Chanel VS Sisley : ประชันสีแดงให้โลกลือ

rouge-allure-velvet-luminousChanel

ลุคคลาสสิคของแบรนด์หรูอย่าง Chanel หยิบลิปสติกสีแดงสดซิกเนเจอร์ ‘Rouge Coco’ มาครีเอทลุคสวยเท่ผ่านนางแบบผมสั้นตรงสีดำเข้มแบบลุคสาวเอเชียตัดกับสีปากแดงสดที่นำมาแมทช์กับพวงแก้มเปลือยเปลือกตาให้ดูคลีนแต่เน้นความเป๊ะของคิ้ว

Chanel Tips

สวยแซ่บด้วยเทคนิค ‘Lipstick as a Blush’ นอกจากช่วยให้ใบหน้าดูโกลว์แล้วยังได้แมทช์สีลิปสติกให้เข้ากัน

ลงรองพื้นให้ทั่วใบหน้าแล้วนำลิปสติกสีโปรดมาทาลงบนหลังมือจากนั้นใช้นิ้วกลางและนิ้วนางวอร์มสีทำปากจู๋เพื่อให้เห็นโหนกแก้มชัดเจนแล้วเกลี่ยสีลิปสติกตั้งแต่บริเวณโหนกแก้มขึ้นไปยังไรผมเป็นมุมเฉียงแล้วค่อยเกลี่ยลงเพื่อลดความคม ลงแป้งฝุ่นทับให้ดูเป็นธรรมชาติ จะปัดบลัชออนชนิดฝุ่นทับอีกครั้งเพื่อเพิ่มความเด่นชัดของสีก็ไม่ผิดกติกา

Hydrating Long Lasting Lipstick L33Sisley

Sisley ไม่น้อยหน้า จัดลุค ‘Queen of Disco’ มาเสิร์ฟให้สะเทือนฟลอร์โดยดึงสีสันของยุค 70s มาวาดลวดลายฉายความโดดเด่นอย่างการใช้สีแดงสดบนเรียวปากจับคู่กับอายไลเนอร์สีดำสนิทตัดสีฟ้าน้ำทะเล ‘Lagoon’ ให้อารมณ์เปรี้ยวแบบย้อนยุคสวยแกลม

Sisley Tips

ลุคนี้สำคัญที่ความคมชัดของดวงตาและริมฝีปาก เทคนิคเริ่มจากการวาดเส้นอายไลเนอร์กึ่งกลางของเปลือกตาไปสู่หางตาให้มีความยาวกว่าปลายตาในลักษณะชี้ขึ้น แล้วระบายทับช่องว่างให้ดำสนิท จากนั้นใช้อายแชโดว์สีสันสดใสชนิดแท่งวาดเหนือเส้นอายไลเนอร์อีกที

เลือกสีปากแซ่บตัดกับอายไลเนอร์ด้วยดินสอเขียนขอบปาก ทาทับด้วยลิปสติกให้สีติดทนยิ่งขึ้น

เท่านี้ก็ได้ลุคสวยปังพร้อมไปแฮงค์เอาท์แล้ว

เรื่อง : anne

 

เรามาถึงจุดนี้ได้ไง…‘โจอี้ บอย’ กับชีวิตสุดโฮก ไม่มีวันไหนไม่เหนื่อย!

Screen Shot 2015-10-18 at 2.05.14 PM copy“ตอนนี้ทัวร์คอนเสิร์ตเป็นมากกว่าอาชีพไปแล้วเกินความเป็นงานเป็นเงินไปนานแล้ว เพราะเวลาผมไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วเห็นคนสนุก ผมก็สนุกด้วย วันไหนหยุดไปก็คิดถึง ความสนุกนี้คือแรงบันดาลใจและเอนเนอจี้ต่างๆ เขาเฮฮาเราก็เก็บตรงนั้นมา
กลายเป็นชีวิตเราที่จำเป็นต้องเล่น ในเมื่อเขายังอยากดูกันอยู่ แต่ก็มีลดหลั่นลงไปบ้างตามสภาวะ และอายุ (หัวเราะ)

Screen Shot 2015-10-18 at 2.00.08 PM copy
“ตอนนี้พยายามหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น จริงๆ ผมเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ ความใฝ่ฝันในชีวิตไม่ใช่นักร้อง แต่อยากเป็นนักกีฬาอาชีพเลยละ เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ อายุ 13 ปีก็อยู่ทีมไอซ์ฮ็อกกี้จากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ จนเพิ่งมาจริงจังมากเมื่อตอนที่ออกจากแกรมมี่ เพราะเหนื่อย อยากไปทำอะไรที่สบายๆ บวกกับเริ่มมีอายุ จะให้มานั่งทำงานหนักแบบเดิมไม่ได้แล้ว

Screen Shot 2015-10-18 at 2.01.33 PM copy
“ตอนนั้นคิดเลยว่ายังมีความฝันอย่างหนึ่งที่เราทำไม่สำเร็จคือการเป็นนักกีฬา ที่ผ่านมาไปฝึกพารามอร์เตอร์อยู่ 4 ปี จนได้แชมป์ประเทศไทย แล้วไปติดทีมชาติ เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งที่ประเทศจีน ได้เหรียญทองกลับมา เริ่มรู้สึกสนุกเลยทำให้เล่นไปเรื่อยๆ ทั้งหัดยิงธนู ตีกอล์ฟ จนตอนนี้มาปั่นจักรยาน เป็นกีฬาแรกที่ใช้กำลังร่างกายจริงๆ เลยได้ความแข็งแรงกลับเยอะมาก

Screen Shot 2015-10-18 at 2.03.22 PM copy
“เรื่องกีฬาผมเน้นเอาสนุก แต่ก็มีเป้าหมายนะคือ อยากปั่นขึ้นดอยสุเทพให้ได้ ก็ขับรถไปคนเดียวแล้วปั่นจากถนนนิมมานฯขึ้นไปเลย ระยะทาง 15 กิโลเมตร แต่ไปแค่ 500 เมตรแรกก็ไม่ไหวแล้ว จะเป็นลม(หัวเราะ) คือผิดคาดมาก ปั่นที่กรุงเทพฯ 70 กิโลเมตร ทางเรียบนี่โอเคมาก แต่พอขึ้นดอยนี่คือหนังชีวิตเลย ในใจคิดว่าอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล ถ้าปั่นกลับลงตอนนี้ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เพราะมีเพื่อนรอดูอยู่ (หัวเราะ)
“สุดท้ายก็ปั่นถึงนะครับ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่า ทริปนั้นคือกลายเป็นมิชชั่น ไม่ใช่การแข่งขันอีกต่อไปแล้ว เพราะเราตั้งเป้าว่าต้องเอาชนะให้ได้ โกลสูงสุดคือพิชิตยอดดอยอินทนนท์ คิดว่าต้องไปแน่ ซึ่งหนักกว่านี้ 3-4 เท่า
“ผมชอบกิจกรรม ชอบกีฬา จึงต้องหาอะไรทำไม่อย่างนั้นชีวิตก็จะมีแต่ทำงาน กลับบ้าน หรือจะให้ไปกินเหล้าก็ไม่ไหวแล้ว เลยต้องเป็นเรื่องของกิจกรรมแทน
“แต่กลายเป็นว่าวันที่ไม่ทำงาน เหนื่อยกว่าวันทำงานเยอะเลย”(หัวเราะ)  

เรื่อง : apinya
ภาพ : joeybangkokboy

ป้องกันHPV ไวรัสร้าย เป็นง่าย ติดได้ทั้งชาย – หญิง

เชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือ Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ติดต่อกันได้ง่าย ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์จากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจากสถิติในประเทศแคนนาดา พบว่าทุก 1 ใน 4 ของประชากรเพศหญิงและชายที่อายุต่ำกว่า 25 ปี มีการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ทำให้เกิดโรคทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย

ซึ่งเชื้อไวรัสเอชพีวีนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่มีอยู่ 15 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงให้เกิดมะเร็งต่างๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งเพศหญิงและเพศชาย โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูกกว่าร้อยละ 70 และอีก 25 สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงให้เกิดโรคอื่นๆ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ถึงร้อยละ 90 ตามปกติการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีมักไม่แสดงอาการใดๆ และโอกาสที่ร่างกายจะขจัดเชื้อออกไปเองได้ก็มีสูง

แต่หากได้รับเชื้ออย่างต่อเนื่องหรือมีการติดเชื้อเป็นระยะเวลานานๆ จะก่อให้เกิดการติดเชื้อเอชพีวีอย่างคงทน และกลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งองคชาติ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและคอ และโรคหูดหงอนไก่ได้ ในประเทศไทยโรคมะเร็งปากมดลูกพบบ่อยเป็นอันดับ 2 และมีหญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยถึงวันละ 14 คน ทั้งๆ ที่มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ทั้งการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีมีประสิทธิภาพป้องกันได้ถึงร้อยละ 70 ของเชื้อก่อมะเร็งปากมดลูก แต่กลับยังเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในหญิงไทย เราจึงควรเร่งให้ความรู้และกระตุ้นให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น รวมทั้งการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเมื่อเป็นโรคแล้ว เพราะคุ้มค่ากว่าทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และยังเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาโรคมะเร็ง

นอกจากเชื้อไวรัส เอชพีวี จะเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคหูดหงอนไก่ด้วย ซึ่งเกิดได้ทั้งในเพศชายและเพศหญง ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคหูดหงอนไก่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยนานนับปี จนเมื่อมีก้อนโตมากไปอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะ จนเกิดอาการคันและปวด บางรายอาจมีเลือดออก ตกขาวผิดปกติ และแสบร้อนที่อวัยวะเพศ

แม้ว่าโรคหูดหงอนไก่จะไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต แต่อาจจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและชีวิตคู่ได้ เพราะพบว่าร้อยละ 30 – 70 เกิดซ้ำหลังหยุดการรักษาไป 6 เดือน และหากเกิดหูดหงอนไก่ขณะตั้งครรภ์ อาจขัดขวางการคลอดหรือทำให้ทารกเป็นหูดหงอนไก่ที่คอหอย หลอดลม หรือเส้นเสียงและมีผลต่อการหายใจของทารกจนอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้น การป้องกันก่อนการเกิดโรคน่าจะดีกว่า

โดยปัจจุบันวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ครอบคลุม สายพันธุ์ที่ 16, 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก และสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้ สำหรับคุณผู้ชายถือเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเอชพีวี เพราะคุณผู้ชายอาจไม่มีอาการใดๆ แต่สามารถแพร่เชื้อไปให้คุณผู้หญิงได้ แต่ในบางรายหากได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์เสี่ยงสูงเป็นระยะเวลานานๆ ก็เสี่ยงจะทำให้เกิดโรคมะเร็งองคชาต หรือมะเร็งทวารหนัก และหูดหงอนไก่ได้ ซึ่งปัจจุบันเรายังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสเอชพีวีในคุณผู้ชาย ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีในคุณผู้ชายจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งนี้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี ก็เหมือนวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้ออื่นๆ ฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่คนไทยยังเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กไม่จำเป็นต้องฉีด เพราะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์หรือแม้แต่ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ก็เขินอายที่จะไปฉีด แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฉีดวัคซีนในเด็กจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการฉีดในผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า และยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้มีภูมิคุ้มกันเมื่อเติบโตสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์ ฯลฯ ได้อนุญาตให้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีเป็นวัคซีนพื้นฐาน และสามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป ส่งผลให้ปัจจุบัน อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปากมดลูกในประเทศเหล่านั้นลดลง อย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา อุบัติการเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์รุนแรงที่ก่อโรคมะเร็งลดลงถึงร้อยละ 56 เป็นต้น ป้องกันHPV

วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีมี 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนเอชพีวี ชนิด 2 สายพันธุ์ จะครอบคลุมสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งช่องคลอดในเพศหญิง และวัคซีนเอชพีวี ชนิด 4 สายพันธุ์ จะคลอบคลุมสายพันธุ์ที่ 6,11,16 และ 18 ซึ่งมีข้อบ่งชี้ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หูดหงอนไก่ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย โดยวัคซีนเอชพีวีทั้งสองชนิดต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ซึ่งเข็มที่ 2 จะให้ห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน โดยแนะนำให้ฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี ในผู้หญิงและผู้ชาย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการอนุมัติให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีเพียง 2 เข็มก็เพียงพอสำหรับเด็กอายุ 9 -13 ปี ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เด็กเข้าถึงวัคซีนมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 26 ปี ก็ยังสามารถฉีดวัคซีนเอชพีวีได้ แต่ต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขอื่นๆ ด้วย เช่น ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยได้รับเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อน คนในกลุ่มนี้ยังสามารถรับประโยชน์จากวัคซีนได้ แต่วัคซีนอาจมีประสิทธิภาพลดลงหากเคยติดเชื้อเอชพีวีมาก่อนหน้านี้ สำหรับผู้ชาย การฉีดวัคซีนเอชพีวีนอกจากการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีโดยตรง ป้องกันโรคหูดในอวัยวะเพศและมะเร็งทวารหนักแล้ว ยังช่วยป้องกันทางอ้อมในการลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้หญิงด้วย

จากการศึกษาติดตามผลการใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์ในระยะยาว พบว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นแอนติบอดี้ได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และยังคงตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วถึง 8 ปี ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ติดตามผลยังพบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยในเด็ก และการศึกษานี้พบว่า เด็กที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่อายุเฉลี่ย 12.5 ปี จะได้รับการป้องกันการติดเชื้อได้ดีมาก แต่หากฉีดวัคซีนช้าไปเพียง 2.5 ปี ความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสเอชพีวีแบบคงทนจะเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า

จะเห็นว่าเชื้อไวรัสเอชพีวี เป็นเชื้อไวรัสที่แพร่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ขณะที่วิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอชพีวี ดังนั้น การเผยแพร่ความรู้และทำความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชนเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอชพีวีจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งร้ายแรง พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงการป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีอย่างถูกต้อง ทั้งการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอและการฉีดวัคซีนที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่าการรักษาโรคมะเร็งในระยะยาว ที่สำคัญ เพื่อผลักดันภาครัฐให้เห็นความสำคัญของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวีให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อการเข้าถึงวัคซีนของประชาชนอย่างทั่วถึง

ขอบคุณข้อมูลและภาพ : สภากุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมมะเร็งนรีเวชไทย

ย้ง-ทรงยศ ตอกกลับ “ถ้าระบบเซ็นเซอร์ยังเป็นแบบนี้ เราจะไปถึงวันที่ผู้กำกับไม่กล้าทำอะไร นอกจากหนังรักหน่อมแน้ม”

ในวันที่หนังไทยเจอปัญหาเรื่องเซ็นเซอร์ (อีกแล้ว) แพรวชวนคุณๆ ย้อนอดีตที่เราได้คุยกับ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ในคอลัมน์ Talk around by Mr.Praew เมื่อเดือน พฤษภาคม ปี 2554 อยากบอกว่า หลายคำตอบในวันนั้นยังใช้ได้ดีในวันนี้ อ่านแล้วก็ช่วยเชียร์หนังไทยกันต่อไปด้วยจ้า!

Unqqtitled1“เรื่องน่าอึดอัดใจที่สุดของคนทำหนังไทยคือ เรื่องจัดเรตและเซ็นเซอร์ ผมไม่ได้กลัวที่หนังถูก

ตัดฉากหรือห้ามฉาย แต่กลัวว่าพอคนทำหนังโดนแบบนั้นบ่อยๆ ทั้งเขาและผู้กำกับคนอื่นๆ จะเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยการไม่ทำหนังลักษณะนั้นอีก กลายเป็นว่าทุกคนไม่มีอิสระทางความคิด ทำงานด้วยความกลัว แล้วการจัดเรตทุกวันนี้ก็ไม่มีมาตรฐาน เช่น ถ้ามีฉากพระวิ่งอยู่ในหนังดราม่า รับรองไม่ผ่านเซ็นเซอร์เพราะพระวิ่งไม่ได้ แต่ในหนังตลกพระวิ่งหนีผีได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นเรื่องไม่จริงจัง

“ผมอยากให้กลับไปดูหนังไทยในอดีตที่มีฉากเลิฟซีนจูบจริง โป๊จริงกว่านี้ ถ้าระบบเซ็นเซอร์กับจัดเรตติ้งยังปิดหูปิดตาคนดูขนาดนี้ ผมเชื่อว่า เราจะไปถึงวันที่ผู้กำกับไม่กล้าทำอะไร นอกจากหนังรักหน่อมแน้ม เหมือนการเบลอบุหรี่ในละครโทรทัศน์ที่เราถามกันเองว่า เด็กไทยโง่ขนาดไมรู้จริงๆ หรือว่า นั่นคือบุหรี่

“ถ้าอยากให้หนังไทยพัฒนา เราต้องพัฒนาทั้งระบบ ตั้งแต่คนทำ ภาครัฐฯ สถาบันการเรียนการสอน จนถึงคนดูหนังไทยส่วนใหญ่ที่ยังไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่ผิดจากความคุ้นชิน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังดีหลายเรื่องไม่มีคนดู หลายครั้งผมได้ยินคนพูดว่า ไม่ดูหนังไทย เช่น ตอนไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีน้องบอกว่า คิดไม่ออกว่า มีหนังไทยเรื่องไหนดีบ้าง ผมจึงไล่ชื่อหนังไทยเรื่องต่างๆ เขาบอกว่าดู โหมโรง ไม่ดู รักแห่งสยาม เพราะเป็นหนังเกย์ ไม่ดู กอด เพราะเป็นหนังคนสามแขน ไม่เชื่อว่ามีจริง ผมจึงบอกว่า หนังสามเรื่องนี้ได้รางวัลจากหลายสถาบัน ซึ่งอาจพอบอกได้ว่า เป็นหนังดี เพราะฉะนั้นน้องอาจต้องถามตัวเองว่า อะไรคือหนังดีในแบบที่อยากเห็น แล้วลุกขึ้นมาทำให้สำเร็จ เช่นเดียวกับทุกฝ่ายที่อยากให้วงการหนังไทยพัฒนา

“แค่พูดเฉยๆ คงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง”

Flashback story by MR.PRAEW

ลิปแมตต์สวยเจิด แจ้งเกิดทุกงานแค่พก LANCÔME L’Absolu Rouge Définition

เมื่อเทรนด์ความงามในฤดูกาลล่าสุด และแนวโน้มของฤดูกาลต่อไปในอนาคตเป็นเรื่องของความบางเบา แม้เราจะเน้นงานโชว์ผิว แต่โจทย์คือทำอย่างไรให้ดูน้อย และต้องสวยสมบูรณ์แบบ การโฟกัสไปที่จุดเด่นของใบหน้าจึงสำคัญมาก

ลิปสติกจึงเป็นไอเท็มที่สาวๆ หลายคนหยิบยกให้เป็นนางเอกอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะใช้ง่ายแล้ว ยังมีเฉดสีให้เล่นสนุก เปลี่ยนลุคกันไปได้เรื่อยๆ และการเลือกลิปสติก เรื่องของเนื้อสัมผัสก็สำคัญ ด้วยอากาศบ้านเราที่ร้อนมาก เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ผิวหน้าจะมันวาวหนักมาก จึงอาจไม่ค่อยเหมาะกับลิปสติกแบบฉ่ำวาวกลอสซี่สักเท่าไหร่นัก ลิปสติกเนื้อแมตต์จึงเป็นคำตอบ แม้หน้าจะวาวแต่ปากยังดูเนียนแน่นเป๊ะอยู่
เม็ดสีสดชัดกับเนื้อสัมผัสสุดเลิศหรู

สำหรับใครที่เคยทาลิปสติกเนื้อแมตต์แล้วพบเจอแต่ปัญหา ทั้งริมฝีปากแห้ง ทาไม่ค่อยติด สีก็ลอกหลุดร่อน เราขอแนะนำให้ลองลิปสติกเนื้อแมตต์สูตรแรกของ LANCÔME

Gamme-resizeLANCÔME L’Absolu Rouge Définition ลิปสติกเนื้อแมตต์ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ทั้งเม็ดสีที่อิ่มแน่นสดชัด และสัมผัสเนียนนุ่มสุดเลิศหรู พร้อมทั้งให้ความชุ่มชื่นที่ริมฝีปาก คือความรู้สึกดีแบบที่คุณไม่เคยเจอกับลิปสติกเนื้อแมตต์ที่ไหนมาก่อน เพราะออกแบบมาให้ทาง่ายมาก มีปลายแท่งลิปสติกเป็นทรงกลีบกุหลาบเอียงแบบได้องศารับกับส่วนโค้งของริมฝีปากพอดิบพอดี ไม่ว่าทาสีสดแค่ไหนก็เนี๊ยบเป๊ะแน่นอน ที่สำคัญยังติดทนยาวนานถึง 6 ชั่วโมง

แจ้งเกิดแน่ แค่เลือกสีให้เหมาะกับงาน

 ปาร์ตี้กับแก๊งค์เพื่อนสาว

Lips-01 ปาร์ตี้_text
งานสนุกสุดเหวี่ยงที่มีแต่เพื่อนสาวแบบนี้ แค่ทาลิปสติกสีสดๆ เข้มๆ แบบจัดเต็มแข่งกันก็มีความสุขที่สุดแล้ว แนะนำให้เลือกสีแดงเลือดนก 195 Le Carmin สีโปรดของเพเนโลเป ครูซ แดงเจิดจรัสดูสูงศักดิ์ดั่งนางพญารับรองเกิด หรือถ้าอยากสนุกขึ้นอีกนิดลองเป็นสีม่วง 294 Le Pourpre ที่จะทำให้คุณแลดูเป็นสาวลึกลับซับซ้อน ดั่งแม่มดสาวเจ้าเสน่ห์ สีแน่นสดชัดตลอดปาร์ตี้ไม่มีหลุดเลือน

 ออกเดทในลุคใสๆ

Lips-04 ออกเดท (แบบ 2)_text

ลุคใสคลีนๆ มักจะสร้างความประทับใจให้ชายหนุ่มเวลาออกเดท เราไม่ได้แนะนำให้คุณทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง แต่แค่ไกด์แนวทางว่าไม่ควรเยอะมาก เพราะถ้าจัดสีแรงเกินไปแทนที่จะมานั่งจ้องตากัน จะกลายเป็นมัวแต่ไปสนใจมองสีที่ปากคุณแทน สีที่เหมาะกับการทาไปออกเดทสุดๆ คือ สีชมพูที่นุ่มนวล อบอุ่นของเฉดสี 280 Le Rose Persan ดูเป็นสาวหวานทรงเสน่ห์ ดูสง่างามในแบบฉบับของตัวเอง หรือถ้าอยากดูซุกซนขึ้นอีกนิด ขอให้ลองสีชมพูบานเย็น 388 Le Magenta ความน่ารักของคุณจะตราตรึงในหัวใจเขาไปจนนอนหลับ

มาดมั่น พรีเซนต์งานสำคัญ ต้องชนะใจทุกคน

Lips-03 พรีเซ็นงาน (แบบ 2)_text
วันพรีเซนต์งานใหญ่ สาวๆทั้งหลายมักตื่นเต้น คาถาที่จะทำให้คุณรอดเสมอคือ มั่นเข้าไว้ ยิ้มสดใสชนะใจกรรมการ สะกดทุกสายตาด้วยสีแดงคมเข้ม 290 Le Grenat เป็นสีที่ดูจริงจังมั่นใจ แต่ไม่ได้แรงจนเกินงาม แต่ถ้าอยากให้บรรยากาศดูสดใสเป็นกันเองขึ้นมาหน่อยแนะนำสีม่วงอมแดง 384 Le Fusia สีนี้จะทำให้คุณดูสง่างาม มั่นใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสนุกสนานนิดๆ ด้วย

ไปร่วมงานแต่งงานต้องเรียบหรู

Lips-02-New งานแต่ง_text
เมื่อต้องไปร่วมงานแต่งงานที่ดูเป็นทางการไม่ว่าจะเป็นงานแต่งเพื่อน ญาติ หรือคนรู้จัก ลุคของคุณควรดูเรียบร้อยแต่แฝงเอาไว้ด้วยความหรูหรา อันที่จริงสีปากสำหรับงานแบบนี้ จะอิงกับชุดหรือธีมสีของงานก็ได้ แต่ถ้าจะครองแนวหวานแบบรอดทุกกรณี เราแนะนำสีชมพูนู้ด 079 L’Incarnat จะทำให้คุณดูเป็นคุณหนูเรียบหรู และทรงเสน่ห์ อีกสีนึงที่น่าลองคือ สีแดงอมส้ม 187 Le Tangerine หวานซ่อนเปรี้ยว

 

 

พัฒนาการความหล่อของหนุ่มๆ บ้าน The Star

เป็นอีกหนึ่งเวทีที่ผลิตนักร้องคุณภาพให้กับวงการบันเทิงบ้านเราทุกๆ ปี นั่นก็คือเวที The Star วันนี้เราจะพาไปดูพัฒนาการความหล่อของหนุ่มๆ บ้านนี้กันซะหน่อย เพราะบางคนก็หายหน้าหายตาไม่ค่อยได้เจอนาน แต่พอมาเจออีกทีก็หล่อเหลาขึ้นจนแทบจำไม่ได้เลยทีเดียว มีใครบ้างนั้นไปดูกันเลย

1.สิงโต the star 5  

เริ่มกันที่ สิงโต – สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล หลังจากหลายหน้าหลายตาไปนานก็ใกล้จะมีผลงานละครให้เราได้เห็นกันแล้วกับเรื่อง “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” ซึ่งพอเห็นตัวอย่างละครปุ๊บ ก็ต้องงงว่านั่นคือสิงโตจริงหรอ เพราะดูดีกว่าเดิมมากซะจนแทบจำไม่ได้ ทั้งขาวขึ้น หน้าก็เรียวเล็ก แถมปากยังแดงน่าจุ๊บอีกด้วย จนคนเอาไปเม้าท์ว่าหนุ่มสิงโตนั้นพึ่งมีดหมอรึเปล่าน่ะสิ แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะตอนเข้าวงการใหม่ๆ หนุ่มสิงโตยังเด็กอยู่ พอตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ความหล่อเลยพัฒนาขึ้นมาก็เป็นได้

1

2

3

2.เซน the star 6

มาถึงหนุ่ม เซน – ภูหิรัณย์ หล่อเสถียรธารี  กันบ้างที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มเกาหลีไปซะละ เพราะถ้าใครจำสมัยที่ประกวด the star ได้ล่ะก็มาเทียบกับตอนนี้ ใครๆ ก็บอกว่าเปลี่ยนไปเยอะมากเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ เพราะดูน่ารักขึ้น เหมือนพระเอกเกาหลี เอาเป็นว่าถ้าเดินผ่านก็คงไม่มีใครจำได้ว่านั่นคือหนุ่มเซน คงจะนึกว่าเป็นอ้ปป้าเกาหลีมากกว่าดาราไทยซะอีก

4

5

7

 

3.กัน the star 6

ส่วนหนุ่ม กัน – นภัทร อินทร์ใจเอื้อ ที่ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วฐานแฟนคลับของเขานั้นก็ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมก็คงจะเป็นความหล่อของหนุ่มกันนี่แหละ ที่นับวันดูคมเข้มขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าไปทำอะไรมารึเปล่าแต่ถ้าทำแล้วดูดีขนาดนี้ก็เชียร์ให้ทำนะจ๊ะ นอกจากหน้าตาและน้ำเสียงที่อบอุ่นแล้ว ตอนนี้หนุ่มกันขยันฟิตหุ่นจนแน่นปึ๊ก เห็นแล้วอยากเอาหน้าไปซบอกมากเลยล่ะขอบอก

11

12 13

4.ตูมตาม the star 7

มาถึงหนุ่มหน้ามนคนซื่ออย่าง ตูมตาม – ยุทธนา เปื้องกลาง คนนี้บ้าง ที่ก่อนเข้าวงการหน้าตาต้องขออนุญาตใช้ว่า “เป็นหนุ่มหน้าตาบ้านๆ คนหนึ่ง” แต่พอเข้าวงการปุ๊บก็เริ่มเห็นพัฒนาการความหล่อปั๊บ ดูหล่อขึ้นผิดหูผิดตา ฉายแววพระเอกเลยทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรกับหน้าทั้งนั้นแต่เป็นเพราะออกกำลังกายเลยผอมลงทำให้ดูเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเท่านั้น แต่ถึงยังไงถ้าหนุ่มตูมตามจะทำศัลยกรรมจริงๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกเน๊อะ

เครดิตภาพ : www.facebook.com/ToomtamsChannel
เครดิตภาพ : www.facebook.com/ToomtamsChannel
เครดิตภาพ : www.facebook.com/toomtamthestar7.FC
เครดิตภาพ : www.facebook.com/toomtamthestar7.FC
เครดิตภาพ : www.facebook.com/toomtamthestar7.FC
เครดิตภาพ : www.facebook.com/toomtamthestar7.FC

5.ฮั่น the star 8

นอกจากนี้ก็ยังมี ฮั่น – อิสริยะ ภัทรมานพ หนุ่มหล่อหุ่นเซ็กซี่ขยี้ใจทั้งชะนี เก้ง กวาง ต่างก็ต้องกรี๊ดให้กับความเท่ของหนุ่มฮั่น และไหนจะรอยยิ้มที่สดใสจากดวงตาเล็กๆ ของหนุ่มฮั่นอีกล่ะ ทำให้สาวๆ ใจละลายไปตามๆ กัน ถ้าจะว่ากันตามจริง หนุ่มฮั่นก็หน้าตาแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่พอเข้าวงการก็รู้สึกว่าออร่าจับขึ้นมาทันที สงสัยต้องไปถามเคล็ดลับหนุ่มฮั่นซะแล้ว แต่นอกจากหน้าตาที่เป็นจุดขายของหนุ่มฮั่นแล้ว ก็มีรูปร่างและซิกแพคที่เห็นแล้วต้องเป็นลมนี่แหละ คือเสน่ห์ที่เขาใช้มัดใจสาวจนอยู่มัด

14 15 16

 

6.ตั้ม the star 9

คนสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้นั่นก็คือหนุ่ม ตั้ม – วราวุธ โพธิ์ยิ้ม ที่เจ้าตัวออกมายอบรับว่าไปทำหล่อมาจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่การรักษาผิวหน้าเท่านั้น เนื่องจากตัวเองเป็นคนสิวเยอะเลยต้องเข้าคลินิกให้หมอรักษาผิวหน้าให้ดีขึ้น แถมยังบอกอีกด้วยว่ามีฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นตรงหน้าผากอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แหม่ เป็นอีกคนที่ออกมาบอกซะหมดเปลือกแบบนี้แล้วเราจะเผือกอะไรได้อีกล่ะ

17 18 19

 

เรื่อง : แพรวดอทคอม

ภาพ : IG @singtosaharat, @zenithgod, @gunnapat23, @hunz_iph, @tumidol_ts9, www.facebook.com/ToomtamsChannel, www.facebook.com/toomtamthestar7.FC

 

เผยโฉมสาวงามทั่วโลก คู่แข่งน้องแนท ชิงมงฯ Miss Universe 2015

ได้เห็นหน้าตากันไปแล้วสำหรับสาวไทยที่ได้เป็นตัวแทนเข้าชิงมงกุฎ Miss Universe 2015  เรียกว่าสมใจคนเชียร์ไม่มีดราม่าให้ต้องวุ่นวายเมื่อปีก่อน แต่งานนี้สาวไทยจะสามารถคว้ามงกุฎได้หรือไม่ คงตัดสินอะไรไม่ได้ เพราะสาวงามจากประเทศอื่นๆ ที่ถูกคัดเลือกเข้ามาประชันในปีนี้ก็มีดีไม่แพ้กัน

มาเริ่มที่สาวสวยจากเมืองลุงแซม Olivia Jordan Thomas ตัวแทนผู้เข้าประกวดจากสหรัฐอเมริกา วัย 26 ปี เรียนจบ จากคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยBoston

miss usa1
นอกจากนี้เธอยังเคยเป็นนางแบบ และนักแสดงด้วย เรื่องประสบการณ์กการเป็นนางงามไม่ต้องพูดถึง เพราะสาวคนนี้เดินสายประกวดมาหลายเวที อาทิ Miss California 2013,Miss World 2013,Miss 2015 และล่าสุดกับการได้เป็นตัวแทนผู้เข้าประกวด Miss Universe 2015 นั่นเอง

miss curaacao1
ต่อที่ตัวแทนจากประเทศกือราเซา Curacao สาวคนนี้มีชื่อว่า Kanisha Sluis สาวคนนี้เพิ่งได้รับตำแหน่ง Miss Curacao 2015 ไปเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง

Thailand
มาที่สาวคนนี้เห็นทีคนไทยจะไม่เชียร์ไม่ได้แล้ว แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณวงศ์ สาวสวยรั้วแม่โดมจากจังหวัดลำปาง วัย 21 ปี ที่วันนี้เธอคือตัวแทนสาวไทยที่จะไปเข้าร่วมชิงมงกุฏMiss Universe 2015 ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูสมส่วน บวกกับสีผิวที่มีเอกลักษณ์ในแบบสาวไทย ทำให้หลายคนเตรียมลุ้นเชียร์กันแน่อนน ส่วนจะไปไกลเข้ารอบลึกๆได้ขนาดนไหน คงต้อลุ้นในวันประกวดสิ้นปีนี้

ซอกแซกจานโปรด 3 ซุป’ตาร์หน้าหล่อ

เขาว่ากันว่าเสน่ห์ของผู้หญิงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นเสน่ห์ปลายจวัก เพราะโบโบท็อกซ์มีวันหมดอายุ ถ้ารู้ว่าหนุ่มซุปตาร์ในฝันของคุณชอบกินอะไร หัดเข้าครัวไว้ เจอเขาเมื่อไหร่ แอบติดไม้ติดมือไปฝากก็ได้นะจ๊ะ
1. ดีเจพุฒ – พุฒิชัย เกษมสิน

1
“ผมติดกาแฟมากครับ โดยเฉพาะลาเต้กับคาปูชิโน่ วันไหนไม่ได้ดื่มจะรู้สึกงงๆ เคยดื่มเยอะสุด 3 แก้วต่อวัน เพราะวันนั้นทำงานตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน นอกจากนี้ผมยังติดของหวานด้วยนะ เอะอะอะไรต้องล้างปากด้วยของหวานตลอด ความที่ผมเป็นเด็กราชบุรี ซึ่งที่นั่นเป็นแหล่งรวมขนมไทยเลย เหมือนสวรรค์ บ้านผมอยู่ติดริมคลอง ทุกวันประมาณ สิบโมงเช้ามีคุณลุงพายเรือมาขายขนม มีทุกอย่างให้เลือก ราคา 5 – 10 บาท แต่รสชาติคุ้มเกินราคา ที่ชอบมากคือ ลอดช่อง ฟักทอง กล้วยบวชชี มันเชื่อม ขนมใส่ไส้ ที่บ้านผมเองก็ชอบทำขนมไทย แม่ชอบทำ กล้วยเชื่อม ลูกตาลลอยแก้ว ขนมตาล วุ้นมะพร้าว และข้าวต้มมัด มีให้กินเยอะ จนเบื่อ แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ ก็คิดถึงขนมที่บ้านมากครับ เพราะขนมไทยกรุงเทพฯ กินแล้วขัดใจ บางทีเขาใช้กะทิกล่อง ความหอมไม่เหมือนกัน”

2. อาเล็ก – ธีรเดช เมธาวรายุทธ

2
“ผมกินเก่งมากครับ สมัยเรียนปีหนึ่งที่จุฬาฯ เคยอ้วนถึง 95 กิโลกรัม สะสมมาตั้งแต่อยู่ ม.ปลายที่อัสสัมชัญ เพราะกิน 5 – 6 มื้อต่อวัน อย่างตอนเช้านัดเพื่อนมากินอาหารหน้าโรงเรียน ซึ่งข้างๆ มีโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ สาวเยอะ สั่งเมนูไปเล็งสาวไป โดยเฉพาะข้าวขาหมู เกาเหลา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวมาจากบ้านแล้ว พอช่วงพักสั้น ๆ จะยื่นสตางค์ออกไปนอกรั้วซื้อไส้กรอก ถึงเวลาพักเที่ยงก็กินข้าวกลางวัน เลิกเรียนแวะไปซื้อไก่นักเก็ต เฟรนช์ฟรายส์ บะหมี่ กลับมาถึงบ้านก็กินข้าวเย็นอีก โดยเฉพาะเวลาคุณแม่ทำข้าวหน้าไก่ ขอบอกว่าอร่อยมาก…ก อร่อยกว่าร้านที่ว่าดัง ๆ อีก แล้วทุกวันศุกร์คุณแม่จะทำเมนูตามสั่ง ให้ทุกคนบอกมาว่าจะกินอะไร แม่จะจัดให้ ผมมักขอเมนูหมูซีอิ๊วไข่ดาวไม่สุก ไข่ดาวเด้ง ๆ หมูซีอิ๊วกลมกล่อม พร้อมข้าวหอมๆ จานโต แม่ตักให้เยอะ เพราะกลัวลูกกินไม่อิ่ม ปรากฏว่า อวบเลย ส่วนตอนนี้ขอเทใจให้กับอาหารญี่ปุ่น ชอบมาก กินได้ทุกอย่าง เคยดูหนังเรื่อง จิโร เทพเจ้าซูชิ ดูเสร็จแล้วน้ำลายไหล อยากไปญี่ปุ่นมาก” (หัวเราะ)

3. เป้- อารักษ์ อมรศุภศิริ

3
“ผมชอบกินเนื้อทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อ สเต๊ก ล่าสุดกำลังอินกับเบอร์เกอร์มาก แต่ความจริงผมกินได้ทุกอย่างครับ อาหารไทยก็ชอบ จะเหนือ ใต้ อีสานได้หมด สำคัญคือต้องอร่อย อย่างเวลาไปทำงานต่างจังหวัดจะมีร้านประจำที่ต้องไปกินให้ได้ เช่น ถ้าไปเชียงใหม่ต้องร้านเตี๋ยวอ๋อง หรือถ้าไปเชียงรายก็ต้องขนมจีนน้ำเงี้ยวสิบสองปันนา ส่วนขนมหวานผมก็ชอบนะ เคยจัดหนักจนต้องโดนสั่งให้ลดไซส์พุง ซึ่งยาก เพราะผมยังกินเยอะเหมือนเดิม ต้องเน้นออกกำลังกายชดเชยครับ”

จากนางแบบรันเวย์ สู่เส้นทางชีวิตแห่งการ ‘ให้’ ของ ‘เม้าท์ซี่ เบญจวรรณ’

Screen Shot 2015-10-18 at 10.38.19 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 10.39.47 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 10.52.22 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.25.56 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.34.38 AM copyตอนนี้เรียกว่างานเดินแบบเป็นงานอดิเรกไปแล้ว เพราะตอนนี้เม้าท์ซี่ได้หันมาเล่นโยคะที่เฝ้าฝึกฝนมานานกว่า 8 ปี จนได้ประกาศนียบัตรเป็นครูสอนโยคะเรียบร้อยแล้วจ้า

Screen Shot 2015-10-18 at 10.41.06 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 10.42.11 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 10.48.39 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.32.26 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.32.34 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.32.44 AM copy Screen Shot 2015-10-18 at 11.33.01 AM copyรวมถึงการศึกษาเรื่องธรรมะอย่างจริงจัง และเคยไปบวชมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยสาวเม้าท์ซี่เคยบอกไว้ว่า การฝึกปฏิบัติธรรมช่วยทำให้มีสติ และสมาธิอยู่กับกายและใจของตัวเอง ฝึกให้รู้การเคลื่อนไหวของกาย รู้เวทนาที่เกิดขึ้น รู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น และที่สำคัญคือ รู้กายใจทุกขณะของการฝึก เป็นความสุขเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อยู่ที่เรามองว่าจะให้เป็นแบบไหน เป็นความสุขที่ไร้ทุกข์แบบยั่งยืน นอกจากนี้เธอยังได้เป็นวิทยากร และนำฝึกโยคะ ในคอร์สวิปัสสนากรรมฐานต่างๆ อยู่เป็นประจำด้วย

แบบนี้เขาเรียกว่าสวยจากภายในของจริง

เรื่อง :  แพรวดอทคอม

ภาพ : mouzie

รุ่นนี้โสด ไม่มีเหงา 5 ซิงเกิ้ลเลดี้ สวยสะพรั่งมาตั้งแต่ยังสาว

สลัดอายุที่เพิ่มขึ้นทิ้งซะไม่มีเหลือ แม้อายุจะเข้าสู่หลัก 5 และ 6 กันแล้ว แต่เชื่อไหมว่าบรรดานักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตนางเอก และนางแบบชื่อดังเหล่านี้ พวกเธอยังดูแลตัวเองดีมากๆ ซึ่งถ้าใครได้เห็นภาพวันวานสมัยที่ยังสาวๆ คงต้องอึ้ง กับการใช้ชีวิตเป็นสาวโสดแต่แซ่บของพวกเธอ

แหม่ม – จินตหรา สุขพัฒน์

9

ครองความเป็นโสดมาจนเข้าสู่วัย 50 กะรัต สำหรับแหม่ม – จินตหรา หากใครยังจำได้สมัยที่ยังรับบทนางเอก คงนึกภาพของสาวน้อยผมสั้นหน้าม้า หน้าตาจิ้มลิ้มได้เป็นอย่างดี

6 7ผ่านมาจนวันนี้แม้ว่าการแสดงจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นบทแม่แล้ว แต่ความสวยและการวางตัวก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน สวยขนาดนี้แต่ยังไม่แต่งงาน คงไม่ใช่เพราะไม่มีหนุ่มมาจีบแน่นอน แต่เจ้าตัวคงหวงชีวิตโสดเสียมากกว่า

10
ดี้-ชนานา นุตาคม

13อีกหนึ่งดาราเจ้าบทบาทที่ในละครมักจะทำให้หลายคนอดหมันไส้ไม่ได้ แต่ชีวิตจริงของสาววัย 51 ปี คนนี้ เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แซ่บสุดๆ เพราะขนาดว่าลูกชายโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว แต่ก็ยังดูแลตัวเองดีมากๆ โดยเฉพาะรูปร่างที่ยังเป๊ะอวดหุ่นในชุดว่ายน้ำได้สบายๆ ไม่เชื่อดูภาพตอนสมัยสาวๆ กับภาพปัจจุบันนี่แทบไม่ต่างกันเลย

ต่อง – สาวิตรี สามิภักดิ์

1286592391reply647231_Image-25371102
ไม่ค่อยมีข่าวเรื่องหนุ่มๆ ให้ได้ยินมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ทั้งที่ดีกรีความสวยระดับนางเอกก็ตีคู่มากับนักแสดงท่านอื่นๆ ในยุคนั้น ชีวิตของสาวต่องผ่านงานในวงการบันเทิงมาแทบทุกรูปแบบ ทั้งหนัง ละคร ละครเวที และการเป็นพิธีกร และถือว่าเป็นนักแสดงหญิงที่มากความสามารถ เล่นได้เข้าถึงทุกบทเข้มข้นทุกเรื่อง เห็นยังเป๊ะขนาดนี้ จริงๆ สาวต่องอายุ 53 แล้วนะจ๊ะ

12

ต่าย – เพ็ญพักตร์ ศิริกุล

2
จัดว่าเปรี้ยวแซ่บในฐานะสาวฮอตในยุคหนึ่งของวงการบันเทิงไทย สำหรับแม่ต่าย – เพ็ญพักตร์ ที่มีผลงานการถ่ายแบบเซ็กซี่ และฉีกบทนางเอกลุคเดิมๆ ทำให้ช่วงนั้นหนุ่มๆ ขายขนมจีบกันเพียบ

17และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนอายุ 54 ปีแล้ว  แต่ยังดูเท่และอ่อนกว่าวัยมากๆ เป็นอีกหนึ่งสาวที่เก๋าสุดๆ เพราะถึงจะรับบทแม่ แต่บอกเลยว่ายังสวยตะลึงไม่แพ้นางเอกรุ่นลูกเลยจริงๆ

16ตุ๊ก – ดวงตา ตุงคะมณี

3
เห็นภาพสมัยสาวๆ เด็กๆ รุ่นใหม่คงมีอึ้งกันแน่นอน เพราะแม่ตุ๊กดวงตาของเราหน้าตาสวย ปากนิด จมูกหน่อยซะขนาดนี้ จริงๆ ก่อนที่แม่ตุ๊กจะครองตัวโสดมาถึงอายุ 60  ก็เคยใช้ชีวิตคู่และมีลูกชายหนึ่งคน ส่วนผลงานในวงการบันเทิงแม่ตุ๊กเริ่มจากงานถ่ายแบบแฟชั่นมาก่อน ถึงจะมาเริ่มอาชีพการแสดงเป็นนางเอก ต่อด้วยพิธีกรมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องการแสดงคงไม่ต้องพูดถึงว่าเด็ดขนาดไหน ส่วนเรื่องความสวยก็คงไม่ต้องพูดมากเช่นกัน เอาเป็นว่ารุ่นนี้มาตรฐานความสวยคงที่มากๆ

ดวงตา

เรื่อง : แพรวดอทคอม

ขอขอบคุณภาพจาก : วิกิพีเดีย,http://www.thaifilm.com/forumDetail.asp?topicID=3944&keyword=

IG@penpaks, @tooktung @savitee_tong, @chanana_dee, @mamjintara_fc และ FB@แฟนคลับจินตหรา สุขพัฒน์

 

Twitter : sriploi17

 

เผยแล้ว! Kristen Stewart นางแบบคนที่ 91 กับโปรเจกต์สุดวาบหวิว Towel Series

11
TOWEL SERIES 91, KRISTEN STEWART

โปรเจกต์นี้ เป็นโปรเจกต์ส่วนตัวของเขาที่ทำขึ้นมาเองภายใต้ชื่อ Towel Series ที่จะเชิญเหล่าดารานางแบบ นายแบบ นักร้องและนักแสดงที่มีชื่อเสียงต่างๆ มาถ่ายภาพขาวดำกับเสื้อคลุมอาบน้ำหรือผ้าเช็ดตัว แน่นอนว่าแต่ละภาพที่เขาถ่ายได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

ที่มาของโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจาก Mario testino ได้เห็นนางแบบระดับโลกอย่าง Kate Moss เดินออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและมีผ้าโพกหัวอยู่ ทำให้เขาเห็นแล้วเกิดไอเดีย Towel Series ขึ้นมา โดย Mario testino บอกว่าโปรเจกต์นี้ไม่ใช่ใครก็สามารถถ่ายได้ เพราะเขาเลือกนางแบบนายแบบมาอย่างพิถีพิถัน เป็นมุมมองของคนเดียวที่อยากจะถ่ายทอดความอิสระและความเป็นตัวของตัวเองภายใต้เสื้อคลุมอาบน้ำหรือผ้าเช็ดตัวนั่นเอง

10
ภาพ Kate Moss กับเสื้อคลุมและผ้าโพกผ้าที่เป็นภาพต้นแบบทำให้เกิดโปรเจค Towel Series

ล่าสุดเขาก็ได้ปล่อยภาพ Kristen Stewart นางแบบคนที่ 91 ของโปรเจกต์นี้ผ่านอินสตาแกรม @mariotestino เป็นภาพของ Kristen Stewart ที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวปิดอยู่ เป็นภาพที่ทั้งเซ็กซี่ และสวยงามมากจนช่วยโซเชียลหลายคนอดที่จะแชร์ไม่ได้ นอกจาก Kristen Stewart แล้ว วันนี้เราเอาภาพของนางแบบนายแบบคนก่อนหน้านี้มาฝากกันด้วย ไปดูกันดีว่าว่ามีใครบ้าง

1
TOWEL SERIES 56, TOMAS GUARRACINO
2
TOWEL SERIES 10, MILEY CYRUS
3
TOWEL SERIES 70, JUSTIN BIEBER
4
TOWEL SERIES 62, KENDALL JENNER
5
TOWEL SERIES 77, AMANDA SEYFRIED
6
TOWEL SERIES 87, LI BINGBING
7
TOWEL SERIES 15, CARA DELEVINGNE
8
TOWEL SERIES 24, CRISTIANO RONALDO
9
TOWEL SERIES 23, NIKOLAI DANIELSEN

เรื่อง : แพรวดอทคอม
ภาพ : IG@mariotestino

‘วีรกรรมทำเพื่อเฮีย’ คำประกาศรักจากติ่งจีนถึงติ๊ก-เจษฎาภรณ์ โอ้ว…มันสุดยอด!

อืมมม… ตามดูงาน รู้ว่าไปไหนก็ตามไปกรี๊ด ไปถือป้ายไฟ อุดหนุนสรรพสิ่งของดาราที่เราหลงรักมาเก็บไว้ในครอบครอง ฯลฯ คำถามคือแล้วถ้าแฟนคลับนั้นเป็นชาวต่างชาติ พวกเขาจะมีวิธีแสดงออกถึงความรักอย่างไร

โจทย์นี้ทำให้แพรวดอทคอมเข้าไปส่องไอจีตระกูลว่าด้วย @chinese ทั้งหลาย อย่างที่รู้ๆ กันว่าช่วงหลังหนึ่งในประเทศที่อุดหนุนบันเทิงไทยอย่างอบอุ่นสุดๆ ก็เห็นจะเป็นจีนนี่แหละ ส่องปุ๊บปังปั๊บ กับ IG@TIK_CHINESEFANCLUB ที่มีฟอลโลเวอร์อยู่ถึง 18.7k ลำพังตัวเลขบอกเลยว่าไม่ได้ประหลาดใจ เพราะพี่ติ๊ก-เจษ แกเปรี้ยงปังที่ไต้หวันตั้งแต่ปี 2007 หรือ 8 ปีที่แล้วโน่น จนได้รับโหวตให้เป็นที่หนึ่งดาราฝ่ายชายของไต้หวันสารพัดโพล จากนั้นก็ข้ามไปดังในจีนต่อ โดยมีผลงานสร้างชื่อมากๆ คือละคร ‘เลือดขัตติยา’ ทำแฟนคลับจีนเพ้อหาองครักษ์หนุ่มหล่อเป็นทิวแถว ถึงขนาดค่ายหนังของจีนติดต่อพี่ติ๊กว่า จะซื้อ ‘เลือดขัตติยา’ ไปสร้างเป็นโปรดักชั่นจีน ช่วยไปเป็นพระเอกหอม่อ(ได้หรือไม่) เสียดายตอนนั้นพี่ติ๊กยังสนุกกับการเข้าป่าอยู่ เลยแคล้วคลาดกันไป

12144114_548633881952852_757968321_nและด้วยพลานุภาพแห่งรัก(หลายปี)นี่แหละที่ทำให้ในไอจีนี้ปรากฏภาพสุดแสนจะ so cute! ที่คุณแฟนคลับบรรจงครีเอทขึ้นมาเพื่อพี่ติ๊กโดยเฉพาะ ฝีมือการรีทัชตกแต่งภาพนี่เรียกว่าขั้นเซียน เรียกว่าไม่รักจริงไม่พยายามทำถึงขนาดนี้นะเออ

12145067_482465508598798_751934899_nIMG_1874 IMG_1872 IMG_1870 12144280_887294021360993_428579673_n 12107532_886947891389535_1590478286_nIMG_1871

ดูๆ แล้วพี่ติ๊กกับชุดจีนโบราณนี่ก็ดูเข้ากั๊น เข้ากันดีนะ จัดเป็นวีรกรรมทำเพื่อเฮีย ประกาศให้โลกรู้ว่า… อั๊วรักเฮียมว้ากกกก

แพรวดอทคอมขอยกนิ้วให้เลยจ้า

เรื่อง : Ghibli

ภาพ : IG@TIK_CHINESEFANCLUB

 

 

เปิดใจ ‘จ่าพิชิต & อีเจี๊ยบ’ ประคบคู่ดราม่า…ปากหมา จนดังเปรี้ยง!

ถามจุดเริ่มต้นของเพจ Drama-addict กับอีเจี๊ยบเลียบด่วนมีที่มาที่ไปอย่างไรคะ
จ่าเริ่มเล่าก่อน “ด้วยความที่ผมเป็นหมอประจำอยู่โรงพยาบาลเกาะลันตา เวลาว่างๆ ก็เล่นเว็บไซต์ทั่วๆ ไป สมัยนั้นยังไม่มีเฟสบุ๊คเลย ผมชอบติดตามอ่านข่าวดราม่าต่างๆ ในพันทิป แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจเลยอยากให้มีเพจที่รวมเรื่องราวพวกนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราว จึงตั้งเว็บไซต์ดราม่าขึ้นมา ตอนแรกคนไม่ค่อยอ่าน แต่ผมก็เขียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร ผ่านไปประมาณสัก 6 เดือนเริ่มมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 2 ปีพอเฟสบุ๊คบูมผมก็เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอจากในเว็บไซต์มาเป็นเพจแทนครับ”
พูดจบประโยคปุ๊บเสียงโทรศัพท์จากอีเจี๊ยบที่โทรสายตรงเข้ามาก็ดังขึ้น เลยได้มีโอกาสเล่าบ้าง “ตอนแรกผมทำไม่เป็นหรอก สมัครเฟสบุ๊คยังไม่เป็น  มีเพื่อนช่วยทำเพจให้ ผมเพิ่งเล่นเฟสบุ๊คเป็นตอนทำเพจสมรักพรรคเพื่อเก้ง แล้วเวลาดูทีวี หรือเจอเหตุการณ์อะไรก็เอามาเขียนล้อเลียนในแนวขบขัน สมมติว่าผมดูรายการผีรายการหนึ่งก็ไปเขียนแซวที่เพจเขา พอมีคนเห็นก็ชอบแล้วแคปเจอร์เป็นรูปแชร์ต่อๆ กันไป จนผมเริ่มมีชื่อเสียงจากเพจสมรักพรรคเพื่อเก้งแล้วก็ไหลมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นเพจเจี๊ยบเลียบด่วนทุกวันนี้ครับ”

จ่าแซว  “ใช้คอมฯเป็นก็บุญแล้ว”
เจี๊ยบหัวเราะยอมรับ “ใช่ จ่าจะรู้ดี คุณเคยรู้จักคนที่โง่เรื่องคอมฯ แบบน่าตกใจไหม นั่นแหละผมเลย ทุกคนจะงงว่า เฮ้ย! เป็นแอดมินเพจคนไลค์เป็นล้าน แต่โง่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ จริงครับ ผมโง่จริงๆ ผมยอมรับ ใช้อีเมล์ไม่เป็น ใช้ไมโครซอร์ฟเวิร์ดไม่เป็น เล่นเป็นแต่เฟสบุ๊ค”

12112879_10153692441184294_1068133802_o copy
ได้มีโอกาสเจอกันบ้างไหมคะ

จ่าทำหน้านึก “จริงๆ เรามีนัดมีตติ้งของพวกแอดมินบ้าง อย่างพวกเจ๊ต่าย คุณช่า จะนัดคุยกินสุกี้กัน แต่เจี๊ยบไม่ยอมมา บอกว่านั่งต่อของเล่นอยู่ที่บ้าน คือเอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยเจอหน้า หรือเจอตัวเป็นๆ เลยครับ ขนาดตอนมีตติ้งคุยค่าโฆษณาสติ๊กเกอร์ยังไม่มาเลย”
เจี๊ยบชี้แจง “ผมไม่ได้เปิดเผยตัว แต่จริงๆ อาจจะอยู่แถวนั้นก็ได้ใครจะไปรู้ ฟอร์มเนียน (หัวเราะ)”
แล้วทำไมเจี๊ยบเลียบด่วนถึงไม่ยอมเปิดเผยตัวล่ะคะ
เจี๊ยบอธิบาย “เมื่อก่อนผมจะเปิดเพจของจ่าอ่านตลอด แล้วก็ตามไปอ่านในเว็บไซต์ว่ามีเรื่องราวดราม่าในสังคมอะไรบ้าง เพจจ่าเหมือนเป็นครูหรือหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ เพราะตอนนั้นเรายังไม่มีตัวตนเลย เป็นแค่คนอ่านธรรมดา แต่ปัจจุบันก็ยังเปิดอ่านอยู่นะ ตื่นมา 7-8 โมงเช้าก็ต้องเปิดแล้วว่าเมื่อคืนมีเรื่องราวอะไรที่เป็นประเด็นบ้าง เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากเจออยากรู้หรอกว่าจ่าพิชิตเป็นใครที่ไหน อ่านแค่งานเขียนเขาอย่างเดียว ไม่อยากจะไปรู้ตัวตนอะไร แต่ปัจจุบันพอได้รู้จักแล้วยิ่งผิดหวังใหญ่เลย ไร้สาระมาก (หัวเราะ)”
จ่ารีบแย้ง “หืมม คนเราก็ต้องมีโมเม้นท์อย่างนั้นบ้าง”
เจี๊ยบสวน “นั่นแหละเลยทำให้ผมไม่ค่อยอยากให้ใครมารู้จักมาก เพราะกลัวคนมองผมเหมือนอย่างที่ผมมองจ่าปัจจุบันว่าโอ้โห!…ทำไมเป็นคนแบบนี้ คือผมรู้ตัวว่าตัวเองน่าผิดหวังมากครับ จ่าเองก็คงผิดหวังกับผมว่าทำไมถึงโง่อย่างไม่น่าเชื่อขนาดนี้ เกิดมาผมไม่เคยกินปลาไหลย่างญี่ปุ่น แล้วก็ไม่กล้าสั่งด้วยนะ กลัวอายเขา เลยไม่อยากมาให้ใครรู้จักเรามากๆ แค่รู้จักบนหน้าเพจพอแล้ว”

12124565_10153692441204294_461674884_o copy
แล้วเอกลักษณ์ของเพจเจี๊ยบคืออะไรคะ

จ่าตอบแทน “ปากหมาครับ (หัวเราะ) ผมว่าคล้ายๆ กับสภากาแฟที่มีคนมาคุยซุบซิบนินทา แลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งก็เป็นที่นิยมอยู่แล้วในสังคมไทยสมัยก่อน แต่ของเจี๊ยบจะเปลี่ยนคอนเซ็ปต์มาเป็นในเพจแทน เหมือนรายการที่มีดีเจพูดจาหยาบๆ หน่อย คนไทยก็ชอบอยู่แล้ว อะไรก็ได้ที่มีความเอ็นเตอร์เทน”

เจี๊ยบเสริมบ้าง ”ผมเป็นคนปากไว ชอบยอกย้อนคน ซึ่งก็มาจากความเป็นตัวตนของผมจริงๆ เลยอาจจะทำให้เด่นกว่าชาวบ้านตรงที่ผมขายความเป็นตัวเอง จริงๆ เวลาคุยกับเพื่อนผมก็เป็นแบบนี้ ส่วนมากจะออกแนวตลกนะ บางคนอาจจะว่าแรง แต่คนที่ได้ยินส่วนมากขำๆ มากกว่า ไม่ค่อยมีใครโกรธหรอก”
“ผมว่าสิ่งที่ทำให้เพจได้รับความนิยมเพราะคนไทยเครียด เวลาโพสต์เรื่องราวมีประโยชน์ซีเรียสจริงจัง คนจะไม่ค่อยอ่าน แล้วก็โดนเม้นท์ว่าเรื่องนี้ไม่เอาได้ไหม ในขณะที่ถ้าโพสต์ตุ๊กตาบ้าๆ บอๆ อะไรไป กลับมีคนมากดไลค์หลายหมื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังจำเป็นต้องสอดแทรกเรื่องราวหนักๆ ไว้หน่อย เพียงแต่ว่าผมอาจจะสอดแทรกในแบบที่มีช็อคโกแลตเยอะ ถ้าผ่าช็อคโกแลตเข้าไปถึงจะเจออะไรให้ได้เตือนสติกันบ้าง เพราะอย่างแรกที่ผมพยายามทำในโลกโซเซียลทุกวันนี้คือ พยายามดึงๆ สติกันไว้ ไม่ถึงขนาดออกมาสวนกระแสมากนัก จะไม่บอกว่าต้องไปทางนั้นทางนี้ แค่พูดแนะนำมากกว่า เพราะผมกลัวก ไม่เหมือนอย่างจ่าที่ชอบสวนกระแสเลยโดนยำเละเทะ”
จ่าส่งสียงยอมรับ “ผมมีโจทย์มหาศาลเลย เพราะไปขัดเรื่องผลประโยชน์เยอะ อย่างเรื่องขายยาลดความอ้วย ครีมปรอท ผมขัดขวางมาเยอะมาก เรียกว่าพอเรานำเสนออีกฝั่ง คนก็จะถีบให้เราไปอีกฝั่ง แต่ยังไงเราก็ทำตามสิ่งที่เราเชื่อต่อไปแหละ”
พอมียอดคนไลค์เยอะ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องของการค้า มีติดต่อเข้ามาเยอะไหมคะ
จ่าชี้แจง “เพจผมไม่รับโฆษณา เพราะคอนเซ็ปต์ส่วนตัวผมคิดว่าเรามีพื้นที่เพจคนตามเยอะก็ควรจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น หาข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสังคมอย่างเรื่องทางการแพทย์ ยาลดความอ้วนที่กินแล้วอันตรายถึงชีวิต หรือพวกข้อมูลทางการแพทย์ผิดๆ ที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต ผมจะเป็นฝ่ายเข้าไปชี้แจงแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ไม่เคยคิดเอาพื้นที่ตรงนี้มาใช้หาประโยชน์ส่วนตัว อีกอย่างคือรายได้ส่วนตัวผมก็โอเคอยู่แล้ว ไม่ได้หวังอะไรเพิ่มเติม ไม่เหมือนของเจี๊ยบหรอกครับที่รับโฆษณาโพสท์ละหลายหมื่น เงินเยอะครับ”

เจี๊ยบรีบปฏิเสธทันที “ลือกันไป เดี๋ยวคนก็เชื่อจริงๆ หรอกว่ารวย (หัวเราะ) คือ เรื่องเกี่ยวกับการลงโฆษณาผมมีคุณม่อนผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแลให้ทั้งหมด ผมไม่รู้เรื่อง แทบจะทำตามสั่งเลย เพียงแต่ตอนเริ่มทำก็แค่กำหนดนโยบายว่าสินค้าแบบไหนที่น่าจะเหมาะกับเพจมากที่สุด”

จ่าทนไม่ได้ขอเผา “คือคนจ้างเป็นเอเจนซี่น้องผมเอง แล้วบางทีสั่งงานไปอย่างเรื่องงานโฆษณาช่วยเหลือช้าง ไอ้เจี๊ยบบอกกลับว่าให้คิดมาเลยก็ได้แล้วเดี๋ยวโพสต์ให้ สุดท้ายน้องเขาก็ต้องมาใช้ผมเป็นคนวาดแล้วเอาไปลงเพจมัน เงินก็ไม่ได้สักบาท”

เจี๊ยบแก้ตัว “คือถ้าเรื่องไหนที่ไม่มีความรู้ผมจะไม่กล้าพูด แล้วจะให้มานั่งทำกราฟฟิก แค่ลากเส้นผมยังทำไม่เป็นเลย”

12162624_10153692441214294_2089116692_o copy
แล้วกำหนดไหมคะว่าวันหนึ่งต้องลงกี่โพสต์

จ่าตอบนิ่งๆ “ตามอารมณ์เลยครับ คือผมจะนำเสนอเรื่องที่คนควรจะรู้และเป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างล่าสุดกับประเด็นที่มีคุณแม่คนหนึ่งออกมาบอกว่าลูกถูกคนในโรงเรียนกลั่นแกล้ง แล้วเรียนต่อไม่ไหวต้องออกกลางคัน พอเราเข้าไปอ่านก็รู้สึกว่าน่าสนใจนะ แล้วก็เอาเรื่องมาแชร์ ผมคิดว่าประเด็นแบบนี้สังคมน่าจะได้อะไรบ้าง เพราะประเด็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียนก็เป็นประเด็นที่เราพบเจอในสังคมไทย”
ต่างกันกับของอีเจี๊ยบ “ส่วนของผมแน่นมากครับ วันหนึ่งจะมีคนติดต่อเข้ามาอย่างต่ำต้องมี 5 ราย แล้วคุณม่อนจะสกรีนอีกที ก็พยายามจะให้ได้อาทิตย์ละ 3 ตัว หรือถ้าอยากลงกันมากนักก็พยายามให้ได้วันเว้นวัน แต่ส่วนมากไม่ค่อยได้หรอกครับ เพราะลูกค้าก็พยายามจะยัดเข้ามาลงให้ได้”

จ่าแซว “คุณม่อนจะคัดแบรนด์ที่ไม่มีผลเสียต่อเพจอย่างเช่นพวก ยาเหน็บริดสีดวง ยาระบาย ยาถ่าย”

เจี๊ยบสวนกลับ “ใครจะเหมือนจ่าเน้นอุดมการณ์ทำเพื่อสังคม คือผมชื่นชมเขานะ แต่ว่าถ้าให้ทำแบบเขาคงไม่ได้ เพราะผมโง่จนน่าตกใจ เลยต้องรอดูจากของจ่าว่าเขาจะเปิดประเด็นอะไร ผมก็ศึกษาดูก่อน แล้วถ้าเข้าใจดีค่อยตาม ผมไม่ค่อยเป็นหัวหอกอะไรเท่าไร เพราะไม่มีความรู้”

จ่าแอบเหน็บ “ลืมไปว่าเดี๋ยวนี้ระวังตัว เพราะตั้งแต่โดนบังยีขู่ฟ้องก็ต้องหาข้อมูลทางกฏหมายแน่นปึก”

เจี๊ยบเล่าความรู้สึก  “เราไม่มีความรู้เรื่องกฏหมายก็ตกใจสิครับ โดนเว็บไซต์สมาคมฟุตบอลขึ้นชื่อประกาศหราเลยว่าจะฟ้อง เป็นใครก็ต้องตกใจ คือผมก็รู้ตัวเองว่าตอนนั้นห้าวเกินไป แล้วผิดกฏหมายด้วย

11984441_10153713535564294_430080758_o copy
เจอเรื่องดราม่ากันบ่อยไหมคะ

เจี๊ยบรีบระบาย “โอ้ย…บ่อยครับ แต่ว่าดับเร็ว ไม่ค่อยกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ก็มีอยู่เรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ แต่ถ้าเริ่มลามมากเกินไปผมจะลบคอมเม้นท์นั้นทิ้งก็แค่นั้น ที่เกลียดมากที่สุดคือการประจารกัน ยิ่งเรื่องการเมืองถ้ามีใครไม่เห็นด้วย อีกฝ่ายหนึ่งก็จะขุดชื่อพ่อชื่อแม่ ที่ทำงาน รายได้ มาประจาน ซึ่งผมว่าเกินไป”

จ่าเสริม “ผมว่าคนเริ่มเสียสติเรื่องการเมืองแล้ว อย่างประเด็นล่าสุดที่มีพยาบาลไปขอเงินจากคุณตัน อิชิตัน เพื่อไปซื้อรถพยาบาล แทนที่จะคุยกันว่าการที่พยาบาลออกมาทำแบบนี้เหมาะสมหรือเปล่า แต่กลายเป็นว่ามีคนไปขุดประวัติเขาว่าเคยไปชุมนุมประท้วงอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งผมว่าไร้สาระมาก ตอนนี้แอดมินของหลายๆ เพจจะระวังเรื่องการเมืองกันมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นคอนเท้นท์อะไรก็ตาม ถ้ามีการเมืองเข้ามาแทรก พินาศหมด บางคีย์เวิร์ดแทบพูดไม่ได้ ต้องพูดกว้างๆ เพราะถ้าพูดถึงสีไหน พรรคอะไร แป็ปเดียวโดนถล่มเละ”

เจี๊ยบยกประเด็น “อย่างตอนมีม็อบนั่นแรงมาก เพราะพูดอะไรไม่ได้เลย พูดปุ๊ปมาปั๊ป แค่ผมโพสต์ว่าอนุเสาว์รีย์ปิดนะครับ รถติด ใครจะไปแถวนั้นควรหลีกเลี่ยงเส้นทาง ไม่ได้มีอะไรเลย แต่แค่นั้นแหละก็มากันใหญ่เลย หาว่าผมชี้เป้าว่าตรงนั้นมีชุมนุม ขนาดโพสต์รูปหมารูปแมวก็ยังโยงไปการเมืองได้ จนต้องปิดเพจไปเลย ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือ เราต้องไม่แกว่ง เพราะช่วงแรก ผมก็เคยเป๋ อย่างประเด็นที่ไปขอดูนมแฟนเพจ เพราะเคลิ้มไง มีผู้หญิงสาวๆ สวยๆ มาคุยด้วยหลังไมค์เพียบ ไม่เคยมีคนมาสนใจเยอะขนาดนี้มาก่อน เราก็ห้าว หื่น ห่าม จนกลายเป็นประเด็น โดนด่าไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วนะ เพราะเข็ดโดยสมบูรณ์แบบครับ”

จ่าแอบตัดพ้อ “ทำไม่เพจเจี๊ยบมีสาวมาให้ดูนม แต่ของผมมีแต่เรื่องขอความช่วยเหลือ (หัวเราะ)”
แล้วเจอคนแอนตี้บ้างไหมคะ
เจี๊ยบตอบอย่างอารมณ์ดี “ผมไม่ค่อยรู้สึกนะ คือด้วยความที่เจอบทเรียนมาเยอะ รู้สึกว่าถ้าเราหลักดีเสียอย่างก็โอเค อาจมีคนหมั่นไส้บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้มาตามจองล้างจองผลาญอะไรผม เวลามีปัญหาอะไรผมจะปรึกษาจ่าตลอด แต่จ่าไม่ค่อยปรึกษาผม จะใช้งานผมมากกว่า ชอบให้ผมโพสต์ หรือแชร์เรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ตลอด”

จ่าเสียงดังอารมณ์ขึ้น “หืม…ทำอย่างกับยอมโพสต์ให้ ส่งไปกี่เรื่องไม่เห็นแชร์สักเรื่อง พวกประเด็นดีๆ ช่วยเหลือสังคมไม่เห็นแชร์เล๊ยย…(ลากเสียงสูง)”
เจี๊ยบรีบฟ้องกลับ “อ่าวก็เพจผมเป็นเพจตลก แต่มันจะให้เพจผมเป็นเพจเพื่อสังคมให้ได้อ่ะ”

จ่าแย้ง “อ้าว… ก็แบ่งๆ ไปได้ อย่างเพจผมยังมีโฆษณาหาเลือด บริจาคเลือดช่วยเหลือหมาแมวอยู่เป็นระยะ”

เจี๊ยบไม่ยอมแย้งกลับบ้าง “เพจผมก็มีลงนะ ไปดูได้เลย ลงแทบทุกวันจนจะกลายเป็นเพจหมาแมวอยู่แล้ว จริงๆ ไม่ว่าจะลงเรื่องอะไรก็ตาม ที่สำคัญเลยคือ ต้องรักษาคอนเซ็ปต์ และมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ถึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ครับ”

เรื่อง : apinya
ภาพ : โยธา

เรื่องดีๆ ที่ต้องขยาย

ไม่เข้าใจความคิดที่ว่าเป็นเจ้าหญิงต้องไม่ใส่ชุดซ้ำนั้นมีที่มาจากอะไร ในเมื่อเวลาดูการ์ตูนดิสนีย์ก็เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าหญิงในเรื่องมักทรงเสื้อผ้าอยู่ชุดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ

และนี่เป็นประเด็นที่ติดอยู่ในใจและถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ถึงฉลององค์ที่เจ้าหญิงเคท หรือ แคเธอริน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ทรงสวมใส่ว่าซ้ำโน้นนี้ แล้วมีคอมเม้นต์แยกเป็นสองฝั่ง หนึ่ง ปลาบปลื้มในพระจริยวัตร และสอง ติงถึงความควรไม่ควร ไม่สมศักดิ์ศรีของเจ้าหญิงในรัชทายาทอันดับ 2 ร้ายสุดคือคอมเม้นต์ในแง่ว่าพระองค์กำลังทำให้ราชวงศ์อังกฤษเสื่อมเสีย

สำหรับแพรวดอทคอม เราเทใจไปข้างชื่นชม เพราะเจ้าก็คน อยากใส่ชุดซ้ำ ไม่เห็นต้องแคร์ใคร เฉกเช่น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงลุกขึ้นมากระทำสิ่งที่มีคนความจำดีตั้งข้อสังเกตว่าพระองค์ทรงฉลองพระองค์ชุดเดิมแม้เวลาจะผ่านไปเป็นปีๆ แล้ว

Can-You-Spot-Differencesอย่างที่หลายคนน่าจะสังเกตเห็นกันอย่างชัดแจ้งว่า สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั้นโปรดที่จะทรงฉลองพระองค์สีเดียวกันทั้งชุด แม้กระทั่งพระมาลาก็ต้องแมทช์สี ฉะนั้นเหตุการณ์สองห้วงสองวาระแต่ต่างปีนี้จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าเหตุใดฉลองพระองค์จึงแทบไม่ต่างกันเลย กล่าวคือตัวนอกเป็นโค้ทสีฟ้าแบรนด์ Peter Enrione แมทช์กับพระมาลาติดดอกไม้สีเดียวกันของ Trevor-Morgan ใบเดิม รวมทั้งเดรสตัวในผ้าแจ็กการ์ดสีฟ้าก็ยังเป็นตัวเดิม แถมยังทรงสวมสร้อยไข่มุก อัญมณีโปรด กับทรงถือพระกระเป๋าสีดำสไตล์ satchel และทรงสวมถุงพระกรสีดำด้วย เรียกว่าหากไม่สังเกตเข็มกลัดเพชรที่ติดอยูบนพระอุระฝั่งซ้าย กับโซ่บนรองพระบาทแบรนด์ Gucci ที่แตกต่างกันแล้ว คุณอาจแยกไม่ออกว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นห่างกันหนึ่งปี

จะว่าไปเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีคนในราชวงศ์ยุโรปที่ทรงฉลองพระองค์ซ้ำอีกหนึ่งองค์ นั่นคือพระราชินีเลติเซียแห่งสเปน โดยพระองค์ทรงใส่ชุดซ้ำห่างกันแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น

Queen-Letizia-Repeats-Outfit

สังเกตภาพทั้งสองฝั่ง แม้จะต่างเวลากันแต่จะเห็นว่าแทบไม่มีอะไรต่างกันเลย ฉลองพระองค์เดรสหนังแขนกุด ถือพระกระเป๋าคลัทช์ทรง envelope หรือซองจดหมาย แมทช์กับรองพระบาทรัดส้นสูงหนังงูเปิดหน้า มีเพียงสิ่งเดียวที่พระองค์เลือกใส่ให้ต่างคือต่างหู โดยครั้งแรกทรงสวมต่างหูแบบห่วง แต่ครั้งหลังเป็นแบบพวงระย้า

people-fashion111

และเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าเป็นเจ้าหญิงก็สามารถใส่เสื้อผ้าซ้ำได้ ด้านล่างนี้คือภาพ แคเธอริน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ กับฉลองพระองค์ที่พระองค์หยิบมาใส่ซ้ำ ซึ่งถ้าดูจากจำนวนครั้งที่พระองค์ทรงทำพฤติกรรมนี้ เราขอบอกว่า พระองค์ทรงเป็น ‘ตัวแม่’ ผู้นำเทรนด์เรื่องนี้เลยละ สังเกตจากพระทักษะในเรื่องการปรับเปลี่ยนแอกเซสซอรีส์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ที่แมทช์กันได้อย่างลงตัว

Kate-Middleton-Roland-Mouret

อีกหนึ่งภาพดัชเชสกับชุดราตรีของ Roland Mouret ที่ทรงห่างกันประมาณ 1 ปี ชุดเดิม เปลี่ยนพระกระเป๋า รองพระบาท เพิ่มสร้อยพระศอ รวบผมอีกสไตล์ก็ดูเปลี่ยนแล้ว

Kate-Middleton-Armaniดัชเชสกับโค้ทสีแดงแรงฤทธิ์แบรนด์ Armani ทรงห่างกันประมาณ 7 ปี เปลี่ยนเดรสตัวใน ถุงพระกร พระกระเป๋า และเมื่อไม่สวมพระมาลาก็ทรงเติมเข็มกลัดเพชรเข้าไป

Kate-Middleton-M-Missoniดัชเชสกับโค้ทผ้าทวีดแบรนด์ M Missoni แมทช์กับรองพระบาทต่างสีกันไปเลย โดยอีกลุคหนึ่งทรงปรับให้แกลมขึ้นด้วยพระมาลา

Kate-Middleton-Emilia-Wicksteadดัชเชสกับเดรสสีชมพูแบรนด์ Emilia Wickstead ที่ทรงห่างกันไม่กี่อาทิตย์ โดยเมื่อทรงกับพระมาลา พระองค์ก็เปลี่ยนสไตล์ผมเล็กน้อย

Kate-Middleton-Temperleyดัชเชสกับชุดราตรีผ้าลูกไม้สีดำแบรนด์ Temperley ที่ทรงห่างกันร่วมปี แต่เป็นงานอีเว้นท์ใหญ่ทั้งคู่ คือเปิดตัวภาพยนตร์ War Horse รอบพรีเมียร์ และงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ St.Andrews

Kate-Middleton-Wears-Outfit-Againดัชเชสกับเดรสผ้าลูกไม้สีนู้ดแบรนด์ Alexander McQueen ซึ่งทรงห่างกัน 2 ปี ทั้งพระกระเป๋า และพระมาลาต่างกัน กับกิมมิคเล็กน้อยๆ ของเข็มขัดริบบิ้น เชื่อหรือยังว่าทรงเป็นมืออาชีพเรื่องนี้จริงๆ


เรื่อง Ghibli

ภาพ Getty Images

โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ สยบ “ย่น ยุบ ย้อย” 3 สัญญาณยอดแย่บนใบหน้า

โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ สยบ “ย่น ยุบ ย้อย” 3 สัญญาณยอดแย่บนใบหน้า

อย่างแรกที่คุณต้องเจอคือ “ย่น” ทั้งที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากย่น จริงไหมคะ แต่ในความ เป็นจริงรอยย่นมักถูกทิ้งไว้บนหน้าให้เพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก ได้เอ่ยทักกันเกรียว

สิ่งที่เราควรรู้คือรอยย่นมี 2 ชนิด 1. รอยย่นที่เกิด จากการแสดงสีหน้า เช่น เวลายิ้มหรือหัวเราะ ทำให้เห็น รอยตีนกา หรือเมื่อเลิกหน้าผากขึ้น เห็นริ้วรอยที่หน้าผาก หรือเห็นเป็นรอยขมวดคิ้วบ้างอะไรบ้าง 2. ย่นยังอาจเกิดได้จากริ้วรอยถาวรบนใบหน้าเรานั่นเอง ต่อให้ทำหน้านิ่ง ๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรก็ยังเห็นรอยย่น ประทับอยู่ที่หน้าผาก ร่องแก้ม ริ้วรอยใต้ตา ซึ่งปัญหาริ้วรอยถาวร เหล่านี้มักเกิดจากเจอแสงแดดและมลภาวะต่าง ๆ การแสดงสีหน้า รวมถึงการดูแลรักษาผิวพรรณตัวเอง ถ้าไม่รีบแก้ไขหรือทำอะไร ริ้วรอยพวกนี้จะลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น

ส่วน “ยุบ” เกิดจากโครงสร้างใบหน้าคนเรา ซึ่งประกอบด้วย กระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่าง ๆ มีส่วนประกอบ ที่สำคัญ เช่น คอลลาเจน อีลาสติน และไฮยาลูโรนิก เป็นต้น มีส่วน ช่วยให้ความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น ช่วยอุ้มน้ำ ทำให้ใบหน้าเรามีมิติได้รูป ผิว เต่งตึงเหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำเต็ม แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการเปลี่ยนแปลง ตามวัย กระดูกส่วนกลางของใบหน้าเริ่มยุบเข้า ชั้นไขมันเริ่มลดปริมาณลง เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมโทรม ลดจำนวนลง ทำให้ผิวหนัง ขาดความยืดหยุ่น เสมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยน้ำออก ค่อย ๆ แฟ่บแบนลง ไปทีละน้อย ใบหน้าเราก็เช่นเดียวกันกับลูกโป่ง ค่อย ๆ เหี่ยวและแบนลง ไม่เต่งตึงเหมือนสาว เห็นได้ชัดบริเวณขมับ ใต้ตา และโหนกแก้ม

ขณะที่ “ย้อย” เกิดต่อเนื่องจาก “ยุบ” ด้วยโครงสร้างชั้นในของผิว ประกอบกับแรงโน้มถ่วงโลกที่คอยถ่วงลง ปริมาณโครงสร้างภายในชั้นผิว ลดลง คุณภาพของเส้นใยต่าง ๆ เริ่มลดลง ทำให้ผิวด้านนอกมีลักษณะ คล้อยห้อยย้อยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแก้ม ร่องแก้ม หรือแม้กระทั่งกรอบหน้า ทำให้หน้าเราห้อยลงมากองรวมกันด้านล่าง เกิดเป็น “เหนียง” ที่เห็นชัดเจนมากขึ้น

เมื่อทั้งย่น ยุบ ย้อยมารวมตัวกัน ใบหน้าเราจึงเกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น แฟ่บ และห้อยลงมาราวกับลูกโป่งที่ถูกดูดทุกอย่างออกหมด ดูเหี่ยว ไม่สวย ซึ่งวิธีแก้ไขอาการย่น ยุบ ย้อยคงต้องแก้ที่ต้นเหตุ ส่วนจะแก้ไขแบบใดก็มีวิธีการแตกต่างกันไป

โบท็อกซ์” + “ฟิลเลอร์”…เดี๋ยวเจอกัน

อย่างที่บอกว่าริ้วรอยแบ่งเป็น 2 แบบ ถ้าริ้วรอยนั้นเกิดจากการ แสดงสีหน้า ทำให้เห็นริ้วรอยเหล่านั้นเวลายิ้มหรือเลิกหน้าผาก ต้องใช้ การฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อบางส่วน ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้นแสดงสีหน้าน้อยลง แนะนำให้ฉีดทุก 4 เดือน ปีหนึ่ง 3 ครั้ง เพื่อให้ริ้วรอยเหล่านั้นลดลงและคงสภาพได้นาน รวมถึงในการฉีด ครั้งต่อไปก็จะใช้ปริมาณโบท็อกซ์น้อยลงด้วย

ส่วนรอยย่นถาวร ไม่แสดงสีหน้าก็มีรอยย่นให้เห็น เช่น ฝรั่ง อายุเยอะ มีเส้นที่หน้าผากหรือร่องแก้ม ซึ่งเป็นรอยย่นขนาดลึก อาจ ต้องใช้ฟิลเลอร์เติมให้เต็ม เพราะแค่หน้านิ่งก็เห็นริ้วรอยนั้นแล้ว เพียง แต่ให้คุณหมอเป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาว่ารอยย่นนั้นเกิดจาก อะไร เช่น เกิดจากไขมันหายหรือกระดูกยุบตัว ควรใช้ เทคนิคใด หรือควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ชนิดไหน อย่าง HA Filler เป็นสารที่ช่วยเติมเต็มและค้ำจุนให้โครงสร้างผิวหนัง กลับมายกกระชับ ทดแทนไขมันและมวลกระดูกที่ยุบตัวลง ทำให้แลดูอ่อนวัย เห็นผลทันที

ขณะที่การยุบและย้อย โดยเฉพาะปัญหาขมับบุ๋ม ร่องลึกใต้ตา แก้มห้อย คุณหมอต้องวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น พิจารณาจากไขมันบริเวณแก้มที่ซัพพอร์ตใต้ตา หาก เกิดการยุบตัวลงมา ส่งผลให้แก้มห้อยและดึงถุงใต้ตาลงมา คงต้องใช้ฟิลเลอร์เข้าไปเติมไขมันบริเวณแก้มให้เต็ม เพื่อเป็นตัวซัพพอร์ต ไขมันใต้ตา ปัจจุบันการเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการยกตัว บวกกับเทคนิคของคุณหมอ จะช่วยให้ไขมันที่ย้อยและคล้อยเหล่านั้น ถูกขึงให้ตึงขึ้นและเคลื่อนกลับมาในตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้งนี้ทั้งนั้น จำเป็นต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเพื่อการยกตัวขึ้นโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปเติมเต็มเท่านั้น ซึ่งกลายเป็นเหมือน การถ่วงน้ำหนัก ส่งผลให้ยิ่งห้อยมากขึ้น กรณีที่ทั้งย่น ยุบ และย้อย แล้ว จำเป็นต้องแก้ไขโดยการผสมผสานทั้งการฉีดโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ ควบคู่กันไป เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่สวย แลดูอ่อนวัย เป็นธรรมชาติ

หลักสำคัญของการเติมฟิลเลอร์คือ ต้องเป็นเรื่องของฝีมือแพทย์ บวกกับผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด ใบหน้าจึงจะสวยได้รูป ตามธรรมชาติ

สังเกตอย่างไรถึงรู้ว่า “ยุบ” และ “ย้อย”

ถ้าเป็นเรื่องริ้วรอยหรือความย่น มองด้วยตาก็คงเห็นแล้ว แต่ “ยุบ” กับ “ย้อย” นี่สิคะ บางคนอาจไม่รู้จะสังเกตตัวเองอย่างไรว่า เข้าข่ายแล้วหรือยัง

วิธีง่าย ๆ คือยืนส่องกระจก ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าเรา ค่อนข้างชัด ถ้าเมื่อก่อนเคยเห็นกรอบหน้าตัวเองชัดเจน ไม่เคย มีเหนียงใต้คอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มเห็นกรอบหน้าไม่ชัด มีเหนียง หรือมีร่องแก้มมากขึ้น นั่นละค่ะคือเกิดการยุบและย้อยแล้ว ปัจจุบัน ที่คนนิยมกันมากคือ “Botox Lift” คือการใช้โบท็อกซ์ฉีดคลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอย มาฉีดที่ชั้นผิวหนังตื้น ๆ ตามกรอบหน้าหรือลำคอ เพื่อช่วย กระชับผิว ทำให้ผิวเกิดการยกตัว ใช้ควบคู่กับการฉีดฟิลเลอร์ เป็น การซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดการกระชับที่ได้ผลดีขึ้น

แบ็งค์แนะนำว่า ก่อนคิดจะทำอะไรควรศึกษาหรือถามคุณหมอ ให้ละเอียด เพื่อจะได้เข้าใจว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร วิธีแก้ไขต้อง ทำอย่างไร ที่สำคัญคือถามข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ใช้ด้วยว่าคืออะไร เพื่อ ให้การแก้ไขนั้นส่งผลให้ใบหน้าเราสวยงาม ดูดี และปลอดภัยกับตัวเอง มากที่สุด ที่สำคัญคือตัวยาที่ใช้ควรผ่านการรับรองจากองค์การอาหาร และยา (อย.) ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา (FDA) เพราะแค่คำว่า “ฟิลเลอร์” ก็มีหลายยี่ห้อ ในหนึ่งยี่ห้อมีตั้งหลายรุ่น แต่ละรุ่นเหมาะกับ แต่ละจุดบนใบหน้าของแต่ละคนซึ่งมีปัญหาต่างกัน ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนทำ อันนี้มาแล้วสวย เราต้องทำตาม เพราะปัญหาของเราก็ไม่เหมือนของเพื่อน

ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนี่คือหน้าเรา ถ้าพลาดแล้ว พลาดเลย ก่อนคิดจะทำอะไรกับหน้า แนะนำว่าปรึกษาคุณหมอดีที่สุดค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ BEAUTY BY BANK นิตยสารแพรว ฉบับที่ 866 ปักษ์ที่ 25 กันยายน 2558

PRAEW SELECTED : แจกรางวัลสัปดาห์ที่ 46

1. พิมพ์คำว่า “ร่วมสนุกกับ Praew Selected ลุ้นรับสิทธิ์รับประทานอาหาร W Does Brunch ที่ร้านอาหาร The Kitchen table ”  และใส่ #praewselected #แพรวดอทคอม ลงในComment กิจกรรมนี้ พร้อม พร้อมกด also post on facebook เพื่อแชร์กิจกรรมนี้ให้ขึ้นที่หน้าFacebook ของคุณ (ตั้งค่าเป็นสาธารณะ)

2. กดไลค์เพจ praewmagazine ที่ https://www.facebook.com/praewmagazine

ผู้ที่ทำถูกต้องตามกติการายชื่อทั้งหมดจะนำมาคัดเลือกหาผู้โชคดีเพื่อรับสิทธิ์จาก  W Does Brunch สนับสนุน 1 รางวัล สำหรับ 2 ท่าน มูลค่า 6,827 บาท

หมดเขตร่วมสนุกวันที่ 25 ตุลาคม 2558 ประกาศชื่อผู้โชคดีวันที่ 27 ตุลาคม 2558

รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

1-1

ดับเบิ้ลยู ดาส บรั้นช์’ (W Does Brunch) ที่มีขึ้นทุกวันเสาร์แรกของเดือนที่ห้องอาหาร เดอะ คิทเช่น เทเบิ้ล กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ที่ยังคงจัดเต็มไปด้วยเมนูอาหารชั้นเลิศและเครื่องดื่มนานาชนิดจากมิกส์โซโลจิสต์ ควบคู่ไปกับการได้สัมผัสเทรนด์ใหม่ของแฟชั่นในแบบที่ไม่มีที่ไหนในกรุงเทพทำมาก่อน การันตีคุณภาพด้วยการถูกจองเต็มตลอดปี 2557

1

ดับเบิ้ลยู ดาส บรั้นช์ จะช่วยเนรมิตบ่ายวันเสาร์สุดพิเศษให้คุณได้ลิ้มลองและเต็มอิ่มกับอาหารนานาชาติที่มากทั้งคุณภาพและปริมาณ โดยแต่ละเมนูนั้นถูกปรุงแต่งด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศ ไม่ว่าจะเป็น ฟัวกราส์และเห็ดทรัฟเฟิลเทอรีน มุมชีสนานาชนิดจากทั่วทุกมุมโลก มุมเซวิเช่ มุมโคลด์คัท อาหารทะเลสดๆอย่างปูอลาสก้าและหอยเชลล์นำเข้า บาร์บีคิว เนื้อวัวริบอาย และของหวานพรีเมี่ยมหลากหลายจากเชฟ นิโคลัส เดสคริโอ (Nicolas Descriaux) นอกจากนี้ยังจัดเต็มกับสเตชั่นค็อกเทลอีก 4 สเตชั่นไม่ว่าจะเป็นไอคอนิคจินโทนิค ดีไอวายมิโมซ่า มาร์การิต้า และวูฮีโต้ ที่คิดค้นสูตรโดยมิกซ์โซโลจิสต์มากฝีมือกับรางวัลมิกซ์โซโลจิสต์ยอดเยี่ยมการันตี

1-2

 

4 นายแบบลูกครึ่งญี่ปุ่นสุดฮอต…สิ่งมีชีวิตที่ดีงาม!

Screen Shot 2015-10-17 at 12.24.23 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 12.24.55 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 12.25.07 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 12.27.18 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 12.27.32 AM copyVini Uehara

ลูกครึ่งญี่ปุ่น-บราซิล หน้าคมเข้ม แถมยังเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ และนักดนตรีอีกด้วย เท่ไม่บันยะบันยังจริงๆ

241606-attachment 241609-attachment 241610-attachment 119581427

Robinson Bancroft

นายแบบหนุ่มรูปหล่อ ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อังกฤษ ที่อาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา นามว่า ‘Robinson Bancroft’ตอนนี้เหมือนจะเป็นช่างภาพด้วย เรียกได้ว่าดีกรีความหล่อนั้นปังมากๆทำเอาสาวแท้สาวเทียม รวมไปถึงเก้งกวางทั้งหลาย จะต้องใจละลาย Screen Shot 2015-10-17 at 10.35.33 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.39.49 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.40.35 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.40.54 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.41.03 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.41.39 AM copyChris North Colton

คนนี้แค่มองแว๊บแรกก็ดันหลงเสนห์เข้าไปเต็มๆ ซะแล้ว สำหรับพ่อหนุ่มนายแบบลูกครึ่ง อังกฤษ ญี่ปุ่น ไอริช สาธารณรัฐเช็กคนนี้ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจ ทำเอาสาว ๆ เคลิ้มมานักต่อนักแล้ว

Screen Shot 2015-10-17 at 10.43.15 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.43.37 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.44.31 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.45.20 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 10.45.30 AM copy Screen Shot 2015-10-17 at 11.36.00 AM copy Sen Mitsuji

หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย หนุ่มหล่ออายุ 27 ปี มาพร้อมส่วนสูง 185 ซ.ม. ใครที่หลงรักผู้ชายลุคแบด ๆ ต้องคนนี้เลย!

เรื่อง : แพรวดอทคอม

ภาพ : viuehara,chriscolton, sen_mitsuji_official

จากแคชเมียร์ สู่ทัชมาอาล (ตอนที่2)

กุลมาร์คแสนงาม

โปรแกรมในวันต่อมาไปกุลมาร์ค (Gulmarg) ช่วงที่เดินทางมาคือพฤษภาคม อยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว ไกด์ให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วย

รถวิ่งออกจากเมืองศรีนครไปทางใต้ระยะทาง 56 กิโลเมตร ดิฉันก็มโนอีกแล้วว่า คงไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึง แต่จริง ๆ แล้วการจราจรและสภาพของถนนหนทางทำให้ใช้เวลาเดินทางร่วม 2 ชั่วโมงทีเดียว

เส้นทางไปกุลมาร์คเป็นเส้นทางสู่ชายแดนปากีสถาน แต่เดิมเรียกว่าเการิมาร์ค เคยเป็นเมืองตากอากาศของสุลต่านยูซุฟ ชาห์ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 กุลมาร์คยังเรียกอีกชื่อว่า ทุ่งแห่งดอกไม้ (Meadow of Flowers) ด้วยเป็นทุ่งขนาดใหญ่มีดอกไม้ป่านานาพรรณบนระดับความสูง 2,730 เมตร

7

สมัยที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กุลมาร์คเคยเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมสำหรับฤดูร้อนและเล่นสกีในฤดูหนาว มีบรรยากาศฉากหลังเป็นเทือกเขาอาฟฟาร์วัต (Affarwat) มีหิมะปกคลุมตลอดปี

ไกด์ถามว่าเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมาลัยโอบล้อมแคชเมียร์แล้วรู้สึกอย่างไร ดิฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า เป็นทัศนียภาพสวยงามสุดยอดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้ น่าเสียดายที่ระหว่างทางเห็นต้นเมเปิ้ลกับต้นแอ๊ปเปิ้ล แต่ไม่ใช่ฤดูกาลออกผล จึงไม่เห็นลูกแอ๊ปเปิ้ลที่ส่งไปขายในอินเดีย

จากข้อมูลที่รู้มา ถ้ามาเที่ยวกุลมาร์คในช่วงฤดูร้อน คือเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม จะได้ชมบรรยากาศของทุ่งหญ้าเขียวขจี ทุ่งดอกไม้ป่าตัดกับทิวเทือกเขาหิมะขาวโพลน สามารถเดินเล่นหรือขี่ม้าท่ามกลางธรรมชาติสวยงามได้เพลินตาเพลินใจ ฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ก็เป็นอีกบรรยากาศของทุ่งหญ้าเชิงเขาทุ่งหญ้าดอกไม้ตามฤดูกาล และป่าเปลี่ยนสี

รถวิ่งมาถึงจุดพักกลางทาง มีร้านเล็ก ๆ สองสามร้านให้เช่าชุดกันหนาวที่เพียบพร้อมด้วยเสื้อโค้ต รองเท้าบู๊ต ถุงมือ หมวกครบเซตดิฉันเช่ารองเท้าบู๊ต เพราะชาวบ้านบอกพื้นภูเขายังมีหิมะปกคลุมอยู่มาก

ขึ้นมาถึงกุลมาร์ค รถต้องจอดตรงลานจอดรถ ไม่อนุญาตให้เข้าไปถึงทางขึ้นกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) ไกด์พาเดินไประยะทางไกลทีเดียวถ้าเราจะไม่เดินแล้วใช้บริการขี่ม้าไปก็ได้ แต่เสียงส่วนใหญ่อยากเดินก็ตามมติ ระหว่างเดินไปก็คิดไปว่าที่ทางการไม่ให้นำรถเข้าไปคงอยากให้คนท้องถิ่นมีรายได้จากการให้เช่าขี่ม้าและรถแท็กซี่กระมัง

9

เดินจนหอบเหนื่อยทีเดียวกว่าจะถึงจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้ากอนโดลา (Gondola) รอไกด์เข้าคิวซื้อตั๋วกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่ยอดเขา เป็นกระเช้าไฟฟ้าที่มีความสูงและยาวที่สุดในโลก ราคาตั๋ว 600 รูปีสำหรับสถานีที่ 1สถานีกงโดรี ใช้เวลา 10 นาที ระยะทาง 4 กิโลเมตร

ลงจากกระเช้าไฟฟ้า ดิฉันถึงกับตะลึงพร้อมอุทาน “ว้าว…” เมื่อคิดภาพไว้ว่า เป็นทุ่งหญ้ากว้างที่เห็นทิวเขากว้างไกล มียอดเขาปกคลุมด้วยภูเขาน้ำแข็ง แต่กลับเป็นทุ่งหญ้าปกคลุมด้วยหิมะไม่หนามาก แต่เด็ก ๆ ก็นั่งเล่นปั้นตุ๊กตาหิมะกันได้ มีร้านให้เช่าอุปกรณ์เล่นสกีและเลื่อนซึ่งมีนักท่องเที่ยวใช้บริการกันมาก

สถานีนี้ถึงจะเห็นหิมะขาวโพลน แต่ไม่หนาวมากนัก เสื้อแจ็กเก็ตที่สวมตัวเดียวให้ความอบอุ่นได้ แต่พอตัดสินใจอยากลองขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปสถานีที่ 2 ไกด์ต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าลงไปซื้อตั๋วสถานีที่ 2 มาให้ใหม่ จึงต้องแกร่วรอเป็นชั่วโมง เพราะมีนักท่องเที่ยวมากทีเดียว พอไกด์มาพร้อมกับตั๋วสถานีที่ 2 ราคา 800 รูปี รวม 2 สถานีแล้วเป็นเงิน 1,400รูปี ถ้าซื้อ 2 สถานีพร้อมกันน่าจะราคาถูกกว่านี้

10

ขึ้นกระเช้าไฟฟ้ามาถึงสถานียอดเขาอาฟฟาร์วัต ระยะทาง 5 กิโลเมตรใช้เวลา 10 นาที พอออกจากกระเช้าไฟฟ้าเจอลมหนาวกรูมาปะทะหน้าจนตัวเย็นเฉียบ รู้สึกเลยว่าอากาศเบาบางจนหายใจไม่ออก ไกด์คงเห็นดิฉันหน้าซีดหน้าเซียวจนถึงหน้าเขียว จึงรีบส่งเข้ากระเช้าไฟฟ้ากลับลงไปสถานีแรก เป็นอันดับฝันที่จะอยู่บนสถานีที่สูงที่สุดที่จะได้เห็นภาพแบบพานอรามาบริเวณช่องเขาคาราโครัม (Karakorum Pass) อีกทั้งหากอากาศดีจะได้เห็นยอดเขานังกาปาร์บัต (Nanga Parbat) อีกด้วย

พอกลับลงมาสถานีที่ 1 อาการค่อยดีขึ้นนั่งหลับตาสักพักก็หายเป็นปกติ แล้วนั่งกระเช้าไฟฟ้ากลับลงมาพื้นล่าง จากนั้นเดินกลับไปที่รถ เหนื่อยกว่าขาไปกระเช้าไฟฟ้า เพราะเป็นทางลาดขึ้นเขากว่าจะเดินถึงรถก็เพลียมาก แต่ยอมรับว่ากุลมาร์คสวยงามตรึงตาตรึงใจมิรู้ลืม

ทัชมาฮาล

รุ่งขึ้นเราขึ้นเครื่องบินออกจากศรีนคร มาถึงสนามบินเดลีราวบ่ายสองโมง ไกด์พาเข้าโรงแรมเพื่อเก็บสัมภาระแล้วพาไปเที่ยวที่ประตูเมืองอินเดีย ไกด์อธิบายว่า เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe de L’Ètoile) ที่กรุงปารีส และยังมีจุดประสงค์ในการสร้างคล้ายกันคือ เป็นอนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงทหารที่พลีชีวิตในสงครามครั้งสำคัญ ๆ ของอินเดีย

ดิฉันมองตามไกด์ไปที่ส่วนบนยอดของประตูเมืองอินเดีย ฟังไกด์อธิบายว่า วัสดุในการก่อสร้างเป็นหินทรายแดง เป็นแท่งทึบ มีความสูงจากระดับพื้นถนน 42.30 เมตร ส่วนโค้งของซุ้มประตูกว้าง 9.10 เมตร สูง 22.80 เมตร ตรงกลางระหว่างประตูมีกระถางหินทรายแดงขนาดใหญ่จุดไฟลุกโชน และมีอักษรจารึกเป็นภาษาฮินดีว่า “อมร ชะวาน ชโยติ” (อมร – ไม่ตาย ชะวาน – ทหาร และชโยติ – ความรุ่งเรืองหรือความสว่าง)

7

วันต่อมา มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองอัคระที่ตั้งอนุสรณ์สถานแห่งความรักอันยิ่งใหญ่และสวยที่สุดในโลก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย

เราใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ราว 3 – 4 ชั่วโมงไกด์ให้คนขับรถจอดที่ลานจอดรถ แล้วนั่งรถรางเข้าไปทัชมาฮาล (Taj Mahal) แต่ก่อนจะเข้าไปข้างในไกด์เล่าถึงประวัติของทัชมาฮาลว่า จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) พระนามว่าพระเจ้าชาห์ชะฮัน ชาฮาบุดดีน มุฮัมมัด คุรรัมชาห์ชะฮัน ที่ 1 โปรดให้สร้างเป็นอนุสรณ์แด่พระมเหสีที่พระองค์ทรงรักยิ่ง พระนามว่าพระนางมุมตัส มาฮาล ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2174หลังจากมีพระประสูติการทายาทองค์ที่ 14

ก่อนพระนางจะสิ้นพระชนม์ได้รับสั่งขอสัญญากับพระเจ้าชาห์ชะฮัน 4 ข้อด้วยกันคือ ขอให้สร้างสุสานที่สวยงาม ขอให้พระองค์ไม่มีพระมเหสีใหม่ขอให้ทรงพระกรุณาพระโอรสธิดา และเสด็จมาเยี่ยมพระนางที่สุสานทุกปี แต่หลังจากพระเจ้าชาห์ชะฮันสร้างทัชมาฮาลเสร็จ พระองค์จำต้องผิดคำสัญญาเรื่องที่ขอให้พระองค์เสด็จมาเยี่ยมทุกปี ด้วยทรงถูกพระราชโอรสองค์ที่ 3 ยึดราชบัลลังก์และจับพระองค์คุมขังที่ป้อมอัคระเป็นเวลา 8 ปี

ในวันที่ชาห์ชะฮันสวรรคตในปี 2209 พระองค์ได้เห็นทัชมาฮาลในสายพระเนตรเป็นครั้งสุดท้ายจากเศษกระจกในพระหัตถ์ที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล

ฟังไกด์เล่าจบ รู้สึกเศร้ารันทดใจกับอนุสรณ์แห่งความรักนี้เหลือเกิน ไกด์พาไปซื้อตั๋วเข้าชมทัชมาฮาล มีช่องจ่ายเงินให้สิทธิพิเศษกับคนไทย โดยเสียค่าบัตรผ่านประตูถูกกว่าชาวต่างชาติ เพราะประเทศไทยเป็นสมาชิกในกลุ่ม BIMSTEC คือ สมาชิกกลุ่มความร่วมมือของประเทศภูมิภาคเอเชียใต้ ที่มีประเทศสมาชิก ได้แก่ บังกลาเทศ เนปาลภูฏาน ศรีลังกา อินเดีย เมียนมาร์ และไทย โดยเสียเงินคนละ 510 รูปีส่วนชาวต่างชาติอื่นเสีย 750 รูปี

11

หลังจ่ายเงินค่าตั๋ว ทุกคนได้รับถุงสำหรับหุ้มรองเท้าเดินในทัชมาฮาลส่วนชาวอินเดียไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วราคาแพงอย่างชาวต่างชาติ จะมีช่องชั้นให้วางรองเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าเข้าไป

ระหว่างทางเดินไปสุสานหินอ่อนสีขาว บนเนื้อที่ประมาณ 42เอเคอร์ ไกด์บอกว่า เป็นฝีมือการออกแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซียของนายช่างอุสตาด ไอซา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมออกแบบช่างเขียนลวดลายช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก จำนวน 20,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างราว 22 ปี

มองจากประตูทางเข้าหินทรายสีแดง ขอบประตูทั้งด้านนอกและด้านในมีตัวอักษรจากคัมภีร์อัลกุรอ่านจารึกไว้ ซึ่งเป็นบทสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ผู้จารึกได้คำนวณขนาดของตัวอักษรที่ขอบประตูให้มีความสูงต่างกัน เพื่อทำให้ผู้อ่านไม่ว่าจะยืนอยู่มุมใดก็มองเห็นตัวอักษรได้ชัดเจน ด้านหน้าตรงกลางอาคารเป็นหลังคาโค้งขนาดใหญ่ขนาบด้วยหลังคาโค้งขนาดเล็กทั้งสองด้าน

วัสดุในการก่อสร้างขนมาจากทุกทิศทุกทางที่เป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีอย่างหินอ่อนมาจากเมืองชัยปุระ ศิลาแลงที่สร้างอาคารด้านข้างมาจากฟาเตปูห์สิครี เพชรจากปันนา หยกและคริสตัลจากจีน เทอร์คอยส์จากทิเบต ลาปิสลาซูลีและแซปไฟร์จากศรีลังกา และการก่อสร้างยังมีสัดส่วนสมมาตรกันคือ กว้างและยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร

ด้านบนของทัชมาฮาลเรียกว่าโอเนียนโดม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง58 ฟุต ยอดโดมสูง 213 ฟุต ด้านข้างมีโดมขนาดเล็ก 4 ด้าน มีหอคอย (หออะซาน) 4 ด้านประจำทิศเรียก มินาเร่ต์ เป็นที่ป่าวร้องให้ประชาชนสวดมนต์

ดิฉันเดินดูอาคารที่แกะสลักลวดลายประดับลายดอกไม้นานาชนิดผนังห้องและพื้นห้องตกแต่งโดยใช้หินสีชนิดต่าง ๆ เป็นรูปกลีบดอกไม้ก้านดอก ใบไม้ ฝังลงในเนื้อหินอ่อน ไล่โทนสีของหินจากสีอ่อนไปสีแก่ลวดลายที่ประดับดูอ่อนช้อยราวกับจิตรกรวาดเป็นลายเส้นด้วยมือ

ภายในอาคารหินอ่อนสีขาว ตรงกลางของอาคารมีหีบพระศพจำลองของพระนางมุมตัสกับหีบพระศพของพระเจ้าชาห์ชะฮันวางคู่กันโดยหีบพระศพจริงอยู่ในห้องลึกลงไปด้านล่างประมาณ 10 เมตร รอบ ๆมีฉากกั้นเป็นหินอ่อนฉลุโปร่งตาเป็นลวดลายเครือไม้และไม้ดอกที่งามวิจิตรทั้งสี่ด้าน

วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว ดิฉันคิดว่าสมบูรณ์พร้อมด้วยธรรมชาติของศิลปะ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนต่างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ครบถ้วนมากทีเดียว

หวังใจว่า จะได้เดินทางประสาคนชีพจรลงเท้าต่อไปอีก ตามคติพจน์ที่ว่า “ชีวิตยังไม่สิ้นก็จงเที่ยวต่อไป”

TIPS

การเดินทางไปแคชเมียร์ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในเดือนเมษายนถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จะได้เห็นสวนดอกไม้มีดอกไม้สีสันสวยงามบานสะพรั่งมากกว่าช่วงฤดูกาลอื่นที่กุลมาร์คยังมีหิมะให้เล่นสกีได้แต่ถ้าต้องการสัมผัสอากาศหนาวเย็นมากๆ แบบมีหิมะปกคลุมหนา ต้องเป็นช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์สำหรับเมืองเดลีช่วงที่ไปอากาศร้อนจัดมากในเวลากลางวันช่วงเย็นอากาศร้อนเบาบางลงบ้าง หากเดินในสวนสาธารณะมีลมเย็นพอคลายร้อนได้

ข้อควรระวังที่แคชเมียร์ พ่อค้าเร่ขายของเก่งเหลือเกิน เรียกได้ว่าเสนอขายอะไรมา จะพยายามขายจนได้ ราคาเริ่มต้นจะแพงถ้าพอรู้ราคาต้องต่อรองราคาจนต่ำสุดเท่าที่พึงพอใจได้ถ้าไม่สนใจสินค้าที่มาเสนอขายต้องพยายามหลีกให้ห่างไกลมากที่สุด ถ้าจะซื้อควรตรวจสภาพสินค้าให้ดี จะได้ไม่โดนของเก่าเก็บหรือมีรอยชำรุดให้เจ็บใจ

การเดินทางหากใช้สายการบินโลว์คอสต์ทั้งระหว่างประเทศและในประเทศ จากกรุงเทพฯไปลงนิวเดลีและไปศรีนครหากเดินทางภายในวันเดียวกันการต่อสายการบินในประเทศควรเผื่อเวลาให้มากกว่า 2 – 3ชั่วโมง เพราะสายการบินโลว์คอสต์จะต้องนั่งชัตเทิลบัสไปขึ้นเครื่องอีกเทอร์มินอลหนึ่งใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีไม่อย่างนั้นอาจตกเครื่องได้

ที่มา : คอลัมน์สารคดีท่องเที่ยว นิตยสารแพรว ฉบับ 867 ปักษ์วันที่ 10 ตุลาคม 2558

keyboard_arrow_up