กระแสในวงการแฟชั่นที่ดูร้อนแรง ณ ตอนนี้ เห็นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Burberry แบรนด์ดังสัญชาติอังกฤษที่มีมานานกว่า 162ปี ได้ออกมาเผยโลโก้ใหม่ล่าสุด ทำเอาเงินในกระเป๋าของเหล่าแฟชั่นนิสต้าได้สะเทือนกันอีกครั้ง
เรียกได้ว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของเบอร์เบอร์รี่เลยก็ว่าได้ ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนทั้งโลโก้และลายโมโนแกรม เพราะเป็นเวลาเกือบ 20ปีแล้วที่เราได้เห็นลายตารางคลาสสิคผสมผสานกับสีที่เป็นเอกลักษณ์ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเบอร์เบอร์รี่ ขนาดไม่ใช่สาวก ก็ยังดูออก
ข่าวการเปลี่ยนแปลงโลโก้และลายโมโนแกรม ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา จากอินสตาแกรมทางการของ เบอร์เบอร์รี่ โดยทางแบรนด์ได้ลงภาพอีเมล์ที่ Riccardo Tisci ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ประจำแบรนด์ ได้คุยอีเมล์กับ Peter Saville ผู้กำกับศิลป์และนักออกแบบกราฟิกชาวอังกฤษ โดยรายละเอียดที่ปรากฎนั้นเป็นการคุยกันเพื่อมอบหมายงานสำคัญคือการ ออกแบบโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ทั้งหมดในเวลา 4สัปดาห์ !
แน่นอนว่านี่เป็นข่าวใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมแฟชั่น เพราะทันทีที่ภาพแพร่ออกไป เหล่าบรรดาแฟชั่นนิสต้า และแฟนๆ ของเบอร์เบอร์รี่ต่างวิจารณ์กันขรม ถึงโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ล่าสุด บ้างก็ว่าดีงาม แต่ส่วนใหญ่นั้นกลับมองว่า ลายเดิมก็ดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนทำไม? แถมสีที่ออกมาใหม่ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับยี่ห้อที่มีม้าเป็นโลโก้ไปอีก จุ๊ๆ อย่าพูดไปโลโก้นี้เขามีที่มา ไม่ได้นั่งเทียนคิดขึ้นมา ผู้ออกแบบเขาเอาตัว T และ B ชื่อของผู้ก่อตั้งมาผสมผสานเป็นโลโก้นะยู
เพื่อเป็นการต้อนรับโลโก้และลายโมโนแกรมใหม่ที่กำลังจะมาเร็วๆ นี้ แพรวพาย้อนดูประวัติ Burberry ลายตารางสุดคลาสสิคที่อยู่คู่กับวงการแฟชั่นมานานกว่า 20ปี เห็นปุ๊บ ก็รู้ทันที แบบไม่ต้องมโน ก่อนที่ลายโมโนแกรมนี้จะลาจากเราไป หรือเปล่า !
ปี 1856
Burberry ก่อตั้งโดยนาย Thomas Burberry อดีตเด็กฝึกงานในร้านขายผ้า ซึ่งในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 21 ปี
ปี 1879
โทมัส คิดค้นผ้าที่เรียกว่า “กาบาร์ดีน” คุณสมบัติผ้าอันโดดเด่นคือ มีความทนทาน เหนียวแน่น และกันฝนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบาด้วย เหมาะกับนำมาตัดเป็นเสื้อผ้าของคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจาก ผ้าลินินที่นำมาทำเสื้อกันหนาวของชาวไร่ในศตวรรษที่ 19 และผ้าชนิดนี้ยังเป็นที่มาของเสื้อกันฝน Trench Coat ซิกเนเจอร์ของแบรนด์อีกด้วย
ปี 1888
เบอร์เบอร์รี่ ได้นำผ้ากาบาร์ดีนมาจดสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง
ปี1891
ในปีนี้ เบอร์เบอร์รี ได้ย้ายเข้าไปเปิดเป็นร้านแรกใน 30 Haymarket ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ปี 1893
ดร. ฟริตจ๊อฟ นันเซน นักสำรวจขั้วโลก ชาวนอร์เวย์ และ นักสัตววิทยา เจ้าของรางวัลโนเบล เป็นคนแรกที่ได้จดบันทึกว่าในขณะที่เขาได้ไปสำรวจอาร์กติกเซอร์เคิลในปี 1893 นั้น เขาได้นำ เสื้อกันฝน ผ้ากาบาร์ดีน ของเบอร์เบอร์รี่ ไปใส่ด้วยขณะเดินทาง
ปี 1897
เฟรเดอริก จอร์จ แจ็คสัน นักสำรวจอาร์กติก ในขั้วโลกเหนือ และยังมีส่วนในการทำแผนของอาร์กติก เป็นอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อกันฝน ผ้ากาบาร์ดีน ของเบอร์เบอร์รี ขณะขึ้นไปสำรวจ
ปี 1901
และปีนี้เองที่ เบอร์เบอร์รีมีโลโก้เป็นของตัวเอง คือ อัศวินขี่ม้าที่มาพร้อมกับภาษาละติน “Prorsum” ซึ่งแปลว่า ก้าวต่อไป
ปี 1909
สมกับชื่อบนโลโก้ เมื่อเบอร์เบอร์รี่ได้ขยายสาขาไปอีกที่ แต่ครั้งนี้ข้ามไปยัง เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยไปเปิดสโตร์ที่ 8 Boulevard Malesherbes
ปี 1910
ในงานเฉลิมฉลองของ Claude Grahame นักบินคนแรกที่สามารถขับเครื่องบินจากกรุงลอนดอนไป เมืองแมนเชสเตอร์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เขาได้สวมเสื้อกาบาร์ดีนสีขาว ของเบอร์เบอร์รี่
ปี 1911
Roald Amundsen และทีมสำรวจของเขา เป็นกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปสำรวจขั้วโลกใต้ และเหมือนเช่นเคย คือพวกเขาได้สวมเสื้อกาบาร์ดีน แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ เต้นท์ที่พวกเขาใช้พัก ก็ทำมาจากผ้ากาบาร์ดีนของเบอร์เบอร์รีอีกเช่นกัน
ปี 1992
ปีแห่งการสร้างชื่อเสียง เมื่อ ทอมัส เบอร์เบอร์รี ได้ดีไซน์เทรนช์โค้ต แบบแรกของแบรนด์ได้สำเร็จ แน่นอนว่าเขาใช้ผ้ากาบาร์ดีนมาตัดเย็บ สำหรับการดีไซน์นั้น มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มีกระดุม แต่มีสายรัดด้านหน้า ต้องบอกเลยว่า เทรนช์โค้ตตัวนี้ นี่แหละที่เป็นซิกเนอเจอร์ของเบอร์เบอร์รี่ และสร้างชื่อเสียงให้กับเบอร์เบอร์รี่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าให้พูดง่ายๆ คือ ของมันต้องมี !!
ปี 1913
เมื่อความสำเร็จท่วมท้นขนาดนี้ เบอร์เบอร์รี่ได้ย้ายสโตร์ไปขนาดใหญ่ขึ้น ใน Haymarket และได้ดีไซน์รูปแบบภายในร้านใหม่ทั้งหมดจากฝีมือ Walter Cave
ปี 1914-1918
นอกจาก เทรนช์โค้ต จะได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในหมู่นักกีฬากลางแจ้งและนักผจญภัยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อ เออร์เนสต์ ชาเคิลตัน นักผจญภัยชาวอังกฤษชื่อดังชาวอังกฤษนำมาใส่ขณะเดินทางไปสำรวจที่ขั้วโลกเหนือ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เทรนช์โค้ตก็ยังเป็นเครื่องแบบของทหารอังกฤษ อีกทั้งยังปรากฎลายตารางในเครื่องแบบ ลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเบอร์เบอร์รี่อีกด้วย
ปี 1919
พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงประทาน Royal Warrant (สัญลักษณ์ของผู้ได้รับพระบรมราชานุญาตจัดหาสินค้าและบริการแก่พระมหากษัตริย์) ในฐานะช่างตัดเสื้อให้กับเบอร์เบอร์รี่
กัปตันจอห์น คอค และพลโท Arthur Whitten ฺBrown ได้สวมใส่เครื่องแบบนักบินจากเบอร์เบอร์รี่ ขณะอยู่ในเที่ยวบินแรกที่เดินทางแบบไม่พัก เพื่อบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดใช้เวลาเพียง 72 ชั่วโมง
ปี 1920
เบอร์เบอร์รี่ได้เผย ข้อมูลการซื้อขายเป็นครั้งแรกต่อสาธารณะ
ปี 1920
เบอร์เบอร์รี่ จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เพื่อนำผ้าซับในบุลงในเสื้อเทรนช์โค้ต
ปี 1937
เป็นครั้งแรกที่เบอร์เบอร์รี่ เป็นสปอนเซอร์เสื้อผ้าให้กับ Arthur Clouston และ Betty Kirby-Green (ทหารอากาศ) ซึ่งทั้งคู่ได้สวมชุดของเบอร์เบอร์รี่ ขณะเดินทางจากครอยดอนไป เคปทาวน์ โดยเครื่องบินนั้นชื่อว่า “The Burberry”
ปี 1940
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เบอร์เบอร์รี่ได้จัดหาเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ทางทหาร รวมถึงเทรนช์โค้ต ให้กับกองทัพอังกฤษ รวมทั้งกองทัพทางอากาศ (RAF), กองราชนาวี , Royal Pioneer Corps, Cadet Training Unit (OCTU) และ Auxiliary Territorial Service (ATS) รวมถึง หน่วยงานฝ่ายผู้หญิงทั้งหมด
แม้จะมีเงื่อนไขที่เข้มงวดที่เกิดจากสงคราม แต่เบอร์เบอร์รี่เองก็ยังจัดหาเครื่องแต่งกายให้เรื่อยมา ในช่วงปี 1940 รวมทั้งยังจัดหา โอเวอร์โค้ทกันน้ำทั้งผู้ชายและผู้หญิง อีกทั้งในช่วงนั้นแบรนด์ยังปรับ ผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้ากับช่วงสงครามอีกด้วย
ปี 1955
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ทรงประทาน royal warrant ให้กับ เบอร์เบอร์รี่ ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ ทนแดดและทนฝน
ปี 1964
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เบอร์เบอร์รี่ได้รับให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในการขาย เครื่องแต่งกายของนักกีฬาหญิง ของประเทศอังกฤษทั้งหมด
ปี 1990
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ได้ประทาน royal warrant ในฐานะช่างตัดเสื้อ
ปี 2000
เบอร์เบอร์รี่ เปิดร้านสาขาแรกบนถนนบอนด์สตรีท ในกรุงลอนดอน สะท้อนให้เห็นถึงสถานะของแบรนด์ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์หรูระดับโลก
ปี 2002
เดือน กรกฎาคม เบอร์เบอร์รี่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเปิดให้ประชาชนได้ซื้อหุ้นใหม่ครั้งแรก
ปี 2004
เปิดตัวเว็บไซต์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา
ปี 2006
เปิดตัวเว็บไซต์ในสหราชอาณาจักร
ปี 2008
เบอร์เบอร์รี่ร่วมทุนเพื่อสร้าง Burberry ตะวันออกกลาง (BME) โดยสำนักงานใหญ่อยู่ในดูไบ
เปิดตัว มูลนิธิองค์กรการกุศลที่อุทิศตนเพื่อช่วยให้เยาวชนตระหนักถึงความฝันและศักยภาพของพวกเขาผ่านความคิดสร้างสรรค์ และมอบกำไร 1% ก่อนหักภาษีเพื่อบริจาคให้กับองค์กรการกุศลที่จัดตั้งขึ้น
ปี 2009
ในคอลเลคชั่น Spring/Summer ปี 2010 เบอร์เบอร์รี่ได้มีการจัดแฟชั่นโชว์โดยย้ายจากลอนดอนไปมิลาน เพื่อเป็นเครื่องหมายครบรอบ 25ปี ลอนดอนแฟชั่นวีค และแฟชั่นโชว์นี้ยังมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกเพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์เต็มรูปแบบของแฟชั่นโชว์ และเป็นครั้งแรกของเบอร์เบอร์รี่อีกด้วย
ปี 2010
เบอร์เบอร์รี่เป็น ลักชัวรี่แบรนด์แรกที่เข้าร่วม Ethical Trading Initiative (มาตรฐานจริยธรรมพื้นฐานทางการค้า)
เบอร์เบอรี่ทำกิจการร่วมค้า กับบริษัท Genesis Colors ของประเทศอินเดีย
ปี 2011
ทำกิจการร่วมค้า กับบริษัท Fawaz Abdulaziz Alhokair & Co ในประเทศซาอุดิอาราเบีย
เปิดตัว Burberry.com ให้บริการ 44 ประเทศใน 11 ภาษาที่แตกต่างกัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงจาก iPad, iPhone และอุปกรณ์มือถืออื่นๆ
ปี 2012
เปิดตัวช็อป ที่ 121 รีเจ้นท์ สตรีท กรุงลอนดอน
ปี 2014
ในปีนี้ The Prorsum แฟชั่นโชว์ คอลเลคชั่นสำหรับผู้ชาย ในช่วง สปริง/ซัมเมอร์ ได้ถูกย้ายจากมิลานกลับมาที่กรุงลอนดอน อีกครั้ง
ปี 2015
เปิด flagship store cafe ที่ รีเจ้นท์ สตรีท กรุงลอนดอน
ปี 2016
เปลี่ยนแฟชั่นโชว์จาก 4 ครั้งเป็น 2 ครั้ง รวมถึงรวมแฟชั่นโชว์ทั้งชายและหญิงเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ เสื้อผ้าที่อยู่ในแฟชั่นโชว์ยังวางขายทั้งออนไลน์และในสโตร์ทันทีหลังจากจบแฟชั่นโชว์
ปี 2017
Julie Brown นั่งตำแหน่ง Chief Operating และ Financial Officer ส่วน Marco Gobbetti นั่งตำแหน่ง Chief Executive Officer
ปี 2018
Riccardo Tisci ทำหน้าที่ในตำแหน่ง Chief Creative Officer
เปลี่ยนโฉมโลโก้ และลายโมโนแกรม ทั้งหมด
ปรับโฉมทั้งโลโก้ และลายโมโนแกรมครั้งนี้ของ Burberry ครั้งนี้เรียกได้ว่า พลิกโฉมไปเลยก็ว่าได้แต่จะปังหรือแป๊ก ก็มิอาจรู้ได้ แพรวดอทคอมก็รอดูวันเปิดตัวสินค้าอย่างเป็นทางการ ว่ายอดซื้อจะถล่มทลายหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ใครมีลายตารางคลาสสิคแบบเก่า ต้องเก็บขึ้นหิ้งไว้ด่วนๆ เลยนะจ๊ะ เพราะราคาเขาพุ่งแน่นอน
ภาพและข้อมูล : www.burberryplc.com