น ก็ได้ผลจริงๆ เพราะเราต้องทำทุกอย่างเอง ค้นพบว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการถ่าย เนื่องจากไม่ชอบเรื่องเทคนิค ส่วนสคริปต์ก็ยาก ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราจะได้เปรียบเรื่องแอ๊คติ่ง เพื่อนๆ ในคลาสให้เล่นทุกโปรเจ็คท์ จนด่ากลับไปว่า ไม่เล่นแล้ว! ไอไม่ได้มาเพื่อเป็นนักแสดงนะ ไปหาคนอื่นมาเล่น พอกำลังเริ่มสนุก กำลังจะปรับตัวได้ก็จบคอร์สพอดี ต้องบินกลับเมืองไทย เซ็งมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีโอกาสทำงานเบื้องหลังมากขึ้น ได้กำกับเอ็มวี Bye bye ของ ฟรายเดย์,ความจริงวันนี้ ของนูโว ฯลฯ แล้วก็ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงการกำกับภาพยนตร์นี่ละค่ะ
ตั้งแต่เป็นผู้กำกับปัญหาที่เจอหลักๆ คืออะไรคะ
“ปัญหา คือโดนัทไม่ได้โตมากับหนัง แต่เกิดจากความชอบล้วนๆ ยอมรับว่าโดนตั้งคำถามมาตลอดว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า แรกๆ ตอนประชุมกัน เห็นหน้าทีมก็รู้แล้วว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเรา จึงต้องลงมือทำให้เขาเห็น แทนที่จะสั่งให้ทุกคนทำโน่นทำนี่่ เพราะเราเขียนบท กำกับ แล้วก็ตัดต่อเองด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการที่โดนัทชอบมากที่สุด เพราะเหมือนได้เล่าเรื่องจากมุมมองของเราจริงๆ หรือถ้าอยู่ในกองถ่ายอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำเองได้ก็ทำ ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นอะไร แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้กำกับที่มีมุมมองเก่งล้ำขนาดนั้น แค่ชอบทำงานมากกว่า
“อย่างตอนทำ Love Suck ค่อนข้างมีปัญหา เพราะไม่มีใครรู้ว่าหน้าตาหนังจะออกมาเป็นอย่างไร แล้วโดนัทจะทำอะไร เวลาไปขายงานหาสปอนเซอร์ก็โดนปฏิเสธตลอด แต่หมดหวังไปก็เท่านั้น ใครเขาจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร เรานี่แหละที่ต้องทำ ถึงโดนปฏิเสธก็ไม่เคยท้อ ทุกวันนี้ Love Suck ก็ยังหาสปอร์นเซอร์ไม่ได้ โอเคงั้นเราตัดหนังออกมาก่อน เพื่อให้เขาเห็นว่าจะลงทุนกับอะไร หนังจะออกมาเป็นแนวไหน ไม่ได้รู้สึกว่าการเป็นผู้กำกับแล้วเท่อะไรเลย รู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่า แต่ไม่ท้อนะ จริงๆ(เน้นเสียง) โดนัทมองงานเป็นองค์รวมมากว่ามองเรื่องตำแหน่งที่ทำ แล้วก็ไม่กำหนดกฏเกณฐ์ว่าปีนี้เราจะไปไหน ทำอะไร หรือต้องหาเงินให้ได้เท่าไหร่ จะอยู่กับปัจจุบันแล้วค่อยๆ ทำให้เสร็จทีละอย่างมากกว่า

แล้วเตรียมรับมือกับกระแสวิพากวิจารณ์ไว้บ้างไหม
“โดนัทไม่ค่อยสนใจอะไรมาก แต่สนใจตรงที่เราทำงานมาต้องมีคนดู แล้วเขาสนุกไหม โดนัทว่าหนังเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครชอบทุกอย่างที่เราชอบแน่นอน ถ้าเขาบอกหนังไม่สนุกก็ไม่เป็นไร หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลก ไม่จำเป็นต้องสนุกก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าดูไม่รู้เรื่องอาจจะแคร์ เพราะเราอยากสื่อสารให้คนดูเข้าใจ จริงๆ ชอบไม่ชอบมันคือเรื่องเทสต์ล้วนๆ
รู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่าเราติสท์แตก
“โดนัทขอย้ำกับแพรวดอทคอมเลยนะว่าไม่ใช่เลย โดนัทเป็นคนมีหลายคาแร็คเตอร์เท่านั้น แต่ไม่ติสท์อย่างที่ทุกคนบอก ก็พูดรู้เรื่องนะ (หัวเราะ) คือสามารถใส่กระโปรง รองเท้าส้นสูง ไม่ใช่ว่าต้องเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตลอดเวลา กระเป๋าใบละแสนก็มี ขณะเดียวกันก็ใช้ย่ามใบละ 150 บาทได้เหมือนกัน กินข้าวข้างถนนได้ แต่ก็ชอบไปกินข้าวในโรงแรม เพราะต้องการเซอร์วิส เป็นคนง่ายๆ ในแบบเรา แต่บางคนก็บอกว่ายาก (หัวเราะ) เพราะทุกคนล้วนมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต
“แต่ยอมรับว่าเมื่อก่อนค่อนข้างอินดี้เพนเด้นท์มาก อย่างเวลาไปกองถ่ายก็เอาหนังสือไปอ่าน ไม่ค่อยพูดกับคนอื่น เงียบๆ มีโลกของเรา พยายามดูหนังอาร์ต แต่ก็พบว่าดูไม่รู้เรื่อง รู้สึกว่าจริงๆ เราไม่ต้องพยายามเป็นอะไรสักอย่างหรอก หลังๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงแม้จะมีโลกของตัวเอง แต่เราก็มีโลกที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วย บวกกับด้วยงานที่ทำต้องติดต่อกับคนตลอดเวลาเลยไม่รู้จะปิดตัวเองเพื่ออะไร ที่ไหนที่อยู่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายก็ขยับมาอยู่ในที่ๆ เรารู้สึกแฮปปี้ดีกว่า

แอบทราบมาว่าโดนัทเป็นคนที่มีความเป็นเฟมินีนสูงมาก
“จริงค่ะ อย่างหนังเรื่อง Love Suck มาจากความกวนของเราเอง แอบกัดสังคมเล็กๆ เพราะเราอยากสื่อสารกับผู้หญิงให้รักตัวเอง โดนัทชอบเวลาเห็นผู้หญิงมีความมั่นใจ แฮปปี้ในสิ่งที่เขาทำ เหมือนตอนเขียนหนังสือก็เขียนขึ้นมาเพราะเราอยากให้ผู้หญิงออกไปเดินทาง สำหรับเราการเดินทางสามารถเปิดโลก และเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจสำคัญ นี่ยังว่าหลังจากตัดต่อหนังเสร็จก็จะไปนิวยอร์กเดือนหน้า อยากไปอยู่เฉยๆ ไม่ได้อยากเดินทางไปหาประสบการณ์อะไรอีกแล้ว แค่อยากไปดูหนัง ดูบรอดเวย์ ไปกินข้าวหาเพื่อนเรื่อยเปื่อย
แล้วเรื่องหัวใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่ว่างเลยค่ะ ไม่ว่างจะมีใคร(หัวเราะ) ยังเพิ่งคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่าสมมติมีแฟนตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะดูแลเขาอย่าง ไร จะมีเวลาให้เขาหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้อยากตัดต่องานอย่างเดียวเลย คิดถึงคอมพิวเตอร์ที่โหลดงานอยู่ อยากเห็น Final Cut แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปหาแฟน แต่ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาก็มีชอบคนๆ หนึ่ง รู้สึกดีกับเขามากๆ เลยล่ะ แต่พอคุยกันลงลึกไปเรื่อยๆ กลับไม่ง่ายที่จะคลิกกัน บวกกับเราอายุอานามก็ปาเข้าไป 30 กว่าแล้ว เริ่มไม่ชอบคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และไม่ต้องการความคลุมเคลือ คือจะจีบก็บอก หรือจะเลิกจีบก็ไม่คุยแล้วนะ เสียเวลา ไม่ได้ปิดตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่เจอคนที่ใช่
“มาตรฐานโดนัทอาจจะสูงด้วย ไม่ใช่ต้องการคนหล่อ เท่ รวยนะ แต่เรารู้ตัวเองว่าต้องการคนแบบไหนมากกว่า ใจเย็นๆ ดูกันดีๆ มีสติดีกว่าไหม แล้วที่สำคัญต้องชัดเจน คือเขาคงใจร้อนมั้งเลยไม่เวิร์ค แล้วโดนัทโคตรเป็นตัวของตัวเอง ดูแลตัวเองได้ เลยอาจจะยากสำหรับเขาเหมือนกัน

บทเรียนจากความรักครั้งเก่าสอนอะไรเราบ้างไหม
(หัวเราะ) “ต้องมีอยู่แล้วค่ะ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่สำหรับโดนัทกับอนันดา ประเด็นสำคัญเลยคือเรื่องที่เราจะดีลกันอย่างไรมากกว่า เพราะตอนเลิกกันแรกๆ โดนัทไม่ยอมเป็นเพื่อนเขาเลย อารมณ์ประมาณว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ต่างคนต่างอยู่ นี่เพิ่งจะยอมคุยกับเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ไม่ได้ส่งผลกับความรักครั้งใหม่นะ เรื่องเก่าคือเรื่องเก่า เราไม่เปรียบเทียบ หรือเรื่องอะไรที่เราไม่น่ารักก็พยายามจะไม่ทำให้เกิดขึ้นอีก อย่างบางทีเราติดทำอะไรของเราเองคนเดียว อยากจะทำอะไรก็ทำเลย หรือบางทีพูดแต่เรื่องตัวเอง จนไม่ทันแคร์ว่าอีกคนจะรู้สึกอย่างไร ก็ต้องหาบาลานซ์ให้เจอค่ะ
“โดนัทมาจากครอบครัวที่เราไม่ได้รักกันเว่อร์ พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา แต่เขาอยู่ด้วยกัน โดนัทเลยไม่เคยคิดว่าชีวิตครอบครัวเราจะต้องสวีทหวานอะไร สำหรับเราขอแค่คนที่รับเราได้ทั้งดีและไม่ดี และอยู่ตรงนั้นเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างกับอนันดาตอนคบกันก็ทะเลาะกันตลอด ขนาดตอนนี้เป็นเพื่อนกันก็ยังไม่วายที่จะทะเลาะกัน (หัวเราะ)
ส่วนมากทะเลาะกับอนันดาเรื่องอะไรคะ
“หลักๆ คือเรื่องงาน เพราะมาตรฐานการทำงานเขาสูงมาก แล้วเขารู้สึกว่าเราต้องได้ตรงนั้น คนอื่นเขาอาจจะไม่แคร์ว่าเป็นอย่างไร แต่พอเป็นเรา เขาจะตั้งความหวังไว้สูงมากเลยว่าเราต้องทำให้ได้เทียบเท่าสแตนดาร์ดเขา เข้าใจว่าเขาโตมากับวงการนี้ แล้วให้คุณค่ากับภาพยนต์สูงมาก เขาเลยรู้สึกว่าอย่ามาทำเล่นๆ มั่วๆ ต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราว โดนัทก็จะชอบล้อเขาว่าเป็น Teacher เวลาตัดหนังเสร็จก็ส่งให้เขาดูตลอด เหมือนเป็นนักเรียนทำการบ้านส่งให้อาจารย์ตรวจ ถ้างานไหนดีก็ชม แต่…คือจะต้องมีแต่มาตลอด โดนัทก็ให้เพื่อนคนอื่นๆ ดูนะ แต่เขาเป็นคนเดียวที่กล้าติ เพราะส่วนใหญ่คนจะชม คงเพราะเราคอมเม้นท์กันและกันเรื่องงานมาตลอด หลังๆ จะพยายามไม่ค่อยคุยกันเรื่องงานแล้ว เพราะต่างคนต่างก็ไม่ยอมกัน (หัวเราะ) คือเขาไม่ได้มาบอกว่าเราต้องทำอะไร อย่างไร งานเขาโดนัทก็ไม่เคยไปก้าวก่าย ไม่ว่าตอนคบกันหรือว่าตอนนี้ จะเป็นแนวแสดงความคิดเห็นมากกว่า จริงๆ ก็พยายามจะไม่ทะเลาะกันนะ บางครั้งก็งงเหมือนกันว่าทำไมต้องทะเลาะกันตลอดเวลา แต่ก็คงเลิกทะเลาะกันไม่ได้หรอก แล้วก็คงไม่ได้เป็นอะไรถ้าเราจะทะเลาะกันบ้าง
“ทุกวันนี้ยังคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้คุยกันเพื่อหวังว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ โดนัทไม่ได้คิดอะไร เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน อารมณ์เหมือนเลิกกับเพื่อนสนิทมากกว่า
“เพราะฉะนั้นเพื่อนกัน สุดท้ายก็ต้องคุยกัน แล้วเป็นเพื่อนกันต่อไปอยู่ดี ใช่ไหมคะ”
เรื่อง :apinya
ภาพ : วรสันต์
สถานที่ : Casa Lapin x26 ซอยสุขุมวิท 26

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

เจาะลึกข่าวค(ร)าว ความรัก และชีวิตหลังหวิดเสียโฉมของ ‘ไอซ์-ปรีชญา’

ล่าสุดสาวหน้าหวาน ‘ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร’ กำลังจะมีผลงานละครเรื่องใหม่ ‘น้ำตากามเทพ’ แพรวดอทคอมเลยขอคว้าตัวเธอมานั่งพูดคุยถึงการทำงาน และเรื่องราวชีวิตที่หลากมุม หลายอารมณ์ ว่าแล้วไปสัมผัสตัวตนของเธอกันเลยจ้า…

ทราบมาว่าหนังไอฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู ยังแรงไม่ตก ถึงขั้นได้โกอินเตอร์แล้ว
ตอนนี้เราต้องบินไปเปิดตัวหนังมาประมาณ 7 ประเทศแล้ว ที่ผ่านมาไอซ์มีโอกาสไปอินโดนีเซีย กัมพูชา แล้วก็ไต้หวันค่ะ
กระแสตอบรับในแต่ละประเทศเป็นอย่างไรบ้างคะ
อู้ ย…เดินลงจากรถปุ๊ปมีบอร์ดี้การ์ดคอยประกบล้อมหน้าล้อมหลังประมาณ 7 คน อย่างการ์ดของไอซ์เป็นผู้หญิง เวลาเข้าห้องน้ำเธอก็ต้องไปยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำขนาดนั้นเลย แถมวอคุยกันตลอดเวลาว่าไอซ์กำลังจะเดินไปไหน ทำอะไร ประหนึ่งเราเป็นซุปตาร์(ยิ้มปลื้ม)
ตอนหนังฉายแรกๆ ก็แอบลุ้นเหมือนกันว่าคนดูแล้วจะเข้าใจมุกเราหรือเปล่า แต่พอเห็นฟีดแบ็คว่าคนดูส่วนมากชอบกันหมด ก็รู้สึกดีนะคะ แล้วหลังจากนั้นก็มีไปมีทติ้ง ซึ่งไอซ์ถือเป็นช็อตคอนเฟิร์มว่าเขาชอบกันมากจริงๆ เพราะมีคนมาขอถ่ายรูปเราตลอดเวลา บางคนก็เรียกเรา… จิ๊บๆ ด้วย

เรียกว่าหนังเรื่องนี้ทำให้ไอซ์แจ้งเกิดแบบเต็มตัวเลยใช่ไหม
จะ ว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ดีใจนะ เพราะไอซ์หายไปนานมาก หลังจากหนังเรื่อง ATM เออรัก เออเร่อ ก็หายไปเลยประมาณ 3 ปี เพราะประสบอุบัติเหตุรถชนแล้วต้องพักฟื้นเป็นปีกว่าร่างกายจะดีขึ้น ค่อนข้างเป็นอุบัติเหตุใหญ่ที่สุดในชีวิต ซึ่งเกิดเพราะเราประมาท ไม่คาดเบลท์ ตอนนั้นยังคิดว่าคนคงลืมเราแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวที่ไอซ์คิดว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย เพราะช่วงเวลาที่พักรักษาตัวอยู่นั้นทำให้ไอซ์มีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะ รวมทั้งคนที่เรารัก และครอบครัว รู้เลยว่าชีวิตต่อให้ลำบากแค่ไหน โดยเฉพาะเวลาที่ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ครอบครัวก็ยังอยู่เคียงข้างเราเสมอ ทำให้ไอซ์ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าได้กลับมาทำงานอีกครั้งจะลุยให้เต็มที่ และไม่ประมาทในการใช้ชีวิตอีกแล้ว
หลายคนลืมข่าวนี้ไปแล้วนะคะ
ใช่ ค่ะ คนไทยขี้ลืม แต่ช่วงนั้นตอนที่เกิดเรื่อง เป็นข่าวฮือฮามาก บางคนคิดว่ารถชนเล็กๆ แต่ไม่ใช่เลย ไอซ์ขับรถมินิชนเข้ากับรถ 6 ล้อ ด้วยความเร็ว 160 กม/ชม ความที่หน้ารถมินิค่อนข้างเล็กเลยมุดเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุก ทำให้กระจกซันรูฟแตก บาดหน้า ตา แก้ม และคิ้ว เละเลยค่ะ ไหปลาร้าหัก ปอดฉีก สลบไปเลย มารู้ตัวอีกทีเพราะได้ยินเสียงหวอดังมาก แล้วก็มีเสียงคนรอบข้าง พยายามปลุกเรา ได้ยินแว่วๆ ว่ามีคนพูดว่า อุ๊ย!น้องหน้าเละหมดแล้ว มองตัวเองในกระจกตอนนั้นช็อคสุดๆ หน้าโดนบาดจนเห็นกระดูก ถึงโรงพยาบาลคุณหมอบอกต้องผ่าตัด เย็บหน้า เพราะเนื้อหายไปเลย
กลัวไหมว่าจะไม่กลับมาสวยเหมือนเดิม
กลัว สิคะ แอบคิดเหมือนกันว่าจะกลับมาทำงานได้หรือเปล่า แต่ตอนนั้นเรื่องนี้เป็นประเด็นรอง เรื่องเจ็บสิหนักกว่า หายใจก็ไม่ได้ เพราะปอดรั่ว ต้องฝึกหายใจใหม่หมด
พอหายดีแล้วก็โดนห้ามไม่ให้เล่นกีฬา ที่ค่อนข้างผาดโผดหรือกีฬาเอ็กซ์ตรีมมาก เพราะกระดูกไม่เหมือนเดิมแล้ว เดี๋ยวหักไปอีก ต้องรอให้หายดีก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่หาย 100% หรอกค่ะ อย่างตอนเวลาเต้นท่าชักกระตุกในเรื่องไอฟาย แต๊งกิ้ว เลิฟยู ก็มีเจ็บไหล่เหมือนกัน

การอยู่ในวงการ ต้องเจอข่าวคราวทั้งดีและไม่ดีมากมาย รู้สึกอย่างไรคะ
แรกๆ ไอซ์ไม่ชินเลย แล้วดันเจอข่าวแรงมากว่าเป็นมือที่สามพี่อั้ม (พัชราภา ไชยเชื้อ) ช็อกเหมือนกัน แต่คุยกับพี่ๆ นักแสดงที่รู้จัก ถามเขาว่านี่มันปกติหรือเปล่า เขาก็บอกว่าธรรมดา ไอซ์จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ พร้อมกับปรับความคิด ความเครียดไปทีละนิด แต่ถึงอย่างนั้นพอเป็นข่าวขึ้นมา ซึ่งบางข่าวไม่รู้มาจากไหน ก็งงๆ ว่ามีแบบนี้ด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่เฉยๆ แต่เขาสามารถทำให้ออกมาเป็นข่าวได้
แล้วเรื่องที่โดนเม้าท์ว่าสวยขึ้น เพราะไปทำศัลยกรรมล่ะคะ
ไอ ซ์อ้วนขึ้น หรือผอมลงก็มีคนทักตลอด เข้าใจแหละว่าเขาไม่ได้เจอเราตลอดเวลา แล้วไอซ์ก็ไม่ได้ออกทีวีบ่อย จนเขาชินตา เลยถูกมองว่าไปทำอะไรมาหน้าเปลี่่ยน คือไอซ์เป็นคนน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ แล้วเวลาอ้วนจะออกที่แก้มก่อน แค่นี้ก็โดนหาว่าไปฉีดแก้มมาแล้ว ซึ่งเราไม่ได้ทำเลย แล้วก็มีตอนประสบอุบัติเหตุจำเป็นต้องเย็บหน้าแค่นั้นเอง ทุกวันนี้ยังเป็นรอยแผลเป็นตรงข้างๆ แก้มอยู่เลย ซึ่งต้องอาศัยเมคอัพช่วย แล้วหมั่นไปทำเลเซอร์อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำศัลยกรรมนะคะ
ขอถามถึงผลงานละครเรื่องล่าสุด ‘น้ำตากามเทพ’ เป็นอย่างไรบ้างคะ
ไอ ซ์รับบทเป็น ไพลิน ค่ะ แล้วในเรื่องต้องติดหนวด ใส่วิกผมสั้น ปลอมตัวเป็นคนสวนชื่่อไพโรจน์ เพื่อไปสืบความลับบางอย่าง พล็อตเรื่องก็เหมือนละครทั่วไป สนุกดีค่ะ ขนาดเล่นเองยังอยากดูเองเลยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะดูจากตัวละครที่เล่นก็น่าสนุกแล้ว ฟังอย่างนี้อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นบาเบาๆ นะ ขอบอกว่าลำบากมาก(ลากเสียง) มีโดนซ้อมด้วย ทั้งเหวี่ยงทั้งต่อย ไอซ์เจอหมด พี่ซันนี่เล่นหนักมาก เหมือนไม่คิดว่าเราเป็นผู้หญิง ไม่รู้ว่าแค้นจริงหรือเปล่า(หัวเราะ) แล้วไอซ์แพ้กาวติดหนวดด้วย ทั้งร้อนทั้งคันยิบๆ ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามสู้กับตัวเองนิดนึง
เรื่องนี้ไอซ์เล่นคู่กับพี่โจ๊ก โซคูล ต้องบอกว่าหนีกันไม่พ้นจริงๆ เขาเป็นคนตลก ไม่ค่อยมีสาระอะไรนะจริงๆ แล้ว (หัวเราะ) แต่เขาเก่งตรงที่มีวิธีการเล่นที่ไม่ค่อยมีใครเลียนแบบได้ แล้วเรื่องนี้เราเล่นคู่กัน แถมตอนจบสุดท้ายก็ต้องได้กัน ทำให้รู้สึกแปลกๆ นิดนึง แต่เห็นอย่างนั้นแฟนเขาหวงมากนะ อย่างฉากเลิฟซีนนี่ต้องพยายามโดนตัวกันให้น้อยที่สุด กลัวเป็นเรื่อง(หัวเราะสนุก)

นอกจากเรื่องงานแล้วขออัพเดทเรื่องหัวใจนิดนึงค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ
ขอ โฟกัสเรื่องงานค่ะ ตอบเป็นเซเลบฯมาก (หัวเราะ) คือไอซ์เป็นคนไม่มีอะไรมากนะ แต่เข้าใจยากนิดนึง แล้วก็ค่อนข้างเอาใจยาก แต่จริงๆ ถ้าจับจุดถูกก็จะรู้ทางแล้วว่าเราเป็นแนวไหน งงคำตอบไหมคะ
ไม่นะ แต่ทำให้อยากรู้ว่าแล้วไอซ์เป็นผู้หญิงแนวไหนคะ
จริงๆ ไอซ์ว่าผู้หญิงทุกคนชอบคนเอาใจอยู่แล้ว อยากให้คนที่เรารักเอาใจใส่เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่เชิงว่าจะต้องมาประคบประหงมตลอดเวลา ไอซ์ไม่ได้เป็นผู้หญิงสไตล์ง้องแง้ง ออกแนวห้าวด้วยซ้ำ ไม่ชอบคนจุกจิก ไม่ชอบคนขี้งอน ชอบคนที่เข้าใจเรา ถ้ามางอนว่าทำไมไม่ว่าง หรือไม่โทรกลับเลย ไอซ์ก็จะโกรธกลับเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเรากำลังทำงานอยู่เขาก็น่าจะเข้าใจ ชอบให้มีสเปซของกันและกัน แรกๆ ก็มีบ้างคือ เขาอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเราไม่ว่างอีกแล้ว ซึ่งไอซ์ก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองว่างตลอดตามที่เขาต้องการได้ แต่ส่วนใหญ่พออธิบายแล้วเขาก็เข้าใจ และยอมรับตรงจุดนี้ได้
แสดงว่าความรักกับหนุ่มธรรศตอนนี้แฮปปี้ดีนะคะ
แฮปปี้ ดีค่ะ อย่างน้อยไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันเรื่องเวลา ไอซ์เชื่อความรู้สึกที่ว่าถ้าคนสองคนคบกับแล้วไม่มีความสุข สุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี
แล้วประทับใจอะไรในตัวเขาบ้างคะ
เขา ไม่ใช่คนเอาใจ เทคแคร์ก็ไม่ได้ดี บางทีต้องบอกด้วยซ้ำว่าให้ช่วยทำหน่อยเถอะ เช่น ถือของให้หน่อย เราหนักจะตายแล้ว แต่ในท้ายที่สุดพอพูดไปเขาก็ทำ คือเขาอาจจะไม่ใช่คนขี้เอาอกเอาใจ ไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติก ไม่ใช่ผู้ชายที่ซื้อดอกกุหลาบมาให้ในวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่ผู้ชายที่แสดงออกอะไรหวือหวาแบบนี้ แต่ตราบใดที่คบกันแล้วแฮปปี้ ไม่ได้ทะเลาะกัน หรือไม่ทำให้เสียใจก็โอเคแล้วค่ะ

คบกันมานานจะให้หวานอยู่ตลอดก็คงยาก
ใช่ ค่ะ แต่ที่ไอซ์ประทับใจในตัวเขาคือ ตอนไอซ์พักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล เขาดูแลเราดีมาก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าเขารักเรามาก เพราะตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าหน้าตาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า อาจจะเสียโฉมไปเลย หรือไม่ก็ตาบอด แต่เขาไม่ได้กังวลอะไรเรื่องนั้นเลย และยังอยู่ข้างกายเราเสมอ ความรู้สึกมันเหมือนช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ณ จุดๆ หนึ่งเราจะรู้เลยว่าใครที่รักเราจริง หรืออย่างตอนผ่าตัดเสร็จ ไม่สามารถลุกไปห้องน้ำได้ ต้องใช้กระโถนแทน ซึ่งไอซ์ว่ามีแต่คนที่รักเราจริงๆ เท่านั้นแหละที่จะดูแลเราในโมงยามอย่างนั้นได้
ได้มีโอกาสไปเที่ยว หรือใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้างไหมคะ
มี ไปเที่ยวบ้าง ใกล้ๆ และไม่บ่อย ส่วนใหญ่จะเป็นฟีลอยากไปดูหนัง กินข้าวที่ไหนก็ไป แต่ยังไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันเลย เพราะเราไม่สามารถหยุดยาวได้ขนาดนั้น

สุดท้ายมองอนาคตในวงการไว้อย่างไรบ้างคะ
จริงๆ ไม่ได้วางไว้ว่าจะทำอะไรต่อ ในอนาคตอาจจะทำงานเบื้องหลัง หรือทำธุรกิจอะไรที่เราชอบ แต่ตอนนี้ขอทำงานของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่ายังสนุก และมีความสุขกับการทำงานในวงการบันเทิงอยู่ ไอซ์จะตั้งมาตรฐานของตัวเองไว้ว่าเรื่องต่อๆ ไปต้องเล่นให้ดีขึ้น ดูเป็นการสู้กับตัวเองดี จะได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างละคร น้ำตากามเทพ ที่กำลังจะออนแอร์วันที่ 21 มีนาคมนี้ ตัวละครเยอะ เนื้อเรื่องตลก แต่ก็ไม่ได้ไร้สาระ เรียกว่ามีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะเลย
“ฝากติดตาม น้ำตากามเทพ ด้วยนะคะ”


เรื่อง : apinya
ภาพ : กฤทธี
สถานที่ : ร้าน amontre playroom & brasserie สาธร โทร 02 359 9667

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

5 ทริคแต่งหน้าสวยเที่ยวทะเล…รับรองเกิด!

 


‘ผิว คิ้ว ตา ปาก’ จำไว้ว่าไปเล่นน้ำ ไม่ควรแต่งเยอะ เอาแค่ให้โครงหน้าชัดเจน ดูคมขึ้น ไม่หน้าโล้นเกินไป เน้นสีเฉพาะปากเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ที่สำคัญเครื่องสำอางที่เราเลือกทุกชิ้นต้องเป็นแบบกันน้ำ(Waterproof) นะจ๊ะ

ลงน้ำ เจอทั้งแดดและลม ขาดไม่ได้เลยคือครีมกันแดด เพื่อความเนียนใสจะใช้เป็น BB Cream หรือ CC Cream ที่ผสมสารกันแดดด้วยก็เริ่ด
ลืม ดินสอเขียนคิ้วไปได้เลย คนที่มีขนคิ้วหนาอยู่แล้วให้ใช้เพียงมาสคาร่ากันน้ำปัดคิ้วให้เรียงตัวสวย ส่วนสาวคิ้วบางให้ใช้อายไลเนอร์เนื้อลิควิดที่มี

พู่กัน ปลายแหลมเขียนเส้นคิ้วช่วงกลางถึงหางคิ้ว (คล้ายการสักคิ้ว 3 มิติ) จากนั้นก็ตามด้วยมาสคาร่าคิ้วอีกที โดยเน้นที่หัวคิ้ว รับรองติดทนนาน

ทิ้งแพขนตาหนาๆ ไว้ที่บ้านด้วย แล้วเลือกใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำ-กันเหงื่อ ปัดที่โคนขนตาแล้วค่อยๆ ลากแปรงไปตามเส้นขนตาโดยขยับแปรงซิก
แซก ซ้ายขวาตั้งแต่โคนจนถึงปลายขนตา จะทำให้ขนตาดูหนาขึ้น สามารถปัดซ้ำอีกครั้งก่อนมาสคาร่าจะแห้ง แล้วคุณจะได้ขนตาที่ดูหนาไม่เป็นก้อน

อย่าง สุดท้ายคือ ปาก หลายคนเลือกทาลิปบาล์มกันแดดธรรมดา แต่เราสามารถเพิ่มสีสันได้ด้วยการทาลิปสติกเนื้อแมตท์ทับ เพราะจะให้เม็ดสีสวยเด่นชัด และติดทนทานมากขึ้น

เปิดเทรนด์คอลเลกชั่นประชันSpring/Summer 2015 ของกองทัพBFS 13 แบรนด์ไทย (ตอนที่ 2)

Playhound by Greyhound (เพลย์ฮาวด์ บาย เกรฮาวด์): ‘Art School’


พฤติกรรมของ ‘เด็กหลังห้อง’ แห่งโรงเรียนสอนศิลปะ ผุดเทคนิคพิเศษด้วยการพิมพ์สี High Density ในรูปแบบของการ prank ต่างๆ การใช้เมจิกเทปมาแปะทับบนเสื้อผ้าที่ถูกพลิกเปิด การใช้ Velcro (ตีนตุ๊กแก) แปะลงบนปกและชายเสื้อผ้ารวมไปถึงการพิมพ์ลายเทปทับโลโก้โรงเรียน เน้นเนื้อผ้าใส่สบายด้วยผ้า cotton รวมไปถึงผ้าผสม cotton เพิ่มความ sport ด้วยผ้า neoprene เพิ่มลูกเล่นด้วยเสื้อ crop กับ flared skirt สำหรับชุดผู้หญิง ในขณะที่ชุดผู้ชายเน้นใส่กางเกงสลิมเต่อและเพิ่มลูกเล่นด้วยเสื้อยับตามฉบับนักเรียนที่ไม่เรียบร้อย โทนสีมีทั้งสีเบสิกและสร้างสีสันเพิ่มความตื่นเต้นด้วยสีชมพู น้ำเงินสด ส้มแสด เขียวทหาร ฯลฯ

Vickteerut (วิคธีร์รัฐ): ‘Spirited Away’


คอลเลกชั่นนี้เป็นการหยิบเอารายละเอียดต่างๆ ของการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลแบบครุยซ์ (Cruise) มาปรับใช้กับโครงชุดแบบมินิมอล เอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น เทคนิคแบบ Fringe Panel หรือการปล่อยชายผ้าให้ดูพลิ้วไหว (ตีความจากโครงสร้างของผ้าบนเรือ) รวมถึงการเล่นอัดพลีททั้งเล็กและใหญ่บนชุดกระโปรง เทคนิคแบบ Knock&Twist หรือการจับผ้าบิดเป็นนอต อีกทั้งเกิดโครงชุดแบบ Over Structure (เล่นจากความโป่งพองของใบเรือ) บนเสื้อโค้ทเดรสตัวสั้น เทคนิคแบบ Burn out (แสงและเงาพระอาทิตย์) เล่นกับผ้าบางแบบซีทรู นอกจากนี้ยังใช้โทนสีขาวดำ ตัดสลับกับสีเบบี้บลู มิ้นท์กรีน เบจ และเทา เพื่อให้รู้สึกถึงท้องฟ้าและน้ำทะเล

Tu’I (ทูอี้): ‘Girl Talk’


แบรนด์กระเป๋าชั้นนำ ปิ๊งไอเดียพาปาร์ตี้ย้อนเวลาไปสู่ทศวรรษที่ 80 ผ่านซิกเนเจอร์ใหม่ประจำคอลเลกชั่น Lover’s Eyes หนังวัวเมทัลลิกรูปแว่นหัวใจ ประดับอยู่บนกระเป๋า 6 สไตล์ LOLITA, LOLA, LYZ, LEX, LUELLA และ LEXI ทั้งยังคงเอกลักษณ์ด้านการมิกซ์หนังแกะชั้นเลิศนำเข้าจากอิตาลีเข้ากับหนังเอ็กโซติกอย่างหนังงู และวัสดุประดับเลอค่าอย่างขนแร็กคูนและขนนกกระจอกเทศ ผสานกับการตกแต่งด้วยฮาร์ดแวร์เอกลักษณ์อย่างหมุดแปดเหลี่ยมและซิปเขี้ยวเสือ นำเสนอในโทนสีใหม่ประจำฤดูอย่าง Pink Champagne, Marshmallow White, Rocky Grey และ Black โทนสีดำตัดทองสุดคลาสสิก ครบครันทั้งความสวยและการหยิบใช้จริงๆ

Painkiller (เพนคิลเลอร์): ‘Former Future’

เพนคิลเลอร์นำเสนอคอลเลกชั่น Former Future ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Retrofuturism” กระแสนิยมรูปแบบหนึ่งที่ขยายความได้ว่า ‘ภาพอนาคตจากจินตนาการในอดีต’ นำเสนอออกมาในโทนสีขาวดำและสีน้ำเงินสดพิเศษ Klein-Blue เป็นสีที่ทางแบรนด์สั่งย้อมผ้าออกมาเพื่อคอลเลกชั่นนี้โดยเฉพาะ ส่วนลายพิมพ์เป็นธีมเมืองอนาคต ประกอบไปด้วยลายโคโลนี่ (Colony) เมืองหลวง และยูโฟ (UFO) จราจรทางอากาศ ส่วน Must have ประจำซีซั่นคือ เสื้อยืดผ้าเรียบในธีม 70s เสื้อยืดหุ่นยนต์โบโบ Bobo Robot ฯลฯ

Something Boudoir (ซัมธิง บูดัวร์): ‘The Surfarista’


ฉีกแนวจากลุคหวานปานลูกอมตามฉบับ SB ไปโดยถนัดตา กับคอลเลกชั่น เดอะ เซิร์ฟ ฟาริสต้า ที่มากับลุคบีชวอร์ค เท่ เปรี้ยวซ่าเป็นตัวของตัวเอง ด้วยชุดลายพิมพ์กราฟฟิกภาพสะท้อนของน้ำหลากรูปแบบทั้งสระน้ำ ท้องทะเล และมหาสมุทร บนโครงเสื้อติดสปอร์ตดัดแปลงคัตติ้งจากชุดเว็ตสูท (wet suit) แมทช์กับรองเท้าส้นหนาทั้งลวดลายฟันปลาฉลาม และพู่ประดับ แต่ยังคงเอกลักษณ์เรื่องสีสันตามฉบับซัมธิง บูดัวร์ จุดเด่นประจำคอลเลกชั่นนี้คงต้องบอกว่า สนุกขึ้น ซ่าขึ้น และแซ่บขึ้น

Senada (เซนาดา): ‘Twist and Shout’


ให้ความสำคัญกับเรื่องวัสดุตัดเย็บในยุค Swing 60s คอลเลกชั่นใหม่จากแบรนด์เซนาดาแต่ละชุดจึงกลายเป็น ‘investment piece’ ทั้งผ้าลายตารางหมากรุก (gingham) สีขาว milky white, powder white หรือ ivory white ลายเล็กและใหญ่กระจัดกระจายลงไปบนผ้าซีทรู, ผ้าทาฟต้า มีการใช้ผ้าเมทัลลิกซาตินที่มีความยับแลดูมิติ รวมไปถึงผ้าใยสังเคราะห์ที่นำมาตัดต่อเป็น cutting edge ทั้งยังนำผ้าออร์แกนซ่าเนื้อบางเบาจัดเป็นพวงจับช่อไว้ประดับติดชุด ซึ่งทั้งหมดถูกจัดวางบนโครงสีขาวคู่ขาว, ดำคู่ดำ และขาวดำสลับกัน

เอกลักษณ์ของเสื้อผ้าแต่ละแบรนด์ เรียกได้ว่าบรรดาดีไซเนอร์ปล่อยของมาประชันกันสุดฤทธิ์ มีคอลเลกชั่นไหนโดนใจคุณบ้างแล้วรึยังล่ะ

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ภาพ : Bangkok Fashion Society

เปิดเทรนด์คอลเลกชั่นประชันSpring/Summer 2015 ของกองทัพBFS 13 แบรนด์ไทย (ตอนที่ 1)

Asava (อาซาว่า): ‘The Hippie Ingenue’ and ‘The State of Mind’


แรงบันดาลใจจากการเดินทางท่องเที่ยวทะเลทรายในยุคสมัย 1970 และเรื่องราวการเฉลิมฉลองอิสรภาพของสตรี ถูกปล่อยผ่านโครงเสื้อคลาสสิก เช่น เสื้อสูทกระดุมสองแถวที่สวมใส่คู่กับกางเกงยาว เทคนิคการตัดเย็บเสื้อมีทั้งแบบคลาสสิก (Tailoring) และการผูกเชือก (Knot-tie) เพื่อสร้างมิติใหม่ มีลายพิมพ์ผ้าเช็ดหน้ากับลายเส้นม้า (สัญลักษณ์ของ Asava)ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ควบคู่กับการจับคู่สี เช่น สีขาวคู่กับสีชมพูแซลมอน ทั้งยังนำพู่ห้อยเย็บติดผ้าตาข่ายที่ถือว่าเป็นเทคนิคประจำคอลเลกชั่นนี้

นอกจากนี้ยังได้ถ่ายทอดผ่านโครงเสื้อทรงตรง ที่สวมสบาย ไม่อึดอัด พิเศษโดยนำรูปทรงเรขาคณิตมาทำเป็นลายพิมพ์ผ้า เล่นกับการจับคู่สี เช่น สีน้ำเงินเปอร์เซียนกับสีเขียวใบโคลเวอร์ ทั้งยังเล่นเทคนิคการจับเดรป (Draping) ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพีเสรีภาพอีกด้วย

Curated (คูเรเต็ด): ‘Grey Gardens’


แรงบันดาลใจจากการตีความและเปรียบเทียบงานศิลปะของศิลปินชาวอเมริกัน Jeff Koons, สารคดีเรื่อง Grey Gardens และนวนิยายเรื่อง The Borrowers เกิดเป็น ‘กลุ่มเศรษฐีเก่าและเศรษฐีใหม่’ คอนเซปต์ประจำคอลเลกชั่นที่ได้สื่อสารผ่านลวดลายลูกไม้และผ้าที่มีความหรูหราทั้งยังมีลายนูน ภาพพิมพ์ลูกไม้ และลวดลายการปักที่นำมาทำขยายขึ้นเพื่อให้เห็นเด่นชัด อีกทั้งยังถ่ายทอดเป็นเทคนิคต่างๆ ที่เมื่อมองระยะไกลจะเห็นความหรูหรา แต่มองระยะใกล้จะพบเพียงแค่ภาพลวงตา เช่น ตัวเสื้อที่ประดับด้วยสร้อย Cartier ที่เมื่อมองใกล้ๆ จะพบเป็นเพียงสร้อยที่วาดขึ้นแค่นั้น

Milin (มิลิน): ‘Morning After’


ช่วงเวลาตื่นนอนหลังจากปาร์ตี้ตลอดคืน จุดประกายคอลเลกชั่นใหม่ โดยถ่ายทอดผ่านเนื้อผ้าโปร่งใสแวววาวประดับเกล็ดเลื่อม และชุดกระโปรงผ้าเคลือบมุกในโทนสีพาสเทลอย่างชมพูแป้ง, ม่วงลาเวนเดอร์ ฯลฯ ปรับโครงเสื้อให้มีวอลูมดูพลิ้วไหวขึ้น เล่นเทคนิคการซ้อนทับเนื้อผ้า ทั้งยังตีความการเหน็บและแทรกผ้าแบบผ้าเช็ดตัวใหม่ผ่านชุดกระโปรงเกาะอกและชุดราตรี รวมถึงตั้งใจใช้ผ้าซาตินอัดรอยยับย่นเล่นล้อกับรอยยับของเสื้อผ้ายามตื่นนอน ลายพิมพ์ผ้ามีทั้งลายพิมพ์โลโก้บนเทคนิคเบิร์นเอาท์แบบใหม่ และลายดอกกุหลาบที่ดูกลืนไปกับชุดนู้ด นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการรีดกากเพชรเป็นลายเส้นแทรกซ่อนลงบนตัวชุด และตบท้ายด้วยเครื่องประดับอย่างรองเท้าส้นสูงประดับเพชร

Kloset (คลอเส็ท): ‘Holiday Heartbreaker’

เรื่องราวการเดินทางของฤดูร้อนในเคนย่า ประเทศในแถบแอฟริกาเป็นไอเดียที่จับเอาสีสันสดใสมาเล่นกับคอลเลกชั่นนี้ไม่ว่าจะเป็นสีเบจ สีฟ้า สีกากี สีเขียวใบไม้ตัดสีแดงแสด และเหลืองจากดอกอคาเซีย ประดับประดาด้วยลายพิมพ์แบบกราฟิก ที่ได้แรงบันดาลใจจากลายผ้าพื้นเมืองของประเทศเคนย่า ลายพิมพ์นกฟลามิงโก ที่ถ่ายทอดเรื่องราวช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล และลายปักดอกอคาเซีย ดอกไม้สัญลักษณ์ประจำประเทศเคนย่า สิ่งที่โดดเด่นพิเศษคือ การใช้ผ้าใยธรรมชาติอย่างผ้าฝ้ายที่นำมาพัฒนาด้วยเทคนิคพิเศษให้มีความโปร่ง บางเบา ทำให้สวมใส่สบายยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับขนนกย้อมสีที่สร้างความพลิ้วไหวให้กับชุดทุกครั้งที่ลมร้อนพัดผ่าน

Greyhound Original (เกรฮาวด์ ออริจินัล): ‘The World on the bright side’

เสน่ห์ภาพพิมพ์ 2 มิติ ของ 2 ศิลปินต่างยุคต่างสมัย Henri Mitisse และ Kenneth Price เกิดเป็นกราฟฟิกประจำคอลเลกชั่นนี้ไปโดยปริยายด้วยลาย Panorama Landscape จัดวางเป็นลาย Camouflage (ลายพราน) ด้วยเทคนิคภาพสไตล์การ์ตูนที่มีสีสันเหนือจริง เพิ่มลูกเล่นด้วยคาแรคเตอร์การ์ตูน เพิ่มโทนสีจากเดิมด้วยสีสันสดใสแบบฤดูร้อนด้วยสีน้ำเงินโคบอลท์ ส้ม และน้ำตาล นอกจากนี้ยังนำภาพ Landscape มาขยายเป็นเรื่องราวใหม่ด้วยเทคนิคสุดพิเศษ Color block และ Applique โดดเด่นด้วยการตัดเลเยอร์ของชุดด้วยเนื้อผ้า โดยใช้สีสดอย่าง ส้ม Tangerine และเขียว ตัดต่อสลับกับ สีขาว เทา ดำ เพื่อแสดงถึงภาพภูมิทัศน์ในรูปแบบแสงและเงา

Issue (อิชชู่): ‘นาย’


อิชชู่นำทีมเผยคอลเลกชั่นใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจจากกองเสือป่าที่กล่าวถึงความแข็งแกร่ง ภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษ ตลอดจนวัฒนธรรม เกิดเป็นลายพิมพ์ทรอปิคอล ผสมผสานด้วยเทคนิคของชุดกีฬา ที่ใช้เนื้อผ้าบางเบาในแบบเสื้อตัวโคร่งใส่สบาย ตามด้วยเอกลักษณ์ฉบับแบรนด์อิชชู่ด้วยเทคนิคการปักมุก ที่มาพร้อมกับเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือหมวกต้อนรับฤดูร้อนอันสนุกสนาน

Disaya (ดิษยา): ‘Beau du jour’ (โบ ดู จูฆ์)


ช่วงเวลาและอารมณ์ยามงัวเงียและไลฟ์สไตล์หลังตื่นนอน ผุดไอเดียให้แบรนด์ดิษยาสร้างสรรค์ลายพิมพ์ผ้าสุดพิเศษในคอลเลกชั่นนี้มากมาย เช่น ลายพิมพ์บนสลิปเดรสผ้าลูกไม้เข้าเชป ไปจนถึงลายพิมพ์ท็อปวิวบนโต๊ะอาหารที่ปูด้วยผ้ากิงแฮม (Gingham) สีฟ้าสด ทริมขอบด้วยลูกไม้ขาวบนโครงเสื้อทรงหลวม ทิ้งให้เหมือนกับการจับผ้ามาเข้ารูปเป็นชุดทรงเพรียว นอกจากนี้ยังมีการปักเซาะฉลุผ้าและตกแต่งด้วยคริสตัล ดอกไม้เลื่อมสีด้าน และการตกแต่งผ้าต่างๆ นับว่าเอาใจสาวๆ ดิษยาที่ชื่นชอบความหรูหราโดยเฉพาะ

แต่ละชุดของแต่ละแบรนด์ไม่ธรรมดาจริงๆ ว่าแต่คุณเอง ชอบสไตล์ของแบรนด์ไหนกันบ้างเอ่ย

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ภาพ : Bangkok Fashion Society

 

สูตรบำรุงผม จะยาวหรือสั้นก็ทำได้ สบายกระเป๋าไปเยอะ

สูตร 1

นำ ถุงชาประมาณ 2 ถุงแช่ในน้ำประมาณ 2 ถ้วย จากนั้นนำไปต้มจนเดือด และพักทิ้งไว้อีก 4-5ชั่วโมง เสร็จแล้วกรองใส่ขวดที่มีหัวฉีดเป็นสเปรย์ เวลานำมาใช้เพียงแค่ฉีดไปที่เส้นผมและหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

สูตร 2

น้ำ ผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำมันมะพร้าว 4 ช้อนโต๊ะจนเข้ากัน แล้วเทน้ำอุ่นผสมลงไปคนให้ทุกอย่างเข้ากันประมาณ 2 นาที วิธีใช้คือหลังจากที่ล้างผมด้วยแชมพู เป่าผมให้แห้งแล้ว ก็ค่อยนำส่วนผสมที่ทำไว้มานวดผม ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาทีแล้วล้างออก

สูตร 3

โยเกิร์ต 1 ถ้วยกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผสมจนทุกอย่างลงตัว แล้วนำไปนวดที่โคนผม 15-20 นาที พอครบกำหนดเวลาก็ใช้น้ำเย็นล้างให้สะอาด

สูตร 4

ไข่ แดง 1 ฟองผสมกับน้ำมันมะกอก หรือเบบี้ออยล์ 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำเปล่า นำมาคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วเอาไปนวดที่หนังศีรษะและเส้นผมประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยแชมพูตามปกติ

เห็นแล้วแต่ละสูตรก็ทำแสนจะง่าย ใครที่มีสารพัดปัญหาเรื่องผมอยู่ อย่าลืมลองทำกันะ

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ข้อมูล/ภาพ : http://www.feminiya.com/7-best-homemade-hair-conditioners

4 เทคนิคเนรมิตผมหยิกให้ตรงสวย โดยไม่ต้องพึ่งการยืด

1. ผมยาวมักดีกว่าผมสั้น
ในกรณีที่คุณอยากผมตรง ขอแนะนำให้รอผมยาวลงมาอีกสักหน่อย เนื่องจากผมสั้นมีแนวโน้มที่จะม้วนตัวมากกว่าผมยาว ยิ่งไปกว่านั้นผมสั้นจะอยู่ทรงยากกว่าด้วย หมั่นไปร้านทำผมอย่างน้อยทุกๆ สามเดือน เพื่อเล็มปลายผมที่แห้งเสียออก เนื่องจากเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมของคุณม้วนงอ และควรบำรุงผมให้สวยงามและแข็งแรงอยู่เสมอ

2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์
เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่บนฉลากเขียนคำว่า ‘ผมเรียบสวย’ สระผมด้วยแชมพูสูตรเหล่านี้และตามด้วยครีมนวด แล้วเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ จนแห้งหมาด จากนั้นชะโลมด้วยมูส,เจล หรือผลิตภัณฑ์ที่บำรุงให้ผมตรง แนะนำว่าอย่าหวีผมขณะที่ผมเปียกถึงแม้ว่าการหวีผมจะช่วยให้ผมตรงก็ตาม เพราะเส้นผมของเราจะอ่อนแอที่สุดคือตอนผมเปียก ซึ่งการหวีผมจะเป็นการสร้างผลเสียมากกว่าผลดี นอกจากนี้ควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องความร้อนหากคุณจะใช้ความร้อนกับเส้นผม

3. เป่าผมให้แห้งและใช้เครื่องหนีบผม
คุณเลือกได้ว่าจะใช้ไดร์เป่าผมหรือใช้เครื่องหนีบ หากใช้ไดร์เป่าให้เลือกแปรงอันใหญ่และทำตามแบบที่ช่างผมทั่วไปทำกัน ระวังอย่าใช้ความร้อนขั้นสูงสุดและอย่าเป่าใกล้กับเส้นผมมากเกินไป แต่ถ้าหากคุณเลือกใช้เครื่องหนีบผม ควรแบ่งผมเป็นส่วนเล็กๆ และหนีบส่วนที่เหลือด้วยกิ๊บเพื่อจะได้ไม่เกะกะ เริ่มจากด้านหลังก่อนแล้วค่อยๆ ไล่มาด้านหน้า หนีบปอยผมที่อยู่ใกล้ใบหน้าเป็นส่วนสุดท้าย

4. ดูแลผมตรงให้อยู่ทรงสวย
หากต้องการให้ผมตรงสวยตลอดทั้งวัน คุณสามารถใช้ได้ทั้งสเปรย์ฉีดผมหรือเซรั่มบำรุงป้องกันการชี้ฟู ที่สำคัญเลยต้องพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ร้อนอบอ้าวหรือเปียกชื้น เพราะสภาพอากาศเช่นนั้นอาจทำให้ผมของคุณหยิกงอขึ้นมาได้ และ 2 สิ่งสำคัญที่ต้องจำขึ้นใจคือ ควรซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผมคุณภาพดีทั้งหมด เนื่องจากการใช้เครื่องหนีบผมหรือการทำให้ผมตรงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามจะทำ ให้ผมเสียอย่างรุนแรง และปล่อยผมของคุณตามธรรมชาติบ้าง ไม่ต้องไปสนใจว่าผมคุณจะต้องตรงสลวยอยู่ตลอด
เพราะสาวผมหยิกก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะ

 

สิ่งสำคัญ 9 ข้อ ต้องทำให้ได้ เตรียมพร้อมให้มั่นใจก่อนใส่บิกินี่

 


อย่าเค็มนัก

นิสัย การกินที่ทำให้หุ่นพัง แต่ถูกมองข้ามคือ “ความเค็ม” สาวบางคนก็ไม่ได้อ้วนจริง แต่มีอาการบวมน้ำ เพราะโซเดียมในเกลือจะอมน้ำที่อยู่ในร่างกายจนทำให้บวมทั้งตัวและหน้า ดังนั้นช่วงฟิตหุ่นสวยควรหลีกเลี่ยงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง และอาหารว่างจำพวกมันฝรั่งทอด นอกจาก จะไม่โดนอาการบวมลวงตาแล้วยังปลอดภัยต่อไตอีกด้วย

เลี่ยงแอลกอฮอล์

เอา น่า อย่าเพิ่งโวยวาย เพราะเบียร์เพียง 1 กระป๋องมีพลังงานถึง 115 กิโลแคลอรี เท่ากับข้าว 1 ทัพพีครึ่ง แถมไม่ได้ทำให้อิ่มท้องอีกด้วย

ลดแป้ง ลดป่อง

ลอง ลดแป้งดูแล้วจะรู้ว่าหน้าท้องแบนลงอย่างรวดเร็ว แล้วแทนที่แป้งด้วยอาหารประเภทธัญพืช ขนมปังโฮลวีต โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต โปรตีน และไขมันดีจากเนื้อปลา เรื่องขนมหวานและของทอดของมันอย่าได้ถามถึง เพราะถือว่าหยาบคายสำหรับสาวรักหุ่น หากทำใจชิมสักคำสองคำแบบกรุบกริบได้ก็ยังพออนุโลม

ต้องใช้กำลัง

แม้ ในน้ำหนักที่เท่ากัน สาวหุ่นฟิตก็ดูผอมกว่าสาวหุ่นเผละอย่างมาก อยากใส่บิกินี่ให้สวยต้องเน้นกระชับ สัดส่วนก่อนโชว์หุ่นสัก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย เน้นออกกำลังกายที่ส่งผลต่อต้นขา บั้นท้าย และหน้าท้องให้มาก เพราะเป็นจุดสนใจเวลาใส่บิกินี่ หากมีเวลาน้อย การออกกำลังกายลุกนั่งแบบ “สควอต” ก็เวิร์คสุดๆ  เพราะช่วยทำให้กล้ามเนื้อทั้งส่วนสะโพก ต้นขา และหน้าท้องกระชับ แถมไม่ต้องใช้พื้นที่ หรืออุปกรณ์ใดๆ ให้ยุ่งยาก


สร้างแรงบันดาลใจ

อะไร ที่จะสร้างแรงฮึดได้ต้องจัดเต็ม ทั้งรูปถ่ายสมัยที่ “ร่างพัง” ถึงขีดสุด หรือภาพนางแบบชุดว่ายน้ำหุ่นเซียะแบบที่ฝัน แปะติดกระจกไว้เพื่อสร้างกำลังใจ ท่องไว้ว่าหุ่นแบบนี้เราก็มีได้ ขอแค่มีวินัยกับตัวเอง

มั่นใจไร้ขน

เรียว ขาและใต้วงแขนไร้ขนช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนผ่องใส จัดการแว็กซ์ให้เรียบร้อยเสียก่อนจะโชว์เรียวขาสัก 3 – 4 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผิวไม่มีอาการอักเสบ ระคายเคือง หากโกนด้วยตัวเองมีเทคนิคง่ายๆคือ อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้ขนบนร่างกายนุ่มนิ่ม โกนง่าย ชโลมผิวด้วยครีมโกนหนวดหรือมอยส์เจอไรเซอร์ก่อนโกนเพื่อลดการระคายเคือง

เซ็กซี่บิกินี่แว็กซ์

จะ ใส่บิกินี่ได้แบบไม่ต้องหนีบๆ เหนียมๆ การแว็กซ์ บริเวณบิกินี่ไลน์ให้เกลี้ยงเกลาเป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้ จัดการกับเส้นขนที่ไม่ต้องการก่อนใส่บิกินี่ประมาณ 3 – 5 วัน เผื่อไว้กรณี เกิดการอักเสบก่อนโชว์ผิวสวย

ผิวนิ่มนวลชวนลูบไล้

ผิวสวยเรียบเนียนสร้างได้ไม่ยาก ด้วยการผลัดเซลล์ผิว ขัดผิวด้วยสครับสูตรอ่อนโยนทุกวันขณะอาบน้ำ นวดวนเป็นวงกลมจนทั่วเรือนร่าง อย่าลืมเน้นจุดที่แห้งกร้านเป็นพิเศษอย่าง ข้อศอก หัวเข่า และเท้า


Go Glow!

ผิว ขาวซีดเซียวดูไม่เกิดสำหรับบิกินี่ ผิวสีแทนนอกจากจะดูเซ็กซี่อินเทรนด์แล้ว ยังทำให้เรือนร่างดูฟิตผอมลงอีกด้วย นอกจากการทาเฟคแทนและใช้บรอนเซอร์ปัดให้ผิวดูสวยโกลว์ ลองอาบแดดอ่อนๆ ดูบ้าง จะช่วยให้ผิวดูสวยสุขภาพดี ใช้ใยบวบ ขัดเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วเสียก่อน จะช่วยรักษาผิวให้แทนสวยยาวนานขึ้น ที่สำคัญอย่าลืมทาซันแทนโลชั่นหรือแทนนิ่งออยล์ ที่มีความชุ่มชื่นสูงเพื่อป้องกันผิวไหม้

เรื่อง : padcha
เรียบเรียง : แพรวดอทคอม
ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับที่ 852 ปักษ์ 25 กุมภาพันธ์ 2558 คอลัมม์ Beauty Advice

 

5 สูตรมาร์กหน้า ขาวสดใส ง้อทำไมครีมราคาแพง

 


สูตรที่ 1

นำ นมผง 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หยดน้ำมันจากอัลมอนด์ไปอีก ครึ่งช้อนโต๊ะ(ถ้าไม่มีไม่ใส่ก็ได้) คนจนเข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก ผิวก็กระจ่างใสขึ้นแล้ว

สูตรที่ 2

นำนมสด 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับแป้งเอนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีก 2-3 คนให้เข้ากันดีและนำไปพอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก ทำแบบนี้ติดต่อกันประมาณ 4 สัปดาห์ก็เริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

สูตรที่ 3

บด เนื้อมะเขือเทศให้ละเอียด จากนั้นหยดน้ำมะนาวลงไป 2-3 หยด คนให้เข้ากันและนำไปทาหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาที ทำแบบนี้ประมาณ 2 ครั้งต่อวัน เพียง 15-20 วันก็จะเห็นผลแล้ว

สูตรที่ 4

ใบ สะระแหน่ที่อยู่ในครัวใช่ว่าจะเอามาทำอาหารได้อย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้วยังสามารถช่วยเรื่องการบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใสได้ด้วย เพียงเอามาบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาทาทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ทำแบบนี้ต่อเนื่องไปประมาณ 15 วัน ก็จะเห็นความแตกต่างของผิวที่ดูขาวใสขึ้นได้แล้ว

สูตรที่ 5

นำ เมล็ดอัลมอนด์ประมาณ 4 เมล็ดแช่น้ำค้างคืนไว้ 1 คืน และนำมาบดให้ละเอียด จากนั้นใส่นมสดลงไปผสม คนให้เข้ากันอีกครั้ง และนำมาพอกหน้าและคอให้ทั่ว ทิ้งไว้จนถึงเช้าค่อยล้างออก ทำแบบนี้เป็นประจำประมาณ 15 วัน ผิวที่เคยดูหมองคล้ำก็ขาวขึ้นทันที

มีให้เลือกหลายเทคนิคให้ไปลองทำ เอาเป็นว่าใครไม่อยากจ่ายแพง วิธีนี้อาจจะเวิร์คก็ได้ ลองทำไม่เสียหาย เพราะวัตถุดิบมาจากธรรมชาติทั้งนั้น

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ข้อมูล / ภาพ : http://www.becomegorgeous.com

 

keyboard_arrow_up