5 ธีมสีงานแต่งในสวน หลากสไตล์หลายอารมณ์ จัดเลยรอดทุกสี

account_circle

จัดงานแต่งงานในสวน แล้วอย่างนี้ ธีมสีงานแต่งในสวน จะเป็นสีอะไรดีนะ??

มาค่ะ ไม่ต้องคิดนานให้สมองเมื่อย เพราะแพรว wedding มี 5 ธีมสีงานแต่งในสวน หลากสไตล์มาฝาก ไม่ว่าจะแบบเรียบหรูดูขรึม สดใสเบิกบาน หรือกรีนเนอรี่แบบบ่าวสาวสายชิล ก็มีมาให้ รับรองว่าสวนเล็กสวนใหญ่จัดธีมสีไหนก็รอด

Lilac

ธีมสีงานแต่งในสวน

ด้วยสีม่วงไลแล็คเป็นสีที่กำลังมาสำหรับปี 2018 เมื่อมาจับคู่กับสีเขียวสีแห่งความสดชื่นของสวน และสีของดอกไม้ประดับต่างๆ ก็ทำให้สีม่วงไม่ลึกลับจนเกินไป และทำให้มีเสน่ห์ชวนมองยิ่งขึ้น รับรองว่าเฉดสีนี้จะทำให้งานแต่งงานในสวนของบ่าวสาวดูเรียบหรู มีเสน่ห์ ไม่แพ้การจัดงานในโรงแรมเลย

Cherry Tomato

ธีมสีงานแต่งในสวน

สำหรับเฉดสีร้อนแรงที่สุดในปีหน้า (ปี 2019) ต้องยกให้กับโทนสีแดง เฉดสีมาแรงที่ไม่ว่าจะฤดูกาลไหนๆ ก็สามารถทำให้ทุกงานแต่งงานมีธีมที่โดดเด่นได้ เอาเป็นว่าเพื่อนเจ้าสาวเตรียมตัดชุดสีนี้ไว้ได้เลย #ไม่พูดเยอะเจ็บคอ

Yellow Neon

ธีมสีงานแต่งในสวน

สีเหลืองนีออนสุดเปรี้ยวปรี๊ดแสบตา เป็นเฉดสีที่โดดเด่นมากๆ เช่นกันในแวดวงแฟชั่นเสื้อผ้าในปี 2018 นี้ และสำหรับธีมงานแต่งแล้ว ไม่ว่าจะสีแซ่บแค่ไหน ก็ทำให้เป็นธีมงานแต่งของบ่าวสาวนั้นดูสนุกและมีสีสันได้ แถมยังไม่กวนกับสีเขียวชอุ่มของบรรยากาศสวนด้วย ช่วยให้งานแต่งในสวนแบบสบายๆ ของบ่าวสาวดูอบอุ่นขึ้นเป็นกองแน่นอน

ปังหรือแป๊ก เดี๋ยวรู้กัน! Burberry ยกเครื่องใหม่ทั้งกะบิ เปลี่ยนโลโก้ และลายโมโนแกรม

กระแสในวงการแฟชั่นที่ดูร้อนแรง ณ ตอนนี้ เห็นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Burberry แบรนด์ดังสัญชาติอังกฤษที่มีมานานกว่า 162ปี ได้ออกมาเผยโลโก้ใหม่ล่าสุด ทำเอาเงินในกระเป๋าของเหล่าแฟชั่นนิสต้าได้สะเทือนกันอีกครั้ง

เรียกได้ว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของเบอร์เบอร์รี่เลยก็ว่าได้ ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนทั้งโลโก้และลายโมโนแกรม เพราะเป็นเวลาเกือบ 20ปีแล้วที่เราได้เห็นลายตารางคลาสสิคผสมผสานกับสีที่เป็นเอกลักษณ์ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเบอร์เบอร์รี่ ขนาดไม่ใช่สาวก ก็ยังดูออก

ข่าวการเปลี่ยนแปลงโลโก้และลายโมโนแกรม ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา จากอินสตาแกรมทางการของ เบอร์เบอร์รี่ โดยทางแบรนด์ได้ลงภาพอีเมล์ที่ Riccardo Tisci ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ประจำแบรนด์ ได้คุยอีเมล์กับ  Peter Saville ผู้กำกับศิลป์และนักออกแบบกราฟิกชาวอังกฤษ โดยรายละเอียดที่ปรากฎนั้นเป็นการคุยกันเพื่อมอบหมายงานสำคัญคือการ ออกแบบโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ทั้งหมดในเวลา 4สัปดาห์ !

A conversation between #PeterSaville and #RiccardoTisci

A post shared by Burberry (@burberry) on

Discussing the #Burberry archive . #RiccardoTisci #PeterSaville

A post shared by Burberry (@burberry) on

The #ThomasBurberry Monogram pattern revealed . #RiccardoTisci #Burberry

A post shared by Burberry (@burberry) on

แน่นอนว่านี่เป็นข่าวใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมแฟชั่น เพราะทันทีที่ภาพแพร่ออกไป เหล่าบรรดาแฟชั่นนิสต้า และแฟนๆ ของเบอร์เบอร์รี่ต่างวิจารณ์กันขรม ถึงโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ล่าสุด บ้างก็ว่าดีงาม แต่ส่วนใหญ่นั้นกลับมองว่า ลายเดิมก็ดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนทำไม? แถมสีที่ออกมาใหม่ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับยี่ห้อที่มีม้าเป็นโลโก้ไปอีก จุ๊ๆ อย่าพูดไปโลโก้นี้เขามีที่มา ไม่ได้นั่งเทียนคิดขึ้นมา ผู้ออกแบบเขาเอาตัว T และ B ชื่อของผู้ก่อตั้งมาผสมผสานเป็นโลโก้นะยู

เพื่อเป็นการต้อนรับโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้ แพรวพาย้อนดูประวัติ Burberry ลายตารางสุดคลาสสิคที่อยู่คู่กับวงการแฟชั่นมานานกว่า 20ปี เห็นปุ๊บ ก็รู้ทันที แบบไม่ต้องมโน ก่อนที่ลายโมโนแกรมนี้จะลาจากเราไป หรือเปล่า !

ปี 1856

Burberry ก่อตั้งโดยนาย Thomas Burberry อดีตเด็กฝึกงานในร้านขายผ้า ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 21 ปี

Burberry

ปี 1879

โทมัส คิดค้นผ้าที่เรียกว่า “กาบาร์ดีน” คุณสมบัติผ้าอันโดดเด่นคือ มีความทนทาน เหนียวแน่น และกันฝนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาด้วย  เหมาะกับนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าของคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก ผ้าลินินที่นำมาทำเสื้อกันหนาวของชาวไร่ในศตวรรษที่ 19 และผ้าชนิดนี้ยังเป็นที่มาของเสื้อกันฝน Trench Coat ซิกเนเจอร์ของแบรนด์อีกด้วย

Burberry

ปี 1888

เบอร์เบอร์รี่ ได้นำผ้ากาบาร์ดีนมาจดสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง

ปี1891

ในปีนี้ เบอร์เบอร์รี ได้ย้ายเข้าไปเปิดเป็นร้านแรกใน 30 Haymarket ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ปี 1893

ดร. ฟริตจ๊อฟ นันเซน นักสำรวจขั้วโลก ชาวนอร์เวย์ และ นักสัตววิทยา เจ้าของรางวัลโนเบล เป็นคนแรกที่ได้จดบันทึกว่าในขณะที่เขาได้ไปสำรวจอาร์กติกเซอร์เคิลในปี 1893 นั้น เขาได้นำ เสื้อกันฝน ผ้ากาบาร์ดีน ของเบอร์เบอร์รี่ ไปใส่ด้วยขณะเดินทาง

ปี 1897

เฟรเดอริก จอร์จ แจ็คสัน นักสำรวจอาร์กติก ในขั้วโลกเหนือ และยังมีส่วนในการทำแผนของอาร์กติก เป็นอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อกันฝน ผ้ากาบาร์ดีน ของเบอร์เบอร์รี ขณะขึ้นไปสำรวจ

ปี 1901

และปีนี้เองที่ เบอร์เบอร์รีมีโลโก้เป็นของตัวเอง คือ อัศวินขี่ม้าที่มาพร้อมกับภาษาละติน “Prorsum” ซึ่งแปลว่า ก้าวต่อไป

Burberry

ปี 1909

สมกับชื่อบนโลโก้ เมื่อเบอร์เบอร์รี่ได้ขยายสาขาไปอีกที่ แต่ครั้งนี้ข้ามไปยัง เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยไปเปิดสโตร์ที่ 8 Boulevard Malesherbes

ปี 1910

ในงานเฉลิมฉลองของ Claude Grahame นักบินคนแรกที่สามารถขับเครื่องบินจากกรุงลอนดอนไป เมืองแมนเชสเตอร์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เขาได้สวมเสื้อกาบาร์ดีนสีขาว ของเบอร์เบอร์รี่

ปี 1911

Roald Amundsen และทีมสำรวจของเขา เป็นกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปสำรวจขั้วโลกใต้ และเหมือนเช่นเคย คือพวกเขาได้สวมเสื้อกาบาร์ดีน แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ เต้นท์ที่พวกเขาใช้พัก ก็ทำมาจากผ้ากาบาร์ดีนของเบอร์เบอร์รีอีกเช่นกัน

ปี 1992

ปีแห่งการสร้างชื่อเสียง เมื่อ ทอมัส เบอร์เบอร์รี ได้ดีไซน์เทรนช์โค้ต แบบแรกของแบรนด์ได้สำเร็จ แน่นอนว่าเขาใช้ผ้ากาบาร์ดีนมาตัดเย็บ สำหรับการดีไซน์นั้น มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มีกระดุม แต่มีสายรัดด้านหน้า ต้องบอกเลยว่า เทรนช์โค้ตตัวนี้ นี่แหละที่เป็นซิกเนอเจอร์ของเบอร์เบอร์รี่ และสร้างชื่อเสียงให้กับเบอร์เบอร์รี่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าให้พูดง่ายๆ คือ ของมันต้องมี !!

ปี 1913

เมื่อความสำเร็จท่วมท้นขนาดนี้ เบอร์เบอร์รี่ได้ย้ายสโตร์ไปขนาดใหญ่ขึ้น ใน Haymarket และได้ดีไซน์รูปแบบภายในร้านใหม่ทั้งหมดจากฝีมือ Walter Cave

ปี 1914-1918

นอกจาก เทรนช์โค้ต จะได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในหมู่นักกีฬากลางแจ้งและนักผจญภัยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อ เออร์เนสต์ ชาเคิลตัน นักผจญภัยชาวอังกฤษชื่อดังชาวอังกฤษนำมาใส่ขณะเดินทางไปสำรวจที่ขั้วโลกเหนือ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เทรนช์โค้ตก็ยังเป็นเครื่องแบบของทหารอังกฤษ อีกทั้งยังปรากฎลายตารางในเครื่องแบบ ลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเบอร์เบอร์รี่อีกด้วย

ปี 1919

พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงประทาน Royal Warrant (สัญลักษณ์ของผู้ได้รับพระบรมราชานุญาตจัดหาสินค้าและบริการแก่พระมหากษัตริย์) ในฐานะช่างตัดเสื้อให้กับเบอร์เบอร์รี่

กัปตันจอห์น คอค และพลโท Arthur Whitten ฺBrown ได้สวมใส่เครื่องแบบนักบินจากเบอร์เบอร์รี่ ขณะอยู่ในเที่ยวบินแรกที่เดินทางแบบไม่พัก เพื่อบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดใช้เวลาเพียง 72 ชั่วโมง

ปี 1920

เบอร์เบอร์รี่ได้เผย ข้อมูลการซื้อขายเป็นครั้งแรกต่อสาธารณะ

ปี 1920

เบอร์เบอร์รี่ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เพื่อนำผ้าซับในบุลงในเสื้อเทรนช์โค้ต

ปี 1937

เป็นครั้งแรกที่เบอร์เบอร์รี่ เป็นสปอนเซอร์เสื้อผ้าให้กับ Arthur Clouston และ Betty Kirby-Green (ทหารอากาศ) ซึ่งทั้งคู่ได้สวมชุดของเบอร์เบอร์รี่ ขณะเดินทางจากครอยดอนไป เคปทาวน์ โดยเครื่องบินนั้นชื่อว่า “The Burberry”

ปี 1940

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เบอร์เบอร์รี่ได้จัดหาเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ทางทหาร รวมถึงเทรนช์โค้ต ให้กับกองทัพอังกฤษ รวมทั้งกองทัพทางอากาศ (RAF), กองราชนาวี , Royal Pioneer Corps, Cadet Training Unit (OCTU) และ Auxiliary Territorial Service (ATS) รวมถึง หน่วยงานฝ่ายผู้หญิงทั้งหมด

แม้จะมีเงื่อนไขที่เข้มงวดที่เกิดจากสงคราม แต่เบอร์เบอร์รี่เองก็ยังจัดหาเครื่องแต่งกายให้เรื่อยมา ในช่วงปี 1940 รวมทั้งยังจัดหา โอเวอร์โค้ทกันน้ำทั้งผู้ชายและผู้หญิง อีกทั้งในช่วงนั้นแบรนด์ยังปรับ ผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้ากับช่วงสงครามอีกด้วย

ปี 1955

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงประทาน royal warrant  ให้กับ เบอร์เบอร์รี่ ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ ทนแดดและทนฝน

ปี 1964

ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เบอร์เบอร์รี่ได้รับให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในการขาย เครื่องแต่งกายของนักกีฬาหญิง ของประเทศอังกฤษทั้งหมด

ปี 1990

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ได้ประทาน royal warrant ในฐานะช่างตัดเสื้อ

ปี 2000

เบอร์เบอร์รี่ เปิดร้านสาขาแรกบนถนนบอนด์สตรีท ในกรุงลอนดอน สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของแบรนด์ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์หรูระดับโลก

ปี 2002

เดือน กรกฎาคม เบอร์เบอร์รี่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเปิดให้ประชาชนได้ซื้อหุ้นใหม่ครั้งแรก

ปี 2004

เปิดตัวเว็บไซต์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา

ปี 2006

เปิดตัวเว็บไซต์ในสหราชอาณาจักร

ปี 2008

เบอร์เบอร์รี่ร่วมทุนเพื่อสร้าง Burberry ตะวันออกกลาง (BME) โดยสำนักงานใหญ่อยู่ในดูไบ

เปิดตัว มูลนิธิองค์กรการกุศลที่อุทิศตนเพื่อช่วยให้เยาวชนตระหนักถึงความฝันและศักยภาพของพวกเขาผ่านความคิดสร้างสรรค์ และมอบกำไร 1% ก่อนหักภาษีเพื่อบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่จัดตั้งขึ้น

ปี 2009

ในคอลเลคชั่น Spring/Summer ปี 2010 เบอร์เบอร์รี่ได้มีการจัดแฟชั่นโชว์โดยย้ายจากลอนดอนไปมิลาน เพื่อเป็นเครื่องหมายครบรอบ 25ปี ลอนดอนแฟชั่นวีค และแฟชั่นโชว์นี้ยังมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกเพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์เต็มรูปแบบของแฟชั่นโชว์ และเป็นครั้งแรกของเบอร์เบอร์รี่อีกด้วย

ปี 2010

เบอร์เบอร์รี่เป็น ลักชัวรี่แบรนด์แรกที่เข้าร่วม Ethical Trading Initiative (มาตรฐานจริยธรรมพื้นฐานทางการค้า)

เบอร์เบอรี่ทำกิจการร่วมค้า กับบริษัท Genesis Colors ของประเทศอินเดีย

ปี 2011

ทำกิจการร่วมค้า กับบริษัท Fawaz Abdulaziz Alhokair & Co ในประเทศซาอุดิอาราเบีย

เปิดตัว Burberry.com ให้บริการ 44 ประเทศใน 11 ภาษาที่แตกต่างกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงจาก iPad, iPhone และอุปกรณ์มือถืออื่นๆ

ปี 2012

เปิดตัวช็อป ที่ 121 รีเจ้นท์ สตรีท กรุงลอนดอน

ปี 2014

ในปีนี้ The Prorsum แฟชั่นโชว์ คอลเลคชั่นสำหรับผู้ชาย ในช่วง สปริง/ซัมเมอร์ ได้ถูกย้ายจากมิลานกลับมาที่กรุงลอนดอน อีกครั้ง 

ปี 2015

เปิด flagship store cafe ที่ รีเจ้นท์ สตรีท กรุงลอนดอน

ปี 2016

เปลี่ยนแฟชั่นโชว์จาก 4 ครั้งเป็น 2 ครั้ง รวมถึงรวมแฟชั่นโชว์ทั้งชายและหญิงเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ เสื้อผ้าที่อยู่ในแฟชั่นโชว์ยังวางขายทั้งออนไลน์และในสโตร์ทันทีหลังจากจบแฟชั่นโชว์

ปี 2017

Julie Brown นั่งตำแหน่ง Chief Operating และ Financial Officer ส่วน Marco Gobbetti นั่งตำแหน่ง Chief Executive Officer

ปี 2018

Riccardo Tisci ทำหน้าที่ในตำแหน่ง Chief Creative Officer

เปลี่ยนโฉมโลโก้ และลายโมโนแกรม ทั้งหมด

 

ปรับโฉมทั้งโลโก้ และลายโมโนแกรมครั้งนี้ของ Burberry ครั้งนี้เรียกได้ว่า พลิกโฉมไปเลยก็ว่าได้แต่จะปังหรือแป๊ก ก็มิอาจรู้ได้ แพรวดอทคอมก็รอดูวันเปิดตัวสินค้าอย่างเป็นทางการ ว่ายอดซื้อจะถล่มทลายหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ใครมีลายตารางคลาสสิคแบบเก่า ต้องเก็บขึ้นหิ้งไว้ด่วนๆ เลยนะจ๊ะ เพราะราคาเขาพุ่งแน่นอน

 

ภาพและข้อมูล : www.burberryplc.com

 

 

 

 

 

 

 

โลกหลังความตาย

หนังน่าสนใจ! โลกหลังความตาย Along With The Gods : The Last 49 Days

Alternative Textaccount_circle
โลกหลังความตาย
โลกหลังความตาย

โลกหลังความตาย สะเทือนทั้งปรโลก “Along With The Gods : The Last 49 Days ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า 2” แอคชั่น-แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ที่สุดของเอเชียแห่งปี 2018

หลังจาก Along With the Gods ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า เข้าฉายเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ของเกาหลี ที่สามารถยืนหยัดทัดเทียบกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดได้อย่างน่าภูมิใจ และตอนนี้การเดินทางฝ่าขุมนรกของดวงวิญญาณและเหล่ายมทูตที่ทั้งตื่นเต้น เข้มข้น สวยงามและประทับใจของ โลกหลังความตาย กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในภาคที่ 2 ที่มีชื่อว่า Along With The Gods : The Last 49 Days

ซูเปอร์ฮีโร่หรือไดโนเสาร์หลีกไป ‘ทีมงานยมทูต’ มาแล้ว!

ไม่ใช่แค่ความประทับใจที่เกิดขึ้นกับคนดูเท่านั้น หลังจากการเดินทางฝ่า 7 ขุมนรกของสามยมทูตและหนึ่งดวงวิญญาณจบลง แต่ Along With The Gods ภาค 1 ยังได้สร้างปรากฏการณ์เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศเกาหลี (เป็นรองแค่ The Admiral: Roaring Currents เรื่องเดียว)

เพียงแค่ 6 วันแรกก็สามารถขายบัตรได้มากถึง 4 ล้านใบ ปิดตัวเลขการขายบัตรได้ทั้งหมด 14,410,748 ใบตลอดการฉาย ทำรายได้ไปมากถึง 108.2 ล้านเหรียญ และมี 103 ประเทศทั่วใจสนใจซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายในประเทศ

แต่ปรากฏการณ์ทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ เพราะทันทีที่ภาค 2 อย่าง Along With The Gods : The Last 49 Days เข้าฉาย ก็สามารถทำลายสถิติภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยยอดคนดูวันแรกสูงสุด แซงหน้า Jurassic World: Fallen Kingdom ที่มีคนดู 1.18 ล้านคน ไปด้วยตัวเลจ 1.23 ล้านคน คิดเป็นรายได้เกือบหนึ่งหมื่นล้านวอน! (ประมาณ 295 ล้านบาท) และยังคงมุ่งหน้าทุบสถิติวันต่อวัน คนดูทะลุ 2.3 ล้านคนใน 48 ชั่วโมง เร็วที่สุด แซงทุกหนังในประวัติศาสตร์เกาหลี
จะบอกว่าในชั่วโมงนี้ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่หรือสัตว์ประหลาดจากที่ไหน ก็ต้องหลีกทางให้ทีมงาน ‘ยมทูต’ จาก Along With The Gods : The Last 49 Days ก็คงไม่ผิดนัก และนี่คือหนังสัญชาติเกาหลีอีกหนึ่งเรื่อง ที่ยืนหยัดต่อสู้กับหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดได้อย่างสูสี ต่อจาก Train to Busan

ไม่ต้องรอผลตอบรับ แต่เริ่มสร้างภาคสองต่อเนื่องทันที

นอกจากนี้ Along With The Gods : The Last 49 Days ยังนับเป็นผลงานเปิดประวัติศาสตร์ใหม่วงการภาพยนตร์เกาหลีใต้ ที่ไม่ต้องรอดูผลตอบรับจากภาคแรกก่อน แต่เริ่มคิดทำภาค 2 ต่อเนื่องกันมาพร้อมๆ กับภาคแรกทันที โดยทั้งหมดต้องใช้เวลาเตรียมงานทุกด้านนานถึง 5 ปี และใช้เวลาในถ่ายทำอีก 11 เดือน ในแต่ละภาค

ทำให้ Along With The Gods เป็นหนังที่สมบูรณ์แบบทั้งในด้านโปรดักชั่นดีไซน์ วิชวลเอ็ฟเฟ็คต์ต่างๆ ที่สมจริงอลังการจนได้รับคำชื่นชมจากต่างชาติเป็นอย่างมากตั้งแต่นำตัวอย่าง 27 นาทีของภาคแรกไปฉายในงานซื้อขายหนัง America Market Film

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของ Dexter Studios หนึ่งในบริษัทผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิชวลเอ็ฟเฟ็คต์ที่ใหญ่ที่สุดในเชีย ที่เคยร่วมมือกับผู้กำกับ คิม ยงฮวา ปลุกชีวิตให้กับกอริลล่านักเบสบอลใน Mr. Go ได้อย่างยอดเยี่ยมมาแล้ว และมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมากกว่า 300 คน ที่ร่วมกันสร้างทุกฉากใน Along With The Gods ทั้ง 2 ภาคให้กลายเป็นจริงขึ้นมา

รวมทั้งเรื่องเนื้อหาที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนสุดฮิต (ตีพิมพ์ออกมาแล้วขายได้ 450,000 เล่ม) และการวางแผนสร้าง 2 ภาคต่อเนื่องกัน ทำให้ทุกอย่างถูกคิดให้สอดคล้องกันมาเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหา ‘จับยัด’ ที่ต้องพบเจอบ่อยๆ เวลาสร้างหนังภาคต่อแล้วต้องหา ‘ประเด็น’ บางอย่างเพื่ออุดรอยรั่วจากภาคแรกให้ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อเนื้อเรื่องสอดรับกับภาคแรกอย่างลงตัว สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคที่ 2 จะเป็นเหมือนที่ผู้กำกับ คิม จงฮวา เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ภาคแรกจะเป็นเหมือนหนังตัวอย่างให้ Along With The Gods : The Last 49 Days เท่านั้น” และเราจะได้ชมเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นกันแบบเต็มๆ ในครั้งนี้

เข้มข้นมากขึ้น เห็นภาพกว้างมากขึ้น และลึกซึ้ง ซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

โลกหลังความตาย

ใน Along With The Gods ภาคแรก ได้ปูพื้นฐานให้คนดูเข้าใจการเดินทางในโลกหลังความตายสุดประหลาด ที่ดวงวิญญาณจะต้องผ่านการตัดสินคดีจากนรกทั้ง 7 ด่าน คือบาปแห่งฆาตกรรม, เกียจคร้าน, หลอกลวง, อยุติธรรม, ทรยศ, ความรุนแรง, อกตัญญู ให้ได้ภายใน 49 วัน โดยมีทีมงานยมทูต 3 คน คอยทำหน้าที่เป็นทั้ง ‘ทนาย’ และ ‘ผู้พิทักษ์’ ให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อแลกกับการได้ไปเกิดใหม่เมื่อพวกเขาส่งดวงวิญญาณได้ครบตามกำหนด

ใน Along With The Gods : The Last 49 Days ภาคนี้ เรื่องราวจะดำเนินต่อจากภาคแรกทันที หลังจากทีมยมทูตได้ส่งดวงวิญญาณของนักดับเพลิงหนุ่มคิม จาฮง ได้สำเร็จ และป้ายดวงวิญญาณอันใหม่ได้ถูกส่งต่อให้กับคิม ซูฮง ผู้เป็นน้องชายที่มีชะตากรรมหลายอย่างร่วมกัน

และเมื่อไม่ต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในขุมนรกอีกต่อไป ภาคนี้เลยทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการขยายเรื่องราวไม่ได้จบที่เฉพาะตัวผู้ชายอย่างเดียว แต่ยังย้อนไปถึงอดีตแสนขมขื่นของยมทูตทั้ง 3 ที่ถูกปิดเป็นความลับดำมืดมาโดยตลอดในภาคแรก รวมทั้งการงัดข้อกันอย่างเปยเผยกับยอมรา ราชันย์แห่งนรกอย่างเป็นทางการ ถึงขนาดทำให้ทั้งปรโลกต้องสั่นสะเทือน

โดยกุญแจสำคัญคือเทพประจำบ้านจอมเก๋าที่คอยปกป้องมนุษย์จากการกระทำของเทพนอกรีต และมีเหตุสำคัญให้ต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับภารกิจในครั้งนี้ และก็เป็นเขาอีกเช่นกัน ที่ทำให้ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดของยมทูตทั้ง 3 คน ถูกปลุกขึ้นมา

รวมตัวซูเปอร์สตาร์เกาหลี ผนึกกำลังฝ่าด่านนรก

นำทีมโดย “มาดงซอก” จอมขโมยซีนตลอดกาลที่น่าจะเป็นเพียงคนเดียวในเรื่องที่แย่งชิงความโดดเด่นจากซูเปอร์สตาร์อย่างกงยู ในเรื่อง Train to Busan มาได้ ครั้งนี้เขารับบทเป็น “ซองจูชิน” เทพประจำบ้านที่คอยปกป้องมนุษย์จากเทพนอกรีตอยู่บนโลก จริงๆ ผู้กำกับแอบเซอร์ไพรส์คนดูด้วยการให้เขาปรากฏตัวออกมาในช่วงท้ายของภาคแรก และแน่นอนว่าการออกมามีบทบาทแบบเต็มๆ ของเขา ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังแน่นอน

โลกหลังความตาย

ต่อด้วยทีมยมทูต 3 คนที่ยังร่วมมือกันแบบฟูลทีม นำโดย “ฮาจองอู” นักแสดงมือรางวัลจาก The Yellow Sea และ The Handmaiden ในบทบาทหัวหน้ายมทูตคัง ลิมที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายของตัวเองประสบความสำเร็จ

โลกหลังความตาย

“จูจีฮุน” ซูเปอร์สตาร์จากซีรีส์ฮิต Princess Hours ในบทบาทยมทูต “เฮวอนเมก” เทพสายบู๊ที่คอยปกป้องทุกคนในทีมจากอันตรายต่างๆ และความทรงจำอันเจ็บปวดที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา จะทำให้ ‘น้ำตา’ ของยมทูตจอมแกร่งที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดต้องหลั่งออกมาเป็นครั้งแรก

โลกหลังความตาย

“คิมฮยางกี” นักแสดงสาวที่กำลังมาแรงจากเรื่อง Snowy Road ในบทบาท “ยมทูตดัคชุน” เทพแห่งมันสมองที่มีความสามารถในการค้นอดีตของดวงวิญญาณที่เพิ่งเสียชีวิต เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ ‘ว่าความ’ ให้ดวงวิญญาณนั้นผ่านการตัดสินจากนรกแต่ละชั้นไปได้

โลกหลังความตาย

ต่อด้วยฝั่งตัวแทนจากนรก ที่มี “อีจุงแจ” หนุ่มมาดเข้มจาก New World ในบทบาท “ราชันย์ ยอมรา” ผู้นำแห่งนรกที่เป็นผู้ตัดสินทุกอย่างเด็ดขาดในขั้นสุดท้าย ในภาคที่แล้วเราจะเห็นเขาปรากฏตัวออกมาเป็นบางครั้ง และทุกอย่างในตัวเขาดูเป็นความลับไปหมด แต่ครั้งนี้เมื่ออดีตที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ถูกเปิดเผยออกมา เราจะได้รู้กันว่าเหตุผลในการมีอยู่ของตัวเขา และภายใต้นรกทั้ง 7 นั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่

โลกหลังความตาย

ปิดท้ายด้วยคนที่เป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจฝ่านรกทั้ง 7 คือ “คิมดงอุค” จากซีรีย์ยอดฮิต The 1st Shop of Coffee Prince ในภาคที่แล้วตัวละครของเขา “คิมซูฮง” เสียชีวิตและกลายเป็นวิญญาณเคียดแค้นจนเกือบทำให้ภารกิจส่งดวงวิญญาณของพี่ชายล้มเหลว ครั้งนี้ต้องเป็นเขาที่ถูกพิพากษาจากบาปทั้ง 7 ประการ แค่นั้นยังไม่พอ เขาเองยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยมทูตทั้ง 3 ต้องเปลี่ยนบทบาทจาคนให้ความช่วยเหลือ กลายมาถูกตัดสินชะตากรรมบางอย่างไปด้วย

โลกหลังความตาย

และนี่คือความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ พบกับปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งเอเชีย ได้ใน Along with the Gods: The Last 49 Days ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า 2 9 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์


ภาพและข้อมูลจาก : สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล

สามีแห่งชาติ

อย่าดูถูกเด็กอ้วนนะ! 5 หนุ่มจ้ำม่ำในวันนั้นกลายเป็น สามีแห่งชาติ ในวันนี้

Alternative Textaccount_circle
สามีแห่งชาติ
สามีแห่งชาติ

อย่าดูถูกเด็กอ้วนในวันวาน! มาดูภาพในวัยเด็กของ 4 นักแสดงหนุ่ม ที่เปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยการตั้งใจลดน้ำหนัก หล่อขึ้นจนสาวกรี๊ด! สามีแห่งชาติ

การลดความอ้วนเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก หลายครั้งที่สาวๆ และ หนุ่มๆ  มีความตั้งใจอยากลดน้ำหนักแต่กลับทำไม่ได้ แถมบางครั้งนอกจากไม่สำเร็จแล้วน้ำหนักยังเพิ่มขึ้นด้วย แหม่…มันช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก

ในขณะที่มีคนล้มเหลวกับการลดน้ำหนัก แต่ก็มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จ งานนี้นอกจากจะสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเอง ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นด้วย ซึ่งวันนี้ “แพรวดอทคอท” ขอพูดถึง 4 หนุ่มหล่อ ระดับสามีแห่งชาติ  “นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ”,“อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ”,“แกงส้ม-ธนทัต ชัยอรรถ”, “ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี” และ “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ”สามี2018 ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้สำเร็จจากวัยเยาว์ที่ถูกว่าว่าเป็นเด็กอ้วน แต่ในตอนนี้พวกเขากลายเป็นหนุ่มหุ่นดีที่สาวๆ กรี๊ดทั้งเมืองไปแล้ว


นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ

สามีแห่งชาติ

พระเอกหนุ่มรูปหล่อขวัญใจสาวๆ “นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ” เริ่มเข้าวงการตั้งแต่วัยเยาว์จากการที่มีคุณแม่เป็นคนในวงการบันเทิง จึงทำให้มีภาพของเขาปรากฏตามสื่ออยู่เสมอ และภาพของเด็กชายร่างท้วมผมหยิกก็เป็นภาพที่หลายๆ คนจดจำเขาได้อย่างดี จนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นความหล่อของหนุ่มคนนี้เตะตาเข้าอย่างจังเพราะไม่เหลือคราบของเด็กชายอ้วนๆ เลย ซึ่งผลของรูปร่างที่ดีก็ไม่ได้มาจากไหน แต่มาจากการออกกำลังกายของเขา แค่เลือกกีฬาที่ชอบและมีความสุขกับมันก็สามารถทำให้เขาไปถึงเป้าหมายได้อย่างไม่ยากเย็น


อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ

สามีแห่งชาติ

ในรายการ “ตีท้ายครัว” ได้เปิดเผยรูปของ “อาเล็ก”ในสมัยท้วมๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ตกใจกับรูปร่างของตัวเองในตอนนั้นทั้งยังบอกว่า “ผมเกือบจำตัวเองไม่ได้เลย” โดยนักแสดงหนุ่มเปิดเผยว่าตนเองเป็นคนที่น้ำหนักเยอะมาตั้งแต่เด็ก จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผอมก็ตอนที่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นน้ำหนักถึง 95 กิโลกรัม ได้รับคัดเลือกให้เป็นลีดจุฬาฯ ทำให้บังคับลดน้ำหนักไปโดยปริยาย บอกกับเรียนด้านวิทย์กีฬามีวิชาที่ต้องออกกำลังกายและโภชนาการก็เลยทำให้หุ่นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันแม้หุ่นจะฟิตแล้วแต่”อาเล็ก”ก็ยังดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยบ้านใหม่ของเขายังมีพื้นที่ออกกำลังกายมากมาย แถมในรั้วยังมีสนามบาสเป็นของตัวเองอีกด้วย มีวินัยสม่ำเสมอแบบนี้รับประกันว่าความอ้วนไม่ถามหาแน่นอน


แกงส้ม-ธนทัต ชัยอรรถ

สามีแห่งชาติ

อีกหนึ่งคนที่ประสบความสำเร็จจากการลดน้ำหนักก็คือนักร้องหนุ่ม “แกงส้ม-ธนทัต ชัยอรรถ” ในตอนเด็กๆ แกงส้มเคยเป็นหนุ่มอ้วนมาก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเมนูโปรด ไข่พะโล้ ฝีมือคุณพ่อที่อร่อยมากหรือเปล่าเลยทำให้เขากลายเป็นหนุ่มท้วม ทว่าหลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการออกกำลังกาย แม้วันนี้อาหารโปรดของเขาจะเป็นไข่พะโล้ไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการออกกำลังกายให้มากขึ้นเพื่อที่จะชิมฝีมือของคุณพ่อต่อไปให้ได้นั่นเอง


ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี

สามีแห่งชาติ

 ต่อกันที่ “ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี” พระเอกหนุ่มจากช่อง Gmm  ที่เจ้าตัวบอกว่าสมัยที่เรียนชั้นประถมศึกษาเคยเป็นเด็กที่อ้วนมากกกกก และน้ำหนักมักจะเพิ่มขึ้นในหลังจากช่วงปิดเทอมเสมอ จนกระทั่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 “ทอย” อกหักจากสาวจึงคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นด้วยการออกกำลังกาย ซึ่ง “ทอย” ทำมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งน้ำหนักลดจาก 78 กิโลกรัม เหลือเพียง 67 กิโลกรัมเท่านั้น


ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ

สามีแห่งชาติ

สำหรับคนสุดท้ายคือหนุ่มฮ็อตที่กกำลังเป็นขวัญใจของสาวๆอยู่ในขณะนี้ “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” หรือ “บอสวศิน” แห่งละครเรื่อง เมีย2018 โดยเมื่อเร็วๆนี้มีรูปภาพในวัยเด็กของหนุ่มหล่อยิ้มกระชากใจออกมาผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะในภาพนั้นเป็นรูปของเด็กชายหุ่นจ้ำม่ำที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านั่นคือสามี 2018 ที่สาวๆ กำลังพูดถึง เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากลดน้ำหนักจริงๆ


 

หมดปัญหาเลือก Make-up อยากสวยเหมือนใครก็ได้ ด้วยระบบ AR & AI

หมดปัญหาเลือก Make-up อยากสวยหมือนใครก็ได้ ด้วยระบบ AR & AI…เคยเห็นภาพของดารานักแสดงที่เราชอบ แล้วอยากแต่งหน้าสวยๆ เหมือนเขากันไหมคะ?

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าต้องไป จิ้มนิด ฉีดหน่อย หรือถึงขั้นศัลยกรรม เพื่อให้มีโครงหน้าแบบคนดังกันซะก่อน ถึงจะบอกตัวเองว่าสวยแบบนั้นได้ แต่ปัจจุบันโลกเราหมุนไปไวมากค่ะ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่พร้อมจะทำให้เราสวยแบบไม่ต้องเจ็บตัวอีกต่อไป

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราจะคุ้นเคยกับการแต่งหน้าด้วย 3D Virtual Make-up หรือ 3D Mirror จากหลายๆ แบรนด์เครื่องสำอางค์ระดับโลก เช่น การทดลองเลือกสีของเมคอัพ ให้เข้ากับสีผิว แต่จะเสียเวลาที่ต้องต้องค่อยๆ กดเลือกหาสีที่ใช่ไปทีละสี

 

หมดปัญหาเลือก Make-up อยากสวยหมือนใครก็ได้ ด้วยระบบ AR & AI

ชีวิตเราจะสวยขึ้นและง่ายขึ้นแล้วค่ะ เพราะในอนาคตอันใกล้วงการอุสาหกรรมบิวตี้จะเกิดการปฎิวัติครั้งใหญ่ด้วยการนำเทคโนโลยี AR และ AI เข้ามาใช้มากขึ้น เน้นไปที่การแต่งหน้าเฉพาะบุคคลมากขึ้น แต่จะทำได้ยังไงนั้นมาดูกันค่ะ

√ หา Reference ชัดเจนที่เราอยากจะแต่งหน้าแบบคนนั้น และภาพหน้าตรงของตัวเอง

√ ระบบจะคัดลอกภาพของทั้งสองฝั่ง ด้วยการเทียบใบหน้าของคุณและภาพต้นแบบที่เลือกมา

√ ระบบจะประมวลผลการแต่งหน้าของภาพต้นแบบ เน้นเฉพาะ คิ้ว ตา จมูก ปาก และนำมาวางบนใบหน้าของคุณ

√ ลุคที่ได้จะสร้างความแต่งต่าง ทั้งก่อนและหลังแต่งหน้าให้กับคุณ โดยจะมีลักษณะการแต่งหน้าที่คล้ายกับภาพต้นแบบ

 

ต่อไปนี้ผู้หญิงทุกคนจะสามารถแต่งหน้าสวยเลอค่าแต่ดูธรรมชาติแบบเจ้าหญิงเคท มิดเดิลตัน ก็ได้ จะแต่งตาให้คมสวยเซ็กซี่เหมือน อั้ม-พัชราภา ก็ง่ายทันใจนิดเดียวค่ะ ซึ่งเราจะยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้กันนะคะ แต่มันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่ตอบสนองความต้องการของผู้หญิงยุคนี้อย่างรวดเร็วมากๆ

และในอนาคตทิศทางของการปฎิวัติวงการบิวตี้ คงจะต้องติดตามดูที่ ลอรีอัล เพราะมีการซื้อกิจการ ModiFace ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญยักษ์ใหญ่ในด้านเทคโนโลยีความงามเรื่อง AR และ AI ซึ่งน่าจะทำให้เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ Make-up ต่างๆ ได้เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดค่ะ

โพเอม

กองทัพคนดังรวมตัว! บุกแฟชั่นโชว์ครบรอบ 12 ปี ‘โพเอม’ ญาญ่า-อุรัสยา เดินฟินาเล่ปิดโชว์

โพเอม
โพเอม

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 อย่างงดงาม สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าสตรีหรู ‘โพเอม’ (POEM) ที่ครองใจเหล่าแฟชั่นนิสต้ามาอย่างยาวนาน โดยล่าสุด ฌอน-ชวนล ไคสิริ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ได้เนรมิตรันเวย์ต้อนรับฤดูกาลออทั่ม/วินเทอร์ 2018 อวดโฉมเสื้อผ้าดีไซน์ล่าสุด โดยนำเสนอแรงบันดาลใจจากแสงเงาและสุนทรียะความงดงามของดวงจันทร์ ผ่านเส้นสายการออกแบบเสื้อผ้าอันประณีตบรรจงในคอลเล็คชั่นที่มีชื่อว่า ‘เทล ออฟ เดอะ ลูมิเนรี่’ (Tale of the Luminaries) นิทานพระจันทร์: วัฏจักรแห่งแสงและอารมณ์ผู้หญิง ให้เหล่าแฟนคลับแบรนด์ได้ยลโฉมพร้อมกันอย่างใกล้ชิดท่ามกลางบรรยากาศการชมความงดงามของดวงจันทร์ โดยมีนักแสดงสาวชื่อดัง ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในชุดฟินาเล่สุดอลังการ

ฌอน-ชวนล ไคสิริ กล่าวถึงแนวคิดหลักของการออกแบบเสื้อผ้าคอลเล็คชั่นนี้ว่า “คอลเล็คชั่นนี้เราได้หยิบยกเอาเรื่องราวของพระจันทร์มาร้อยเรียงผ่านปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่มีความงดงามและน่าจดจำ โดยหนึ่งปรากฏการณ์ที่ถูกนำมาใช้เป็นไอเดียหลักของการทำเสื้อผ้าครั้งนี้ก็คือซูเปอร์บลูมูนสีเลือด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงที่เคลื่อนเข้าใกล้โลกมากเป็นพิเศษ จึงทำให้เราเห็นพระจันทร์ดวงโตและสว่างขึ้นกว่าปกติ และเมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เราจึงมองเห็นพระจันทร์เป็นสีเลือด รวมถึงเรื่องของพลังธาตุที่ถูกนำมาสร้างสมดุลให้กับงานดีไซน์ชุดผ่านการเลือกใช้เฉดสีที่ลงตัว ซึ่งความมหัศจรรย์เหล่านี้ทำให้เรามองเห็นความงดงามของธรรมชาติในหลากหลายแง่มุมขึ้น เปรียบได้กับอารมณ์และคาแร็คเตอร์ของผู้หญิงที่มักมีความโดดเด่นในแบบของตัวเองที่ทำให้รู้สึกน่าค้นหาอยู่เสมอ”

ฌอน-ชวนล ไคสิริ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ แบรนด์ POEM

นอกจากปรากฏการณ์ซูเปอร์บลูมูนสีเลือดแล้ว แสงเงาและพลังธรรมชาติที่เชื่อมโยงถึงกันยังร่วมสร้างมิติความงามชวนมองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาบนท้องฟ้า ไปจนถึงการตกผลึกของหินแร่ใต้พื้นดิน ซึ่งเมื่อมองผ่านสายตาของคนที่รักการถ่ายภาพอย่างครีเอทีฟไดเร็คเตอร์ฝีมือเฉียบ ฌอน-ชวนล ไคสิริ แล้ว ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้ ย่อมให้มิติความงดงามที่แตกต่างและน่าสนใจอย่างแน่นอน

โดยในคอลเล็คชั่นออทั่ม/วินเทอร์ 2018 ‘เทล ออฟ เดอะ ลูมิเนรี่’ (Tale of the Luminaries) นิทานพระจันทร์ : วัฏจักรแห่งแสงและอารมณ์ผู้หญิง ทางทีมดีไซน์ได้บรรจงถ่ายทอดความงดงามของพระจันทร์ผ่านรูปทรงวงกลมที่เปรียบเสมือนรากฐานสำคัญของ ‘โพเอม’ (POEM) ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นเส้นสายที่ทีมออกแบบได้ใช้สร้างสรรค์ชิ้นซิกเนเจอร์ประจำแบรนด์อย่างกระโปรงวงกลม ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้หญิงเคลื่อนย้ายสรีระได้อย่างสะดวก และสง่างาม รวมถึงเกาะอกคอร์เซ็ททรงโค้ง, มินิสเกิร์ตทรงวงกลม และเดรสคอเว้า ไอเท็มเด่นที่สร้างคาแร็คเตอร์ให้หญิงสาว ‘โพเอม’ (POEM) โดดเด่นและน่าจดจำโดยเสมอมา

ซึ่งในซีซั่นนี้ทางแบรนด์ยังได้สร้างสรรค์ชิ้นแฟชั่นสำหรับเหล่าแฟชั่นนิสต้าอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดรสทรงสอบผ้ากำมะหยี่ที่เหมาะสำหรับฤดูหนาว สร้างเสน่ห์ให้วันธรรมดาด้วยเสื้อแขนยาวคอปาดลึก พร้อมขับเน้นส่วนโค้งเว้าด้วยบอดี้สูทผ้าตาข่ายแบบพิเศษ (Power Mesh) แมทช์กับกระโปรงวงกลมผ้าตาข่ายเนื้อนิ่ม (Tulle) มอบสัมผัสเบาสบายเมื่อสวมใส่ และเสื้อคลุมสไตล์ชุดคลุมอาบน้ำที่ตัดเย็บจากผ้าวูล ซึ่งคัดสรรเนื้อผ้าวูลชนิดอุ่นกำลังดีและมีน้ำหนักเบา

ถ่ายทอดความสวยงามของแสงเงาผ่านเทคนิคการพิมพ์ไล่สี (Ombre) ที่ใช้แทนการย้อมสี เพราะการย้อมจะไม่สามารถควบคุมการซึมของสีบนกระโปรงให้ออกมาสวยงามได้ โดยลายพิมพ์เด่นประจำซีซั่นนี้เกิดจากสีของแสงเงาอย่างสีขาวและสีดำที่ถูกดีไซน์ให้เป็นลวดลายฮาวส์ทูธ (Houndstooth) พร้อมสร้างความโก้หรูให้ฤดูกาลออทั่ม/วินเทอร์ 2018 นี้ ด้วยเฉดสีทรงพลังอย่างสีดำเข้ม (Super black) รวมถึง สีน้ำเงิน (Navy Blue) และสีน้ำเงินหม่น (Midnight Blue) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธาตุน้ำและตัดกับเฉดสีจากธาตุไฟ อย่างสีชมพู, สีแดงสด และสีแดงเลือดนก (Maroon)

โดยแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเหล่าเซเลบริตี้แฟนคลับแบรนด์ รวมถึงนักแสดงชื่อดังตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง จะมีใครบ้าง มาส่องกันเลย

เข็มอัปสร สิริสุขะ

 

กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล

 

มารี เบิร์นเนอร์

 

สู่ขวัญ บูลกุล

 

แอน ทองประสม

 

แอน ทองประสม, เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ

 

วิชญาณี เปียกลิ่น

 

อุษามณี ไวทยานนท์

 

สุชาร์ มานะยิ่ง

 

นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ

 

นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร, เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, ณัฐฐชาช์ บุญประชม

 

เดียร์น่า ฟลีโป, สู่ขวัญ บูลกุล, เข็มอัปสร สิริสุขะ

 

กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล, วริฏฐิสา ลิ้มธรรมมหิศร

 

อุษามณี ไวทยานนท์, พิมพ์ทอง วชิราคม

 

ปาวา นาคาศัย, เขริกา โชติวิจิตร, ซอนญ่า-ภิรญา สิงหะ

 

จินต์ - จงจินต์ จึงสุระ

แง้มทริคหน้าเด็กจากเซเลบสาว “จินต์ – จงจินต์ จึงสุระ” เจ้าแม่เครื่องประดับมุกแท้

Alternative Textaccount_circle
จินต์ - จงจินต์ จึงสุระ
จินต์ - จงจินต์ จึงสุระ

แพรวดอทคอม มีอีกหนึ่งเทคนิคการดูแลผิวหน้ามาแชร์กันค่ะ จากเซเลบสาวสวย “จินต์ – จงจินต์ จึงสุระ” ที่หลายคนกล่าวขานว่าเธอคือ “เจ้าแม่เครื่องประดับมุก” ไม่น่าเชื่อว่าเธอเคยประสบปัญหาเรื่องสิวเยอะ แต่วันนี้เป็นเจ้าของผิวหน้าใสกิ๊ง

แง้มเคล็ดลับหน้าเด็กจากเซเลบสาว “จินต์ – จงจินต์ จึงสุระ” เจ้าแม่เครื่องประดับมุกแท้

Bye Bye Acne

“จินเคยมีปัญหาผิว คือเป็นสิวเยอะสมัยวัยรุ่น อาจด้วยเพราะวัยฮอร์โมน ความเครียด แต่ทุกวันนี้ไม่มีปัญหาเหล่านี้มากวนใจแล้วค่ะ เพราะได้เคล็ดลับเด็ดจากเพื่อนชาวเกาหลีแนะนำให้ใช้แบรนด์ Derma Trinity The 3.0 เวชสำอางซึ่งมีขายในคลีนิกผิวหนังของที่นั่น เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะสิว จินซื้อมาทั้งเซตการดูแลผิว”

“เริ่มจากล้างหน้าด้วย Derma Trinity The 3.0 Bio Cleansing Water โดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อเลี่ยงปัญหาผิวอุดตันหากล้างหน้าไม่สะอาดพอ วิธีใช้คือ เทผลิตภัณฑ์ ใส่สำลีแล้วเช็ดหน้าให้ทั่ว จนกว่าคราบเครื่องสำอางจะหมดเกลี้ยง แล้วใช้ Cha Ling Cleansing Powder โฟมครีมทำความสะอาดหน้าในรูปแบบผง โดยเทผงผลิตภัณฑ์บนฝ่ามือ ใช้แปรง Cha Ling จุ่มน้ำ ถูวนจนเนื้อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนเป็นโฟมครีม จึงค่อยใช้แปรงถูวนทั่วใบหน้า ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด”

“ส่วนขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า จินเริ่มจากการใช้โทนเนอร์ Derma Trinity The 3.0 Bio Toner โดยเทลงบนฝ่ามือ ถูเบาๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ กดให้ทั่วใบหน้า เป็นเทคนิคที่เพื่อนชาวเกาหลีสอนมา ไม่ใช้สำลีเช็ดตามแบบที่คนทั่วไปทำกัน วิธีนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ซึ่งโทนเนอร์ของแบรนด์นี้มีส่วนผสมที่เข้มข้นมาก ใช้ช่วงแรกอาจมีอาการแสบแดงเล็กน้อย แพทย์เกาหลีแนะนำว่า หากเกิดอาการแสบให้ใช้ Derma Trinity The 3.0 Bio Essence ก่อน แล้วค่อยตามด้วยโทนเนอร์สัก 2 สัปดาห์ การใช้เอสเซ้นส์ก็ทำเช่นเดียวกันคือ ใช้มือกดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า และจบที่ Derma Trinity The 3.0 Bio Cream เป็นครีมบำรุงเนื้อเข้มข้น หากเรามีผลิตภัณฑ์หลายตัว ควรเรียงลำดับ การใช้จากเนื้อสัมผัส เริ่มจากผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำ เนื้อเหลว และเนื้อครีม เพื่อการซึบซาบที่มีประสิทธิภาพ”

Everyday with Jin

“ทุกเช้าตื่นมาจินต้องดื่มน้ำผัก 1 แก้ว เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยเรื่องการขับถ่ายและสุขภาพผิว สำหรับผิวหน้า ในตอนเช้าผิวยังไม่ได้สกปรกมากนัก การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอาจทำให้ผิวหน้าของเราแห้งมากขึ้น จินจึงล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วฉีดสเปรย์น้ำแร่ แบรนด์ฝรั่งเศส Buly Eau Superfine หรือ Caudale Beauty Elixir สลับกัน ชอบที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ทั้งสมุนไพร ดอกไม้นานาชนิด ช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ไม่ขาดน้ำ ตามด้วยทาครีมบำรุงผิว แล้วจึงค่อยแต่งหน้า”

“จินเดินทางบ่อย ทำให้ต้องเจอกับช่วงเวลาเร่งรีบ สาวๆ ที่เจอ ปัญหานี้หรือไม่ค่อยมีเวลา จินแนะนำให้ต่อขนตา จะช่วยประหยัดเวลา ได้ทั้งตอนแต่งหน้าและตอนล้างเครื่องสำอาง ซึ่งปัญหาใหญ่ของผู้หญิง คือมาสคาร่ากันน้ำ และการล้างต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันการต่อขนตาช่วยได้มากจริงๆ ค่ะ เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง”

“คิ้วคืออีกสิ่งหนึ่งที่ดูแลเป็นพิเศษ จินมีขนคิ้วเยอะ จึงไม่มีปัญหา เรื่องการเขียน แค่ต้องคอยตัดตกแต่งอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เดินทางไป ต่างประเทศต้องออกตามหาร้านเสริมสวยเพื่อไปใช้บริการเกี่ยวกับคิ้ว ทั้งหลาย เช่น การแว็กซ์ ตกแต่งคิ้ว หรือย้อมสีคิ้ว ซึ่งแต่ละประเทศ ก็มีเทคนิคแตกต่างกันไป หากเป็นประเทศโซนยุโรปมักนิยมการย้อมสีคิ้ว หรือที่เรียกกันว่า Tinted โดยการทำให้สีคิ้วเข้มหรืออ่อนลงตามความต้องการ คล้ายกับการย้อมสีผม แต่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคิ้ว โดยเฉพาะสำหรับประเทศในแถบตะวันออกกลางมักย้อมสีคิ้วด้วยเฮนน่า (Henna) การย้อมสีเหล่านี้สามารถอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

Recommended Thing

Black & White Hair Dressing Pomade ครีมจัดแต่งทรงผมกลิ่นมะพร้าว จินรู้จักไอเท็มนี้จากเพื่อนเมื่อครั้งไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน เห็นเขาใช้แล้วผมดูสวยตลอดวัน จึงไปตามหามาใช้บ้าง ข้อดีคือ ไม่ทำให้ผมแข็งเป็นก้อน เนื้อสัมผัสบางเบาเหมือนครีมทาผิว ถ้าไม่บอกว่าเป็นครีมจัดแต่งทรงผมก็คงไม่ทราบ ที่สำคัญคือกลิ่นหอมน่าใช้ด้วย


เรื่องและภาพ : นิตยสารแพรว ฉบับ 932 คอลัมน์ BEAUTY SECRET  หน้า 35 – 36

เมคอัพอาร์ติสต์

เลิกรุงรัง! น้องฉัตรสะบัดแปรงใส่เจ๊น้ำคนดัง สวยแบบร้ายๆ สไตล์แม่ค้า4G สุดแซ่บ

Alternative Textaccount_circle
เมคอัพอาร์ติสต์
เมคอัพอาร์ติสต์

เจ๊น้ำมาแล้ว เจ๊น้ำแม่ค้าออนไลน์ลุค 4G สุดแซ่บ เจ้าของวลีเด็ด “วร้ายๆ” อันโด่งดังจนมีผู้ติดตามคลิปไลฟ์สดของเจ๊น้ำเป็นจำนวนมากในโลกโซเชี่ยล รอบนี้ไม่ได้มาแบบ(วร้ายๆ)ธรรมดานะจ๊ะ รอบนี้เจ๊น้ำมาแบบสวยละมุน(วร้ายๆ) เพราะล่าสุด เห็นคลิปเจ๊น้ำไปปรากฎตัวสวย(วร้ายๆ) บนอินสตาแกรมของ น้องฉัตร – ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ เมคอัพอาร์ติสต์ ตัวท็อป บอกเลยว่างานนี้เลิกรุงรังยกหนึ่ง เลยได้เห็นเมคอัพลุคสวยปัง! ของเจ๊น้ำเป็นบุญตา

จากที่ธรรมดาเจ๊น้ำก็สวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เมื่อน้องฉัตรสะบัดแปรงแต่งหน้าใส่ให้ล่ะก็ เจ๊รุงรังมากแค่ไหนก็ไม่รอด!! สวยลืมกันไปข้างเหมือน 2 ลุค ที่แพรวดอทคอม นำมาให้ชมด้านล่างนี้ ลุคผมตรงเมคอัพโทนน้ำตาลนู้ดรับผมสีผม ต้องให้!! สวยแซ่บแสบทรวงมากค่า ส่วนอีกลุคในชุดเดรสขาวสุดเซ็กซี่นั้น มาในเมคอัพโทนพีชรับกับลอนสยายขยายออร่าให้ดูหวานแต่ซ่อนเปรี้ยวแบบ(วร้ายๆ) และถือเป็นการประเดิมความปังในครั้งนี้เจ๊น้ำเลยถือโอกาสเปิดอินสตาแกรมส่วนตัวซะหน่อย เพียงแค่วันแรกที่ลง 3 รูปเท่านั้น ก็ทำให้มียอดผู้ติดตามถึง 97.2k followers เชียวนะ ฮ็อตเว่อร์…

ชมภาพเจ๊น้ำเลิกรุงรัง! เมื่อน้องฉัตรสะบัดแปรงใส่จนสวยแบบร้ายๆ สไตล์แม่ค้า4G สุดแซ่บ

เอาจริงๆ พื้นฐานเจ๊น้ำก็สวยอยู่แล้ว แต่พอได้น้องฉัตรเมคอัพลุคปุ๊ป สวยแรงแบบร้ายๆ ขึ้นมาอีกแยะเลยค่า

 


เรื่อง : PP_แพรวดอทคอม
ภาพ IG : nongchat, rungrang88

กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล

ไขที่มาของ 5 กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล จาก 5 แบรนด์ดัง ที่คุณอาจไม่เคยรู้

กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล
กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล

กระเป๋า…ถือเป็นไอเท็มที่สาวๆ หลายคนเลิฟมากกก เห็นแบรนด์ไหนออกคอลเล็คชั่นใหม่ก็ต้องคอยส่อง คอยเล็งเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ แต่จะสอยมาเก็บไว้ข้างกายหรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่งนะ อิอิ และไม่ว่าจะมีกระเป๋าออกใหม่มาสักกี่รุ่น กี่ใบ หน้าตาหรือดีไซน์จะแปลกแหวกแนวแค่ไหน ก็ยังคงมี กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล ที่ยากจะมีใครมาทำลายสถิติได้ เพราะรุ่นในตำนานเหล่านี้ ต่างเกิดขึ้นจากเรื่องราวที่น่าจดจำมานานนับสิบๆ ปี หรือบางใบก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว จนทุกวันนี้ก็ยังกลายเป็นโมเดลให้กับกระเป๋ารุ่นนั้นๆ ได้แตกหน่อออกไปมีสีสันและหนังที่แตกต่างไม่ซ้ำแบบ แต่ตัวดีไซน์ของกระเป๋าหรือจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ จะไม่มีวันถูกกลบซีนหรือหายไปอย่างแน่นอน

ไหนๆ ก็พูดถึงกระเป๋ารุ่นยอดฮิตที่ยังคงครองใจเหล่าแฟชั่นนิสต้ามาได้อย่างยาวนานแล้ว วันนี้แพรวดอทคอมก็ขอเปิดที่มาของกระเป๋าในตำนานให้ทราบกันสักหน่อย เชื่อว่าครั้งต่อไปที่คุณมองกระเป๋าเหล่านี้ มันจะทำให้รู้สึกพิเศษขึ้น ส่วนวันนี้ It’s bag ใบไหนจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ้าง เรามาอัพเดทกันเลย

 

ไขที่มาของ 5 กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล จาก 5 แบรนด์ดัง 

 

Gucci Bamboo Bag ปี 1947

กระเป๋ารุ่นยอดฮิตตลอดกาล

กระเป๋าหูไม้ไผ่อันโด่งดังของกุชชี่ เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหลายๆ บริษัทในการดำเนินธุรกิจ วัตถุดิบต่างๆ ในประเทศอิตาลี ณ ขณะนั้นหายากมาก ไม่ว่าจะหนังสัตว์ , ผ้า หรือวัสดุอื่นๆ ทำให้กุชชี่ต้องมองหาวัสดุอย่างอื่นมาทดแทน และในขณะนั้นทางอิตาลียังสามารถนำเข้าไม้ไผ่จากประเทศญี่ปุ่นได้ จากนั้นในปี 1947 กุชชี่ก็ได้เปิดตัวกระเป๋าหูหิ้วไม้ไผ่สุดโดดเด่นและแปลกตาขึ้นมาเป็นครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าจากการนำวัสดุมาปรับใช้เพื่อแก้ไขสถานการณ์วัสดุขาดแคลน กลับทำให้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยไอเดียอันชาญฉลาด และส่งผลให้ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

Hermès Kelly ปี 1956

Hermès ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1837 โดยเทียร์รี่ แอร์เมส ชาวฝรั่งเศส แม้จะผ่านไปเป็นร้อยปีแล้ว แต่ Hermès ก็ยังเป็นที่ต้องการของเหล่าคนมีเงิน เพราะความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ยังสามารถครองใจคนไว้ได้ อย่างความเป็นมาของกระเป๋าหนังรุ่น Kelly  ก็มีความพิเศษ เพราะกระเป๋ารุ่นนี้ดังเป็นพลุแตกขึ้นมาในปี 1956 เนื่องจาก เกรซ เคลลี่ หรือเจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโกได้ใช้กระเป๋า Hermès รุ่น Sac à dépêches ซึ่งเป็นชื่อเดิมของกระเป๋า ปิดพระครรภ์ของพระองค์เอาไว้

เมื่อภาพดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกไป ก็กลายเป็นกระแสฮือฮา ทำให้ได้รับความนิยมในหมู่แฟชั่นนิสต้า และไม่นานกระเป๋ารุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อรุ่น Kelly ตามพระนามของเจ้าหญิงเกรซ เอาจริงๆ เป็นชื่อที่เรียกง่ายขึ้นเยอะเลย แถมยังจำได้ง่ายกว่าชื่อเก่าด้วย และในปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้ก็ยังมีออกมาเรื่อยๆ แม้ว่าจะเปลี่ยนโฉมของหนังหรือสีมามากมาย แต่ทรงของกระเป๋ายังคงเป็นแบบเดิมและคลาสสิก ถือเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่กระเป๋าของ Hermès นั้นไม่เคยตกยุค

 

Chanel 2.55 Flap Bag ปี 1955

กระเป๋าของชาเนลที่ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะความไม่พอใจในข้อจำกัดของกระเป๋าหูหิ้วที่ใช้ได้แค่ถือหรือคล้องแขน เนื่องจาก โคโค่ ชาเนล เป็นคนสูบบุหรี่ จึงทำให้ไม่สะดวกเวลาใช้งาน เธอจึงลุกขึ้นมาคิดค้นกระเป๋าผู้หญิงลายควิลต์ที่อัดแน่นไปด้วยช่องใส่ของกว่า 7 ช่อง พร้อมสายสะพายไหล่ทำจากสายโซ่ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากกระเป๋าสะพายของทหาร ถือเป็นการนำเสนอกระเป๋ารูปแบบใหม่ที่เน้นทั้งความสวยงามและการใช้งาน ช่วยปลดเปลื้องความไม่สะดวกสบายของสาวๆ และเปลี่ยนลุคของพวกเธอไปจนสิ้น นั่นคือที่มาของ 2.55 กระเป๋าชาเนลใบแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1955

 

Christian Dior , Lady Dior Bag ปี 1995

ไม่ใช่แค่ Hermès Kelly เท่านั้นที่มีความเกี่ยวข้องกับสมาชิกในราชวงศ์ เพราะกระเป๋ารุ่นท็อปฮิตตลอดกาลของ Dior อย่าง Lady Dior ก็มีที่มาจากสมาชิกในราชวงศ์เช่นกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ว่าใครก็รู้จักกันดี นั่นคือ เจ้าหญิงไดอาน่า ในช่วงปี 1995 เจ้าหญิงไดอาน่าทรงหยิบกระเป๋าที่ได้รับมา ขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกช่วงเดือนตุลาคม ขณะเสด็จฯ ไปเยี่ยมเด็กๆ ในเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ด้วยฉลองพระองค์และกระเป๋าใบเด่นจาก Christian Dior และทรงถือกระเป๋าใบนั้นอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าเป็นกระเป๋าที่ทรงโปรดมากที่สุดเลยก็ว่าได้

ทำให้ทุกครั้งที่สื่อเก็บภาพของพระองค์ได้ เจ้ากระเป๋าใบเก่งก็จะติดอยู่ในเฟรมด้วยตลอด ทำให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าต่างอื้ออึงถึงกระเป๋าใบนั้นกันไม่น้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นกระเป๋าที่ไม่ว่าใครก็พูดถึง จากนั้นไม่นาน Christian Dior เลยตั้งชื่อกระเป๋ารุ่นนี้ว่า Lady Dior เพื่อเป็นเกียรติแด่เจ้าหญิงไดอาน่า และต้องบอกว่าเฉพาะกระเป๋ารุ่นนี้มียอดขายถึง 200,000 ใบ ในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ตอนนี้ Lady Dior ก็ยังคงได้รับความรักอย่างท่วมท้นไม่มีเปลี่ยน

 

Balenciaga Motorcycle Bag ปี 2001

Motorcycle bag เกิดขึ้นในปี 1999 จากการออกแบบของ Nicolas Ghesquière แต่ทางทีมผลิตของ Balenciaga กลับปฏิเสธที่จะทำกระเป๋าใบนี้ออกมา เพราะกระเป๋ามีทรงที่ย้วยและนิ่มเกินไป แต่แล้วผู้ที่เล็งเห็นและชื่นชอบในกระเป๋ารุ่นนี้ก็คือนางแบบดัง Kate Moss  เธอได้มาเห็นกระเป๋าใบนี้ในวันฟิตติ้ง เพื่อเดินแบบให้กับ Balenciaga เธอมองว่ามันเป็นกระเป๋าที่มีสไตล์ แต่ด้วยทรงกระเป๋าที่ให้ความรู้สึกวินเทจนิดๆ บวกกับการที่มันไม่มีโลโก้แบรนด์ติดอยู่บนกระเป๋า จึงทำให้เธอคิดว่ามันถูกซื้อมาจากร้านขายของเก่า แต่เมื่อเธอรู้ว่ามันเป็นกระเป๋าของ Balenciaga ที่ถูกออกแบบโดย Nicolas Ghesquière เธอก็รู้สึกตื่นเต้นกับดีไซน์ที่แปลกตา ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และคิดว่ามันน่าจะเป็นกระเป๋าที่ฮ็อตมากๆ หากได้ถูกผลิตขึ้นมา

จนในที่สุด Nicolas Ghesquière ก็ได้ขอร้องให้ Balenciaga ผลิตกระเป๋ารุ่นนี้ออกมาได้สำเร็จ ซึ่งในช่วงแรกก็ได้ผลิตออกมาเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น เพื่อขายให้กับเหล่าดาราและนางแบบที่สนใจอยากได้ แต่ต่อมาความต้องการกระเป๋าใบนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทำให้ Balenciaga ต้องผลิตกระเป๋นรุ่นนี้ออกมาเป็นจำนวนมากในทุกๆ ปี จนกลายมาเป็นกระเป๋ารุ่นคลาสสิกที่ยังคงฮิตติดลมบนมาจนถึงทุกวันนี้


ที่มา : www.purseblog.comBALENCIAGAposts

ภาพ :  www.purseblog.com , ladyomatic.com

‘เจ้าชู้ จนเจอของแข็ง ไปสอยคนที่มีเจ้าของแล้ว’ ดูดวงรายวัน 3 สิงหาคม 2561

ดูดวงรายวัน 3 สิงหาคม 2561 #ป้าเนาว์พยากรณ์ แม่นเป๊ะสายแข็ง ทั้งการงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน :  เหมาะกับงานที่ต้องใช้วาจาในการติดต่อประสานงาน หรือเป็นธุรกิจส่วนตัวที่ทำที่บ้าน ซึ่งท่านคาดหวังความสำเร็จเกิน 100 ก็มีปัญหาขลุกขลักอยู่ตลอด ท่าจะให้ดีก็คือ ต้องหาเพื่อนที่รู้ใจ หรือคนที่มีฝืมือมาช่วยจะทำให้งานผ่านไปได้ด้วยดี

การเงิน :  วันศุกร์ต้นเดือนท่านช็อปเพลินเลย เลี้ยงเพื่อนเพื่อเสริมบารมี แต่ไม่ควรค้ำประกัน หรือทำสัญญากู้ยืมเงินแทนบุคคลอื่น เพราะมีโอกาสผิดพลาดสูง

ความรัก : อารมณ์ท่านขึ้นลงเร็วมาก อีโก้และความเชื่อมั่นในตัวเองสูง จึงทำให้ท่านอาจทะเลาะกันเรื่องการที่จะเปิดธุรกิจที่บ้าน  เพราะไม่หันหน้าเข้าหากัน ต้องการเอาชนะ หากเป็นเช่นนี้คงได้เปิดหรอก  คนโสด  เนื้อหอมมีคนมาติดพันมากมาย วันนี้อาจมีข่าวดีประกาศสละโสด

สุขภาพ :  โรคหัวใจเป็นปัญหาใหญ่ของท่าน จึงควรหมั่นออกกกำลังกายและพบแพทย์

เพื่อลดอัตราเสี่ยง

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์       

การงาน :  ความคิดจินตนาการของท่านฟุ้งไปไกลจนไม่มีใครตามทัน เพราะฉะนั้นท่านควรออกมาทำเป็นงานส่วนตัวหรือโครงการพิเศษดีกว่า  หรือเป็นนายหน้าขายบ้านคอนโดฯ ก็รุ่ง

การเงิน : ท่านหมดเงินไปกับการช่วยเหลือเพื่อนฝูง ญาติสนิท และซื้อของสวยงามตามใจตัวเอง

ความรัก : อารมณ์ท่านขึ้นลง เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนนี้ท่านกำลังมีโครงการเป็นนายหน้าเกี่ยวกับบ้านที่ดิน อสังหาฯ และคอนโด ไม่แน่อาจเกิดเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว แต่ควรวางแผนให้ดี ไม่เช่นนั้นท่านอาจตัดสินใจผิดพลาดได้ คนโสด  ท่านชอบอยู่ท่ามกลางสังคมมากกว่าอยู่กับแฟน

สุขภาพ : ระวังระบบเลือดและต่อมน้ำเหลือง อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยทำให้เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดได้ง่าย

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน  :  ท่านกำลังสร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับองค์กร อาจต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่ไม่ถูกต้อง หรือสถานบันเทิง ต้องยอมรับว่า ทำงานใหญ่ ย่อมมีปัญหาและอุปสรรคแน่นอน ซึ่งท่านก็มีไฟในการทำงานอย่างแรงกล้า แต่ก็จะประสบความสำเร็จด้วยความรู้ ความสามารถของตัวเองเป็นหลัก

การเงิน :  ได้มาจากการทำงานเป็นหลัก โดยเฉพาะมีโชคในการเดินทาง ซึ่งท่านก็ใช้ไปกับกินดื่มเที่ยว ประมาณ Work hard-Play harder

ความรัก :  ท่านได้คู่แท้ที่ส่งเสริมกันในหน้าที่การงาน ความรัก และอนาคต คนโสด ท่านให้ความสำคัญในการเลือกคู่มาก คาดหวัจนดูเหมือนคนไม่มีหัวใจ

สุขภาพ :  ควรดูแลเรื่องการขับถ่าย อย่ากลั้นปัสสาวะ จะทำให้ท่านเป็นโรคกรวยไตและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ นอกจากนี้ควรระวังเรื่องอุบัติเหตุ ห

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน  :  ท่านจะได้บุกเบิกงานใหม่ที่ท้าทาย แข่งขันสูง แต่จะได้ค่าตอบแทนสูงกว่าในระยะเวลาอันใกล้ อาจเกี่ยวกับงานในสถานบริการ งานกลางคืน ซึ่งท่านคาดหวังความสำเร็จเกิน 100  จะบอกว่าไม่มีปัญหาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรหาเพื่อนรู้ใจฝีมือดีมาช่วยด้วยดีกว่า

การเงิน : หาเงินเก่ง มีไหวพริบในการหาเงินทุกรูปแบบ แต่อาจต้องหมดเงินไปกับการเลี้ยงเพื่อนเพื่อเสริมบารมีหน่อย

ความรัก : จะให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันมาก แต่จากทิฐิ ความเชื่อมั่นในตัวเองที่พอทะเลาะกัน ท่านมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองจึงทำให้คู่อาจมีแวบนอกใจไปได้  คนโสด ท่านทำตัวโดดเด่น รักสวยรักงาม เจ้าชู้ แต่วันนี้อาจเจอของแข็ง ไปสอยคนที่มีเจ้าของแล้ว

สุขภาพ :  ระวังโรคภูมิแพ้ และผิวหนังอักเสบ มีโอกาสเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับเชื้อราในผ้าได้

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน  :  กำลังจะริเริ่มทำงานที่แปลกใหม่ ท้าทายความสามารถของท่านในระยะเวลาอันใกล้นี้ เป็นงานที่ต้องพลิกแพลงหรือใช้กลยุทธ์ต่างๆ วาจาคำพูดจะนำมาซึ่งชื่อเสียงและเงินทอง ทำงานได้หลากหลายอาชีพจนถึงหมอดู ยิ่งอาชีพนายหน้าค้าที่ดินเหมาะที่สุด

การเงิน : มีโชคลาภเงินทองเข้ามาไม่ขาดสาย ซึ่งท่านก็ช่วยเหลือญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหมดเลย

ความรัก : ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด คู่ท่านดูแลเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างสุขสบายทั้งกายและใจ คนโสด มีคนเข้ามาติดพันเยอะมาก แต่ท่านลังเล จนเลือกพลาดเลือกผิดอย่างน่าเสียดาย

สุขภาพ :  จะเจ็บป่วยจากการปฏิบัติงาน รวมถึงระวังเรื่องทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ควรเลิก เพราะจะทำให้ร่างกายดื้อยา

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน  :  ไฟในการทำงานก็ยังไม่หมดไปง่ายๆ วันนี้ท่านอยู่ไม่ติดออฟฟิศต้องเดินทางไปติดต่องานข้างนอกทั้งวัน ก็จะได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากผู้ใหญ่ให้ท่านได้ทำในสิ่งที่ฝัน แต่ก่อนจะทำสัญญาหรือรับปากกับใครควรพิจารณาให้รอบคอบ จะเสียเปรียบได้

การเงิน : มีโชคเรื่องการเดินทางนอกบ้าน หามาได้เท่าไหร่ก็จะหมดเงินไปกับความหรูหราฟุ่มเฟือย และการเดินทางท่องเที่ยว

ความรัก : รักใครรักจริง ชอบแสดงความเป็นเจ้าของ ยามรักจะปรนนิบัติดูแลกันอย่างดี แต่อย่าให้เบื่อหรือเกลียดกันก็จะแสดงให้รู้เห็นอย่างโจ่งแจ้งเช่นกัน  คนโสด เอาใจยากเดาใจลำบาก รักก็รักมาก เกลียดก็เกลียดมาก ขนาดหน้ายังไม่อยากจะมอง

สุขภาพ :  อย่ากลั้นปัสสาวะบ่อยนักนะคะ เพราะจะไม่ดีต่อกรวยไตและกระเพาะปัสสาวะ จะทำให้เกิดการอักเสบ

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน : ท่านทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างมากมาย เพราะมีอุปสรรคและปัญหาให้แก้ไขอย่างปัจจุบันทันด่วน และถูกกดดันอย่างหนักให้ต้องใช้สมองและความสามารถ จนไม่มีเวลาทำกิจของตัวเองเลย ซึ่งผู้ใหญ่ เพื่อนร่วมงาน และผู้บังคับบัญชาให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ

การเงิน : หลีกเลี่ยงเงินใต้โต๊ะ หรือเงินสินบน จะส่งผลเสียในอนาคต

ความรัก : วันนี้คู่จะช่วยส่งเสริมหน้าที่การงานให้กับท่าน ในภาวะที่งานยุ่งรัดตัวขนาดนี้ ช่วยเหลือแม้ในเรื่องงานบ้านงานช่อง เขาก็ทำได้ คนโสด  อยากปลีกวิเวก ไปปฏิบัติธรรม ไม่อยากมีแฟนแล้ว

สุขภาพ : เคร่งเครียดกับการทำงาน และหักโหมทำงานมากไป ควรให้เวลากับการออกกำลังกายบ้าง

 

 

แบบนี้ก็มีด้วย?! บริการ ‘เช่าแขกงานแต่งงาน’ สำหรับบ่าวสาวเพื่อนน้อย!

account_circle

แขกไม่เต็มงาน กลัวจะดูไม่แกรนด์? ไม่ต้องห่วง เพราะตอนนี้ที่เกาหลี เขามีบริการ เช่าแขกงานแต่งงาน แล้วนะจ๊ะ!! จะเป็นยังไงมาอ่านกัน

เป็นเรื่องปกติเนอะ ที่งานแต่งงานจะกลายเป็นมหกรรมการเช่าอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างมากมายของคู่บ่าวสาว ตั้งแต่ชุดแต่งงาน ขันหมาก อุปกรณ์จัดงานต่างๆ ก็แหม ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งบางทีก็ไม่อยากซื้อเก็บไว้ให้เปลือง ล่าสุดมีบริการ ให้เช่าสินสอด เงินสด ทองคำ สำหรับวางบนพานพิธี อันนี้เราก็ว่าทั้งเก๋ทั้งแปลกแล้วนะ แต่ล่าสุดกว่านั้นคือ ประเทศเกาหลีใต้เขามีบริการใหม่ให้เช่าแขกผู้มาร่วมงานอุ๊ต๊ะ!!! แปลกอะไรเบอร์นี้ มันเป็นอะไรยังไง?? มาดูกัน

แขก งานแต่งงาน
mattandrewsphotography.com

ด้วยความที่วัฒนธรรมของประเทศเกาหลีใต้นั้น จำนวนของแขกเหรื่อที่มาร่วมงานสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะงานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ หรืองานพิธีเกี่ยวกับศาสนาของครอบครัว สามารถสะท้อนได้ถึงความป๊อบปูลาร์และฐานะทางสังคมของครอบครัวนั้นๆ จึงไม่แปลกที่เมื่อพูดถึงงานแต่งงาน คู่บ่าวสาวชาวเกาหลีใต้จะค่อนข้างซีเรียสเรื่องจำนวนแขกที่จะมาร่วมงานมากเลยทีเดียว เพราะถือเป็นหน้าเป็นตาทางสังคมของคู่บ่าวสาว พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับซองช่วยงานที่จะได้กลับมา มากเท่ากับว่า ภาพของงานแต่งงานนั้นออกสู่สายตาคนอื่นแล้วจะทำให้พวกเขาดูดีขึ้นแค่ไหน! เรียกได้ว่า ภายในงานแต่งงานนั้นหากมีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่เพราะแขกมาไม่เต็มงาน ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้!

บริษัทโมเดลลิ่งหัวใสของประเทศเกาหลีใต้ นามว่าบริษัท Role Rental 1-1-9 เห็นโอกาสทางการตลาดนี้ ก็เลยนำเสนอบริการให้เช่าแขกผู้ร่วมงานพูดง่ายๆ ก็คือ จ่ายเงินให้คนกลุ่มนี้ไปร่วมงานใดๆ ก็ตาม โดยจากคำสัมภาษณ์ของผู้ที่ทำอาชีพรับไปงานของโมเดลลิ่งนี้ กล่าวว่า ค่าตัวของเขาต่อการรับจ้างออกงาน 1 ครั้ง ประมาณ 600-700 บาท แต่ถ้าช่วงไฮซีซั่นของการแต่งงาน วันหนึ่งๆ เขาอาจจะเวียนไปได้ถึง 3 งานเลยทีเดียว

แขก งานแต่งงาน
stylemepretty.com

บริการนี้ไม่ได้ฮอตฮิตแค่ในหมู่งานแต่งงานของคู่บ่าวสาวเพื่อนน้อยที่อยากให้งานออกมาดูอลังการเท่านั้น แต่ยังฮอตฮิตในหมู่งานอีเว้นต์หรืองานโชว์ต่างๆ ที่ต้องการให้คนในงานดูฟู ดูเยอะ ภาพของงานที่ออกมาจะได้ดูประสบความสำเร็จด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าชาวเกาหลีใต้ทุกคนจะเห็นด้วยกับบริการเช่าแขกงานแต่งงานนี้ มีคนบางกลุ่มกลับมองว่าเป็นการปฏิบัติแนวผักชีโรยหน้าที่เน้นแต่จะให้ภาพลักษณ์ของงานออกมาดูดี แต่กลับต้องเสียเงินไปโดยใช่เหตุ แถมคนที่มานี่ก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กับคู่บ่าวสาวเสียหน่อย ทั้งที่ความจริงแล้วใจความสำคัญของงานแต่งงาน คือการนำเอาคนที่เรารักและสำคัญกับเราจริงๆ เช่น ครอบครัวและเพื่อนๆ มาอยู่ร่วมกันเพื่อฉลองความรักของคู่บ่าวสาวเสียมากกว่า

แขก งานแต่งงาน
TenSixteen Photography

อย่างไรก็ตาม เราว่า นานาจิตตัง นะคะเรื่องนี้ เอาเป็นว่า แพรว เวดดิ้ง นำมาบอกกล่าวคู่บ่าวสาวชาวไทยให้รู้กันสนุกๆ ขำๆ เพราะเมืองไทยยังไม่น่าจะมีบริการนี้ในอีกเร็ววันแน่นอนสุดท้ายแล้วเราแอบสงสัยว่า ตอนนี้ก็มีบริการให้เช่าแล้วเกือบครบทุกอย่างขาดอยู่อย่างเดียวที่ยังไม่มี คือบริการเช่าเจ้าบ่าวสินะ แหะๆ 🙂

credit story: www.npr.org

แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ กับแฟชั่นชุดไทยสุดตระการตา @Villa de Bua

account_circle

แฟชั่นชุดไทย สุดตระการตาของนางเอกหน้าหวานแห่งวงการบันเทิง “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ”

ใครที่กำลังคิดถึงนางเอกหน้าหวาน แถมมารยาทก็นิ่มนวลเรียบร้อยดั่งกุลสตรีไทย “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” ที่พักหลังๆ เธอห่างหายจากการรับงานในวงการบันเทิงไปสักพัก และด้วยความคิดถึง แพรว wedding เลยชวนนางเอกหน้าหวานมาถ่าย แฟชั่นชุดไทย ที่เราไม่ได้เห็นเธอในลุคนี้มานานมากแล้ว และเมื่อเธอแต่งองค์ทรงเครื่องแบบครบชุด ก็ทำเอาเหล่าทีมงานถึงกับตะลึง เพราะภาพของนางเอกคนสวยนั้น สวยงามราวกับหลุดมาจากภาพวาดเลยทีเดียว ถ้าไม่เชื่อมาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองกันได้เลย

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding
แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

หวานละมุนละไมในชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยเสื้อลูกไม้แขนยาวแบบตะวันตกคอตั้งสูงแบบประยุกต์ แต่งด้วยมุกขาวนวลดูหรูหรา คาดเข็มขัดเงินประดับทับทิมสีสด เข้าชุดกับผ้าไหมสีชมพูสดยกสอดดิ้นทอง จากร้าน Vanus Couture

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยจักรพรรดิสีพาสเทลหวานห่มสไบรองผ้าไหมแก้วสีกลีบบัวทับด้วยสไบปักเลื่อมทองสุดวิจิตรผ้านุ่งสีชมพูยกสอดดิ้นทองแบบจีบหน้านางมีเชิงล่างสวยงามละเมียดละไม จากร้าน Smile in Love &Wedding Studio

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

สวยทรงคุณค่าในชุดไทยจักรพรรดิสีเขียวมรกตห่มสไบรองสีตองทับด้วยสไบสีทองแต่งพู่ปักด้วยมรกตและปล้องทองขับผิวผ่องนุ่งผ้าไหมยกสอดดิ้นทองปักจีบหน้านางและชายพกอย่างประณีต จากร้าน เจ้านางเวดดิ้ง

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding
แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยศิวาลัยแบบประยุกต์เสื้อลูกไม้แขนกระบอกปักดิ้นทองปล่อยชายระบาย ทับสไบสีทองคำปักลวดลายทั้งตัวสุดวิจิตรนุ่งผ้าไหมไทยสีเงินเหลือบมินต์ยกสอดดิ้นทองแบบจีบหน้านางมีชายพก จากร้าน วสันต์ ชุดไทยWasan Shudthai

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยพระราชนิยมสีครีมเหลือบพาสเทลไล่ระดับปักดิ้นทองทั้งตัวผ้านุ่งแบบจีบหน้านางคาดเข็มขัด แต่งเครื่องประดับตามสมควร ส่งให้ดูงามสง่า จากร้าน Vanus Couture

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยจักรพรรดิสีเลือดนกทับด้วยสไบปักเลื่อมทองทั้งตัวอย่างประณีต ผ้าไหมปักดิ้นทองจีบหน้านางและเชิงล่างอย่างวิจิตรรับกับสไบสวยทรงพลังสะกดทุกสายตา จากร้าน Vanus Couture

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding
แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยจักรพรรดิอันเลอค่าห่มสไบรองสีทองอร่ามทับด้วยสไบปักเลื่อมทองทั้งตัวอย่างประณีต ผ้านุ่งสดสีเทาเหลือบเขียวอ่อนสอดดิ้นทองปักจีบหน้านางและเชิงล่างด้วยเลื่อมทอง ดูงดงามตระการตา จากร้าน Vanus Couture

 

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

งามสง่าอย่างสตรีสูงศักดิ์ในชุดไทยศิวาลัยสีชมพูเผือกอ่อนปักดิ้นเงินทั้งตัว ผ้านุ่งไหมปักลายรับกับท่อนบนนุ่งแบบจีบหน้านางและเชิงล่างมีชายพกดูประณีตงดงาม จากร้าน BOBO Studio

แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding
แฟชั่นชุดไทย
ชุดไทย แอฟ ทักษอร นิตยสารแพรว wedding

ชุดไทยจักรพรรดิสีชมพูอมม่วงหวาน ห่มสไบรองผ้าไหมทับด้วยสไบกรองปักดิ้นทองทั้งตัวผ้านุ่งไหมแบบจีบหน้านางมีชายพกปักลวดลายรับกับสไบให้ดูอ่อนหวานและสง่างามอยู่ในที จากร้าน Costume Cafe

 

ติดตามชุดไทยสวยๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิกเลย!

 

ชุดไทย BOBO Studio โทร. 08-9471-5069, 09-1158-6178, Costume Cafe โทร. 08-1747-7789, Smile in Love & Wedding Studio โทร. 06-3224-6647, Vanus Couture โทร. 0-2002-4895, 0-2002-4896, วสันต์ ชุดไทย Wasan Shudthai โทร. 08-2669-6959, 06-2223-5050, เจ้านางเวดดิ้ง โทร. 08-6363-6555, 08-8089-5999

ขอบคุณสถานที่ Villa de Bua ถนนเทพรักษ์(พหลโยธิน – รัตนโกสินทร์สมโภชน์) โทร. 08-1400-2226, 09-7091-5903 เว็บไซต์ : www.villadebua.com

บอสวศิน

เข้าสู่โหมดหวานไคลแม็กซ์ บอสวศิน-อรุณา ถึงคิวสวีทฟินทะลุจอ

Alternative Textaccount_circle
บอสวศิน
บอสวศิน

ฉากหวานไคลแม็กซ์ละครเรื่อง “เมีย2018” บอสวศิน-อรุณา ตัดสินใจบอกความในใจ แฟนคลับเตรียมจิกหมอน ถึงเวลาเข้าสู่โหมดหวานเต็มอัตรา

บอสวศิน

หนุ่ม ฟิล์ม เขินหน้าแดงเลยนะ

หลังหย่าขาดกับสามีจอมเจ้าชู้ อย่าง “ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางเอกสาว “บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์” ก็เนื้อหอมสุดๆ ละคร “เมีย2018” สัปดาห์นี้ เลยมีฉากที่ บอสวศิน-อรุณา โชว์หวาน โดยหนุ่ม “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” ใส่เกียร์เดินหน้าจีบสาวบีชนิดจัดเต็ม งานนี้ขอบอกว่าเจ้าตัวเขินสุดๆ อยากรู้จะหวานชวนฟินขนาดไหน? ไปชมเบื้องหลังฉากหวานๆ นี้กันเลย ซึ่งฉากนี้เป็นฉากที่ “อรุณา” มาเยี่ยม “วศิน” ที่ห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล พร้อมกับเอาเค้กมาสวัสดีปีใหม่ ซึ่งบรรยากาศและความใกล้ชิดของทั้งคู่ ทำให้บอสหนุ่มไม่รอช้า ตัดสินใจบอกความในใจทันที

บอสวศิน

โดยผู้กำกับ “สันต์ ศรีแก้วหล่อ” ยกกองไปถ่ายทำกันที่ โรงพยาบาลมหาชัย 2 อำเภออ้อมน้อย เมื่อทีมงานเซ็ตทุกอย่างพร้อม ผู้กำกับก็เรียก 2 นักแสดงมาซักซ้อมบทและคิวกันอย่างละเอียดยิบ แม้งานนี้หนุ่มฟิล์มจะต้องเป็นฝ่ายรุกจีบสาวบี แต่พอเอาเข้าจริง ฟิล์มกลับออกอาการเขินไปไม่เป็นท่า แถมสารภาพว่าใจเต้นตั๊บๆ (แหม..นอกจอก็แพ้ทางสาวรุ่นใหญ่อยู่แล้วนี่หน่า) หลังตั้งสติและซักซ้อมจนคล่องแล้ว ก็เริ่มถ่ายทำจริงทันที

บอสวศิน

ฉากสารภาพความในใจ

เริ่มที่ฟิล์มยืนปล่อยอารมณ์อยู่ที่ระเบียง สักพักบีก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับเอาเค้กกับหมวกแฟนซี สำหรับฉลองปีใหม่มาให้ ฟิล์มรับเค้กมาแล้ว ก็ขออนุญาตเป็นคนใส่หมวกให้บีด้วยตัวเอง แล้วเอ่ยปากขอบคุณที่บีคอยดูแลตนอย่างดี ในเวลาที่ตนนอนซมเพราะพิษไข้ อีกทั้งยังพยายามบอกบีให้เดินหน้า เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้บีจะยิ้มรับกับความหวังดีที่ฟิล์มมอบให้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายลึกๆ ที่ฟิล์มพยายามจะสื่อ ฟิล์มเห็นว่าแผนนี้ชักไม่ได้การ จึงหันมาเปิดฉากรุก ด้วยการเผยความรู้สึกในใจที่มีให้บีฟังแบบชัดเจนตรงไปตรงมา เล่นเอาบีถึงกับหน้าเหวอ พูดไม่ออก แถมฟิล์มยังจ้องหน้าบีอย่างไม่ละสายตา จากนั้นฟิล์มก็ขยับตัวเดินไปหาบีใกล้ๆ บีได้แต่ยืนงง เพราะไม่เข้าใจว่าฟิล์มกำลังคิดจะทำอะไร จากนั้นนาทีระทึกที่ทำเอาบีใจเต้นแรงก็มาถึง เมื่อฟิล์มค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ ถ้าอยากรู้ว่าหนุ่มฟิล์มพูดอะไร? ต้องรอฟังพร้อมกัน แต่รับรองว่างานนี้ สาวกบอสห้ามพลาดเด็ดขาด ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคมนี้ เวลา 21.30 น. ทางช่องวัน 31


ภาพจาก : ช่องวัน 31

เรื่อง : snowblack

สวยแบบรู้สึกเป็นธรรมชาติ…เทรนด์บิวตี้ตัวจริงของยุคนี้

จากที่คลุกคลีติดตามเรื่องราวความงามอยู่ตลอด ต้องบอกเลยว่าสิ่งที่สาวๆ ยุคนี้ให้ความสำคัญที่สุดก็คือ ความสวยแบบเป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆ คือ ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอยู่ในร่างกาย ไม่ต้องการเสริมสวยแล้วดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่ยังต้องการคงคาแร็กเตอร์ของตัวเอง และยังคงต้องมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติในทุกๆ อิริยาบท ในขณะที่ออกแอ็คชั่นต่างๆ เพราะสาวยุคนี้ไม่ชอบหรอกค่ะที่จะให้คนมาทักว่า ‘หน้าใหม่’ ทุกซีซั่น จริงไหมคะ?

ซึ่งนวัตกรรมหนึ่งที่ฮิตต่อเนื่อง และสาวๆ ให้กับยอมรับมากก็คือ การใช้สารฉีดกลุ่มโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แบบที่ไม่ต้องทนหน้าแข็ง ตึง แบบไร้อารมณ์

และขอเตือนสาวๆ เลยว่า อย่าได้คิดจะมองหาแต่เรื่องราคาเป็นที่ตั้งในเรื่องของการเสริมสวย จงศึกษาให้รอบด้านถึงเทคโนโลยีที่เรากำลังจะทำกับร่างกายของตัวเอง ที่สำคัญคือการเลือกหมอให้ถูก หมอที่มีแนวทางรักษาตรงกับตัวเราจึงจะนำไปสู่ความสำเร็จสูงสุด เพราะเค้าจะเลือกตัวช่วยหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับเราจริงๆ ค่ะ

นายแพทย์ณชนก ทัพขวา (@fook.ncn)

“หมอย้ำกับคนไข้เสมอว่า คนเราไม่จำเป็นต้องหน้าเหมือนกันถึงจะสวย แต่สวยในแบบของเรา รู้สึกเป็นธรรมชาติ นั่นดีที่สุด”

“คุณหมอฟูก – ณชนก ทัพขวา” คุณหมอสุดหล่อ ประจำ SS Care Clinic คลินิกนวัตกรรมความงามสุดล้ำ ใจกลางถนนสุขุมวิท ที่พ่วงตำแหน่งเทรนเนอร์ออกกำลังกายส่วนตัว

“เรียกผมว่าคุณหมอเต็มตัวก็คงไม่ถูก เพราะงานประจำคือ ออกกำลังกาย หมอจึงเป็นเหมือนงานพาร์ตไทม์ (หัวเราะ) ผมเป็นคนช่างสังเกต เก็บข้อมูล จุดนี้จึงทำให้คนอื่นเห็นว่าเราน่าจะทำงานด้านการเป็นแพทย์ผิวหนังได้ดี พอเราได้ศึกษาและลอง ก็คิดว่าเราทำมันได้ดี จึงเป็นที่มาของหมอฟูกในทุกวันนี้

“หมอชอบออกกำลังกายมาก จึงเริ่มหันมาดูแลตัวเองไม่ใช่แค่หุ่น แต่หมายถึงสุขภาพภายในอย่างจริงจัง อย่างปีที่ผ่านมาได้เข้าร่วมแข่งขัน Spartan Race Beast งานแข่งขันวิบากที่หฤโหดที่สุดในโลก ซึ่งแข่งได้อันดับที่ 98 จากทั้งหมด 3,000 คน หรือการเป็นเทรนเนอร์หมอเริ่มจากการลงเรียนหลักสูตรสั้นๆ และสอบวัดระดับความรู้ American Council of Exercise จนได้ใบรับรองมาตรฐานการเป็น Personal Trainer”

ยุคนี้ต้องทั้งสวยและสตรอง

“ทุกวันนี้คนเริ่มหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น นอกจากร่างกายแล้วความสวย ความงามก็สำคัญ เพราะสิ่งแรกที่ทุกคนเห็นเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็คือตัวเราเอง เราจึงต้องรักและมั่นใจในตัวเองก่อน หมอย้ำกับคนไข้เสมอว่า คนเราไม่จำเป็นต้องหน้าเหมือนกันถึงจะสวย แต่สวยในแบบของเราแบบที่เป็นธรรมชาติ นั่นดีที่สุด เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งมาปรึกษาหมอว่า เธอเป็นคนใบหน้าบึ้งตลอดเวลา ทุกครั้งที่ทำงานต้องพบปะลูกค้ามักไม่ราบรื่นสักเท่าไร เพราะใบหน้าดูไม่เป็นมิตร หมอจึงปรับแก้ไขให้นิดหน่อย ผลลัพธ์ทำให้เธอพอใจเป็นอย่างมาก เหตุการณ์นี้ทำให้หมอคิดว่าเรามาถูกทางและทำมันได้ดี เพราะเราเชื่อมั่นในความสวยของผู้หญิงทุกคน ไม่จำเป็นต้องสวยเหมือนใคร

“หมอเน้นความสวยแบบธรรมชาติมาโดยตลอด การเลือกผลิตภัณฑ์ต้องเลือกผลลัพธ์ที่ดูและรู้สึกเป็นธรรมชาติที่สุด และก่อนจะเลือกสิ่งใดให้คนไข้ หมอต้องใช้เวลาศึกษาผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนมั่นใจจริง เพื่อให้เขาได้รับ สิ่งที่ดีที่สุด และดีขึ้นเรื่อยๆ”

แพทย์หญิงฉัตรบงกช เขมาชีวะกุล (@dr.yok)

“ความสวยแบบรู้สึกธรรมชาติคือ สวยในแบบที่เราเป็นและรู้สึกดี เพียงแค่ปรับจุดด้อยให้ดีขึ้น และเสริมจุดเด่นให้ชัดขึ้น”

คุณหมอหยก – แพทย์หญิงฉัตรบงกช เขมาชีวะกุล คุณหมอหน้าหวานประจำ Skin Dream Clinic จังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องอาหารการกิน เพราะผู้หญิงอย่างเราต้องสวยทั้งภายในและภายนอก

หมอจบคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง) และได้ไปเรียนต่อด้านโรคผิวหนังเพราะรู้สึกว่าหมอเฉพาะทางด้านนี้ยังไม่เพียงพอ และคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนัง ไม่เพียงแต่ส่งผลด้านร่างกาย แต่ทำให้เขาขาดความมั่นใจ มีความทุกข์ และส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตด้วย หมอจึงอยากช่วยเหลือคนไข้ให้กลับมามีความมั่นใจในตัวเองค่ะ

“ไม่เพียงแต่โรคผิวหนังนะคะ บางครั้งแค่เป็นสิว ก็ทำให้เราไม่มั่นใจแล้ว หมอจึงได้ศึกษาด้านความงามเพิ่มเติม ที่สถาบันโรคผิวหนัง แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการเลเซอร์ ฉีดโบฯ ฟิลเลอร์ และการชะลอวัย ทำงานด้านนี้จนมีประสบการณ์เชี่ยวชาญและเปิดคลินิกของตัวเองเมื่อ 7 ปีที่แล้วค่ะ ที่คลินิกจึงรักษาทั้งโรคผิวหนัง และดูแลเรื่องความงาม ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปหน้าการดูแลรูปร่าง”

You are what you eat

“ปัจจุบันผู้หญิงให้ความสำคัญเรื่องความงามมากขึ้น เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน หมอเชื่อว่า You are what you eat ถ้าเรากินอะไรไปก็จะส่งผลแบบนั้น เช่น อาหารแช่แข็งที่ผ่านกระบวนการปรุงทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการและวิตามินไปเยอะมาก จึงส่งผลเสียต่อร่างกายและผิวพรรณ ฉะนั้นควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสดใหม่ จึงดีที่สุดค่ะ อีกหนึ่งเคล็ดลับคือ ดื่มน้ำเยอะๆ ค่ะ เพราะว่าเซลล์ร่างกายของคนเราต้องการน้ำในการขับของเสียออกจากร่างกาย และรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวไม่เป็นริ้วรอย”

บำรุงอย่างเดียวไม่พอ…ต้องมีตัวช่วย

“ซึ่งการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ อาจช่วยเรื่องผิวพรรณได้ระดับหนึ่งเท่านั้น โชคดีว่าปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยตรงนี้ได้มากขึ้น ทุกอย่างหมอจะต้องลองกับตัวเองก่อนจนมั่นใจ แล้วจึงนำไปรักษาคนไข้ เพราะคนไข้ส่วนใหญ่มีความกังวลว่า กลัวฉีดแล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ยิ้มเกร็ง จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลเป็นธรรมชาติที่สุด

“หมอคิดว่าความสวยแบบธรรมชาติคือ สวยในแบบที่เราเป็น และรู้สึกดี ไม่ต้องปรับเปลี่ยนมากเกินไป ไม่ว่าจะตาชั้นเดียว ตาสองชั้น หน้ากลม หน้ารี แต่ละคนมีความสวยที่โดดเด่นในแบบของตัวเองเราเพียงแค่ ปรับจุดด้อยให้ดีขึ้นและเสริมจุดเด่นให้ชัดขึ้น นี่แหละความสวยที่รู้สึกเป็นธรรมชาติค่ะ”

สนับสนุนความงามรู้สึกเป็นธรรมชาติ โดย โบเยอรมัน

บิวตี้ยุคนี้ต้องสวยแบบรู้สึกเป็นธรรมชาติ

วงการบิวตี้เรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีเทรนด์ความงามใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ผู้หญิงรักสวยยุคนี้เป็นเหมือนกันก็คือ ‘ต้องการดูดีที่สุดในแบบที่ตัวเองเป็น ต้องสวยแต่ยังต้องดูและรู้สึกเป็นธรรมชาติ’

อย่างเรื่องศัลยกรรมความงาม หรือการเสริมความงามด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้มักจะถูกมองในแง่เหยียดๆ กับประโยคที่ว่า ‘สวยแบบบล็อกเดียวกันหมด’ จุดนี้พูดเลยว่าเอ้าท์มากๆ ณ ปี 2018 เพราะยุคนี้ที่ฮิตกันมาต่อเนื่องคือ การใช้สารฉีดกลุ่มโบทูลินั่ม ท็อกซินเพื่อปรับรูปหน้า ลดเลือนริ้วรอย ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แบบที่ไม่ต้องทนหน้าแข็ง ตึง ไม่กล้ายิ้ม เพราะกลัวคนทัก หรือเม้าท์ลับหลังกันอีกต่อไป

สิ่งสำคัญที่สุดคือ สาวๆ ต้องซักคุณหมอให้ละเอียดถึงผลข้างเคียง และข้อปฏิบัติตัวหลังการเสริมความงาม อย่างคุณหมอที่แพรวแนะนำนี้ แต่ละท่านประสบการณ์แน่นปึ้ก ลูกค้าแน่นเปรี๊ยะ ฝีมือดีแถมยังแอบ ‘งานดี’ กันมาอย่างพร้อมเพรียง

นายแพทย์ดิสพงศ์ ปณิฐาภรณ์ (@drjoe_thedemis)

“นวัตกรรมความงามเป็นสิ่งที่หมอให้ความสำคัญอย่างมาก ผลลัพธ์ต้องเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะสิ่งหนึ่งที่หมอยึดมาตลอดคือ การเป็นตัวเอง สวยแบบรู้สึกเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเหมือนใคร”

อยากสวย….ก็ต้องปรึกษาคุณหมอจริงไหมคะ แพรว จึงบุกมาคุยกับ “หมอโจ้ – ดิสพงศ์ ปณิฐาภรณ์” คุณหมอสุดคูล แห่ง The Demis

แรงบันดาลใจที่ทำให้เป็นคุณหมอด้านความงาม
“หมอตัดสินใจมาเป็นแพทย์ผิวหนัง เพราะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นสิวหนักมาก คิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหายแน่นอน หวังแค่ให้มันดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว จึงไปรักษากับอาจารย์หมอผิวหนัง สุดท้ายกลับหายขาด แทบไม่มีสิว และร่องรอยให้เห็น นั่นคือความประทับใจแรกที่ทำให้หมอเริ่มสนใจ และตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตตัวเองมาทางด้านนี้ เพราะหมออยากทำให้คนอื่นรู้สึกดีเหมือนกับหมอในตอนนั้น (ยิ้ม)

“หมอชอบลองอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม งานอดิเรก หรือเรื่องงาน หมอศึกษา ทดลองเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่ตลอด หมอคิดว่าการลองสิ่งใหม่คือ ความท้าทาย แต่หากสิ่งไหนที่ดีอยู่แล้ว หมอไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่นอน หมอต้องลองผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนมั่นใจว่าดีที่สุด และเลือกให้คนไข้”

สิ่งที่คุณหมอเลือก…ต้องดีที่สุด
“นวัตกรรมความงามเป็นสิ่งที่หมอให้ความสำคัญอย่างมาก และต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ที่ให้ผลลัพธ์รู้สึกอย่างเป็นธรรมชาติ หมอพูดเสมอว่า ห้ามบอกใครว่าทำอะไร ให้เขาทักขึ้นมาเอง เพื่อเราจะได้รู้ผลตอบรับจากคนอื่น เพราะสิ่งหนึ่งที่หมอยึดมาตลอดคือ การเป็นตัวเองโดยไม่ต้องเหมือนใคร”

พญ.นภาพร ธรรมพัฒนากูล (@dr.champmy1312)

“ทุกครั้งที่หมอเห็นคนไข้มีความสุข เขาพอใจกับความสวยที่รู้สึกเป็นธรรมชาติของเขา หมอก็มีความสุขไปด้วย”

พญ.นภาพร ธรรมพัฒนากูล หรือ หมอแชมป์ คุณหมอคนสวย ประจำ RVT Clinic ที่นอกจากนวัตกรรมความงาม คุณหมอยังเติมความสุข และเติมพลังให้ตัวเองด้วยการท่องเที่ยว

เพราะความมั่นใจคือ สิ่งสำคัญ
“เชื่อไหมคะว่า…เมื่อก่อนหมอเคยน้ำหนักถึง 60 กิโลกรัม รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง จนกระทั่งได้รู้จักกับอาจารย์หมอท่านหนึ่ง ที่ช่วยให้คนไข้มีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งเรื่องหน้าตา รูปร่าง สุขภาพที่ดีขึ้น และเชื่อมโยงไปถึงทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง ความมั่นใจ และที่สำคัญมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจึงเป็นแรงบันดาลใจให้เลือกเรียนด้านแพทย์ผิวหนัง และศึกษาต่อด้านความงามอย่างจริงจัง กระทั่งเปิดคลินิกของตัวเอง

รู้สึกสบายและเป็นธรรมชาติ…นี่แหละเทรนด์ความงามยุคนี้
“ทุกวันนี้มีนวัตกรรมด้านความงามเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา จะเห็นว่าเทรนด์ความงามตอนนี้เน้นเรื่อง สวยแบบรู้สึกธรรมชาติ หมอจึงตามหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ตรงนี้คือ รู้สึกสบาย รู้สึกเป็นธรรมชาติ ทุกครั้งที่หมอเห็นคนไข้มีความสุข เขาพอใจกับความสวยที่เป็นธรรมชาติของเขา หมอก็มีความสุขไปด้วย เพราะคนไข้เปรียบเหมือนคนในครอบครัว หมอไม่ได้รักษาแค่ความสวยงามภายนอก แต่รวมไปถึงเรื่องสุขภาพภายใน และจิตใจด้วย

“นอกจากนวัตกรรมความงาม การดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ก็เป็นส่วนสำคัญ และอีกหนึ่งช่วยดีๆ แต่สำหรับหมอคือ การท่องเที่ยวค่ะ ทำให้นึกถึงช่วงเวลาวัยเด็ก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนในครอบครัว ที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น การไปเที่ยวจึงเป็นเหมือนการเติมพลังของหมอ ทำให้มีกำลังใจในการทำงานและประสบความสำเร็จ

“อีกหนึ่งกิจกรรมที่ชอบคือ การเป็นจิตอาสา ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ที่แม้ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นความรู้สึกที่ต้องการแบ่งปันสิ่งที่เรามี ใช้ความรู้ ความสามารถของเรา ให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น หมอรู้สึกว่าถ้าเราเห็นคุณค่าของตัวเอง เราก็สามารถส่งคุณค่านี้ให้กับคนอื่นได้เช่นกัน และที่สำคัญถ้าเรามีความสุข ความสวยก็จะตามมาค่ะ (ยิ้ม)”

สนับสนุนความงาม รู้สึกเป็นธรรมชาติ โดย โบเยอรมัน

เก๋ที่สุดในสามย่าน! สตรีทอาร์ตแกลเลอรี่ ผ่านมุมมองหลังเลนส์ของศิลปิน 4 สไตล์

เก๋ที่สุดในสามย่าน! สตรีทอาร์ตแกลเลอรี่ ผ่านมุมมองหลังเลนส์ของศิลปิน 4 สไตล์สะท้อนตำนาน “สามย่าน” รอบรั้วโครงการสามย่านมิตรทาวน์

 สวย เก๋ เท่ แบบมีคอนเซ็ปต์ต่อเนื่องมาตลอด 2 ปี สำหรับ “สามย่านมิตรทาวน์” สมาร์ทมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนพระรามสี่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library – คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” จับมือร่วมกับ 4 ศิลปินดัง ได้แก่  “จอร์จ” ธาดา วารีช, “เชน” คเชนทร์ วงศ์แหลมทอง, “ผ้าป่าน” สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ และ “อุ๊” สุพัตรา หมั่นแสวง หรือ มานี มีใจ ถ่ายทอดภาพถ่ายสุดแนวให้ผู้คนได้ฮือฮากับการปรุงโฉมรั้วโครงการกับ “สามย่านมิตรทาวน์ อาร์ทิสท์ คอลลาบอเรชั่น 3” สะท้อนเสน่ห์ของสามย่านผ่านเรื่องราวหลังเลนส์จากมุมมองของศิลปินแต่ละท่าน พร้อมร่วมวงสนทนากับ นนทวัฒน์ เจริญชาศรี ดีไซน์ ไดเร็คเตอร์ บริษัท ดัคท์สโตร์เดอะดีไซน์กูรู จำกัด คิวเรเตอร์ และดีไซน์ ไดเร็คเตอร์ของโครงการ ผู้ทำหน้าที่รวบรวมศิลปินเจ้าของผลงาน ร่วมพูดคุยถึงคอนเซ็ปต์การสร้างสรรค์รั้วโครงการให้กลายเป็นสตรีทอาร์ตแกลเลอรี่สุดเท่

เก๋ที่สุดในสามย่าน! สตรีทอาร์ตแกลเลอรี่ ผ่านมุมมองหลังเลนส์ของศิลปิน 4 สไตล์

ผลงาน “จอร์จ” ธาดา วารีช

ช่างภาพสุดฮ็อตแห่งยุค นำเสนอภาพสะท้อนของสามย่านในด้านของอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน รวมถึงผู้คนที่ได้เข้ามาสัมผัสกับสามย่าน โดยถ่ายทอดภาพผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ภายใต้แนวคิดเงาสะท้อนของสามย่าน

“เป็นการนำเสนอมุมที่แปลกใหม่แนวสตรีทของสามย่าน และลักษณะของการสะท้อน (Reflection) โดยถ่ายทอดภาพผ่านผู้หญิงหนึ่งคน ที่เป็นตัวแทนของผู้ที่เข้ามาสัมผัสกับชุมชนสามย่าน ภาพจึงสื่อมุมสะท้อนของชุมชนสามย่าน และในส่วนของภาพเองก็นำเสนอเทคนิคของเงาสะท้อน เช่น สะท้อนผ่านกระจกหน้าร้าน และน้ำบนพื้น เป็นต้น นอกจากเรื่องของมุมมองของภาพแล้ว อารมณ์ของภาพแต่ละภาพยังไม่ซ้ำกันด้วย ซึ่งผมว่าชีวิตจริงของชุมชน ก็ต้องมีหลากหลายอารมณ์อยู่แล้ว”

ผลงาน “เชน” คเชนทร์ วงศ์แหลมทอง

ช่างภาพแฟชั่นสุดเก๋าของวงการ ถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงภาพของร้านอาหารที่ผู้คนเคยเห็นกันจนชินตา มาเป็นการนําเสนอภาพที่ Abstract โดยใช้การสะท้อนพื้นผิวอันมันวาวของอิลลิเมนท์ในแต่ละร้านอาหาร โดยเล่นกับ เงาและความมันของพื้นผิวที่บิดเบี้ยว ทําให้เกิดมุมมอง ภาพ และความรู้สึกใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม

 “ด้วยความคุ้นเคยกับสามย่านมาตั้งเเต่เด็ก เลยรู้ดีว่าย่านเก่าแก่แห่งนี้เป็นเเหล่งรวบรวมของกิน ในระดับตํานานทั้งของคาวและของหวาน ซึ่งมีให้เราได้เลือกอิ่มอร่อยไม่หยุดตั้งแต่เช้าไปจนถึงคํ่า ที่สําคัญราคาก็ยังเป็นมิตรกับผู้คนอันหลากหลายที่อาศัย หรือใช้ชีวิตอยู่ในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิสิต คนทํางานในมหาวิทยาลัย พนักงานออฟฟิศ ไปจนถึงคนขับรถรับจ้างที่สามารถเดินลัดเลาะเข้าซอยนู้น ออกซอยนี้ได้แบบไม่ต้องใช้เวลานาน สามย่านจึงกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดเมืองแห่งอาหารที่ครบเครื่องในเรื่องความอร่อยเด็ด โดนใจ เป็นย่านที่คึกคักและมีเสน่ห์อยู่ตลอดกาล”

 

ผลงาน “ผ้าป่าน” สิริมา ไชยปรีชาวิทย์

ช่างภาพแนวสตรีทมากฝีมือ นําเสนอความสนุกของการเรียนรู้ โดยพาย้อนภาพกลับไปในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นนักสำรวจที่ถือคติพจน์ มองไกล (Look Wide) เป็นการพาทุกคนเข้าไปสํารวจพื้นที่ภายในของสามย่านมิตรทาวน์ ร่วมจําลองพื้นที่ มองทะลุ โครงสร้าง สร้างจินตนาการไปพร้อมกับโครงการที่กําลังจะแล้วเสร็จ ถึงความสนุกที่กําลังจะเกิดขึ้นบน “พื้นที่สร้างสรรค์” แห่งนี้ร่วมกันต่อไป  

“สามย่านสำหรับเราเป็นพื้นที่ของผู้ที่มีความฝันทั้งกลุ่มเก่า-กลุ่มใหม่ หมุนเวียนเข้าออกกันอยู่เสมอ ด้วยรอบข้างที่มีทั้งสตูดิโอออกแบบ-ทำงานศิลปะ จึงเรียกได้ว่าสามย่านคือพื้นที่ที่คอยสนับสนุนเหล่าผู้คนที่มีความคิด และอยากเริ่มต้นทำให้มันเกิดขึ้น เติบโต พร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมศิลปะอย่างแท้จริง”

 

ผลงาน “อุ๊” สุพัตรา หมั่นแสวง หรือ มานี มีใจ

ช่างภาพสาวสุดแนว หยิบยกความรู้สึกของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน โดยนําเสนอเรื่องราวของเพื่อนสนิทที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ที่ดูพิเศษมากกว่าวันธรรมดาวันหนึ่ง เป็นวันที่ควรค่ากับการหยุดเวลานั้นผ่านภาพถ่ายของเรา

“ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิต เราได้เรียนรู้ความหมายของคําว่า  มิตรภาพที่แตกต่างกันออกไป ทุกครั้งที่เรานึกถึงภาพของมิตรในอดีตมักเป็นความทรงจําที่ชัดเจนและเปี่ยมล้นเสมอ เรามักจะจดจํารอยยิ้ม ของเพื่อน เสียงหัวเราะของเพื่อน น้ำตาของเพื่อน เป็นความรู้สึกทางด้านอารมณ์ ที่ไม่เสแสร้ง เพราะมิตรแท้ จะดึงเราขึ้นมาจากความรู้สึกแย่ๆ สู่สภาวะสมดุลเสมอ”

ตามมาอัพภาพโปรไฟล์สวย ๆ ที่มีฉากหลังเป็นภาพชุดสุดคูลของ 4 ศิลปิน รอบรั้วโครงการ      “สามย่านมิตรทาวน์” โครงการมิกซ์ยูสที่จะเสร็จสมบูรณ์เป็นแห่งแรกบนถนนพระราม 4 ในปลายปีพ.ศ.2562 ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป

 

 

 

สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

แดงจัดจ้านไปทั้งลำ! เครื่องแบบใหม่สุดเนี้ยบ เรียบโก้ของนางฟ้า สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์
สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

ส่องความงามสุดแซ่บ ที่แผ่ความแดงจัดจ้านไปทั้งลำ! กับเครื่องแบบใหม่ของแอร์โฮสเตส รุ่นที่ 7 สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

แอร์โฮสเตสหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นอีกหนึ่งอาชีพในฝันของสาวๆ เพราะภาพลักษณ์ดูสวย ฉลาด และสง่า ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ที่เรามองเห็นได้จากพวกเธอ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกองค์ประกอบ ก่อนจะให้บริการลูกเรือบนเครื่องบินนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเช็คให้เรียบร้อย และจุดเด่นของอาชีพนี้ นอกจากจะเป็นรอยยิ้มหวานๆ การบริการผู้โดยสารอย่างเต็มความสามารถแล้ว ก็ต้องเครื่องแบบหรือชุดของเหล่าแอร์โฮสเตสนี่แหละ ที่จะช่วยส่งผลต่อภาพลักษณ์ให้น่ามองและดึงดูด

ล่าสุดสำนักข่าวซินหัวได้รายงานถึงเครื่องแบบใหม่ของแอร์โฮสเตส รุ่นที่ 7 สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์ ซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบสำหรับฤดูร้อน-ใบไม้ร่วงรุ่นล่าสุดของนางฟ้าแห่งสายการบิน Sichuan Airlines ที่เลือกใช้สีแดงตัดด้วยสีดำ ให้ความรู้สึกทั้งสวยเก๋และสง่างาม สายการบินเผยว่า คอนเซ็ปต์ในการออกแบบคือ “Movements, Sichuan” พร้อมเสริมว่าสีแดงเปรียบเหมือนความเป็นมิตรและอบอุ่นของชาวเสฉวน แถมยังสื่อถึงสีอาหารเลิศรสของเสฉวนที่เน้นใส่พริกเยอะๆ อีกด้วย สวยและเลอค่าแบบไม่ต้องพูดเยอะเลยจริงๆ

 

สีแดงเผ็ดแซ่บ! เครื่องแบบใหม่ล่าสุดของนางฟ้า สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

 

สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

นางฟ้าหน้าหวานๆ กับชุดสีแดง ขับกับผิวขาวได้อย่างลงตัว

 

สายการบินเสฉวนแอร์ไลน์

“พวกเราพร้อมแจกรอยยิ้มและให้บริการผู้โดยสารทุกท่านแล้วค่ะ”

 

จะมองมุมไหนก็เป็นเครื่องแบบที่งามสง่า ช่วยให้เหล่านางฟ้าดูเรียบหรูมากเลยทีเดียว

 

เบลเซอร์สีดำและเส้นสีดำบนตัวเสื้อ ช่างตัดกับสีแดงจัดจ้านของชุดได้ดีจริงๆ แซ่บ!

 

ขึ้นไปบนเครื่องบินแล้วเจอเครื่องแบบสีสดใสแบบนี้ คงสดชื่นตลอดการเดินทางแน่ๆ อิอิ

 

ต่างหูมุกเล็กๆ ที่แอร์โฮสเตสใส่นั้นก็ช่วยคอมพลีทลุคได้ดี

 

ตัวหมวกสีดำที่ประดับด้วยเข็มกลัดสีทอง ช่วยส่งให้โททัลลุคของเครื่องแบบสวยสง่ามากยิ่งขึ้น

 

ตัวเครื่องแบบเข้ารูปกำลังดี สีแรงๆ ของชุดและดีไซน์เรียบๆ เป็นอะไรที่เข้ากันมากกก


ภาพและที่มา : facebook  China Xinhua News

ควิน บอมเมลเจ

คนไทยอยู่ที่ไหนก็ไหว้สวย ควิน บอมเมลเจ คุณยายผู้โด่งดังจาก America’s Got Talent

Alternative Textaccount_circle
ควิน บอมเมลเจ
ควิน บอมเมลเจ

เจ๋งสุดๆ ยังมีไฟยังมีฝัน ควิน บอมเมลเจ นักเต้นวัยเกษียณชาวไทยคว้า Golden Buzzer ในรายการ America’s Got Talent พร้อมเผยเอกลักษณ์การไหว้ที่สวยงาม นี่แหละ! คนไทยอยู่ที่ไหนก็ไหว้สวย

ควิน บอมเมลเจ

เป็นคลิปดังที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว เมื่อคุณยายวัย 71 ปี ควิน บอมเมลเจ วาดลีลาบอลรูมแดนซ์สุดหวาดเสียวจนทำผู้ชมและกรรมการอึ้งกันถ้วนหน้า จนทำให้กรรมการกด Golden Buzzer หรือ ออดทองคำให้กับพวกเขาผ่านเข้ารอบต่อไปแบบฉลุย

ควิน บอมเมลเจ

ดูเหมือนว่านอกจากความสำเร็จของตัวเองแล้ว เธอยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนวัยเดียวกันได้มีไฟและมีความฝันต่อไป โดยเธอได้เปิดใจภายหลังจากแข่งขันว่า “ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้” หญิงวัย 71 ปีได้เล่าต่อว่า เธอเป็นคนไทยที่เกิดในในหมู่บ้านเล็กๆ แถบชนบท ครอบครัวประกอบอาชีพชาวนา ซึ่งด้วยสถานการณ์ที่ต้องทำมาหากินทำให้เธอต้องละทิ้งความฝันที่มี

ควิน บอมเมลเจ

ทั้งนี้คุณยายผู้มีร่างกายที่แข็งแรงยังบอกอีกว่าเธอเพิ่งรู้จักกับการเต้นบอลรูมแดนซ์เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่เธออยู่กินกับ “ริค บอมเมลเจ” มาประมาณ 50 ปีแล้ว ซึ่งหลังจากที่ได้เรียนเต้นก็ทำให้เธอหลงรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น เพิ่งได้รู้ว่าการเต้นคือความฝันของเธอ

หญิงวัย 71 ปีบอกอีกด้วยว่าหลังจากที่เธอกับสามี “ริค บอมเมลเจ” เต้นด้วยกันมา 3 ปี ก็รู้ว่าไม่สามารถเต้นคู่กันได้ จึงได้เลือก“มิชา วลาโซฟ”แดนเซอร์หนุ่มที่อายุเด็กกว่าเธอครึ่งหนึ่งมาเต้นด้วย ขณะที่สามีของเธอบอกว่า “เธอเป็นแรงบันดาลใจที่ดีให้กับผมมาก และยังเป็นเป็นผู้หญิงที่น่าเหลือเชื่ออีกด้วย”

ควิน บอมเมลเจ

คุณยายนักลีลาศไม่ใช่แค่สร้างความตื่นเต้นและแรงบันดาลใจให้กับคนวัยเดียวกันเท่านั้น แต่ยังได้รับการชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างการไหว้ที่ดี เพราะในตอนที่เธอได้รับการชื่นชมจากคณะกรรมการ เธอได้ไหว้ขอบคุณอย่างงดงามนับเป็นแบบอย่างการไหว้ที่สวยมากจริงๆ

ควิน บอมเมลเจ

ควิน บอมเมลเจ


ภาพจาก : Fox News

keyboard_arrow_up