‘โดนัท มนัสนันท์’ กับนิยาม (รัก)บทต่อไปที่รอการพิสูจน์

 หลายคนรู้จักเธอในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาท แต่ตอนนี้เธอได้ก้าวเข้ามาสู่บทบาทของผู้กำกับหญิง ที่กำลังถูกจับตามองว่าจะสามารถยืนหยัดบนแผ่นฟิล์มได้หรือไม่ ต่อข้อเพ่งเล็งที่ว่าเธอจะทำผลงานออกมาได้ดีขนาดไหน ทำให้โดนัทต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก เพื่อสื่อสารให้คนดูรับรู้ถึงความตั้งใจในอาชีพนี้ และวันนี้เธอพร้อมแล้วที่จะเปิดใจให้เราได้ซักถามทุกประเด็น รวมไปถึงเรื่องหัวใจของสาววัย30 กว่าๆ คนนี้ด้วย


เห็นว่าตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กำกับการตัดต่อหนังหรือคะ
“ใช่ค่ะ ห้องนอนกลายเป็นห้องทำงานตัดต่อหนังไปแล้ว โดนัทนอนตี 5 ทุกวัน จนรู้สึกว่าหน้าตาโทรมมาก ก็พยายามเปลี่ยนมาทำงานตอนกลางวันแทนแล้วนอนให้เป็นปกติดีกว่า ตอนนี้งานเบื้องหลังของโดนัทเริ่มชัดเจนขึ้น จริงๆ เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าที่จู่ๆ ก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เริ่มจากหนังเรื่อง Love Suck ซึ่งโดนัทได้ทุนมาจากTrue Vision กับควักเงินตัวเองออกครึ่งหนึ่งด้วย เพราะเป็นหนังเรื่องแรกก็อยากทำให้เต็มที่ ระหว่างนั้นก็มีคนมาเสนอให้ทำหนังสั้น‘ค่านิยม 12 ประการ’ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามด้วยโปรเจ็คท์ของวงนูโวครบรอบ25 ปีซึ่งกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ แล้วอยากจะพีอาร์คอนเสิร์ตโดย่ไม่ต้องมีศิลปินเข้าไปด้วย จึงเป็นที่มาของ NUVO Love Story Signature Short Film ซึ่งจะออนแอร์ทุกวันจันทร์ใน www.sanook.com ร่ายมาเยอะขนาดนี้ บอกก่อนว่างานเบื้องหน้าไม่ได้ทิ้งนะ เมื่อปีที่แล้วโดนัทถ่ายละคร 3เรื่อง เพียงแค่ยังไม่ออนแอร์ ซึ่งก็น่าจะปีนี้ทั้งหมดเหมือนกัน
จากนักแสดงก้าวมาสู่การเป็นผู้กำกับได้อย่างไรคะ
“เป็นคนชอบทำอะไรที่ใช้ความรู้สึก ใช้จินตนาการมากกว่า แต่วาดรูปไม่ได้เรื่อง ถ่ายรูปก็แย่มาก จึงเลือกเรียนการแสดงแทน ซึ่งตอนเรียนก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาทำงานด้านกำกับ แต่เลือกเพราะรู้สึกสนใจแอ๊คติ้ง พอเรียนจบมาก็คิดอยู่ว่าจะทำอะไรต่อ เพราะตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าไม่สนุกกับการเป็นนักแสดงแล้ว เลยไปอยู่เมืองนอก ลองทำงานโน้นนี้อยู่พักก็รู้สึกไม่เวิร์ค คิดเองว่าไม่เหมาะกับการทำงานประจำ เลยกลับมาเมืองไทยเล่นละครต่อ ซึ่งระหว่างนั้น ความสนใจเรื่องภาพยนตร์ก็ค่อยๆ เกิดขึ้น โดนัทอาจจะไม่ใช่คนเนิร์ดถึงขนาดไปนั่งศึกษาประวัติความเป็นมาของภาพยนตร์ แต่เรามีผู้กำกับที่ชื่นชอบ มีหนังที่อยากดู แล้วก็เริ่มลองทำหนังสั้น ช่วงนั้นก็มั่วๆ นิดหน่อย ขั้นตอนการทำงานก็ยังทำไม่ถูกต้อง จนไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากจะเอามาทำเป็นหนัง เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สทำหนังที่นิวยอร์กฟิล์มประมาณ 2 เดือน เหมือนไปเรียนเพื่อจัดการกระบวนความคิด ไม่ได้ไปเพราะอยากจะคูล หรือดูเท่ แต่ไปด้วยอารมณ์ที่ทำไม่เป็น สอนหน่อย อยากรู้

ตอนที่ไปเรียนเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
“โดนัทไม่เคยเรียนโรงเรียนอินเตอร์ฯมาก่อน ก็ตลกดี ก่อนไปเรียนต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ตอนแรกๆ มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมด ศัพท์เทคนิคเยอะมาก เวลาเรียนต้องอัดเสียงไว้ฟังตอนขึ้นรถไฟ แล้วค่อยกลับมาหาภาษาไทยอ่าน ต้องท่องจำเยอะมาก เรียน 7 วันเต็มตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงเย็น ก็ได้ผลจริงๆ เพราะเราต้องทำทุกอย่างเอง ค้นพบว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการถ่าย เนื่องจากไม่ชอบเรื่องเทคนิค ส่วนสคริปต์ก็ยาก ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราจะได้เปรียบเรื่องแอ๊คติ่ง เพื่อนๆ ในคลาสให้เล่นทุกโปรเจ็คท์ จนด่ากลับไปว่า ไม่เล่นแล้ว! ไอไม่ได้มาเพื่อเป็นนักแสดงนะ ไปหาคนอื่นมาเล่น พอกำลังเริ่มสนุก กำลังจะปรับตัวได้ก็จบคอร์สพอดี ต้องบินกลับเมืองไทย เซ็งมาก แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีโอกาสทำงานเบื้องหลังมากขึ้น ได้กำกับเอ็มวี Bye bye ของ ฟรายเดย์,ความจริงวันนี้ ของนูโว ฯลฯ แล้วก็ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงการกำกับภาพยนตร์นี่ละค่ะ
ตั้งแต่เป็นผู้กำกับปัญหาที่เจอหลักๆ คืออะไรคะ
“ปัญหา คือโดนัทไม่ได้โตมากับหนัง แต่เกิดจากความชอบล้วนๆ ยอมรับว่าโดนตั้งคำถามมาตลอดว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า แรกๆ ตอนประชุมกัน เห็นหน้าทีมก็รู้แล้วว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเรา จึงต้องลงมือทำให้เขาเห็น แทนที่จะสั่งให้ทุกคนทำโน่นทำนี่่ เพราะเราเขียนบท กำกับ แล้วก็ตัดต่อเองด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการที่โดนัทชอบมากที่สุด เพราะเหมือนได้เล่าเรื่องจากมุมมองของเราจริงๆ หรือถ้าอยู่ในกองถ่ายอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำเองได้ก็ทำ ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นอะไร แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้กำกับที่มีมุมมองเก่งล้ำขนาดนั้น แค่ชอบทำงานมากกว่า
“อย่างตอนทำ Love Suck ค่อนข้างมีปัญหา เพราะไม่มีใครรู้ว่าหน้าตาหนังจะออกมาเป็นอย่างไร แล้วโดนัทจะทำอะไร เวลาไปขายงานหาสปอนเซอร์ก็โดนปฏิเสธตลอด แต่หมดหวังไปก็เท่านั้น ใครเขาจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร เรานี่แหละที่ต้องทำ ถึงโดนปฏิเสธก็ไม่เคยท้อ ทุกวันนี้ Love Suck ก็ยังหาสปอร์นเซอร์ไม่ได้ โอเคงั้นเราตัดหนังออกมาก่อน เพื่อให้เขาเห็นว่าจะลงทุนกับอะไร หนังจะออกมาเป็นแนวไหน ไม่ได้รู้สึกว่าการเป็นผู้กำกับแล้วเท่อะไรเลย รู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่า แต่ไม่ท้อนะ จริงๆ(เน้นเสียง) โดนัทมองงานเป็นองค์รวมมากว่ามองเรื่องตำแหน่งที่ทำ แล้วก็ไม่กำหนดกฏเกณฐ์ว่าปีนี้เราจะไปไหน ทำอะไร หรือต้องหาเงินให้ได้เท่าไหร่ จะอยู่กับปัจจุบันแล้วค่อยๆ ทำให้เสร็จทีละอย่างมากกว่า

แล้วเตรียมรับมือกับกระแสวิพากวิจารณ์ไว้บ้างไหม
“โดนัทไม่ค่อยสนใจอะไรมาก แต่สนใจตรงที่เราทำงานมาต้องมีคนดู แล้วเขาสนุกไหม โดนัทว่าหนังเป็นเรื่องของรสนิยมล้วนๆ เพราะฉะนั้นคงไม่มีใครชอบทุกอย่างที่เราชอบแน่นอน ถ้าเขาบอกหนังไม่สนุกก็ไม่เป็นไร หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลก ไม่จำเป็นต้องสนุกก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าดูไม่รู้เรื่องอาจจะแคร์ เพราะเราอยากสื่อสารให้คนดูเข้าใจ จริงๆ ชอบไม่ชอบมันคือเรื่องเทสต์ล้วนๆ
รู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่าเราติสท์แตก
“โดนัทขอย้ำกับแพรวดอทคอมเลยนะว่าไม่ใช่เลย โดนัทเป็นคนมีหลายคาแร็คเตอร์เท่านั้น แต่ไม่ติสท์อย่างที่ทุกคนบอก ก็พูดรู้เรื่องนะ (หัวเราะ) คือสามารถใส่กระโปรง รองเท้าส้นสูง ไม่ใช่ว่าต้องเสื้อยืดกางเกงยีนส์ตลอดเวลา กระเป๋าใบละแสนก็มี ขณะเดียวกันก็ใช้ย่ามใบละ 150 บาทได้เหมือนกัน กินข้าวข้างถนนได้ แต่ก็ชอบไปกินข้าวในโรงแรม เพราะต้องการเซอร์วิส เป็นคนง่ายๆ ในแบบเรา แต่บางคนก็บอกว่ายาก (หัวเราะ) เพราะทุกคนล้วนมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิต
“แต่ยอมรับว่าเมื่อก่อนค่อนข้างอินดี้เพนเด้นท์มาก อย่างเวลาไปกองถ่ายก็เอาหนังสือไปอ่าน ไม่ค่อยพูดกับคนอื่น เงียบๆ มีโลกของเรา พยายามดูหนังอาร์ต แต่ก็พบว่าดูไม่รู้เรื่อง รู้สึกว่าจริงๆ เราไม่ต้องพยายามเป็นอะไรสักอย่างหรอก หลังๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าถึงแม้จะมีโลกของตัวเอง แต่เราก็มีโลกที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วย บวกกับด้วยงานที่ทำต้องติดต่อกับคนตลอดเวลาเลยไม่รู้จะปิดตัวเองเพื่ออะไร ที่ไหนที่อยู่แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายก็ขยับมาอยู่ในที่ๆ เรารู้สึกแฮปปี้ดีกว่า

แอบทราบมาว่าโดนัทเป็นคนที่มีความเป็นเฟมินีนสูงมาก
“จริงค่ะ อย่างหนังเรื่อง Love Suck มาจากความกวนของเราเอง แอบกัดสังคมเล็กๆ เพราะเราอยากสื่อสารกับผู้หญิงให้รักตัวเอง โดนัทชอบเวลาเห็นผู้หญิงมีความมั่นใจ แฮปปี้ในสิ่งที่เขาทำ เหมือนตอนเขียนหนังสือก็เขียนขึ้นมาเพราะเราอยากให้ผู้หญิงออกไปเดินทาง สำหรับเราการเดินทางสามารถเปิดโลก และเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจสำคัญ นี่ยังว่าหลังจากตัดต่อหนังเสร็จก็จะไปนิวยอร์กเดือนหน้า อยากไปอยู่เฉยๆ ไม่ได้อยากเดินทางไปหาประสบการณ์อะไรอีกแล้ว แค่อยากไปดูหนัง ดูบรอดเวย์ ไปกินข้าวหาเพื่อนเรื่อยเปื่อย
แล้วเรื่องหัวใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“ไม่ว่างเลยค่ะ ไม่ว่างจะมีใคร(หัวเราะ) ยังเพิ่งคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่าสมมติมีแฟนตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะดูแลเขาอย่าง ไร จะมีเวลาให้เขาหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้อยากตัดต่องานอย่างเดียวเลย คิดถึงคอมพิวเตอร์ที่โหลดงานอยู่ อยากเห็น Final Cut แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปหาแฟน แต่ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาก็มีชอบคนๆ หนึ่ง รู้สึกดีกับเขามากๆ เลยล่ะ แต่พอคุยกันลงลึกไปเรื่อยๆ กลับไม่ง่ายที่จะคลิกกัน บวกกับเราอายุอานามก็ปาเข้าไป 30 กว่าแล้ว เริ่มไม่ชอบคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และไม่ต้องการความคลุมเคลือ คือจะจีบก็บอก หรือจะเลิกจีบก็ไม่คุยแล้วนะ เสียเวลา ไม่ได้ปิดตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่เจอคนที่ใช่
“มาตรฐานโดนัทอาจจะสูงด้วย ไม่ใช่ต้องการคนหล่อ เท่ รวยนะ แต่เรารู้ตัวเองว่าต้องการคนแบบไหนมากกว่า ใจเย็นๆ ดูกันดีๆ มีสติดีกว่าไหม แล้วที่สำคัญต้องชัดเจน คือเขาคงใจร้อนมั้งเลยไม่เวิร์ค แล้วโดนัทโคตรเป็นตัวของตัวเอง ดูแลตัวเองได้ เลยอาจจะยากสำหรับเขาเหมือนกัน

บทเรียนจากความรักครั้งเก่าสอนอะไรเราบ้างไหม
(หัวเราะ) “ต้องมีอยู่แล้วค่ะ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่สำหรับโดนัทกับอนันดา ประเด็นสำคัญเลยคือเรื่องที่เราจะดีลกันอย่างไรมากกว่า เพราะตอนเลิกกันแรกๆ โดนัทไม่ยอมเป็นเพื่อนเขาเลย อารมณ์ประมาณว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ต่างคนต่างอยู่ นี่เพิ่งจะยอมคุยกับเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ไม่ได้ส่งผลกับความรักครั้งใหม่นะ เรื่องเก่าคือเรื่องเก่า เราไม่เปรียบเทียบ หรือเรื่องอะไรที่เราไม่น่ารักก็พยายามจะไม่ทำให้เกิดขึ้นอีก อย่างบางทีเราติดทำอะไรของเราเองคนเดียว อยากจะทำอะไรก็ทำเลย หรือบางทีพูดแต่เรื่องตัวเอง จนไม่ทันแคร์ว่าอีกคนจะรู้สึกอย่างไร ก็ต้องหาบาลานซ์ให้เจอค่ะ
“โดนัทมาจากครอบครัวที่เราไม่ได้รักกันเว่อร์ พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา แต่เขาอยู่ด้วยกัน โดนัทเลยไม่เคยคิดว่าชีวิตครอบครัวเราจะต้องสวีทหวานอะไร สำหรับเราขอแค่คนที่รับเราได้ทั้งดีและไม่ดี และอยู่ตรงนั้นเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างกับอนันดาตอนคบกันก็ทะเลาะกันตลอด ขนาดตอนนี้เป็นเพื่อนกันก็ยังไม่วายที่จะทะเลาะกัน (หัวเราะ)
ส่วนมากทะเลาะกับอนันดาเรื่องอะไรคะ
“หลักๆ คือเรื่องงาน เพราะมาตรฐานการทำงานเขาสูงมาก แล้วเขารู้สึกว่าเราต้องได้ตรงนั้น คนอื่นเขาอาจจะไม่แคร์ว่าเป็นอย่างไร แต่พอเป็นเรา เขาจะตั้งความหวังไว้สูงมากเลยว่าเราต้องทำให้ได้เทียบเท่าสแตนดาร์ดเขา เข้าใจว่าเขาโตมากับวงการนี้ แล้วให้คุณค่ากับภาพยนต์สูงมาก เขาเลยรู้สึกว่าอย่ามาทำเล่นๆ มั่วๆ ต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราว โดนัทก็จะชอบล้อเขาว่าเป็น Teacher เวลาตัดหนังเสร็จก็ส่งให้เขาดูตลอด เหมือนเป็นนักเรียนทำการบ้านส่งให้อาจารย์ตรวจ ถ้างานไหนดีก็ชม แต่…คือจะต้องมีแต่มาตลอด โดนัทก็ให้เพื่อนคนอื่นๆ ดูนะ แต่เขาเป็นคนเดียวที่กล้าติ เพราะส่วนใหญ่คนจะชม คงเพราะเราคอมเม้นท์กันและกันเรื่องงานมาตลอด หลังๆ จะพยายามไม่ค่อยคุยกันเรื่องงานแล้ว เพราะต่างคนต่างก็ไม่ยอมกัน (หัวเราะ) คือเขาไม่ได้มาบอกว่าเราต้องทำอะไร อย่างไร งานเขาโดนัทก็ไม่เคยไปก้าวก่าย ไม่ว่าตอนคบกันหรือว่าตอนนี้ จะเป็นแนวแสดงความคิดเห็นมากกว่า จริงๆ ก็พยายามจะไม่ทะเลาะกันนะ บางครั้งก็งงเหมือนกันว่าทำไมต้องทะเลาะกันตลอดเวลา แต่ก็คงเลิกทะเลาะกันไม่ได้หรอก แล้วก็คงไม่ได้เป็นอะไรถ้าเราจะทะเลาะกันบ้าง
“ทุกวันนี้ยังคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้คุยกันเพื่อหวังว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ โดนัทไม่ได้คิดอะไร เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน อารมณ์เหมือนเลิกกับเพื่อนสนิทมากกว่า
“เพราะฉะนั้นเพื่อนกัน สุดท้ายก็ต้องคุยกัน แล้วเป็นเพื่อนกันต่อไปอยู่ดี ใช่ไหมคะ”
เรื่อง :apinya
ภาพ : วรสันต์
สถานที่ : Casa Lapin x26 ซอยสุขุมวิท 26

บทความนี้ถือเป็นทรัพย์สินของเว็บไซต์แพรว ห้ามผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง หรือทำซ้ำ อนุญาตให้แชร์บทความนี้ได้จากลิ้งค์นี้เท่านั้น

Praew Recommend

keyboard_arrow_up