เกาะติดชีวิตรัก 19 ปี ‘อั๋น-เจนนี่’ ไม่หวือหวา แต่หวานสม่ำเสมอ

หลายคนเห็นทั้งคู่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น จนช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิงแล้วเดินหน้าทำตามฝันไปเปิดร้านอาหารที่สหรัฐอเมริกา ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่การมาประกาศออกสื่อว่าจะแต่งงาน หรือมีทายาทตัวน้อยๆ แต่อยู่ที่ว่าเขาทั้งสองคนครองรักกันมานานถึง 19 ปีได้อย่างไรต่างหาก

ทั้งคู่หายหน้าหายตาจากวงการไปนานเลยนะคะ
เจนนี่ยิ้มรับ “ก่อน หน้าที่จะไปอเมริกาก็มีทัวร์คอนเสิร์ต กับละครเรื่อง หางเครื่อง มีผลงานอยู่เรื่อยๆ นะคะ จนมีอยู่จุดหนึ่งคือ พอทำงานอยู่ในวงการมานานเราก็เริ่มคิดกันแล้วว่าต้องหาอะไรทำสักอย่างที่ เป็นอาชีพหลัก แล้วอั๋นเองเขาเคยไปเรียนภาษาอยู่ต่างประเทศประมาณ 1 ปี ควบคู่กับทำงานร้านอาหารแล้วเกิดชอบ พอกลับมาเมืองไทยก็มีความฝันว่าอยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง จึงเริ่มจากเปิดร้านแถวทองหล่อก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยายไปเรื่อยๆ จนตอนนี้มีทั้งหมด 3 ร้าน คือ Spaghetti House, Wine Republic และ Nangkwak Wine Bar & Italian Bistro บางร้านมีหุ้นหลายคนก็เบาแรงเราหน่อย ส่วนร้านไหนที่หุ้นกับอั๋นสองคนก็จะช่วยกันดูแลค่ะ
อั๋นขอย้อนกลับ ไปเล่าถึงตอนเรียนอยู่ที่อเมริกาต่อ “ตอนที่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ร้านอาหารผมรู้สึกว่าฝรั่งเขาซาบซึ้งกับ อาหารไทยมาก แม้แต่น้ำซุปก็ซดหมดเกลี้ยง เลยคิดอยากจะลองไปเปิดร้านอาหารที่เมืองนอกดู แต่ก็ยังไม่มีโอกาส เพราะต้องดูแลร้านที่เมืองไทย จนเมื่อปีที่แล้วพอดีมีพี่คนหนึ่งเขาทำร้านอาหารอยู่อเมริกาแล้วดูแลไม่ไหว มาถามเรา ตอนนั้นสนใจมาก ลองไปเที่ยวรอบหนึ่งก่อน เพื่อดูตลาดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งร้านอาหารไทยที่โน่นมีเยอะมาก ใครๆ ก็เปิด แต่ยังไม่มีอาหารภาคเหนือ ภาคใต้ของไทย อย่างพวกแกงฮังเล แกงอ่อม ที่สุดผมตัดสินใจเปิดร้านชื่อว่า Isarn Thai Soul Kitchen ที่เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกาครับ

เปิดร้านอาหารที่เมืองนอกต้องเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
เจนนี่พยายามนึก “ไม่ ค่อยเยอะนะคะ เพราะเราอยู่ในวงการร้านอาหารมาจนพอรู้ว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง จะมีปัญหาก็ตรงเรื่องกฏต่างๆ เพราะที่โน่นเขาค่อนข้างเคร่งเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย มาตรฐานเขาค่อนข้างสูงมากๆ
อั๋นรับช่วงเล่าต่อ “ช่วงแรกๆ ที่ไป ร้านยังก่อสร้างอยู่ เรายังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่าง แล้วทุกอย่างก็ล่าช้าไม่เปิดสักที ซึ่งผมใจร้อนอยากจะเปิดมาก แต่โชคดีอย่างตรงที่ผมมีพาร์ทเนอร์เป็นเพื่อนสนิททำร้านอาหารอยู่ที่อเมริกา มานาน ได้เขานี่แหละช่วยแนะนำเยอะว่าเราควรจะทำอะไรอย่างไร จริงๆ ผมว่าการทำร้านอาหารที่อเมริกาทำให้เราโตขึ้นในเรื่องของการทำงานที่เป็น ระบบ และมีมาตรฐานมากขึ้นนะ วิธีการเก็บของต่างๆ ต้องเป๊ะมาก เพราะอาหารที่เสิร์ฟลูกค้าแต่ละจานนั้นหมายถึงคุณภาพ อย่างบางที่ใช้มีดหั่นหมูเสร็จแล้วไปหั่นผักต่อ ซึ่งมันผิดสุขลักษณะ หรืออย่างการเก็บเนื้อไก่ซึ่งเป็นสัตว์ที่ติดเชื้อได้ง่ายก็ควรเก็บให้ดี เนื้อวัวก็ควรจะเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 41 องศาฟาเรนไฮต์หรือไม่ก็ 130 องศาฟาเรนไฮต์ขึ้นไปเลย อย่าอยู่ตรงกลางระหว่างนี้ เพราะจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขึ้นมาได้ คือมีดีเทลเยอะมากครับ

แล้วชีวิตตอนที่อยู่อเมริกาในแต่ละวันทำอะไรบ้างคะ

เจนนี่แอบบ่น “ไม่ค่อยได้มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย เพราะช่วงเย็นๆ เจนนี่จะอยู่ที่ร้านทุกวัน ดูเรื่องเซอร์วิสว่าพนักงานทำงานโอเคหรือเปล่า มีปัญหาอะไรไหม คุยกับลูกค้า
อั๋นเสริม “เจนนี่เขาดูเรื่องดีเทลต่างๆ แต่ในส่วนของผมหลักๆ จะดูเรื่องอาหาร คิดเมนูใหม่ๆ แล้วต้องเมคชัวร์ว่ามาตรฐานอาหารรสชาติโอเคทุกวัน วันหนึ่งเหมือนผ่านไปเร็วมากครับ เรารู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปชั่วโมงเดียวเอง แต่จริงๆ หมดไปแล้ว 5 ชั่วโมง แต่สนุกครับ ตื่นแต่เช้ามาร้านอาหาร พอถึงช่วงกลางวันก็กลับมากินข้าวกับเจนนี่ ตกบ่ายถ้าว่างก็จะหาเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส พอเย็นๆ ก็เข้าร้าน

ตอนไปอยู่อเมริกาแรกๆ ดูท่าอั๋นจะต้องปรับตัวเยอะ
อั๋นพยักหน้ารับ “ปรับตัวเยอะมากครับ เพราะเรื่องภาษาผมไม่ค่อยดี แต่เจนนี่ภาษาดีกว่า ก็ช่วยซัพพอร์ตได้เยอะ ส่วนเรื่องอาหารก็มีปัญหา ด้วยความที่เราเป็นคนไทย ชอบกินอาหารรสจัดจ้าน ถ้าให้กินอาหารฝรั่งทุกมื้อคงไม่ไหว เลี่ยนมาก ผมเลยชอบไปเดินซื้อของกินที่ไชน่าทาวน์บ่อยๆ

ขอย้อนถามถึงโมเม้นตอนขอแต่งงานกันหน่อย โรแมนติกไหมคะ
อั๋นอธิบาย “คือคู่เราไม่ได้เป็นอารมณ์แบบมานั่งคุกเข่าขอแต่งงานอะไรแบบนั้น เพราะเราสองคนคบกันมานานแล้ว ถามว่ามีความตั้งใจจะแต่งไหม มีครับ ที่ผลัดมาเรื่อยๆ เพราะอยากให้พร้อมก่อน เวลามีลูกจะได้ดูแลเขาเต็มที่ แต่ผู้ใหญ่บางท่านให้ข้อคิดมาว่าเราไม่มีวันที่จะพร้อมหรอก แล้วก็ต้องผลัดไปเรื่อยๆ เอ่อ..ก็จริงนะ ตอนไปอยู่อเมริกา 1 ปี ช่วงเดือนที่ 6 เลยคุยกันว่าตอนนี้ธุรกิจเราเริ่มอยู่ตัว ถึงเวลาที่จะมาสร้างครอบครัวด้วยกันแล้วนะ แต่เรามองว่าการมีลูกสำคัญกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะช้า เพราะผู้หญิงอายุ 35 ปีก็เริ่มจะมีลูกยากแล้วนะ จึงลองปล่อยดู แล้วบังเอิญติด เพราะเจนนี่เขาไปซื้อเครื่องตรวจมาเลย
เจนนี่ขยายความ “เขาเรียกว่า ovulation kits เป็นเครื่องตรวจว่าเดือนนี้เราตกไข่เมื่อไหร่
อั๋นพูดไปอมยิ้มไป “ผมว่าดีนะ ดีกว่าเราไปทำมั่วๆ ซั่วๆ แล้วไม่รู้ว่าติดเมื่อไหร่ด้วย

แล้วตอนที่รู้ว่าท้องรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
เจนนี่บรรยายความรู้สึก “บอก อั๋นก่อนเลย เพราะเรานับวันอยู่แล้วว่าประจำเดือนหมดวันไหน แล้วพอประจำเดือนยังไม่มาก็ลองตรวจดู รอบแรกขึ้นมาสองเส้น ซึ่งหมายความว่าท้อง แต่ก็มีเส้นที่สามบางๆ ขึ้นมาอีกเส้นหนึ่ง ไม่ชัวร์ เลยไปซื้อมาตรวจ รอบที่สองก็ยังเป็นเหมือนเดิม เลยออกไปซื้อแบบดิจิตอลที่จะขึ้นมาว่า pregnant หรือ non-pregnant เอาให้ชัดไปเลย ปรากฎว่าขึ้น pregnant อั๋นก็เข้ามากอดเจนนี่แล้วบอกว่า ไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวอั๋นดูแลเองทุกอย่าง หลังจากนั้นก็มาคุยกันว่า เราจะแต่งงานที่อเมริกา หรือว่าที่เมืองไทย ซึ่งสุดท้ายก็ลงตัวที่เมืองไทยค่ะ

ตอนนี้เตรียมงานแต่งงานไปถึงไหนแล้วคะ
เจนนี่แม่งานขออธิบาย “จริงๆ กระบวนการมันเยอะมาก แล้วเวลาเตรียมตัวเราค่อนข้างน้อย ตอนอยู่ที่อเมริกา ก็เริ่มติดต่อเพื่อนๆ ให้ช่วยติดต่อโน่นนี่นั่น แล้วเริ่มทำการ์ด พอมาถึงเมืองไทยก็ได้การ์ดพอดี ส่วนงานให้ออแกไนซ์ช่วยดูแล เพราะเรากลัวทำไม่ไหว เรื่องชุดแต่งงานเรามีคนดูแลให้ อาทิตย์แรกที่มาถึงเมืองไทยก็ลองชุดตลอด กับถ่ายพรีเว้ดดิ้ง ยุ่งๆ แต่ถือว่าโอเคนะ พยายามไปแจกการ์ดให้ได้เยอะที่สุด ส่วนธีมงานอั๋นกับเจนนี่ชอบความเป็นธรรมชาติ ไม่อยากให้ออกมาดูเว่อร์ คือหลายคนชอบไปสิ้นเปลืองกับการแต่งงานหมดเงินไป 2-3 ล้าน ซึ่งเราว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย ขอทำแบบพอดีดีกว่า
ด้านว่าที่เจ้าบ่าวอั๋นตอบสั้นๆ “ส่วนผมมีหน้าที่ยืนเฉยๆ ให้เจนนี่บอกอย่างเดียว เป็นผู้ตามที่ดีครับ (หัวเราะ)

คบกันมานานถึง 19 ปี เคยมีเรื่องทะเลาะกันบ้างไหมคะ
อั๋นหันหน้าไปมองเจนนี่แล้วพยายามนึก “ก็นิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร โชคดีมากคือคู่เราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรที่ทะเลาะกันสักเท่าไหร่
เจนนี่เล่าบ้าง “ส่วนมากจะเป็นเรื่องธุรกิจมากกว่า เจนนี่อยากได้แบบนี้ แต่อั๋นอยากได้อีกแบบก็จะทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรแบบนี้มากกว่า
อั๋นขอพูดเอาใจเจนนี่ “แต่ตอนนี้พอเขาท้องก็พยายามจะไม่ทะเลาะด้วย เพราะผมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างเสียสละเยอะ ไหนจะอุ้มท้อง ฮอร์โมนก็เปลี่ยนด้วย แถมยังต้องคลอดลูกอีก ซึ่งผมคิดว่าเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เลยนะ เราก็ควรทำตัวดีๆ ถึงจะถูก

อั๋นดูแลเจนนี่เป็นพิเศษอย่างไรบ้างคะ
อั๋นเล่าขำๆ “ตอนนี้ก็กินเป็นเพื่อน เลยอ้วนทั้งคู่ (หัวเราะ) อย่างก่อนมาเมืองไทยก็จะพาไปว่ายน้ำ พยายามให้เขาอยู่บ้าน ไม่ต้องเข้าร้านเยอะ
เจนนี่เม้าท์ “เขาจะขยันซื้อ ของกินมาไว้เต็มตู้เย็นเลย แล้วจะคอยถามตลอดว่ากินนี่ไหม กินโน่นไหม ซึ่งจริงๆ แล้วเขาบอกว่าคนท้องควรกินอาหารไม่เกิน 300 แคลอรี่ จากปกติที่เราเคยกิน แต่นี่น่ากินเกินไปหลายร้อยแคลอรี่แล้วล่ะค่ะ (หัวเราะ)

มีอาการแพ้ท้องไหมคะ
เจนนี่แชร์ประสบการณ์ “จะมีช่วงแรกๆ ที่เป็นกรดไหลย้อน แล้วก็นอนเยอะ แต่ไม่ถึงขนาดทำอะไรไม่ได้ ก็ยังใช้ชีวิตปกติค่ะ

คิดภาพตอนเป็นคุณพ่อคุณแม่ไว้อย่างไรบ้างคะ
เจนนี่แซวอั๋น “คนนี้ต้องออกแนวโอ๋ลูกแน่นอน (หัวเราะ) แต่เจนนี่ไม่ เพราะเราถูกเลี้ยงมาแบบฝรั่ง
อั๋นพยักหน้ายอมรับ “ก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผมคิดว่าเราคลอดลูกแล้วเลี้ยงที่โน่นก็น่าจะได้สไตล์อเมริกันแบบให้ดูแล ตัวเองมาบ้าง คือฝรั่งเขาดีอย่างตรงที่เลี้ยงลูกไม่โอ๋ ตอนผมอยู่ร้านจะมีลูกของลูกค้ามากินเยอะ ผมสังเกตเห็นว่าเขาจะไม่มีการมานั่งป้อนเหมือนคนไทย แค่เอาอาหารวางไว้บนโต๊ะแล้วปล่อยให้ลูกกินเอง แล้วแปลกมากคือลูกเด็กเล็กแดงที่มาที่ร้านไม่ส่งเสียงร้องไห้โวยวาย หรือวิ่งวุ่นแม้แต่คนเดียว
เจนนี่เสริม “แต่จริงๆ ก็อยากให้ลูกกลับมาเมืองไทย เพื่อให้ได้ความเป็นไทยด้วย อย่างตัวเจนนี่เองเกิดที่อเมริกาอยู่จนอายุ 10 ขวบ มีความเป็นฝรั่งเต็มตัวเลย จนคุณพ่อคุณแม่ส่งเจนนี่ให้มาอยู่ที่เมืองไทยเพื่อให้เราได้ความเป็นไทย เพราะเจนนี่คิดว่าความเป็นไทยทำให้เราอ่อนน้อม มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างไรลูกเราก็ต้องมีความเป็นไทยอยู่ในตัวด้วยค่ะ

คบกันมานานขนาดนี้ หมั่นเติมความหวานให้กันอย่างไรบ้างคะ

เจนนี่เผยมุมมองชีวิตคู่ให้ฟัง “จริงๆ เจนนี่ว่าชีวิตทุกคู่เป็นเหมือนกราฟนะ ช่วงคบกันแรกๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูดีไปหมด หวาน กุ๊กกิ๊ก ตื่นเต้น ซื้อของขวัญให้กันทุกช่วงเทศกาล พอเป็นวัยรุ่นขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนไปดูแล เป็นห่วงกันและกัน มีแต่สิ่งดีๆให้กัน จนมาถึงวัยกลางคนก็จะเป็นแนวทำธุรกิจ ช่วยกันคิด แต่ก็จะมีโมเม้นท์ของเราที่ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสวีทกันที่ไหน แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็แฮปปี้แล้วค่ะ
อั๋นแชร์บ้าง “คือผมรู้สึกว่ายิ่งคบนานยิ่งให้เกียรติกันมากขึ้น ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย ยิ่งคบยิ่งรู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้เขาเป็นแฟน ไม่ใช่ว่าพอเขามีลูกให้เราแล้ว รูปร่างเปลี่ยนไป ไม่สวยเหมือนเดิม แล้วเราไปทิ้งเขามันก็ไม่แฟร์ ดังนั้นเราต้องไปด้วยกันครับ

เห็นเจนนี่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตอนนี้อั๋นเปลี่ยนไปเยอะเลย
เจนนี่เฉลย “คือ เจนนี่เห็นเขาตั้งแต่อายุ 17 ปี ก็พัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนตอนทำธุรกิจเขาใจร้อนมาก แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้จักนึกคิดก่อนว่าควรจะทำอะไร พูดอย่างไร เขาค่อยๆ ผ่อนลงมาเยอะ เพราะโดยส่วนตัวเจนนี่เป็นคนใจเย็น ก็จะคอยเบรคตลอด ซึ่งเขาก็จะฟังเรานะแล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนตั้งใจไม่ว่าจะทำอะไร อย่างร้านอาหารก็ตั้งใจทำมาก ลงดีเทลอยู่กับอาหารตลอด แต่เวลาเล่นกันก็เหมือนตอนที่เราเจอกันตอนเด็กๆ แหละค่ะ
อั๋นชมว่าที่ภรรยา “เจนนี่เขาเป็นอย่างนี้ตลอดเลยนะ ตอนวัยรุ่นก็น่ารัก ใสๆ ในแบบของเขา มาตอนนี้เขาก็น่ารักในแบบคุณแม่ ผมมองเขาน่ารักตลอดอยู่แล้ว ไม่เคยเบื่อหรือรำคาญเลย เขาเป็นผู้หญิงเก่งแล้วก็ตั้งใจทำงานมาก บางทีเขายังตั้งใจมากกว่าผมอีก เพราะบางครั้งผมสมาธิสั้น

คู่นี้มีความแตกต่างที่ต้องปรับจูนกันเยอะไหมคะ
อั๋นพยายามถ่ายทอดความรู้สึก “จริงๆ ก็ไม่ต่างนะ เราค่อนข้างเหมือนกันมากกว่า เป็นคนง่ายๆ ไม่หวือหวา ไม่ต้องอะไรเยอะ ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย เป็นพวกที่ไม่ค่อยอยากได้อะไร ส่วนมากจะหมดเงินไปกับเรื่องกินมากกว่า เพราะเราทำอาชีพเกี่ยวกับร้านอาหารก็ต้องชิมตามร้านต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาทำอะไรอย่างไรกันบ้าง มีเมนูแบบไหน ถือว่าได้ทำงานด้วยครับ
เจนนี่เปิดเผยความในใจ “เรา มีนิสัยอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้วก็พยายามที่จะปรับเข้าหากัน รู้ว่าเราควรจะต้องบาลานซ์อย่างไร อย่างถ้าอั๋นอารมณ์ไม่ดีเราก็เริ่มรู้แล้ว เพราะจะชวนกลับบ้านอย่างเดียวเลย (หัวเราะ) แต่ เขาไม่เคยเปลี่ยนเลย นี่คือสิ่งที่เจนนี่ประทับใจเขาตั้งแต่แรกที่ๆ เราคบกัน อาจไม่หวือหวาเหมือนช่วงแรกๆ แต่เขาค่อนข้างสม่ำเสมอ ขนาดทรงผมยังไว้ทรงเดิม แต่งตัวก็เหมือนเดิม (หัวเราะ)
อั๋นรีบแก้ตัว “ผมไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไม่ได้สนใจเรื่องอะไรตรงนั้นเลย ตอนนี้น้ำหนักขึ้นมา 5 กิโลฯแล้ว (หัวเราะ) ยิ่งไม่ได้ทำงานในวงการก็ยิ่งไม่สนใจใหญ่เลย เพราะผมเป็นคนง่ายๆ แค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์จบ ทรงผมก็ไม่เคยเซ็ท ชีวิตนี้ผมขอแค่ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส อ่างจากุซซี่ ซาวน่า อาทิตย์หนึ่งไป 4 วันจบพอละ เจนนี่เองเขาก็เป็นคนง่ายๆ เขาขอแค่มีครอบครัวที่ดี มีงานทำที่โอเค ไม่ต้องร่ำรวยล้นฟ้า ขอแค่ไม่ลำบาก แล้วก็ขอแค่ให้อยู่ใกล้กับครอบครัวเขา ผมเลยคิดว่า 80-90% คงอยู่ด้วยกันที่โน่นแล้วก็ค่อยๆ ขยายธุรกิจร้านอาหารที่อเมริกา แค่นี้ก็แฮปปี้ ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราแล้ว
“ผมเคยพูดกับเจนนี่เสมอว่าชีวิตนี้ไม่คิดจะทิ้งเขา จะพยายามสร้างอนาคตร่วมกัน และขออยู่กันไปจนแก่เฒ่าครับ”

เรื่อง : apinya
ภาพ : เนาวพจน์

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up