สาวนักเดินทาง โทโมโกะ โคดามะ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส

โทโมโกะ แอร์โฮสเตสที่หลงเสน่ห์เมืองไทยมานานถึง 19 ปี ความที่เธอชอบท่องเที่ยวจึงเคยใช้บริการรถสาธารณะของไทยมาแล้วทุกรูปแบบจนติดใจในความไม่ธรรมดา

“โทโมโกะชอบเที่ยวค่ะ ตอนมาเมืองไทยใหม่ๆ ยังมีเงินไม่มาก จึงประหยัดด้วยการใช้บริการรถสาธารณะหลากหลายแบบซึ่งได้อารมณ์ตื่นเต้นแตกต่างกันไป เคยนั่งรถเมล์มาแล้วทุกสี แม้กระทั่งรถเมล์เล็กเขียว ความยากคือตอนจะลง ที่ญี่ปุ่นรถจอดแล้วเราค่อยลุก แต่ที่กรุงเทพเราต้องประคองตัวขณะรถวิ่งไปรอที่หน้าประตูก่อนถึงป้ายพร้อมคนอื่น ไม่งั้นลงไม่ทัน โทโมโกะยังเคยนั่งรถไฟชั้น 3 ไปอยุธยาด้วย ตื่นเต้นกับวิธีการจองที่นั่งโดยปีนขึ้นรถทางหน้าต่าง สามารถมาก ตะลึงไปเลย ส่วนที่ได้ไปด่วนๆ แต่เสี่ยงหน่อย คือวินมอเตอร์ไซค์ ทุกวันนี้ถ้ารีบและเป็นเส้นทางสั้นๆ ก็ยังใช้บริการบ้าง ด่วนกว่านั้นอย่างเรือหางยาวในคลองแสนแสบ เพื่อนคนไทยก็เคยพาไปลอง ตอนลงเรือรู้ว่าเป็นแถวประตูน้ำแต่ไปขึ้นท่าไหนจำไม่ได้ จำได้แค่ว่าเรือวิ่งเร็วมากจนน้ำกระจายเต็มหน้าเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

สนุกที่สุดยกให้รถตุ๊กตุ๊กค่ะ ครั้งหนึ่งโทโมโกะกับเพื่อนๆ คนไทยไปเที่ยวกัน 6 คน แท็กซี่ไม่ว่าง จึงเรียกรถตุ๊กตุ๊กแทนคิดว่าคงต้องใช้ 2 คัน แต่เพื่อนบอกว่า “ไม่เป็นไร คันเดียวอยู่” ฟังแล้วสงสัยว่าจะขึ้นไปได้ไงหมด ปรากฏว่าหมดค่ะ ใช้วิธีให้คนตัวเล็ก 3 คน นั่งที่เบาะ ส่วนอีก 3 คนที่ตัวค่อนข้างใหญ่อย่างโทโมโกะนั่งที่พื้นรถแล้วจับราวเหล็กข้างๆ ไว้อะเมซิ่งมาก (หัวเราะ)

หลังจากนั้นก็เริ่มชินกับการนั่งตุ๊กตุ๊กและแท็กซี่แบบยกแพ็ค กระทั่งเดือนก่อนโทโมโกะไปเยี่ยมบ้านที่ญี่ปุ่นวันหนึ่งไปเที่ยวกับเพื่อนๆ 5-6 คน แล้วเรียกแท็กซี่คันเดียว เพื่อนงงโวยวายว่าจะไปได้ไง จึงนึกขึ้นได้ว่า แท็กซี่ญี่ปุ่นรับผู้โดยสารสูงสุดได้ 4 คน เท่านั้น

อุตะ…อินไปหน่อย

เรื่อง : โทมาลิน
ภาพ : อิทธิศักดิ์, โยธา
สถานที่: VIE Hotel
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ 108 คำถาม

สุขาเจ้าปัญหา อาซึกะ โซเอะจิมะ (AsukaSoejima) พนักงานต้อนรับ

อาซึกะสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นที่จับพลัดจับผลูมาทำงานในเมืองไทยกว่า 2 ปี เธอต้องปรับตัวหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาภายในห้องน้ำ

“สำหรับฉัน เรื่องที่แตกต่างกันมากระหว่างการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นกับเมืองไทย คือ การใช้ห้องน้ำในห้างหรือที่สาธารณะอย่างการใช้ชักโครก เวลาคนญี่ปุ่นทำธุระเสร็จ จะปิดฝาโถไว้ก่อนแล้วค่อยกดน้ำเพื่อไม่ให้เชื้อโรคกระจายขึ้นมา แต่มาอยู่เมืองไทยพอเดินออกจากห้องน้ำ คนไทยที่รอคิวอยู่มักเลี่ยงไปใช้ห้องอื่นเสมอ มารู้ทีหลังว่าการปิดฝาโถส้วมแปลว่ากดชักโครกไม่ลง โอ้…มิน่าถึงโดนมองแปลกๆ คงคิดว่าเราทำธุระไม่เรียบร้อย (หัวเราะ)

อีกอย่างคือคนญี่ปุ่นถือว่าการเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ต้องเงียบๆ และไม่ควรมีใครมายุ่มย่าม ห้องน้ำตามที่สาธารณะจึงมักมีปุ่มกดเป็นเสียงดนตรีหรือเสียงแทรกซ้อนอื่นๆ เพื่อกลบเสียงการทำธุระ ส่วนแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดเป็นเวลา แต่ห้องน้ำเมืองไทยโดยเฉพาะในห้าง นอกจากไม่มีปุ่มตัวช่วยที่ว่าแล้ว ยังมีแม่บ้านยืนประจำอยู่ตลอดเวลา บางแห่งมีถึง 2 คน คนไทยอาจไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับคนญี่ปุ่นอย่างฉันรู้สึกอึดอัดทุกครั้ง เพราะรู้สึกเหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา

ยิ่งกว่านั้นฉันเคยอยู่ในห้องน้ำ แล้วคุณแม่บ้านสอดไม้ม็อบลอดใต้ประตูมาถูในห้อง (หัวเราะ) เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอารมณ์เหมือนโดนเร่งให้ทำธุระไวๆ เจออย่างนั้นจะยอมแพ้ รีบลุกออกมา

เชิญคุณแม่บ้านเต็มที่เลยค่ะ

เรื่อง : โทมาลิน
ภาพ : อิทธิศักดิ์, โยธา
สถานที่: ห้องอาหารยามาซาโตะ โรงแรม ดิ โอคุระ เพรสที กรุงเทพฯ
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ 108 คำถาม

ขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์… สำหรับไฮโซอ้าย ไม่มีคำว่ารีเทิร์น!

จู่ๆ ก็มีกระแสโผล่ขึ้นมาว่านางเอกสาว ขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ ถูก “ไฮโซเพชร” อิทธิ ชวลิตธำรง ว่าที่เจ้าบ่าวของสาวพิ้งค์กี้-สาวิกา ไชยเดช ยึดคอนโดหรูคืน ทำเอาคนลือกันว่อนว่าจริงไหม และสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันแบบใด เราไปหาความจริงจากสาวขวัญกันดีกว่า

“คอนโดนั้นขวัญได้มาจากการทำงาน มันเป็นสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ได้ให้กันแบบโดยเสน่หา แต่เป็นการให้จากการทำงานโดยสุจริต เพราะขวัญไปร่วมงานคอนโดเขา และทำงานโดยอาชีพขวัญที่เป็นนักแสดง พี่เขาก็ให้มาในฐานะผู้ว่าจ้าง เป็นสัญญาว่าอยู่ได้กี่ปี แล้วแต่นายจ้าง ถือเป็นค่าจ้างจากการทำงาน ที่สำคัญคอนโดก็ไม่ใช่ชื่อเรา ขวัญแค่เป็นผู้อาศัย และตอนนี้ก็เพิ่งเซ็นต์สัญญาเพิ่ม เรียกว่าเขายังจ้างต่อ ไม่ตกงาน(หัวเราะ) แต่จ้างต่อกี่ปีต้องดูในใบสัญญาคะ พี่เขาก็โทรมาคุยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าขวัญกับพี่เขาก็รู้จักกัน พี่ๆ ทีมงานพนักงานในนั้นก็โทรมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวเราเข้าใจผิดว่าฝ่ายพี่เขาเป็นคนปล่อยข่าว แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรค่ะ”

ข่าวชายของคนอื่นเคลียร์แล้ว มาข่าวชายที่ถูกจับตามองว่าเป็นของสาวขวัญบ้าง นั่นคือ “ไฮโซอ้าย” ที่เพิ่งมีข่าวไปตีสนิทกับนักแสดงหน้าใหม่ แพตตี้-พิมพาภรณ์ เสริมพณิชกิจ

“อ้ายเขามีน้องหลายคน คือขวัญว่าเป็นธรรมดาของคนที่มีน้องมีพี่มีคนรู้จัก ขวัญว่ามันไม่ได้แปลกนะ ส่วนว่าเขาจีบกันอยู่หรือเปล่า อันนี้ต้องไปถามพี่อ้ายเองค่ะ แต่แหม.. คิดกับผู้หญิงมันไม่เป็นไรหรอก ถ้าคิดกับผู้ชายสิค่อยเครียด ยอมรับว่าขวัญไม่ซีเรียส เพราะสำหรับขวัญ พี่อ้ายยังดีกับขวัญเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร กับมีอะไรเขาก็บอกขวัญหมด คือเราคุยกันหมดทุกเรื่อง ขวัญก็อาจจะถามในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่ในสิ่งที่เป็นข่าวออกมามันเป็นสิ่งที่ขวัญรู้หมดแล้ว ก็เลยไม่รู้จะถามเขาทำไม”

แต่ข่าวว่ากลับมารีเทิร์นและเป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว “สำหรับเราไม่มีคำว่ารีเทิร์นค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยหายไปไหนจากกัน การบอกของเขาก็เป็นไปในสถานะเพื่อนนะคะ ยังไม่ใช่คนพิเศษ(หัวเราะ) คือความหมายของคำว่าแฟนของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะคะ มุมขวัญก็อยากให้ถึงวันที่เป็นวันของขวัญจริงๆ แล้วค่อยเปิดตัวว่าคนของขวัญคือใคร เพื่อเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันค่ะ”

เอ้า… รอๆ อยากเห็นวันของขวัญแล้นนน

‘ฮิวโก้’ ทุ่มเพื่อลูก ตัดใจเลิกสัญญาค่ายเพลงดัง ปักหลักไทยถาวร!

โกอินเตอร์ไปทำงานเพลงอยู่ที่อเมริกาหลายปี แต่่ล่าสุดนักร้องมาดเซอร์ ‘ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์’ ตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทยถาวรแล้ว โดยจะยกเลิกสัญญาทำเพลงกับทางค่ายเพลงร็อกเนชั่น ของเจย์ ซี ปีหน้าโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าอยากอยู่ดูแลลูกอย่างเต็มที่

“ปีหน้าผมจะมีคอนเสิร์ต พร้อมอัลบั้มใหม่ที่ทำมาเกือบ 3 ปี ตอนนี้เหลือมิกซ์เสียง ซึ่งเจย์ ซีลงทุนให้ แต่เราจำหน่ายและควบคุมเองทุกอย่าง ถือเป็นงานสุดท้ายที่ทำกับทางค่าย เราจากกันด้วยดีครับ หลังจากนั้นผมก็จะมาทำงานเบื้องหลัง คงไม่ได้หายไปไหน เน้นทำเพลงกับเพื่อนๆ ที่เมืองไทยมากกว่า

“ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจไม่ต่อสัญญา เพราะผมมีลูก 2 คนแล้ว อยากกำหนดชีวิตตัวเองให้ชัดเจนมากกว่านี้ อยากดูแลเขาให้เต็มที่ ตัวพี่ชาย (ฮาเปอร์) ตอนนี้เห่อน้องฮันเตอร์มาก อยากเล่นอยากอุ้ม มาเกาะแกะน้องตลอดเวลา ด้านคุณฮาน่าเองไหนจะเลี้ยงลูกแล้วยังต้องทำงานอีก เพราะอยู่เฉยไม่ได้ ก็วุ่นวายดีครับ ถึงจะเหนื่อย แต่สนุกและมีความสุขมาก ผมจึงเลือกกลับมาอยู่ไทยถาวร เพราะบ้านเราอยู่ที่นี่ ลูกก็เรียนที่นี่ แล้วทำไมเราต้องไปอยู่ที่อื่น

“ได้อยู่กับคนที่เรารักดีที่สุดครับ”

ภาพ : IG

ซูเปอร์สตาร์อีกนานแสนนาน ธงไชย แมคอินไตย์

เป็นเวลาปีกว่าๆ ที่ “เบิร์ด-ธงไชย” ลงปกแพรวครั้งล่าสุด หลังจากนั้นไม่นาน ทีมงานก็ได้รับข้อความจากผู้อ่านอย่างต่อเนื่องว่า “เมื่อไรเบิร์ดจะถ่ายแฟชั่นอีก… อยากอ่านบทสัมภาษณ์แล้ว แพรวจัดให้หน่อย” รวมถึงอีกหลายความรู้สึกที่ยืนยันได้ว่า ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลคนนี้อยู่ในหัวใจของคนไทยเสมอ เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลา แพรวชวนเบิร์ดมาคุยใกล้ๆ ทุกคนแล้วครับ

อัพเดทชีวิตให้แฟนๆ หายคิดถึงหน่อย อยากรู้ 24 ชั่วโมงในวันนี้ของ เบิร์ด-ธงไชย เริ่มจากวันสบายๆ ที่บ้านใบไม้ก็ได้ครับ

ชีวิตเบิร์ดธรรมดามาก ลุกออกจากเตียงประมาณ 10 โมง แต่ความจริงนอนบิดไปมาตั้งแต่ 8-9 โมงแล้วละ จากนั้นไหว้พระ ชงกาแฟ ต่อด้วยออกกำลังกาย 45 นาที ซึ่งโปรแกรมนี้ขึ้นอยู่กับ ว่า ช่วงนั้นฮิตออกกำลังกายเวลาไหน ถ้าเสียเหงื่อตอนเย็นก็ขยับตารางนี้ออกไป

หลังจากนั้นอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเช้า ต่อด้วยซ้อมเต้นเพื่อเตรียมสำหรับคอนเสิร์ต ถ้าพี่น้อย (พรพิชิต พัฒนถาบุตร) ออกไปทำงาน เบิร์ดก็โฮมอะโลน เดี๋ยวเดินเข้าบ้านนั้น ออกบ้านนี้ ถ้าวันนั้นไม่ต้องไปทำธุระที่ไหน ก็เป็นเวลาของการดูแลตัวเอง มาส์กหน้า มาส์กผม พักผ่อน ดูทีวี โดยเฉพาะเทนนิสที่เป็นรายการโปรด หรือไม่ก็เปิดหนังสือ ไม่ค่อยได้อ่านหรอก หนักไปที่ดูรูปภาพ เผลอแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว เบิร์ดจะเดินช็อปปิ้งเสื้อผ้า ความหมายคือ เปิดตู้เสื้อผ้าดูว่า ถ้าพรุ่งนี้เราออกไปข้างนอกจะใส่ชุดอะไรดี

สำหรับมื้อเย็น นานๆ จะเข้าครัวเองสักครั้ง ไม่ได้เก่งนะครับ แค่ทำเป็น คนที่ผ่านความจนมาต้องทำได้ทุกอย่างแหละ เมนูที่เบิร์ดทำได้ดีอร่อยสุดคือ ไข่เจียวโปะข้าว (หัวเราะ) ช่วงหลังลองทำสลัดกินบ้าง ทำซ่าว่าจะไม่กินอะไรเพิ่ม แต่พอน้ำย่อยติดเครื่องก็ต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวอีกชาม จากนั้นได้เวลารวบรวมสติให้ความซ่าหายไปก่อนเข้านอน ไม่อย่างนั้นเบิร์ดจะเดินไปมาอยู่นั่น ยังจำได้ว่า สมัยแม่ยังอยู่ แม่ชอบพูดว่า “เบิร์ด นิ่งๆ บ้างนะลูก”

พี่นกน้อยเคยบอกแพรวว่า สมาธิของเบิร์ดจะดีที่สุดในช่วงใกล้นอน ถ้าอยากเจรจาต้าอ่วยเรื่องงาน ต้องเป็นตอนนั้น…ใช่ไหมครับ

ใช่ (หัวเราะ) พี่น้อยก็เป็นเหมือนกันนั่นละ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เดี๋ยวเดินไปนั่นไปนี่ตลอดเวลา กว่าจะได้คุยงานกันก็ดึกแล้วทุกที

สำหรับการกลับมาจอทีวีอีกครั้งในละครเรื่องกลกิโมโน เริ่มคุยกันนานหรือยังครับ

ประมาณ 3 ปีครับ พี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) คุยกับพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) และพี่น้อย ซึ่งความจริงก่อนหน้านี้ก็มีผู้จัดส่งบทละครมาตลอด แต่หลายๆ ปัจจัยยังไม่เอื้อกัน แต่กับกลกิโมโนเหมือนทุกอย่างลงตัว และอาจเป็นความต้องการลึกๆ ของเบิร์ดด้วยว่า เราห่างจากละครมา 17 ปี คงถึงเวลาแล้วละ อยากทำหน้าที่ที่ขาดหายไป เพราะแม้ไม่ได้แสดงมานาน แต่เบิร์ดเป็นนักดูละครตัวยง ติดตามอยู่ตลอด เวลาเจอนักข่าวก็โดนถามเสมอว่า เมื่อไรจะกลับมาเล่นละคร… ตอนนี้กลับมาแล้วนะครับ ฝากแพรวบอกณเดชน์ว่า พี่เบิร์ดกลับมาเล่นละครแล้ว ปล่อยงานมาบ้าง (เบิร์ดแกล้งทำเสียงแซวแล้วหัวเราะ)

หายจากงานละครไปถึง 17 ปี กลับมาคราวนี้ตื่นเต้นไหมครับ

มา….ก (ลากเสียงยาว) ตื่นเต้นตั้งแต่วันฟิตติ้ง เพราะเป็นบรรยากาศที่หายไปจากชีวิตตั้ง 17 ปี วันนั้นอะเลิ้ทมาก พอน้องทีมงานบอกว่า พี่เบิร์ดพร้อมไหมคะ เรากระโดดเข้าไปยืนอยู่หน้าฉากเลย พร้อมมาก (หัวเราะ)

หลังจากนั้นเบิร์ดไปเรียนการแสดงกับครูแอ๋ว (อรชุมา ยุทธวงศ์) เพื่อฟื้นฟูทักษะที่ไม่ได้ใช้มานาน โชคดีที่ตัวละครที่รับคราวนี้คือ “ท่านชายโยชิ” ที่มีอายุตั้ง 400 ปี เหมาะกับตัวเองมาก (หัวเราะ) ฝากคนดูเอาใจช่วยด้วยนะครับ เพราะเบิร์ดตั้งใจมาก และพอได้กลับมาเล่นละคร ทำให้รู้ว่า เรายังสนุกกับการทำงานอยู่เหมือนเดิม ไม่มีความคิดว่า พอดีกว่าไหม

ส่วนหนึ่งที่ทำให้งานครั้งนี้ราบรื่นต้องให้เครดิตพี่น้อยที่รักงานแสดงเป็นชีวิตจิตใจ พี่น้อยช่วยขีดไฮไลท์บทในส่วนที่เบิร์ดต้องพูดและเกี่ยวข้อง ช่วยได้เยอะมาก ต้องขอบคุณพี่น้อยที่ดูแลตั้งแต่วันแรก ช่วยเดินนำเบิร์ดไปในทุกสถานที่และโอกาสที่ดี ไม่นับเรื่องที่พี่น้อยเป็นคนตลกมาก อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ถือเป็นหนึ่งคนสำคัญที่สุดในชีวิต

ถ้าให้เปรียบเทียบการทำงานละครในอดีตกับวันนี้ละครับ

สมัยก่อนเหนื่อยและหนักมาก เริ่มทำงานจากเช้าวันหนึ่งไปจบอีกวัน เรียกว่า เป็นยุคปากกัดตีนถีบที่ทุกคนต้องช่วยกัน อุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือก็ยังไม่พร้อม ในบรรยากาศนั้นเบิร์ดสนุกนะ เพียงแค่เหนื่อยมากจริงๆ มาถึงวันนี้วงการละครพัฒนาขึ้นมากแล้ว นักแสดงได้รับการดูแลดีขึ้น การทำงานมีการเตรียมมาอย่างละเอียด ตั้งแต่การเขียนบท การเลือกโลเคชั่น จนถึงวันถ่ายทำ

สำหรับเรื่องกลกิโมโน เบิร์ดโชคดีที่ได้ร่วมงานกับพี่หน่อง นักแสดงและทีมงานทุกคนก็เก่งๆ ทั้งนั้น คงต้องรอวันออนแอร์ รอเสียงตอบรับจากคนดู ซึ่งก็คงมีทั้งที่ชอบและไม่ชอบเป็นธรรมดา แต่เบิร์ดคิดว่า ความตั้งใจจริงในการทำงานจะทำให้ทุกอย่างออกมาดี

พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ถ้าเปรียบชีวิตเบิร์ด-ธงไชย ก็เหมือนหนังสือ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก” แต่ถ้าถามเจ้าตัวถึง เรื่องราวหรือภาพไหนในชีวิตที่ไม่เคยลืม

(พี่เบิร์ดคิดแป๊บเดียว) ภาพที่เป็นที่สุดในชีวิตของเบิร์ดคือ ตอนกราบพี่เต๋อบนเวทีคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดครั้งแรก กับตอนกราบแม่ในแบบเบิร์ดเบิร์ดครั้งที่ 2 ทั้งสองเหตุการณ์นั้นคือ พลังที่ช่วยพาเบิร์ดไปต่อได้อีกไกลจนถึงทุกวันนี้ เบิร์ดเชื่อว่า ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงเป็นภาพที่ไม่เคยลืมเลย

พูดถึงคอนเสิร์ตทั้งที่แสดงมาเป็นสิบๆ ปี แต่ถึงเวลาต้องขึ้นเวทีไม่รู้เป็นอะไร เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น ยิ่งช่วงก่อนขึ้นแสดงนี่เข้าห้องน้ำบ่อยมาก (หัวเราะ) แต่พอห่างจากเวทีนานๆ ก็คิดถึงนะครับ เพราะพื้นที่ที่ทำให้เบิร์ดมีความสุขที่สุดก็คือ ห้องซ้อมและเวทีคอนเสิร์ตนี่ละ

ความจริงถ้าวันนี้ไม่ทำงาน เบิร์ดก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว ทำไมขยันทำงานขนาดนี้ครับ

เบิร์ดไม่ได้มีกิจการหรือธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนธรรมดาที่ต้องทำงานเหมือนคนอื่นๆ ละครับ ถ้าไม่ทำงานแล้วก็อาจอยู่สบายๆ ได้ แต่เบิร์ดไม่เคยคิดจริงๆ ว่า ทำไมต้องเลือกแบบนั้น ทั้งที่หลายงานที่ทำก็หนักมาก อย่างหลายปีก่อนที่เล่นคอนเสิร์ต 37 รอบ ไม่รู้ทำได้อย่างไร หลังจากจบงานต้องใช้เวลาฟื้นฟูพลังเยอะ ไม่พูดกับใคร 4 วันก็มี พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเบื่อนะ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเบิร์ดรักงานที่ทำจริงๆ
ไม่ใช่ว่าแพรวมาสัมภาษณ์แล้วต้องตอบแบบนี้ด้วย เพราะเบิร์ดรู้ดีว่า งานนี้ดูแลชีวิตเรา แม่ พี่น้อง และคนที่เบิร์ดรักมาตลอด เพราะฉะนั้นถ้าเหนื่อยก็แค่หยุดพัก ไปเที่ยว หรือไม่ก็อยู่บ้านใบไม้ ซื้อมาแพงก็อยู่ไป บ้านนี้ต้นไม้เยอะ… ยุงก็เย้อ (เบิร์ดแซวบ้านตัวเองแล้วหัวเราะชอบใจ)

ทุกคนรู้ว่า เบิร์ดไม่ได้ใช้ชีวิตนอกบ้านเท่าไร ไม่เบื่อบ้างหรือครับ

เบิร์ดไม่มีภาพว่า ออกไปข้างนอกแล้วสนุกแบบไหน ไม่รู้อยู่ได้อย่างไรมาตั้งหลายปีเนอะ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเบิร์ดชอบอยู่บ้าน แต่ช่วงหลังๆ ก็ไปแถวทองหล่อบ้างนะ ไปดูร้านที่เขาฮิตๆ กันว่าเป็นอย่างไร ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้าง อย่างไปกินอาหารฝรั่งที่โบเตก้า อาหารเวียดนามที่ร้าน เลอ ดาลัด อาหารญี่ปุ่นร้านโฮวยู อาหารจีนที่ฮิลตัน แต่ถ้าอยู่เมืองนอกก็ไมได้กินหรูหรา ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นหรือบ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ เบิร์ดก็กินร้านข้างทางได้ อร่อยด้วย (ยิ้ม)

รู้กันว่า เวลาในวงการบันเทิงไม่ได้นานนัก คนใหม่มา คนเก่าก็หายไป แต่เบิร์ดเหมือนเป็นข้อยกเว้น เรียกว่า เป็นอมตะได้ไหมครับ

(ยิ้ม) เบิร์ดไม่เคยมองว่าตัวเองยิ่งใหญ่เลย แต่สำหรับสิ่งที่ได้รับมาต้องบอกว่า ภูมิใจมาก ขอบคุณที่ให้ความรักกับเบิร์ดมาตลอด ทุกครั้งที่เล่นคอนเสิร์ตหรือไปทำงานตามสถานที่ต่างๆ เบิร์ดสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น ทั้งหมดเป็นพลังให้มีแรงทำงานต่อไปอีกนานแสนนาน

บางคนเห็นชีวิตเบิร์ดแล้วอาจคิดว่า ร้องเพลงมาเป็นสิบๆ ปี ไม่เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นบ้างหรือ ชอบย่ำอยู่กับที่หรือเปล่า แต่ถ้าสิ่งที่ทำอยู่คือความสุข แล้วเบิร์ดจะกระโดดไปทำอย่างอื่นทำไม ชีวิตหลายปีที่ผ่านมาอาจไม่มีเรื่องใหม่หรือแตกต่างจากเดิม แต่ในมุมของเบิร์ด ความพิเศษคือ เรายังสามารถทำงานที่รักได้เหมือนเดิม ทั้งร้องเพลง แสดงคอนเสิร์ต หรือถ่ายแฟชั่นกับแพรว นั่นหมายความว่า เรายังมีโอกาสในทุกๆ ช่วงวัยของชีวิต

และเบิร์ดจะใช้โอกาสนั้นอย่างดีที่สุดทุกครั้ง (ยิ้ม)

เรื่อง : ปารัณ เจียมจิตต์ตรง
ภาพ : สุเมธ วิวัฒน์วิชา
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ สัมภาษณ์พิเศษ

มณฑ์ลัชชา สกุลไทย… เอกลักษณ์ ‘แม่อุ๊’ ต้อง ‘ดำ’ เท่านั้น

สไตล์แต่งตัวเท่ๆ สีดำล้วน ถ้าไม่ใช่แบรนด์ ‘Comme des Garcons’ ก็ ‘Junya Watanabe’ แอบมีลูกเล่นตรงที่ใช้สีสันสดใสของเครื่องประดับ หรือกระเป๋าถือ มาเป็นส่วนผสมลงตัว เพื่อให้การแต่งตัวดูสนุกมากขึ้น เมื่อรวมกับผมบ็อบสั้น แสกกลาง แต่งหน้าน้อยๆ กลับกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นที่ทำให้ ‘แม่อุ๊’ ของงานสังคม เป็นที่สนใจของสื่อ และแขกที่มาร่วมงานเสมอ

“ดิฉันยอมรับว่าตัวเอง ‘เป๊ะมาก’ เรื่องแต่งตัวไปงาน คือ ต้องไม่แต่งเยอะหรือน้อยเกินไป ถ้างานจัดค่อนข้างอลังการ เราแต่งตัวเรียบ ก็ไม่เข้ากับงาน งานไหนดูวัยรุ่น ก็ต้องแต่งให้ดูวัยรุ่นหน่อย แต่ยังมีความเป็นตัวเอง ไม่จำเป็นว่าต้องแต่งเหมือนใคร

“การมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้ากับเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของแต่ละคน อย่างเราเป็นสไตลิสท์ให้ตัวเอง คิดเองเออเองหมด โดยใช้เวลาไม่นาน เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวหมดแล้ว ทุกครั้งก่อนไปงาน จะรู้ล่วงหน้าก่อนหนึ่งอาทิตย์ จึงสามารถสร้างจินตนาการได้ว่า งานไหนควรใส่ชุดอะไร

“สำหรับราคาชุดที่ใส่ออกงาน มักอยู่ที่ราวหกหมื่นบาท ถ้าเป็นชุดใส่ไปงานแกรนด์โอเพ่นนิ่ง อาจแพงกว่านั้นนิดหนึ่ง อาจใส่ได้ครั้งหรือสองครั้ง ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ แต่คุ้มในแง่ของจิตใจ ยิ่งถ้าเป็นชุดสีดำ หรือเป็นชุดที่ชอบมาก จะเก็บไว้หมด ผ่านไปเป็นปี ค่อยหยิบมาใส่อีกรอบ กระโปรงบางตัวใช้หลายครั้ง เพราะใช้วิธีเปลี่ยนเสื้อท่อนบน เคยมีคนถามว่า มีชุดใส่ออกงานที่ดูเรียบที่สุดไหม บอกได้เลยว่าตั้งแต่ไปงานมา ไม่เคยใส่ชุดไหนเรียบๆ เบาๆ เพราะถ้าออกงาน จะ ‘เรียบ’ ไม่ได้ ถ้าจะเรียบต้องมีอะไรที่ดูแล้วไม่เหมือนคนอื่น จึงจะเรียกว่าไปงาน”

“ยอมรับว่าเวลาแต่งตัว เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เคยเชื่อใคร เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะคิดเสมอว่าจะแต่งอะไรก็ตาม ต้องให้เหมาะกับวัย

“ไม่อยากให้ใครมานินทาลับหลัง”

เรื่อง : ดั่มดั๊มพ์
ภาพ : วรสันต์ ทวีวรรธนะ
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ live stories

จันทนา ปางพุฒิพงศ์ เซลบี้ ‘สวยโก้ คลาสสิก’

เธออาจเป็นเซเลบริตี้ที่ปรากฏกายในงานสังคมไม่บ่อยนัก แต่เมื่อใดที่เธอไปร่วมงาน มักดูโดดเด่น สวยโก้ หรู คลาสสิกตามแบบฉบับของคุณเล็ก — จันทนา ทุกครั้งไป

เลือกไปเฉพาะงานสำคัญ ซิทดาวน์ดินเนอร์-งานการกุศล-งานแต่งงาน

“เล็กไปงานอย่างมากสองครั้งต่อเดือน หรือบางเดือนอาจ 3-4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับบางช่วง อย่างปีที่แล้วเดินทางไปต่างประเทศบ่อย หรือช่วงนี้ทุกวันพฤหัสฯ ต้องไปบ้านต่างจังหวัด เพราะมีสุนัขหกสิบตัว รอให้เราไปเล่นด้วย แต่งานทั่วไปมักจัดประมาณวันพฤหัสฯ-ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ อีกอย่างหนึ่งคือเกรงใจสามีด้วย เขาไม่ค่อยชอบไปไหน

“งานที่ไปส่วนใหญ่ มักเป็นงานที่มีเพื่อนๆพี่ๆในกลุ่มที่สนิท นัดแนะกันไป เหมือนเราได้ไปสังสรรค์กันเองด้วย จึงสนุก หรือเป็นงานสำคัญที่รู้จักเจ้าของงาน มักเป็นซิทดาวน์ดินเนอร์ กาลาดินเนอร์ หรือไม่ก็ค็อกเทล รวมทั้งไปงานการกุศล งานครบรอบ งานแต่งงานลูกเพื่อน

“ถ้าถามว่าชอบไปงานแบบไหนมากที่สุด เล็กชอบไปงานวันเกิด หรืองานที่เราจัดเอง และชวนคนอื่นมาร่วมมากกว่า เช่น งานวันเกิดเราบ้าง วันเกิดสามีบ้าง ซึ่งเราจะสนุก ลุกขึ้นมาเตรียมตัว ไม่เฉพาะแต่ตัวเองนะ แต่เตรียมให้หลาน พ่อ-แม่ พี่น้อง ว่าเขาต้องแต่งตัวอย่างนี้ อย่างงานวันเกิดสามีปีที่แล้ว จัดเป็นธีม‘ไทย’ ทุกคนที่มางานชอบมาก ได้ใส่ชุดไทย เล็กเองความจริงเตรียมชุดไว้ แต่ความที่มัวแต่จัดบ้าน แขกมาถึงบ้านแล้ว เรายังไม่ได้แต่งหน้าเลย สุดท้ายต้องใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง รัดจุก ไม่แต่งหน้า ให้ดูขำๆ แค่นี้ก็สนุกแล้ว”

Last Minute กับการเลือกชุดไปงาน

“เวลาแต่งตัว มักดูว่า งานที่ไปมีธีมอะไร เดี๋ยวนี้ในการ์ดเชิญส่วนใหญ่เขียนธีมการแต่งตัวไว้กลางๆ ประมาณว่า Casual หรือไม่ก็ Elegance ช่วยให้แขกที่ไปร่วมงาน แต่งตัวง่ายไปอีกแบบ เพราะถ้าเป็นงานค็อกเทลกลางวัน เราเน้นแต่งตัวง่ายๆ ส่วนถ้าเป็นซิทดาวน์ดินเนอร์มีธีมสนุกๆ เราก็เตรียมเสื้อผ้ากันอย่างสนุกสนาน โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบซื้อเสื้อผ้าเป็นชุดๆ หรือซื้อชุดราตรียาวสำหรับใส่ไปงานโดยเฉพาะ รู้สึกว่าอย่างนั้นไม่สนุก ไม่ใช่คนที่ซื้ออะไรเพื่อใส่ให้คนเห็น เพราะเราสนุกกับการแต่งตัว โดยมีข้อจำกัดว่าด้วยรูปร่างไม่สามารถใส่เสื้อผ้าได้ทุกชนิด ก็ต้องดูให้เหมาะกับวัยด้วย

“ส่วนจะใส่ชุดไหนไปงาน เล็กไม่ค่อยได้เตรียมตัวล่วงหน้า ส่วนใหญ่ใช้วิธีมิกซ์แอนด์แมทช์นาทีสุดท้าย จับชิ้นนั้นผสมชิ้นนี้ ถอดเข้าถอดออกอยู่หน้าตู้เสื้อผ้านั่นแหละ เพราะถ้าเตรียมคิดล่วงหน้าจะรู้สึกเบื่อ และเมื่อไม่ต้องเตรียมมาก จึงใส่เท่าที่มี ทำให้เสียสตางค์ช้อปปิ้งน้อยลงด้วยเพราะของที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้ใส่ก็มีเยอะ เราควรต้องทำโทษตัวเอง ด้วยการใส่ของที่มีให้ครบก่อน ไม่ใช่ซื้อใหม่ตลอดเวลา ไม่งั้นเสื้อผ้าจะล้มทับตัวเอา (หัวเราะ)โชคดีว่าเราจัดกรุ๊ปเสื้อผ้าไว้หมดว่า ตู้ไหนเก็บเสื้อผ้าชุดกลางคืน -กลางวัน หรือตู้ไหนเก็บเสื้อผ้าใส่ง่ายๆสบายๆ มองเห็นอยู่ทุกวัน พอต้องแต่งตัวจริงๆ จึงพอรู้ว่าจะมิกซ์แอนด์แมทช์ชุดไหนอย่างไร”

สุดยอดแบรนด์โปรดที่ชอบมิกซ์แอนด์แมทช์

“มีไม่กี่แบรนด์ที่ชอบ อย่าง Lanvinดูคลาสสิก ทั้งดีไซน์และสี สวยทั้งชุดในแบบเขา ใส่แล้วเข้ากับตัวเรา ช่วยพรางรูปร่างได้ โดยเฉพาะชุดกลางคืน ค่อนข้างแต่งง่าย มักเป็นชุดหลวมๆ จับเดรป สีและแบบเรียบๆ เติมเครื่องประดับเข้าไป สวยเลย ซึ่งเล็กมีหลักการใส่เครื่องประดับว่า ถ้าเกล้าผม ต้องใส่ต่างหู หรือถ้าไม่ใส่ต่างหู ต้องสวมสร้อยคอ หรือสร้อยโช้คเกอร์ ถ้าใส่กำไลแขน จะไม่ใส่สร้อยคอ บางครั้งอาจรู้สึกว่า ใส่ชิ้นนี้ เสียดายชิ้นโน้น ก็ต้องตัดใจ ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นการประโคมไปทั้งตัว เล็กชอบประโคมเป็นส่วนๆมากกว่า จะได้เด่นเป็นส่วนๆ โดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าประโคมแขนแล้ว คอก็ต้องหยุด หรือถ้าใส่ต่างหูใหญ่แล้ว อย่างอื่นก็ต้องหยุด

“แต่จะให้แต่งแบรนด์เดียว บางทีก็เบื่อ ไม่อยากแต่งตัวเหมือนใส่ยูนิฟอร์ม เพราะเราชอบหลากหลาย ทำให้แต่งตัวได้หลายแบบ อย่างถ้าเป็นแบรนด์Chanel ชอบเสื้อแจ็คเก็ต ที่นำมาผสมผสานกับชิ้นนั้นชิ้นนี้ ใส่ไปงานค็อกเทลได้ ถ้าเป็นชุดโอตกูตูร์ บางคอลเล็คชั่นของ Christian Dior หรือของ Dolce Gabanaก็ชอบนะ แต่รูปร่างต้องดี ช่วยให้เห็นเอว สะโพก ดูเซ็กซี่หน่อยๆ ส่วนใหญ่เล็กชอบเสื้อผ้าที่เน้นการตัดเย็บมากกว่า ไม่ได้เน้นแบรนด์ อย่างCarolina Herrera ของอเมริกา กับอีกแบรนด์ที่ชอบคือ Biyanของอินโดนีเซีย”

เทคนิค Mix & Match แบบง่ายๆ

“ตัวเองไม่ใช่แฟชั่นจ๋า แต่ชอบดูหนังสือ อาศัยดูเยอะๆ ถ้าเห็นชุดในแมกกาซีน แล้วชอบ จะถ่ายรูปเก็บไว้ ส่วนพวกเสื้อผ้า เครื่องประดับของเราที่มีอยู่ก็จัดไว้เป็นเซตเลย เสื้อตัวนี้กับกระโปรงตัวนั้น ใส่กับเครื่องประดับชิ้นนี้ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้เพื่ออัพเดท เพราะบางทีลืมไปแล้วว่ามีชุดอะไรบ้าง เวลาไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศ เห็นของที่ใช่สไตล์เรา จะได้ช้อปง่ายขึ้นด้วยเช่น ถ้ารู้ว่ามีสร้อยอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องซื้ออีก ของแบบนี้ก็ต้องเตรียมกันหน่อยนะคะ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ

“แนวที่เล็กชอบแต่ง มีสองแบบคือ ดูชิค หรือไม่ก็ดูโก้หน่อย แต่ไม่มาก แต่งตัวให้ดูสนุกๆได้ ถ้าไปงานง่ายๆ เช่น งานการกุศล งานเปิดร้านอาหาร เราก็จะแต่งตัวเหมือนในชีวิตประจำวันนี่แหละ แต่ให้ดูโอเว่อร์กว่าชีวิตประจำวันนิดหนึ่ง เช่น มีแจ็กเก็ตสวมทับ จะช่วยให้การแต่งตัวดูครบจบในชุดนั้น เพราะส่วนตัวคิดว่า การใส่เสื้อตัวเดียวไปงาน เหมือนแต่งตัวไม่จบ เหมือนไม่ได้มางาน แต่ถ้ามีแจ็กเก็ตชาแนล หรือแบรนด์อื่นก็ได้ สวมเครื่องประดับเข้าไป จะช่วยให้การแต่งตัวดูสมบูรณ์ขึ้น อีกสไตล์หนึ่งที่ชอบแต่ง คือ ออกแนวแขก หรือไม่ก็สไตล์โบโฮชิค เล็กชอบสีสดมาตั้งแต่เด็ก เช่น ฟ้าสด หรือชมพูสด เป็นลายดอก หรือปักเลื่อม เมื่อไม่นานมานี้ จัดงานวันเกิดฉลองสามีครบหกสิบปี ด้วยธีม‘ฮาวาน่า’ ซึ่งชอบมาก เพราะทำให้รู้ว่า สาวคิวบาแต่งตัวเต็มแบบต้องมีผ้าโพกผม ใส่ชุดแม็กซี่สีสันสดใส ใช้เครื่องประดับทั้งกำไล สร้อยคอ ทุกอย่าง ซึ่งเป็นสไตล์ที่เราชอบอยู่แล้ว จึงตัดชุดสำหรับใส่งานนี้โดยเฉพาะ แต่ที่สุดใส่ไม่ได้ เพราะผอมลง เลยต้องใช้ชุดลายดอกที่ซื้อมาเจ็ดปีแล้วแทน ก็ดูสนุกไปอีกแบบ”

ของที่ต้องมีติดตู้และติดตัว

“ชุดที่ต้องมีติดตู้ตลอด คือ กระโปรงแมกซี่สีดำหลายๆแบบ เวลาแต่งตัวจะได้มิกซ์แอนด์แมทช์ โดยใช้วิธีเปลี่ยนท่อนบน อีกชิ้นที่ต้องมีคือ แจ็กเก็ต หรือกางเกง หรืออะไรที่เราสามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้สนุกกับการแต่งตัวในชีวิตประจำวัน ไม่เฉพาะว่าต้องใส่ออกงานเท่านั้น ขณะที่ชุดราตรี มิกซ์แอนด์แมทช์อะไรไม่ค่อยได้ ต้องใส่เป็นชุดๆไป แต่ๆปีหนึ่งไม่ได้มีงานราตรีเยอะ เราเลือกใส่ชุดนี้ คิดว่าคลาสสิกแล้ว พอปีหน้าเทรนด์แฟชั่นเปลี่ยนอีก ก็ใส่ชุดเดิมไม่ได้

“สำหรับเครื่องประดับที่ต้องมีติดตัวเสมอ คือ นาฬิกา เป็นเครื่องประดับชิ้นแรกที่มีเงินแล้วอยากได้ เป็นอีกหนึ่งชิ้นที่ช่วยให้การแต่งตัวดูครบ ขนาดอยู่บ้านยังต้องใส่เลย

“หลักการแต่งตัวของเล็กคือ ต้องแต่งให้เข้ากับบุคลิก สมวัย และเหมาะกับรูปร่าง บางทีไปกับสามี ก็ต้องแต่งให้เขาอยากเดินกับเราด้วย เราไม่ได้แต่งไปแข่งกับใคร ไม่ได้แต่งไปเดินโชว์ให้คนเห็นว่าฉันสวย หรือแต่งเพื่อให้มีคนถ่ายรูปแต่แต่งเพราะสนุก และถ้าไปออกงาน แล้วมีคนชม ก็รู้สึกขอบคุณ

“เราอาจไม่ได้เป็นคนสวยที่สุดในงาน แต่แฮปปี้ที่มีคนมาคุยด้วย การแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ จึงเป็นสิ่งสำคัญ”

เรื่อง : ดั่มดั๊มพ์
ภาพ : อั๋น
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ live stories

เพ็ญ สุขสมบูรณ์วงศ์ ต้อง ‘จัดเต็ม’ เท่านั้น จึงจะใช่ ‘เพ็ญ’

เป็นผู้หญิงแถวหน้าในแวดวงเซเลบริตี้อีกคน ที่ได้ชื่อว่าแต่งตัว ‘จัดเต็ม’ ทุกครั้ง ประมาณว่า ถ้า ‘น้อยๆ’ ไม่ใช้ตัวจริง

Dress Code — ไกด์สำคัญยามออกงาน

“ก่อนแต่งตัวไปงาน อย่างแรกที่เพ็ญดูคือ การ์ดเชิญ ว่าเขาระบุเดรสโค้ดแบบไหน ถ้างานเป็นทางการ ก็ต้องจ้างช่างแต่งหน้า-ทำผมด้วย ส่วนจะใส่ชุดอะไรนั้น เพ็ญเป็นประเภทว่า ถ้ามีไอเดียหรือชอบอะไร จะซื้อหรือไม่ก็ตัดชุดเก็บไว้ เพราะฉะนั้นชุดที่ใส่ส่วนใหญ่ เป็นของที่มีอยู่แล้ว นอกจากถ้าต้องใส่ชุดเริ่ดหรูอลังการจริงๆ อาจต้องสั่งตัดเพิ่มต่างหาก

“ถามว่าใช้เวลาเลือกชุดนานไหม คิดไม่นานหรอกค่ะ ส่วนมากเพ็ญจะบอกแนนนี่ (คุณอ้อ) ของเพ็ญ ล่วงหน้าว่า เดรสโค้ดหนนี้ ต้องการให้ใส่ชุดสีขาว หรือสีดำ ก็ว่ากันไป จากนั้นคุณนายเขาก็จะคัดชุดตามธีมงานเรียงมาไว้ให้เพ็ญเลือกอีกครั้งว่า ชุดไหนยังไม่เคยใส่ (หัวเราะ)

“ถ้าสังเกตจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เพ็ญไม่ค่อยได้ออกงานมากเหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่คนวิ่งออกงาน แต่เลือกงานที่จะไปด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในหนึ่งเดือน เพ็ญออกงานแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น ยกเว้นว่าเป็นงานเพื่อนสนิท ซี้กัน รักกัน หรือเป็นงานที่ผู้ใหญ่ขอมา อย่างนั้นต่อให้เป็นสิบกว่างาน ก็ไปนะ แต่บางเดือนเพื่อนเลิฟไม่มีงานเลย แต่มีการ์ดเชิญมากว่าสามสิบงาน เพ็ญก็ไม่ไป เพราะฉะนั้นสำหรับเพื่อนแล้ว อะไรก็ได้ จัดให้ ยกเว้นงานแฟชั่นโชว์ของ CHANEL ถ้าเพ็ญอยู่เมืองไทย จัดให้ เพราะชอบชาแนลอยู่แล้ว จึงเป็นงานที่ไปไม่เคยขาด แต่บางครั้งหลังๆ ต้องตัดใจไม่ไปบ้าง เพราะด้วยเวลา หน้าที่ความรับผิดชอบหลายอย่าง บางงานก็ต้องงด อย่างงานนาฬิกาชาแนล ไม่ใช่ว่ารักชาแนลน้อยลง แต่ต้องเลือกเท่านั้นเอง”

ชุด ‘เจิด’ เกินกว่าจะคาดคิด

“ชุดที่เพ็ญใส่ไปงาน จะจัดเต็มเป็นสไตล์ไหน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้นว่าเราชอบอะไร เช่น มีช่วงหนึ่ง บ้าขนสัตว์ทุกชนิด ทุกสี ทุกแบบ ให้เลขาฯไปเดินสำเพ็งกับช่างเสื้อประจำเพื่อถ่ายรูปขนสัตว์ทุกอย่างที่มีในโลกนี้ ส่งมาให้ดู และให้เขาซื้อขนมาทุกประเภท ทุกสี ทุกไซส์ ทุกขนาด เท่าที่ทำได้ รูดการ์ดซื้อเฉพาะขนอย่างเดียวห้าแสนบาท เพ็ญสามารถออกแบบขนให้เป็นเสื้อผ้าได้ทุกอย่าง ทั้งกระโปรงสั้น เดรสยาว กางเกง บางครั้งปักขนตั้งแต่บนผ้าไหม จนถึงผ้าลูกไม้ ผ้าตาข่าย ที่เพ็ญออกแบบเอง และสั่งให้ช่างทำตามแบบ เฉพาะชุดที่ตกแต่งด้วยขน เพ็ญมีไม่ต่ำกว่า 30-50 ชุด

“ช่วงที่ผ่านมา ความชอบขนเบาลงแล้ว เปลี่ยนมาฮิตลูกไม้ เลขาฯก็ไปรูดเครดิตการ์ดซื้อผ้าลูกไม้ กว่าห้าแสนบาทอีก หอบลูกไม้สารพัดแบบ มาให้ช่างปักกันตาแหกไปเลย พอมาช่วงนี้ บ้างานปัก ทุกชุดของเพ็ญปักคริสตัลสวารอฟสกี้กระหึ่ม กระหน่ำทั้งตัว เวิ่นเว้อ ให้เลื้อยไหลกันไป ล่าสุดสั่งตัดไปแล้วสามสิบตัว

“อย่างชุดที่ใส่วันนี้เพ็ญก็ออกแบบเอง ให้ดูเหมือนลอยฟูฟ่อง ชอบอะไรที่ฟูๆ ดูน่ารักดี สำหรับตัวเพ็ญนะ (หัวเราะ) และสีเหลืองเป็นสีที่ชอบอยู่แล้ว เคยตัดกระโปรงสีเทาแบบคล้ายกับตัวนี้ ใส่ตอนนิวเยียร์อีฟปีที่ผ่านมา แต่ไม่ฟูเท่า เป็นชุดของดีไซเนอร์คนไทย — พี่ป๋อง ซีเบจ ส่วนจิเวลรี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะหลังจากได้ชุดปุ๊บ แม่บ้านของดิฉันบอกว่า — หนูชอบสีฟ้าเทอร์คอยซ์มาตัดกับสีเหลือง ตอนแรกจะใส่ทับทิมคุณแม่ แต่คุณแนนนี่ไม่ให้ใส่ จบข่าว”

จัดเต็มทั้งชุดและราคา

“ความชอบชุดแต่ละประเภทที่ตัดมา สำหรับเพ็ญแล้วไม่ได้ตามเทรนด์เลย ค่าแต่งตัวเดือนๆ หนึ่ง เป็นหลักหลายแสนบาท ถ้าชอบจริงๆ ใส่ซ้ำอย่างมากสองครั้ง จากนั้นก็จะตายอยู่ในตู้ โดยมีพี่อ้อช่วยจัดการเก็บใส่เป็นลังๆ ปีนกันขึ้นไปอยู่หลังตู้บ้าง ตอนนี้เก็บไว้ในบ้านไม่พอ ต้องขนลงไปอยู่ห้องใต้ดินบ้าง บางชุดที่เพ็ญชอบจริงๆ ก็จะเก็บในที่ๆ ดีหน่อย แต่ถ้าพี่อ้อไม่ได้หยิบให้ เพ็ญก็จะไม่ได้ใส่อีก บางทีชาแนลซื้อมาเยอะแยะ ก็ไม่ได้ใส่ แต่บางชุดของชาแนลที่ใส่ออกงานแพงที่สุดน่าจะหลักล้านบาท เฉพาะเสื้อผ้าอย่างเดียวใส่สี่ครั้งแล้ว

“เวลาไปงาน ถ้าสื่อหรือแขกที่มาร่วมงานเห็น ส่วนมากจะบอกว่า เราแต่งตัวจัดเต็ม ล่าสุดไปงานเชอร์รี่เจมส์ที่คูเดต้า เขาขอธีมเป็นหนังแกสบี้ เป็นขนๆ เพ็ญต้องทำผมทรงแกสบี้ เป็นเดรสลูกไม้ ปักทั้งตัว เพิ่มด้วยมุกดำที่แขน ปลายแขนเป็นขนนกสีม่วงทั้งหมด”

ถ้ามั่นใจว่าสวย อย่าได้แคร์

“เวลาเพ็ญแต่งตัวไปงาน จะยึดความชอบของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่แคร์ว่าใครมองเราอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่า มีทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ คนรัก คนไม่รัก ถ้ามัวแต่แคร์ใคร คงตายก่อน เพ็ญแต่งตัวตามธีมที่ผู้จัดงานระบุมา ไม่ได้แคร์ว่าเขาจะว่าสวยหรือไม่สวย ถ้าเพ็ญใส่แล้วมั่นใจว่าสวย จบ

“คิดแค่ว่า เราแฮปปี้ เราอยากทำ อยากไป ก็ทำให้ดีที่สุด เท่านั้นเอง”

เรื่อง : ดั่มดั๊มพ์
ภาพ : อั๋น
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ live stories

Lanvin On Runway…จากรันเวย์สู่ชีวิตจริง

คนที่รู้จัก ‘วริษา ประธานราษฏร์นิกร’ ทายาทสายตรงของนักธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าพานาโซนิก (ไทยแลนด์) อาจคุ้นกับภาพสาวนักกฏหมายใส่แว่นตา แต่เธอยังมีอีกภาคที่ชวนอเมซซิ่งจากการหลงใหลในเสน่ห์ดีไซน์โก้หรูของลองแวง จนตามซื้อไว้เป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัวร่วม 100 ชุด

ความรัก ความปรารถนา และการลงทุน

“คุณพ่อปายชอบเสื้อผ้าแบรนด์เนม และซื้อให้คุณแม่ด้วย ท่านชอบดีไซน์แบบคลาสสิก มีวิธีสลับใช้เพื่อยืดอายุเสื้อผ้าให้ใช้ได้นานๆ ส่วนคุณแม่เน้นที่รองเท้า เพราะเป็นจุดศูนย์รวมประสาทของร่างกาย ฉะนั้นปายจึงรับรู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยเข้าใจว่าการซื้อเสื้อผ้าราคาสูงมาก คุ้มค่าอย่างไร กระทั่งเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปี 2 มีเทรนด์ในหมู่เพื่อนคือไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ ยอมให้ได้แค่เฉพาะท่อนล่าง แต่เสื้อห้ามซ้ำ ไม่อย่างนั้นถูกเพื่อนล้อ วันหนึ่งปายไปช็อปปิ้งกับคุณแม่ที่ห้างเกษร ท่านพาเข้าร้านลองแวง แล้วเล่าประวัติว่า ‘แจน ลองแวง’ (Jeanne Lanvin) ผู้ก่อตั้งลองแวง น้อยคนที่จะรู้จักว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่ง นอกจากจะสามารถเปิดห้องเสื้อให้คนทั่วโลกยอมรับได้ ทั้งที่สมัยก่อนยอมรับความสามารถของผู้ชายมากกว่า ยังสร้างชื่อเสียงต่อเนื่องยาวนานจนถึงวันนี้

“ปัจจุบัน ‘อัลแบร์ เอลบาซ’ เข้ามารับตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ดูแลในส่วนของเสื้อผ้าและเครื่องประดับสุภาพสตรี ณ ตอนนั้นปายก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลว่า ทำไมต้องซื้อชุดแพงขนาดนี้ จึงมองผ่านๆ แต่พอไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ใกล้ที่พักมีช็อปลองแวง ปายลองเข้าไปดู จะเรียกว่าเป็นยุคทองของอัลแบร์ก็ว่าได้ เขาดีไซน์แต่ละชุดสวยมาก ถึงอย่างนั้นปายก็ยังไม่กล้าซื้อ จึงค่อยๆ เริ่มจากเครื่องประดับเป็นคอสตูมจิเวลรี่ก่อน มีต่างหู ete 2003 กับเข็มขัดผีเสื้อ ete 2011 เพราะคุณแม่บอกว่า ท่านเคยซื้อคอสตูมจิเวลรี่แบรนด์อื่นเก็บไว้จนถึงวันนี้ก็ยังสวยอยู่ และใส่ได้เรื่อยๆ ยิ่งช็อปที่อังกฤษมีชิ้นแปลกซึ่งที่อื่นไม่มี ทำให้เราเข้าใจว่า สวยจับใจ เป็นอย่างไร ทั้งที่คุณแม่สนับสนุนให้เก็บเป็นเพชร หรือทอง ซึ่งปายซื้อบ้าง แต่ไม่เยอะ ยอมลงทุนกับของที่มีสไตล์มากกว่า เพราะหากรักแล้ว ปายไม่เกี่ยงราคา คุณแม่ก็เข้าใจ ปายจึงมีโอกาสได้แต่งตัวตามสไตล์ที่ชอบ”

พี่เพชร’ ประตูก้าวแรกสู่โลกของลองแวง

“ตอนปายเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเวสต์มินเตอร์ ลอนดอน คุณแม่และพี่สาวมาเยี่ยมบ่อย จุดหมายที่พวกเราขาดไม่ได้คือ ช็อปลองแวง พนักงานในร้านเห็นเราพูดภาษาไทยก็เข้ามาทัก จึงรู้ว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ปายเรียกเขาว่าพี่เพชร เป็นคนสวย อัธยาศัยดี ต่อมาพี่สาวมาเยี่ยมปาย เขาก็จะชวนไปช็อปลองแวง และซื้อเสื้อกันหนาวให้ กระทั่งเริ่มคุ้นกับพี่เพชร เขาเล่าว่าอยู่อังกฤษนานมาก ความที่อัธยาศัยดีจึงมีลูกค้าตั้งแต่ระดับเจ้าหญิง ดารา กระทั่งเซเลบก็มีทั้งเมืองนอกและเมืองไทย หลังจากนั้นเวลาปายเหงาก็จะไปหาเขาที่ช็อป ทุกครั้งพี่เพชรไม่เคยยัดเยียดขายของ ยิ่งทำให้เราไปอย่างมีความสุข จนได้เครื่องประดับกลับมาทุกครั้ง (หัวเราะ)

“จากนั้นปายเริ่มเขยิบมาซื้อคอลเล็คชั่นยีนส์ โดยมีพี่เพชรแนะนำอีกเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ยังไม่กล้าซื้อเดรสจากรันเวย์ เกรงใจคุณพ่อคุณแม่ เพราะยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้รับอภิสิทธิ์ซื้อของราคาขนาดนี้ กระทั่งเรียนจบปริญญาโท เริ่มทำงาน เหมือนเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ยอมรับว่ากล้าใช้เงินมากขึ้น จึงซื้อเดรสเลย อัลแบร์เก่งตรงที่เลือกเนื้อผ้าได้เหมาะกับดีไซน์ ใส่แล้วสวยจบเพียงชุดเดียว หากไปงานแค่เพิ่มต่างหูก็หรูเลย จึงเริ่มรักและซื้อชุดเดรสจากรันเวย์เก็บมาเรื่อย รวมทั้งเครื่องประดับ

“เมื่อมีชุดแรกก็มีชุดต่อไป จนเรียกว่าเสพติดก็ได้ เปิดเว็ปเฝ้าดูทุกคอลเล็คชั่น ก็ได้พี่เพชรนี่ละที่ทั้งเสาะหาชุดจากทุกมุมโลก และเป็นทั้งสไตลิสต์ส่วนตัว บางชุดปายชอบ พยายามซื้อ หากพี่เพชรมองว่า ใส่ไม่สวยก็ไม่สนับสนุน นอกจากชุดที่เหมาะกับเราจริงๆ จึงสนับสนุน เรียกว่าแทบซื้อให้เลยก็ได้ ใส่ใจเหมือนเพื่อน เหมือนน้อง ซึ่งปายเชื่อว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้รักลองแวง”

สไตล์ปาย…เป๊ะตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

“ปายมีหลายบุคลิก หลายสไตล์ เป็นผู้หญิงที่สามารถโทรมได้ ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น กางเกงวอร์มได้หมด ตอนนี้ปายทำงานอยู่ฝ่ายกฏหมาย ธนาคารไทยพาณิชย์ ไปทำงานจะแค่ทาแป้ง เขียนคิ้วนิด ใส่แว่น หากอารมณ์ดีก็เพิ่มบรัทชออน และอายไลเนอร์ แต่หากหงุดหงิดก็แต่งเต็มสตรีม เป็นคนที่ชัดเจนกับการแต่งตัวมาก หากชอบแบรนด์ไหนก็พุ่งไปที่แบรนด์นั้นเลย โดยดูที่เนื้อผ้าและคัทติ้งเป็นหลัก ไม่นิยมใส่เสื้อผ้าสีสันผสมกันเยอะๆ ตรงกันข้ามค่อนข้างเป๊ะ โดยเฉพาะวัสดุต้องเป็นทางเดียวกัน แม้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ที่เปิดปิดกระเป๋า หรือซิปกระเป๋าต้องเป็นโลหะหรือวัสดุเดียวกัน แปลกแยกไม่ได้เลย เช่นหากปายใส่ชุดสีทอง จิเวลรี่ ที่เปิดกระเป๋า ซิป ยันไปถึงรองเท้าต้องเป็นสีทองหมด แต่ลองแวงทำให้ปายยอมได้ อย่างเข็มขัดผีเสื้อที่ซื้อชิ้นแรกในชีวิต ตอนแรกเห็นแล้วหงุดหงิด เพราะผสมวัสดุทั้งเงินกับทอง ซื้อมาก็พยายามอ่านใจดีไซเนอร์ว่า ทำไมจึงดีไซน์แบบนี้ พอมองนานๆ จึงเข้าใจ เพราะเขานำทองกับเงินมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยไม่รู้สึกขัดตาขัดใจ เช่น หากใช้ทองอร่ามแล้วระหว่างช่องที่ฝังคริสตัลขาวเขาใช้เงินรมดำแทน”

พรมแดงมิอาจกั้นฉันกับลองแวง

“ลองแวงสำหรับปาย ครึ่งหนึ่งคือแพชชั่น อีกครึ่งหนึ่งคือของสะสม ปายเริ่มซื้อเดรสที่มาจากรันเวย์เก็บตั้งแต่ปี 2011 โดยเลือกตามความรู้สึกว่า ไม่ให้ชุดเด่นกว่าตัว แต่ให้เป็นส่วนหนึ่ง เพราะต้องให้คนมองรูปร่างหน้าตาของเราด้วย ถึงวันนี้มีเกือบ 100 ชุด จนพอเดาราคาได้ โดยเฉลี่ยหากซื้อเมืองนอก ราคาเริ่มตั้งแต่หมื่นปลายจนถึงหลักแสน หากเป็นคอลเล็คชั่นรันเวย์ราคาจะสูงกว่า ขณะทีเมืองไทยจะแพงกว่า 2-4 หมื่นบาท แต่ก็มีโปรโมชั่นลดราคาที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พอเริ่มซีซันใหม่ปายจะเข้าไปดูในเว็บก่อนว่า สู้ราคาไหวไหม หากโอเค จะใช้เงินปันผลที่คุณแม่ไปลงทุนในหุ้นให้ปายตั้งแต่เด็กไปซื้อ ปายหวงชุดมาก ไม่เคยคิดที่จะขาย ไม่ยอมให้อยู่ห่างตัวนาน ใส่เสร็จส่งซักแห้งแบบด่วนพิเศษ ส่งวันนี้รับพรุ่งนี้เลย

“แค่ 3 ปีที่ปายเริ่มติดตามลองแวง ยิ่งกว่าเข้าใจคุณพ่อคุณแม่เลยว่า ทำไมจึงชอบใช้แบรนด์เนม เพราะนอกจากคุณภาพดีแล้ว ยังสามารถเก็บเป็นการลงทุนได้”

เรื่อง : Gornrapat
ภาพ : โยธา เจริญรัตนโชค,วรสันต์ ทวีวรรธนะ
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ unexpected

สองแม่ทัพใหญ่แห่ง Amarin TV ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ – โชคชัย ปัญจรุ่งโรจน์

36 ปีก่อน คือ ก้าวแรกที่บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เข้ามายังธุรกิจสิ่งพิมพ์ ก่อนจะพัฒนาศักยภาพจนกลายยักษ์ใหญ่ของวงการสื่อสารมวลชนไทย

เวลาเดินผ่านถึง พ.ศ. 2557 อมรินทร์ฯ ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจครั้งใหม่กับ “ทีวีดิจิตอล ช่อง 34 Amarin TV” ด้วยเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท นับเป็นการผจญภัยครั้งใหญ่ภายใต้การนำของ คุณแพร-ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ และ คุณหมี-โชคชัย ปัญจรุ่งโรจน์ สองแม่ทัพใหญ่ที่ควงกันมาให้สัมภาษณ์คู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก ถึงเรื่องราวสุดเข้มข้นของศึกทีวีดิจิตอล ที่ถูกยกให้เป็นมหากาพย์ทางธุรกิจแห่งทศวรรษ ก้าวต่อไปของสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงเรื่องราวน่ารักปนหวาน ของ Double Team ทั้งเรื่องงานและชีวิตคู่

ทำไมสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างอมรินทร์จึงตัดสินใจลงสนามทีวีดิจิตอลครับ

คุณระรินตอบก่อน “จริงๆ แล้ว อมรินทร์คิดทำทีวีมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ (ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์) ยังบริหารอยู่แล้วค่ะ เป้าหมายของเราไม่ใช่การเปลี่ยนจากธุรกิจสิ่งพิมพ์มาเป็นทีวี แต่เป็นการสร้างเครือข่ายสื่อให้ครอบคลุมมากกว่า และเราได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนที่ทำรายการเกี่ยวกับบ้านและสวยทางช่อง 7 ในยุคของคุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) เรายังระลึกถึงบุญคุณของคุณแดงมาโดยตลอดที่ให้โอกาสอมรินทร์บนเส้นทางสายทีวี ต่อด้วยผลิตรายการทางช่อง 9

“ก้าวใหญ่อีกครั้งคือ ตอนทำทีวีดาวเทียมช่อง “อมรินทร์ แอคทีฟ ทีวี” เมื่อต้นปี พ.ศ. 2556 จากนั้นเมื่อมีการประมูลดิจิตอล เราจึงตัดสินใจยื่นประมูลช่อง HD (High-definition) ถึงแม้ไม่ใช่บริษัทที่ทำทีวีมาแต่แรก แต่ประสบการณ์ด้านสื่อมากกว่า 30 ปี ผลิตเนื้อหาด้านต่างๆ ตั้งแต่บ้าน แฟชั่น สุขภาพ ฯลฯ เพราะฉะนั้นในมุมของแพร อมรินทร์ไม่ได้ก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้เร็วเกินไป เพราะได้ลองสนามมาพักใหญ่ๆ แล้ว บวกกับประสบการณ์ 1 ปีในการทำสถานีของตัวเอง ทำให้เรามีความรู้ความเข้าใจพอที่จะทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง”

ทราบมาว่า บรรยากาศวันประมูลตื่นเต้นเร้าใจสุดๆ

คุณโชคชัยย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น “ใช่ครับ เป็นเรื่องการวางกลยุทธ์ในการประมูล เรามียอดเงินในใจแล้วว่า ต้องเป็นตัวเลขที่เราสามารถทำธุรกิจได้ ถ้ามากเกินไปก็คงไม่สู้ต่อ ทีนี้จะทำอย่างไรให้ผลเป็นไปตามเป้านั้น เราจึงวางกลยุทธ์ไว้ว่า อมรินทร์ต้องบินต่ำกว่าเรดาร์ ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงในการประมูล เจ้าหน้าที่จะให้ผู้เข้าร่วมกรอกตัวเลขแล้วขึ้นจอให้ทุกคนดู ซึ่งเราก็ปล่อยให้เจ้าอื่นพิมพ์ตัวเลขนำไปก่อน ชื่ออมรินทร์อยู่ในโซนสีแดงตลอด ซึ่งหมายความว่าไม่ได้ กระทั่ง 3 นาทีสุดท้าย ที่ผมบอกให้พนักงานของเราเร่งคีย์ตัวเลขเต็มที่ โจทย์คือต้องกดให้เร็วที่สุด ซึ่งคนที่ทำหน้าที่นั้นคือ เจ้าหน้าที่แอดมินที่ทำหน้าที่คัย์ออเดอร์ให้อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ ในแต่ละวัน เขาต้องพิมพ์ตัวเลขตลอดเวลา สามารถกดแป้นพิมพ์ด้วยความเร็วโดยแทบไม่ต้องมองจอคอมพิวเตอร์ แล้วก่อนวันประมูลเราก็มีการซักซ้อม เห็นได้ชัดว่า นิ้วเขาเร็วมากจริงๆ ซึ่งก็มีส่วนช่วยให้ในที่สุดเราสามารถประมูลทีวีช่อง HD มาได้อย่างที่ตั้งใจ”

คุณระรินเล่าต่อ “บรรยากาศตอนนั้นตื่นเต้นมาก แล้วเรื่องการคีย์ตัวเลข แพรกับพี่หมีคงไม่สามารถทำได้เร็วแบบนั้น และพี่หมีก็ไม่ยอมให้ทำด้วย เพราะเราที่เป็นผู้บริหารรู้ดีว่า การเคาะแป้นพิมพ์แต่ละครั้งเท่ากับเงิน 10 ล้านบาท ถ้าทำเองคงเครียดจนเคาะผิดๆ ถูกๆ (หัวเราะ)

“แล้วหนนี้ เราตั้งใจเลือกช่อง HD มาตั้งแต่แรก เนื่องจากเทรนด์จากเมืองนอกบอกได้ชัดเจนว่า เมื่อผู้ชมได้ดูช่องความละเอียดสูงแล้ว ไม่มีใครอยากกลับไปดูทีวีแบบธรรมดาอีก เพราะความรู้สึกต่างกันมาก อย่างทีวีของเซี่ยงไฮ้ที่มาคุยกับเรา เขามีทีวีถึง 10 ช่อง แต่พอเริ่มทำ HD เขาก็เลิกทำช่อง Standard ทั้งหมด การประมูลครั้งนี้อมรินทร์จึงทุ่มมาที่ช่อง HD เพราะหากรอการประมูลรอบสอง ราคาอาจแพงกว่านี้อีกไม่รู้เท่าไร”

หลังจากประมูลได้แล้ว เรื่องราวเป็นอย่างไรต่อครับ

คุณโชคชัยตอบทันที “โอ้โห… เรื่องใหญ่มาก (หัวเราะ) ตอนสิ้นสุดการประมูล ผู้ประกอบการบางช่องเปิดแชมเปญฉลองแล้วนะครับ แต่สำหรับอมรินทร์ถือเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เราประชุมวางแผนการผลิตทีวีต่อทันที เพราะมีเวลาแค่ 4 เดือนในการเซ็ตอัพสถานีโทรทัศน์ 1 ช่อง ให้ทันวันออกอาการที่ กสทช. กำหนด ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆ ถือเป็นเวลาที่น้อยมาก ขนาดคนในวงการทีวียังแซวกันว่า การทำ เซเว่น-อีเลฟเว่น หนึ่งสาขายังใช้เวลามากกว่านี้อีก

“หลังจากนั้น เราทุบสตูดิโอถ่ายภาพของแมกกาซีน เพื่อเปลี่ยนเป็นสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ เทเลวิชั่น สรรหาทีมงานฝ่ายข่าว ฝ่ายโปรดักชั่น ซื้ออุปกรณ์ คิดเนื้อหาของแต่ละรายการ และอีกมากมายสารพัด เป็นการทำงานที่แข่งกับเวลาชนิดที่เรียกว่า 7 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีหยุด หลายครั้งที่ประชุมถึง 5 ทุ่ม แล้วรุ่งขึ้นต้องลุยใหม่ตั้งแต่เช้า เนื่องจากเราไม่ได้เริ่มจากสถานีใหญ่ที่มีคนเยอะ แต่นับหนึ่งจากพนักงานจำนวนไม่มาก แล้วค่อยๆ หาเข้ามาเสริม รู้ตัวอีกทีน้ำหนักผมหายไป 5 กิโลกรัม ผอมไปแบบทันตา ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านช่วงนั้นมาได้อย่างไร”

เรียกว่า ทั้งคู่หายใจเข้าหายใจออกเป็นทีวีได้ไหมครับ

คุณโชคชัยพยักหน้ารับ “อยู่ในห้วงคำนึงตลอดเวลา ช่วง 4 เดือนแรก ผมกับแพรฝันเรื่องงานกันแบบวันเว้นวัน เช่น ฝันว่าประชุมเรื่องทีวี ไปเจอลูกค้าคนนั้น คุยกับผู้ผลิตคนนี้ ฝันถึงขนาดไปเจอกับผู้บริหารทีวีช่องอื่น เขาถามว่า อมรินทร์ทีวีเสร็จหรือยัง ซึ่งในวันนั้น สถานียังไม่เสร็จดีด้วยนี่สิ (หัวเราะ)”

คุณโชคชัยในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่นส์ กดดันกับธุรกิจครั้งใหม่และครั้งใหญ่ของอมรินทร์ไหมครับ

“ต้องบอกตรงๆ ว่า กังวลบ้างครับ เนื่องจากเราอยู่ในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน ในการทำงานต้องเจออุปสรรคแน่นอน ผมแบ่งเป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ ปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้ เช่น การพัฒนาคุณภาพรายการ สรรหาผู้ร่วมงานที่เหมาะสม จนถึงเรื่องคู่แข่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน 24 ช่อง เรื่องเหล่านี้ผมไม่ค่อยกังวล และคิดว่ารับมือได้ เพราะไม่ว่าทำธุรกิจอะไรก็ต้องเจอปัญหาใกล้ๆ กันนี้ หน้าที่ของผู้บริหารคือพาองค์กรเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้

“สิ่งที่ผมกังวลเป็นเรื่องปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ระเบียบต่างๆ ของ กสทช. สถานการณ์ของบ้านเมืองที่ยังไม่นิ่ง หรือเรื่องการแจกคูปองที่ยังล่าช้า ทำให้เราต้องปรับกลยุทธ์กันตลอดเวลา บางแผนที่คิดไว้ก็ต้องชะลอออกไปก่อน”

คุณแพรพูดเสริม “แพรมองว่า เป็นเรื่องแปลกแต่ดีที่การเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอลมาพร้อมกับการปฏิรูปประเทศ เพราะเมื่อสื่อมีการปฏิรูปจะส่งผลต่อสังคมในวงกว้าง ประโยชน์จะตกถึงคนดูที่มีทางจากรายการดีๆ ที่มีพื้นที่ในการนำเสนอมากขึ้น โดยไม่ต้องรอให้บริษัทต่างชาติมาชี้นำว่า สังคมไทยจะต้องดูอะไร ผ่านระบบการชี้วัดที่เรียกว่าเรตติ้งเท่านั้น”

คงไม่ใช่งานง่ายที่จะทำให้ผู้ชมโทรทัศน์กดรีโมทเปลี่ยนช่องจาก 3 5 7 9 11 หรือ Thai PBS ที่ครองตลาดอย่างแข็งแรงและยาวนานมาเป็น 10 ปี อมรินทร์มีจุดแข็งอะไรที่ทำให้คนดูตัดสินใจเปลี่ยนมายังช่อง 34 Amarin TV ครับ

คุณระรินรับหน้าที่อธิบาย “แพรมองว่า การทำธุรกิจในวันนี้ไม่ได้มีสูตรตายตัว ไม่ว่าทีวีหรือธุรกิจอะไรก็ตาม มีใครบอกได้ว่า เจ้าที่เคยทำมาก่อนจะประสบความสำเร็จกว่าคนที่มาใหม่ สำหรับอมรินทร์เทเลวิชั่น เรารู้ดีว่า ทีวีเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อคนในวงกว้าง จึงอยากให้สื่อนี้ชี้นำสังคมให้ไปทิศทางที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ผู้ชมได้รับความสุขและได้พัฒนาชีวิตในทิศทางที่ดีขึ้นผ่านรายการต่างๆ เราตั้งใจทำรายการที่ผู้ชมสามารถติดตามได้อย่างเพลิดเพลินตลอดทั้งวัน เพียงแต่ในนะยะแรก เราโฟกัสให้คนเกิดภาพจำทีละกลุ่ม เริ่มจากไลฟ์สไตล์ที่เป็นจุดแข็งของเรา เช่น รายการเกี่ยวกับแฟชั่น บ้าน สุขภาพ และอาหาร ดีที่สุดต้องที่อมรินทร์ทีวี

“กลุ่มที่ 2 ที่โปรโมทขึ้นมาคือ รายการข่าว ซึ่งเราได้ผู้ประกาศข่าวเด่นๆ อย่าง “คุณพุทธอภิวรรณ” มาจัดรายการ ทุบโต๊ะข่าว กับ ต่างคนต่างคิด เวลา 2 ทุ่ม 45 นาทีเป็นต้นไป ถึงตอนนี้เริ่มมีคนรู้จักรายการมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงข่าวรอบวัน ตอนเช้า เที่ยง และค่ำ ในนาม “อมรินทร์” โดยทีมข่าวที่เราภาคภูมิใจ นำเสนอเนื้อหาครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่สังคม การเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ บันเทิง ด้วยคอนเซ็ปท์ ข่าวเด่นเน้นสร้างสรรค์สังคม

ทั้งหมดคือรายการ 2 กลุ่มแรกที่เราพยายามทำให้ผู้ชมเกิดภาพจำว่า ถ้านึกถึงรายการไลฟ์สไตล์ หรืออยากดูข่าวเข้มๆ ต้องกดมาที่ช่อง 34 Amarin TV หลังจากนี้เราจะเพิ่มไฮไลท์ในรายการกลุ่มใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ซึ่งคงต้องรอให้สถานการณ์ต่างๆ ของวงการทีวีดิจิตอลนิ่งกว่านี้อีกหน่อย บางอย่างทำเร็วเกินไปเหมือนนำเงินไปโยนทิ้ง ไม่ได้บอกว่าเราไม่เคยพลาดนะคะ มีเหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นก็ต้องดูจังหวะกันไป

คุณหมีกับคุณแพรแบ่งหน้าที่บริหารงานกันอย่างไรครับ

“หลักๆ เราปรึกษาหารือกันทุกเรื่องอยู่แล้วค่ะ แต่มีการตกลงกันว่า สำหรับอมรินทร์พริ้นติ้ง หรือตัวสำนักพิมพ์ แพรเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย ส่วนเรื่องทีวียกให้เป็นหน้าที่ของพี่หมี ไม่อย่างนั้นทีมงานอาจสับสนว่า ฉันควรฟังใครดี แต่ระหว่างการทำงาน ต่างฝ่ายต่างออกความคิดเห็นได้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันตลอดเวลา”

ถ้าอย่างนั้น ส่วนใหญ่คู่นี้คิดเหมือนหรือเห็นต่างครับ

ทั้งคู่หันมาส่งยิ้มให้กัน ก่อนที่คุณโชคชัยจะตอบ “เห็นต่างซะเยอะ (หัวเราะ) สไตล์ผมตรงไปตรงมา คิดอะไรกันก็พูดตรงๆ เถียงถึงขั้นทะเลาะก็มีนะครับ”

บรรยากาศดุเดือดไหมครับ

คุณระรินยิ้ม “ต้องถามว่า ทะเลาะที่ไหน… ถ้าอยู่ในห้องประชุมจะไม่แสดงอาการมาก ออกแนวว่า ฉันไม่พูดแล้ว จะเงียบ (หัวเราะ) แต่ถ้าทะเลาะกันที่บ้านอาจมีโวยวายเล็กๆ แต่พอถึงจุดนั้น ต่างฝ่ายจะหยุด แยกกันไปสงบสติอารมณ์คนละมุมห้อง หรือคนละห้องไปเลย (หัวเราะ) เพราะขืนดึงดันคุยตอนที่อารมณ์ร้อนก็ไม่เกิดประโยชน์ ไว้ค่อยกลับมาคุยกันใหม่ แพรถือคติว่า ไม่ว่าทะเลาะเรื่องอะไร จะไม่หนีหาย หรือขับรถออกจากบ้านไปเลย”

คุณโชคชัยยิงมุข “ทั้งที่ความจริงอยากออกไปใจจะขาด (หัวเราะทั้งคู่)”

แอบสืบทราบมาว่า นอกจากงานบริหาร ทั้งคู่ยังไปพบลูกค้าขายโฆษณาเองด้วย

คุณระรินเล่าถึงอีกบทบาท “ใช่ค่ะ มีทั้งที่ไปพร้อมกับพี่หมี และแยกกันไป ทีวีดิจิตอลถือเป็นธุรกิจใหม่ของอมรินทร์ แพรจึงอยากไปเจอลูกค้าเอง ซึ่งความจริงดีนะ ทำให้เราได้รับฟังจากลูกค้าโดยตรงว่า เขากำลังมองหาหรือต้องการอะไร เราสามารถสนับสนุนอะไรได้บ้าง ประเด็นไหนที่ต้องกลับมาปรับปรุงแก้ไข แต่ในส่วนโฆษณาฝั่งสิ่งพิมพ์ค่อนข้างติดตลาดแล้ว แพรจึงแทบไม่ต้องไปเอง นานๆ ครั้งจึงออกไปหาลูกค้าบ้าง
คุณโชคชัยแสดงความคิดเห็นบ้าง “ที่ผ่านมาหลายคนอาจมีภาพว่า ผู้บริหารสถานีเข้าถึงยาก เนื่องจากในอดีต ธุรกิจนี้มีคนทำอยู่ไม่มาก แต่วันนี้เมื่อตลาดเปิด ผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกค้าเดินเข้ามาก่อน หลายๆ ครั้งที่เราเป็นฝ่ายไปพูดคุยก่อนด้วยซ้ำ”

คนในวงการทีวีคาดการณ์ว่า ศึกดิจิตอลทีวีครั้งนี้อาจมีผู้ประกอบการหลายเจ้าไปไม่รอด หรือขายให้คนอื่นทำต่อ คุณโชคชัยกับคุณระรินมองอมรินทร์ ทีวี อย่างไรครับ

“ผมมองสิ่งที่ทำอยู่ในด้านบวก ทีวีดิจิตอลจะเป็น Media Gateway ที่นำพาอมรินทร์ไปข้างหน้า และเราก็ไม่ได้มองแค่ตัวทีวีอย่างเดียว แต่มองภาพรวมขององค์กรที่จะออกไปสู้กับคู่แข่งด้วยอาวุธที่หลากหลาย มีทั้ง On print, Online, On ground และ On air ซึ่งเป็นเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“วันนี้ผมเข้ามาทำงานในฐานะที่ช่วยแพรดูธุรกิจ และการทำงานนี้ก็เพื่อคนรุ่นถัดไป เรามีหน้าที่วางรากฐานให้แข็งแรง ให้องค์กรเดินต่อไปในอนาคต เป็นหลักประกันให้กับทุกๆ ชีวิตในบริษัทที่ไว้วางใจมาทำงานด้วย เช่น บุคลากรด้านทีวีหลายคนที่ตัดสินใจออกจากที่ทำงานเดิมมาอยู่กับเรา ทั้งที่บางคนอยู่กับองค์กรเก่ามาเกือบ 20 ปี แต่เขาเลือกมาร่วมบุกเบิกกับอมรินทร์ ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่นว่า องค์กรนี้จะสามารถนำพาเขาไปข้างหน้าได้”

คุณระรินยิ้มก่อนพูดถึงความรู้สึก “แพรรู้ว่า พนักงานของเราหลายคนกังวลกับโครงการนี้ของบริษัท เพราะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ แต่ธุรกิจต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าหยุดอยู่กับที่เมื่อไหร่ ก็คือรอนับวันแพ้ได้เลย สิ่งสำคัญคือ เราต้องสู้อย่างมีกลยุทธ์ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต หน้าที่ของเราคือ ทำในสิ่งที่ควรทำในเวลาที่เหมาะสม แล้วฟ้าจะเปิด เหมือนหลักทางพุทธศาสนา ถ้าเราสร้างเหตุให้ดี ผลที่ตามมาก็ย่อมดีเช่นกัน”

“มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ มีพี่คนหนึ่งซึ่งทำงานกับอมรินทร์มานานเจอจดหมายที่คุณพ่อเขียนตอบผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งแพรกับคุณแม่ไม่เคยเห็นจดหมายฉบับนี้มาก่อนเลย ขณะนั้นเศรษฐกิจของประเทศไทยค่อนข้างแย่ ขณะที่หุ้นของอมรินทร์ก็ตกฮวบ ผู้ใหญ่ท่านนั้นจึงแสดงความเป็นห่วงมาทางจดหมาย ซึ่งคุณพ่อก็เขียนตอบกลับไปอธิบายว่า ตอนนั้นอมรินทร์มีการลงทุนครั้งใหญ่ ตั้งแต่การซื้อเครื่องพิมพ์ ก่อตั้งสำนักพิมพ์พ็อกเก็ตบุ๊ค เพราะคุณพ่อมองว่า มีโอกาสช่วยให้บริษัทเติบโตในอนาคต เพียงแต่ช่วงนั้นสิ่งที่เราลงทุนยังไม่ผลิดอกออกผล แต่เชื่อมั่นว่า จะดีอย่างแน่นอน

“แพรอ่านจดหมายฉบับนั้นจบแล้วน้ำตาซึม เมื่อ 20 ปีก่อน คุณพ่อเจอวิกฤตหนักในวันที่บริษัทยังไม่มีรากฐานที่แข็งแรงเหมือนปัจจุบันนี้ แต่คุณพ่อยังฝ่าฟันมาได้ เพราฉะนั้นเราที่เป็นคนรุ่นหลังก็ต้องทำให้ได้ด้วยเช่นกัน แล้วจดหมายฉบับนี้ยังมาถึงในเวลาที่เรามีความกังวลกับธุรกิจใหม่พอดี สำหรับแพร นี่จึงเป็นเหมือนกำลังใจที่พ่อคงอยากบอกว่า ของบางอย่างต้องใช้เวลา พยายามให้เต็มที่ แล้วสิ่งนั้นจะให้ดอกให้ผลกับเราในวันข้างหน้า (ยิ้ม)”

หลายปีที่ผ่านมา สิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายค่ายของเมืองนอกปิดตัวลงจากอิทธิพลของโลกออนไลน์ อมรินทร์เตรียมรับมือต่อเหตุการณ์นี้อย่างไรครับ

“แพรคิดว่า สื่อสิ่งพิมพ์ไม่มีทางหายไปจากโลก ถึงแม้หลายปีหลัง สิ่งพิมพ์ใหญ่ๆ ของเมืองนอกหลายเล่มจะล้มหายไป แต่ก็มีสิ่งพิมพ์หน้าใหม่เกิดขึ้น และประสบความสำเร็จด้วย แพรมองว่า สิ่งพิมพ์ยังมีเสน่ห์ที่เรียกว่า Now media เราสามารถเปิดอ่านได้ทันที โดยไม่ต้องเสียบปลั๊กหรือ ใช้แบตเตอรี่ หรือใช้อุปกรณ์ใดๆ เพราะฉะนั้น สื่อสิ่งพิมพ์จะยังคงอยู่ แต่บริบทคงเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจะคิดว่า ตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตนิตยสารอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราต้องเชื่อมโยงกับลูกค้าแบบ 360 องศา ต้องคิดถึงวิธีนำเสนอที่หลากหลาย

“สำหรับอมรินทร์ก็ปรับตัวมาพักใหญ่ เราไม่ได้มองตัวเองเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์ แต่เป็น Content Business ส่งต่อความรู้ความรื่นรมย์ให้กับลูกค้าในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์กับออนแอร์ที่เน้นเป็นพิเศษ ยกตัวอย่าง กลุ่มบ้านที่เราแข็งแกร่งที่สุด มีนิตยสาร 3 หัว คือ บ้านและสวน Room และ my home ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม เรายังมีเว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ที่มีคนติดตามมากเป็นหลักล้าน มีงานแฟร์ จัดกิจกรรมตลอดทั้งปี มีรายการทีวีที่เป็นรายการยอดนิยม นอกจากนี้ เรายังมีพันธมิตรขยายสู่อาเซียนด้วย

“หรือฝั่งแฟชั่นอย่าง แพรว กับ สุดสัปดาห์ เราพยายามพัฒนาสื่อด้านโซเชียลมีเดีย ตั้งแต่อีบุ๊ค เฟสบุ๊ค และอินสตาแกรมที่มียอดฟอลโล่วมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ยังมีรายการทีวีเข้ามาเสริมอีก เป็นเหมือนการติดอาวุธให้กับเนื้อหา เราไม่จำเป็นต้องเดินไปทางเดียวเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”

รู้มาว่า 10 ปีก่อนที่คุณระรินเข้ามาทำงานในฐานะลูกเจ้าของบริษัท ตอนนั้นครียดมากถึงขนาดบอกคุณแม่ (เมตตา อุทกะพันธุ์) ว่า จะลาออกจากบริษัทแล้ว

“ใช่ค่ะ (ยิ้ม) ตอนนั้นแพรยังเด็กมาก วุฒิภาวะอาจยังไม่แข็งแรงเท่าไร พอมีเรื่องบั่นทอนกำลังใจจึงรู้สึกท้อบ้าง เราบอกตัวเองตลอดว่า ไม่ได้เข้ามาทำงานในฐานะลูกเจ้าของ แต่เป็นพนักงานกินเงินเดือน มีหน้าที่ทำงานอย่างสุดความสามารถเหมือนคนอื่นๆ ไม่เคยใช้สิทธิความเป็นลูกเจ้าของมาโน่นนั่นนี่ ตอนนั้นจึงน้อยใจบ้าง ทั้งที่ความจริงเป็นปัญหาธรรมดา พอวันนี้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมาก”

คุณระรินก้าวผ่านสถานการณ์นั้นมาได้อย่างไรครับ

“คุณแม่อีกนั่นละค่ะที่สอนว่า ไม่มีใครสามารถทำให้ทุกคนรักเราได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถามตัวเองก่อนว่า เราทำดีแล้วหรือยัง ถ้ามั่นใจว่า สิ่งที่ทำถูกต้อง ก็ทำต่อไป นั่นคือหน้าที่ของเธอ หลังจากนั้นแพรจึงกลับไปมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวเอง จนที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากพี่ๆ น้องๆ ที่บริษัททุกคน โดยหลักที่แพรให้ความสำคัญและถือเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เน้นย้ำมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทคือ การทำผลิตภัณฑ์ให้ดี วันที่แพรเข้ามาก็เติมเรื่องการตลาด เมื่อของดีแล้วจะบอกให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร การสื่อสารออกไปยังผู้บริโภคจึงมีส่วนสำคัญมาก

“ถึงแม้วันนี้ในบทบาทซีอีโอ หน้าที่หลักอาจเป็นการวางนโยบายสำคัญ แต่อีกหน้าที่ที่แพรทำมาตลอดคือ บทบาทของผู้อ่าน แพรอาจไม่มีความถนัดเชิงลึกในหลายๆ เรื่องเหมือนกองบรรณาธิการ อย่างหนังสือกลุ่มบ้าน แพรไม่ได้เป็นสถาปนิก ไม่เคยเรียนออกแบบ แต่สิ่งที่ทำได้คือ มุมมองในฐานะผู้อ่าน พออ่านแล้วมีความคิดแบบไหนก็จะคุยกับบรรณาธิการบริหารว่า ลองทำเรื่องนี้ไหม ปรับเรื่องนั้นอีกนิดได้หรือเปล่า ซึ่งความจริงทุกคนทำได้ดีอยู่แล้วนะคะ แต่เราจะช่วยเสริมไอเดียกันแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

“หรือกับพี่หมี คนนี้เวลาไปเห็นอะไรใหม่ๆ หรือเจอนวัตกรรมดีๆ จะชอบมาเล่าให้ฟังว่า แบบนี้น่าทำ เรื่องนั้นก็ดี เรื่องโน้นก็น่าสนใจ เยอะแยะไปหมด ไอเดียในการปรับนิตยสารหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา บางทีก็ปิ๊งขึ้นมาจากการที่เราแลกเปลี่ยนเรื่องใหม่ๆ ที่ต่างคนต่างไปเจอมานี่ละ”

ถ้าอย่างนั้นขอเปลี่ยนบรรยากาศจาก “คู่คิด” มาเป็น “คู่ชีวิต” บ้าง เพราะการพบเจอของคุณระรินกับคุณโชคชัยละม้ายคล้ายพล็อตซีรี่ส์เกาหลีมากๆ

คุณระรินกับคุณโชคชัยหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ฝ่ายชายจะเล่าเรื่องจริงแบบไม่อิงซีรี่ส์ “ผมเจอแพรครั้งแรกในงานเปิดตัวนิตยสาร WE นิตยสารคู่รักของอมรินทร์นี่ละ สถานที่คือ ห้างเอ็มโพเรียม ตอนนั้นเป็นช่วงงานจบพอดี จำได้ว่า แพรนั่งคุยกับคุณแม่ ส่วนผมเดินขึ้นบันไดเลื่อนกับรุ่นน้องคนหนึ่ง พอเห็นแพรก็รีบหันไปดู เพราะเคยเห็นเขาในหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ รุ่นน้องที่ไปด้วยบอกว่า แพรเป็นรุ่นน้องของเขาที่โรงเรียนจิตรดา”

คุณระรินได้โอกาสชิงเล่าเรื่องหวาน “พี่หมีมาบอกทีหลังว่า เขาเคยอ่านสัมภาษณ์แพรในหนังสือกรุงเทพธุรกิจ แถมยังเก็บภาพจากหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดว่า วันหนึ่งจะได้เจอเราจริงๆ”

คุณหมีเก็บภาพไว้ทำไมครับ

คุณระรินแกล้งพูดเย้า “นั่นสิ…เก็บไว้ทำไม”
คุณโชคชัยตอบเบาๆ “ก็ชอบไง เลยเก็บไว้”

คุณระรินยิ้มหวานก่อนเล่าต่อ “ที่ตลกมากคือ เรื่องที่แพรคุยกับแม่วันนั้นคือเรื่องอะไรรู้ไหม ฟังดูแล้วอาจงมงายนิดๆ นะคะ ตอนนั้นคุณแม่เล่าว่า ท่านกังวลว่า ลูกสาวจะไม่ได้แต่งงาน อยากให้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาสักที จึงไปปรึกษาอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งบอกว่า แพรจะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้ และเป็นการพบเจอแบบบังเอิญ ซึ่งตอนที่คุยคงเป็นช่วงที่พี่หมีขึ้นบันไดเลื่อนนี่ละ (หัวเราะ)

“แต่กว่าจะได้คุยกันจริงๆ ก็หลังจากนั้นหลายเดือน บังเอิญว่าผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝั่งรู้จักกัน จึงมีการนัดให้เจอกันที่ร้านกาแฟริมน้ำ ที่บริษัทอมรินทร์นี่ละค่ะ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์มาเรื่อยๆ จนถึงวันแต่งงาน และปัจจุบันมีลูกชายสองคนคือ น้องปุณณ์ (ปุณณ์ ปัญจรุ่งโรจน์) ตอนนี้อายุ 5 ขวบแล้ว กับ น้องปริญญ์ (ปริญญ์ ปัญจรุ่งโรจน์) อายุ 2 ขวบ เล่าแล้วรู้สึกว่า เวลาผ่านไปไวมาก (ยิ้ม)”

คุณโชคชัยมีวิธีหวานๆ มัดใจสาวไหมครับ

คุณระรินยิ้ม “สไตล์พี่หมีไม่หวานเลย เขามีคติส่วนตัวว่า จะไม่ทำให้ผู้หญิงเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า ตอนจีบดูแลเอาใจใส่สารพัด แล้วพอตอนแต่งงานไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะมาแบบนิ่งๆ เสมอต้นเสมอปลาย อย่างวาเลนไทน์ปีแรกที่เราเจอกัน พอดีที่บริษัทจัดนิทรรศการศิลปะของพนักงาน พี่หมีซื้อภาพวาดดอกไม้มาให้แล้วบอกว่า ติดไว้ในห้องนอนนะ ปีต่อๆ ไปก็ให้มองภาพนี้แหละ พี่จะได้ไม่ต้องซื้อดอกไม้ให้ทุกปี เพราะช่อนี้ไม่มีวันเหี่ยวอยู่แล้ว… เจอแบบนี้ต้องทำใจค่ะ (คุณโชคชัยหัวเราะชอบใจ)

“แต่แพรไม่ได้น้อยใจนะคะ เพราะตัวเองก็ไม่ได้มองหาสามีที่ต้องเอาอกเอาใจ มาหวานใส่ สำหรับแพร พี่หมีคือ คู่คุยและคู่คิดที่ช่วยให้ครอบครัวเดินต่อไปแล้วพากันไปในทางที่ดี นั่นคือสิ่งที่แพรมองหาจากผู้ชายที่จะอยู่ด้วยกัน”

ทั้งคู่แบ่งเวลาให้กับตัวเองและครอบครัวอย่างไรบ้างครับ

คุณระรินเล่าก่อน “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้เวลากับเรื่องส่วนตัวเลยค่ะ ปกติแพรทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ประชุมแน่นมาก เพราะฉะนั้นปัญหาจึงไปตกอยู่ที่เวลาส่วนตัวว่า จะบริหารอย่างไร เดี๋ยวนี้ก่อนนอนต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน คืออ่านหนังสือ ดูรายการทีวี แล้วก็ส่งลูกเข้านอน”

คุณโชคชัยรับช่วงเล่าต่อ “พอถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เราจะทุ่มเวลาให้กับลูกๆ เต็มที่ ต้องคิดแล้วว่า จะพาเข้าไปที่ไหน หรือทำอะไร บางทีต้องให้เลขาฯ ช่วยล็อควันหยุดยาวๆ เพื่อพาเด็กๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง เพราะฉะนั้นพอถึงเรื่องของตัวเองจึงแทบไม่มีเวลาเหลือ เรื่องไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์นี่ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ได้ไป เรื่องล่าสุดที่ได้ไปดูคือ ‘The Lego Land’ ก็เพราะพาลูกๆ ไปดู แต่ถ้าไปดูกันสองคนนี่คิดไม่ออก (หัวเราะ) เอาเป็นว่าตั้งแต่แต่งงานแล้วมีลูก นั่นหมายถึง 5 ปีแล้ว น่าจะไปดูหนังด้วยกันประมาณ 2 หน คงต้องรอให้เรื่องทีวีลงตัวกว่านี้ น่าจะมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น”

ทำงานกันหนักแบบนี้ มีเวลาใช้เงินไหมครับ

คุณโชคชัยหันไปมองภรรยาแล้วยิ้ม ฝ่ายหญิงจึงต้องตอบคำถามนี้ “เป็นผู้หญิงก็ต้องช็อปปิ้งบ้างใช่ไหมคะ”

คุณโชคชัยแซวต่อ “ต้องบอกว่า พฤติกรรมการช็อปปิ้งของแพรเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วครับ สมัยก่อนคนนี้ซื้อกระจาย แล้วชอบซื้อของที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า บางครั้งเราต้องบอกว่า ซื้อของที่อนาคตยังให้คุณค่ากับเราดีกว่าไหม”

คุณระรินพูดบ้าง “แพรไม่ได้ช็อปเยอะแล้ว สมัยก่อนโดนพี่หมีบ่นบ่อยๆ อย่างเรื่องนาฬิกา เป็นสิ่งที่พูดประจำว่า เรือนนี้ซื้อใส่หรือซื้อเก็บ เราก็บอกว่า ซื้อใส่สิ เขาจะบ่นว่า เชื่อพี่สิ ซื้อเรือนนี้ดีกว่า นอกจากใส่แล้ว พอเวลาผ่านไปราคาก็จะขึ้น เอามาขายได้ด้วย แต่เรือนที่แพรซื้อราคามันจะลงนะ เขาพูดตอนนั้นเราก็ไม่สนใจหรอก แต่พอเวลาผ่านไปก็เป็นอย่างที่พี่หมีพูดจริงๆ ช่วงหลังจึงเริ่มเห็นด้วยกับที่เขาพูด (หัวเราะ)”

คู่นี้ดูแลกันอย่างไรครับ คำถามนี้ให้ฝ่ายภรรยาตอบ

“ดูแลตัวเอง (หัวเราะ) อย่างนี้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องอาหาร แม่บ้านจะดูแลให้ ครอบครัวเราค่อนข้างโชคดีที่มีความพร้อมในหลายเรื่องๆ ส่วนใหญ่เราจึงแชร์เรื่องสุขและทุกข์ ดูแลใจกันมากกว่า”

ในเรื่องงาน คุณระรินดูแลนิตยสารและสำนักพิมพ์ คุณโชคชัยจัดการฝั่งทีวี แล้วเรื่องภายในบ้าน ใครเป็นผู้รับผิดชอบครับ

คุณระรินผายมือมาทางสามีที่ตอบทันที “ส่วนใหญ่เป็นผม แพรไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ ไม่ว่าจะปลูกต้นไม้ หรือต่อเติมอะไร ยกให้เป็นหน้าที่ผมเลย ขนาดต้นไม้ที่บ้านโดนปลวกกิน หรือไฟในห้องนอนไม่ติด แพรยังไม่รู้เลย”

คุณระรินหัวเราะชอบใจ “อยากทำอะไร เชิญตามสบาย”

ถ้าตัดเรื่องงานทิ้งไป คู่นี้เคยทะเลาะกันแรงๆ ไหมครับ

คุณโชคชัยเล่าก่อน “เคยอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องหนักนะครับ ส่วนมากแพรจะมาแนวงอนแบบลิเก เช่น บอกว่า พี่หมีไม่รัก (หัวเราะ)”
คุณะรินแกล้งมองค้อนสามี “แหม…ผู้หญิงก็ต้องการเอาอกเอาใจบ้างสิ แต่แพรคิดเรื่องที่ทะเลาะกันหนักๆ ไม่ออกเลยนะ คงเป็นแค่ช่วงแรกๆ ที่เราปรับตัวเข้าหากันมากกว่า หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก”

คุณระรินครับ… คุณโชคชัยมีสาวๆ มาแอบปลื้มบ้างไหมครับ

“เท่าที่เรารู้… พี่หมีไม่เจ้าชู้นะคะ แต่ที่ไม่รู้นี่ไม่แน่ใจ (คุณหมีหัวเราะมุขภรรยา) ตั้งแต่รู้จักกัน พี่หมีไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ถึงแม้ไม่ใช่ผู้ชายสไตล์ประดิษฐ์คำพูดหวานๆ อย่างที่บอก แต่พี่หมีดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี คอยอยู่เคียงข้างแพรมาตลอด 7 ปีที่แต่งงาน และ 10 ปีที่รู้จักกัน ไม่ว่าตอนสุขหรือทุกข์ เขาอยู่ตรงนี้ไม่เคยหายไปไหน แพรว่านั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว”

คุณโชคชัยพูดถึงภรรยาคนสวยบ้าง “แพรเป็นคนจิตใจดี คิดดี และทำดีมาตลอด ผมโชคดีที่ได้เขาเป็นภรรยา ต้องขอบคุณแพรที่ไว้วางใจให้ผมเป็นคู่ชีวิต และก็ต้องขอบคุณแทนลูกๆ ทั้งสองคนด้วย เขาโชคดีมากที่ได้คุณแม่ที่ดีจริงๆ (ยิ้ม)”

ชีวิตของทั้งคู่ในวันนี้ เรียกว่าสมบูรณ์แบบได้ไหมครับ

คุณระรินรับอาสาตอบคำถามสุดท้าย “แพรไม่เคยนึกถึงคำว่า สมบูรณ์แบบนะคะ และไม่ได้มองหาสิ่งนั้นด้วย เพราะตราบใดที่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีกิเลส เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านเข้ามา แพรมองว่า ชีวิตคือการเติบโตไปเรื่อยๆ วันนี้แพรกับพี่หมีมีความรับผิดชอบหลายอย่าง ตั้งแต่ลูกๆ สองคนที่ต้องประคับประคองเขาไปให้ไกลที่สุด พนักงานในบริษัทที่เราต้องดูแลอย่างเต็มที่ รวมถึงผู้อ่านหนังสือและผู้ชมโทรทัศน์ช่องอมรินทร์ ที่เราต้องผลิตงานดีๆ อย่างสุดความสามารถ เหมือนกับปณิธานที่คุณพ่อวางไว้ว่า อมรินทร์จะทำงานเพื่อความสุขและความรุ่งโรจน์ของสังคม

“เพราะที่สุดแล้ว เมื่อเราทำงานอย่างเต็มที่ ผลดีๆ จะกลับมาหาเราเสมอ เรื่องหนึ่งที่แพรเจอด้วยตัวเองเป็นประจำคือ ผู้อ่านจากหนังสือหลากหลายเล่มที่เดินตรงเข้ามาคุยว่า คุณระรินหรือเปล่าคะ ขอบคุณมากที่ทำนิตยสารดีๆ แบบนี้ หรือล่าสุดที่เริ่มมีคนบอกว่า ดูรายการช่องอมรินทร์แล้วได้ข้อมูลดีๆ ไปใช้ในชีวิต (ยิ้ม)

“สำหรับแพร สิ่งนี้เป็นทั้งความสุขและความภูมิใจที่รู้ว่า มีคนได้รับสิ่งดีๆ จากงานของเรา ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ เหมือนตัวเองได้รับคำตอบว่า ทำไมเราจึงต้องทำงานหนัก ทั้งที่มีอาชีพให้เลือกเยอะแยะ หรือถ้าแพรอยากสบาย ไม่ต้องทำงานมากเท่าวันนี้ก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นคงเกิดคำถามกับตัวเองว่า คุณค่าในชีวิตของเราอยู่ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้น การทำงานนี้ทำให้ชีวิตของแพรมีความสุข แถมยังทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วย

“นี่คือสิ่งดีที่สุดแล้วค่ะ”

เรื่อง : ปารัณ เจียมจิตต์ตรง
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ สัมภาษณ์

มัลลิกา หลีกภัย รับประกันความเป๊ะ

ขอยกให้ ‘ทับทิม’ ศรีภรรยาของหนุ่มปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย เป็นสาวไซส์เอสมากความสามารถ นอกจากงานพิธีกรรายการ VRZO ยังเปิดบริษัทออร์กาไนเซอร์รับจัดงานอีเว้นท์ และงานโฆษณา นานทีจึงจะได้พบกันตามงานสังคม แต่ทุกครั้งเสื้อผ้าหน้าผมของเธอ สวยเป๊ะตลอด

“แจ็กเก็ตตัวนี้เป็นคอลเล็คชั่นแรกของแบรนด์ SIRIVANNAVARI เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นแนว Futuristic Style ซึ่งทับทิมชอบมาก โดยเฉพาะลายพริ้นท์เป็นลักษณะเฉพาะที่ทรงออกแบบ เวลาใส่ตอนกลางวันกับกลางคืนสีของเสื้อจะไม่เหมือนกัน เนื้อผ้าก็ใส่สบาย เวลาแต่งตัวเรียบๆ แล้วเติมแจ็กเก็ตตัวนี้ก็อยู่เลย ราคาประมาณสองหมื่นบาทต้นๆ ทับทิมเลือกใส่กับเดรสสายเดี่ยวรัดรูป Upper Mansion ของดีไซเนอร์ชาวฮ่องกง วันที่ไปซื้อเขาช่วยแมทช์ชุดกับรองเท้าคู่นี้ให้ ซึ่งดีไซน์เก๋มากๆ เรียกว่ามีคู่เดียวในโลก ส้นสูงประมาณ 6 นิ้ว ราคาพอๆ กับเดรส 18,000 บาท

“สร้อยกับแหวนเข้าชุดแบรนด์ Lucien Elements อุดหนุนเพื่อนรัก วนิดา โกลเทน ใส่ได้หลายโอกาส ตั้งแต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปจนถึงเดรส ราคาทั้งเซ็ตประมาณ 3 หมื่นบาท วางขายที่สยามพารากอน, ห้างเซ็นทรัลชิดลม และทางไอจี lucien_elements”

แม้งานจะวุ่นจนแทบไม่มีวันว่าง แต่เรื่องการดูแลผิวพรรณและรูปร่าง เธอไม่เคยบกพร่อง

“ทับทิมชอบเล่นโยคะ วันไหนว่างจากงานแค่ 1-2 ชั่วโมงก็ต้องรีบไปเข้าคลาส เพราะโยคะจะช่วยเรื่องสัดส่วนและแก้ปวดเมื่อยร่างกายได้ดี เพราะงานของทับทิมจะต้องยืนและเดินบนส้นสูงเป็นเวลานาน ส่วนผิวหน้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ Celeb Beauty ของที่บ้าน ชึ้นชื่อเรื่องการกระชับหน้าวีเชฟ โดยไม่ต้องพึ่งโบท็อกซ์ ใครสนใจเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.celeb-skinhappiness.com ประกอบกับรับประทานอโวคาโดวันละ 1 ลูก ควบคู่กับอาหารเสริมอย่าง วิตามินซี และวิตามินบี วันละ 1,000 มิลลิกรัมรับประทานพร้อมอาหารกลางวัน”

สวยแล้วต้องแบ่งปันจ้ะ

เรื่อง : กิดานันท์
ภาพ : วรสันต์
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ spotlight

ชุตินารถ ส่งวัฒนา ชุดเดียวจบ

สารภาพว่าต้องตาตั้งแต่แรกเห็นสาวผมยาวสีดำขลับที่มาในชุดจัมพ์สูทสีเจ็บ ทราบภายหลังว่าเธอคือ โมโม่ ทายาทวัย 33 ปีของคุณสมชัย ส่งวัฒนาแห่ง Flynow ที่เพิ่งรับไม้ต่อทางธุรกิจจากคุณพ่อในตำแหน่ง Vice President มาหมาดๆ

“หลังจากจบปริญญาโททางด้าน Business Fashion จาก London Business School ก็เข้าไปทำงานที่ Fly Now ในตำแหน่ง Product Manager ดูแลด้านเครื่องหนัง ประมาณ 7 ปี ทางผู้ใหญ่คงเห็นว่าเราโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Vice President ทำให้ยิ่งต้องทำงานให้เก่ง ขยัน และอดทน เพื่อให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจ”

“เวลาออกงานโมโม่ชอบใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวจบ ส่วนใหญ่จะเป็นเดรส แต่ที่เลือกชุดจัมพ์สูทแขนยาว ของสองคอลเล็คชั่นที่แล้ว เพราะถูกใจสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ ดูสดใสมีชีวิตชีวา ไม่เยอะหรือน้อยจนเกินไป ปกติทุกคอลเล็คชั่นของ Flynow โมโม่จะเลือกซื้อบางชุดเก็บไว้สำหรับใส่ออกงาน อย่างชุดนี้ด้วยแพทเทิร์นเข้ารูป มีเข็มขัด และเนื้อผ้าทิ้งตัว ทำให้ดูตัวสูง ซึ่งความจริงโมโม่สูง 157 เซนติเมตร จึงต้องมีตัวช่วยเป็นรองเท้าส้นสูง 5 นิ้ว ส่วนกระเป๋าหนังจระเข้ คอลเล็คชั่นล่าสุดจำราคาไม่ได้ แต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท เพราะกระเป๋าที่ดีที่สุดในโลกใช้หนังจระเข้แบบไหน Flynow ก็เลือกใช้แบบนั้น จะเห็นว่าแค่ชุดกับกระเป๋า ไม่ต้องใส่เครื่องประดับอะไรมาก ก็จบแบบแฮปปี้ค่ะ”

อดไม่ได้ที่จะขอเคล็ดลับการดูแลผม ที่เธอย้ำว่า รักที่สุด

“โมโม่ไม่เคยทำทรีทเม้นท์หรืออะไรเกี่ยวกับผมเลย เข้าร้านก็เพื่อเล็มผมเท่านั้น เคล็ดลับการดูแลผมกว่า 10 ปี ก็แค่สระผมทุกวันด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพหนังศีรษะ ขาดไม่ได้คือครีมนวดผม และเซรั่มใส่ปลายผม เลือกใช้ไดร์ที่ไม่ได้ทำจากขดลวดเพราะความร้อนจะทำให้ผมเสีย แค่นี้จริงๆ”

ยืนยันว่า สวยนี้ไม่มีบังเอิญค่ะ

เรื่อง : กิดานันท์
ภาพ : วรสันต์
ที่มา

‘มิว’ ปลงถูกมองพัวพัน 2 หนุ่มซุปตาร์ ‘บอย-ณเดชน์’

กระแสกำลังมาแรงสุดๆ สำหรับละคร ‘ทรายสีเพลิง’ นอกจาก ‘ชมพู่ อารยา’ แล้วยังมีอีกหนึ่งสาวที่กำลังถูกพูดถึงนั่นคือ ‘มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน’ ที่มารับบท ‘ลูกศร’ หลายคนบอกว่าเธอแสดงได้อ่อนหวาน และอ่อนต่อโลกจริงๆ แต่ชีวิตจริงสาวมิวกลับเจอข่าวกับเรื่องหนุ่มๆ มาตลอดเริ่มจากหนุ่มโป๊ป-ธนวรรธน์ ตามมาด้วย ณเดชน์และล่าสุด บอย -ปกรณ์ เจ้าตัวเลยต้องออกมาชี้แจงความจริง

“ตั้งแต่ละครออนแอร์มาได้สักพักใหญ่ๆ ฟีดแบ็คค่อนข้างดีมาก บางคนดูแล้วอินถึงกับเข้ามาเม้นท์ในอินสตาแกรมว่า ทำไมต้องยอมพี่ทรายด้วย หัวอ่อน หรือฉลาดน้อยกันแน่! กลายเป็นว่าโดนต่อว่าซะงั้น (หัวเราะ) ในขณะเดียวกันก็มีคนสงสารเราเยอะนะ แถมเวลาไปไหนมาไหนมีแต่คนเรียกว่าลูกศรแทนชื่อมิวแล้ว ต้องขอบคุณทุกคำติชม ถึงอย่างไรมิวก็ยังต้องพัฒนาฝีมือด้านการแสดงอีกเยอะค่ะ

“ส่วนเรื่องทีมีข่าวกับหนุ่มๆ นั้นมิวปลงแล้วค่ะ เพราะเรามองว่าเป็นเรื่องปกติ ยิ่งข่าวกับพี่บอยที่บอกว่าเป็นมือที่สามนั้น ตลกมาก เพราะว่ามิวกับพี่บอยได้เจอกันล่าสุดคือในกองถ่าย ‘เลือดมังกร’ ประมาณ 2 เดือนที่แล้ว และไม่ได้เจอกันอีกเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้ห่างจากแฟนนอกวงการด้วย ยังไม่ได้เลิกกัน ก็มีเล่าข่าวนี้ให้เขาฟังแบบขำๆ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ข่าวกับณเดชน์ก็เหมือนกัน มั่วไปหมดเลย จริงๆ มิวจะมีละครเรื่อง ‘ตามรักคืนใจ’ คู่กับณเดชน์ แต่ที่เรามีข่าวด้วยกัน อาจเพราะวันนั้นมิวไปร่วมงานเปิดร้านของพี่ชาคริตแล้วเจอณเดชน์ที่นั่น แต่ไม่ได้คุยกันและไม่ได้สนิทกัน แล้ววันนั้นเป็นวันเกิดแม่มิวพอดี เลยให้ทุกคนรวมทั้งณเดชน์อวยพรเท่านั้น ไม่ได้รู้จักกันเป็นพิเศษ

“ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกับใครสักคนตามที่เป็นข่าวเลยค่ะ”

ภาพ : IG

สตางค์-ดิษย์ลดา ดิษยนันท์ ตัดใจทิ้งแคทวอล์คอินเตอร์ มุ่งปริญญาโท

หายหน้าหายตาจากวงการไปนาน สำหรับนางแบบสาวก้านยาว ‘สตางค์-ดิษย์ลดา ดิษยนันท์’ ลูกสาวคนสวยของคุณแม่ ‘ตุ๊กตา-จิตรลดา ดิษยนันท์’ พอได้มีโอกาสเจอตัว จึงขออัพเดทชีวิต งาน และหัวใจกันหน่อย

สตางค์เผยว่าที่หายหน้า เพราะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ และไม่ได้เสียดายที่ทิ้งงานเดินแบบไป เพราะอยากต้องโฟกัสเรื่องเรียนก่อน เนื่องจากครอบครัวอยากให้เป็นผู้สานต่อธุรกิจ?? ส่วนเรื่องความรักกับนักแสดงหนุ่มลูกครึ่ง ‘หลุยส์ เฮสดาร์ซัน’ เธอยืนยันว่าเป็นแค่เพื่อน ยังไม่พร้อมเรียกแฟนค่ะ แถมเวลาเจอกันยังแทบไม่ค่อยมี

ยังไงก็ขอเอาใจช่วยนะจ๊ะ

ที่มา : http://www.siamdara.com/hotnews/140908_12732.html

อังกฤษเฮ..’เจ้าหญิงเคท’ทรงพระครรถ์ทายาทองค์ที่ 2

ประชาชนชาวอังกฤษต่างพากันปลาบปลื้มอีกครั้งเมื่อสำนักพระราชวังอังกฤษบักกิงแฮม ออกมาประกาศข่าวดีให้โลกรับรู้ว่า เจ้าหญิงเคท ดัชเชสแห่งแคมบริจด์ขณะนี้ทรงตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 เรียบร้อยแล้ว

สำนักพระราชวังอังกฤษบักกิงแฮม ประเทศอังกฤษได้ทวิตข้อความเป็นเรื่องราวดีดีต่อสาธารณชนว่าเจ้าหญิงเคท ดัชเชสแห่งแคมบริจด์ขณะนี้ทรงตั้งครรภ์คนที่ 2 เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อความว่า ขณะนี้ดยุคและดัชเชสแห่งแคมบริจด์มีข่าวที่น่ายินดีแจ้งให้ประชาชนทราบว่า พวกเขากำลังจะมีทายาทเพิ่มอีก 1 คน และเจ้าหญิงเคททรงมีอาการแพ้ท้อง เหมือนกับที่ทรงเคยแพ้ท้องแรกมาแล้ว ก่อนจะมีพระประสูติกาลพระโอรส ทำให้คณะแพทย์ต้องถวายการรักษาอาการแพ้ท้องของเจ้าหญิงเคทที่วังเคนซินตัน


ที่มา : http://www.siamdara.com/hotnews/140908_08029.html

เต๊นท์-กัลป์ กัลย์จาฤก มาแปลก! ยกตำแหน่งในกันตนาให้ ‘พลอย’ เป็นสินสอด

เข้าสู่ประตูวิวาห์กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับดาราสาว ‘พลอย-รัตนรัตน์ เอื้อทวีกุล’ และเจ้าบ่าวผู้กำกับหนุ่ม ‘เต๊นท์”กัลป์ กัลย์จาฤก’ ทายาทกันตนาฯ มีญาติผู้ใหญ่ เพื่อนพ้องมาร่วมยินดีกับมากหน้าหลายตา

 แถมงานนี้สาวพลอยยังยอมเปิดใจยอมรับอีกว่าท้องได้ 4 เดือนแล้วจ้า

งานนี้เต๊นท์มาในชุดเจ้าบ่าวสุดเซอร์ สวมสูท รองเท้าผ้าใบ รวบผมหล่อควงเจ้าสาวป้ายแดงพลอยมาแถลงกับสื่อฯอย่างตื่่นเต้นว่า ช่วงเช้าจะเป็นพิธีหมั้น มีการแห่ขันหมาก สวมแหวนหมั้น แต่ไม่มีพิธีหลั่งน้ำสังข์

ส่วนสินสอดคือ ให้ตำแหน่งในบริษัทกันตนา?? อีกทั้งยังเผยอีกว่าจริงๆ แล้วแพลนแต่งปีหน้า แต่มีน้อง 4 เดือนแล้ว เป็นลูกชาย?? คุณแม่ยิ้มสวยๆ บอกว่า ใจจริงตั้งใจมีลูกก่อนอายุ 30 อยู่แล้ว แถมโชคดีที่ไม่มีอาการแพ้ท้อง แต่คงต้องยกความดีให้สามี เพราะดูแลดีมาก ของหนักไม่ให้ถือเลย แล้วก็กลับบ้านเร็วมากขึ้นด้วย ส่วนฮันนีมูน??นั้นทั้งคู่ยังไม่แพลน

ขอแสดงความยินดีกับเรื่องราวดีดีๆ และข่าวดีมีทายาทด้วยค่า

ขอบคุณภาพจาก :: Copyright: Tortao Studio,

‘ปอนด์-หฤทัย’ เผยวีรกรรมเฉียดตาย! ที่ตุรกี

ภายนอกดูเป็นคุณหนูหวานเรียบร้อย แต่ใครจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเซเลบฯ สาวสวย ‘ปอนด์ หฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา’ จะเคยสลัดภาพสาวหวานมาเป็นสาวลุยแบกแบ็คแพ็คเดินทางเที่ยวยุโรปกว่า 12 ประเทศ ภายในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้น!

“ตอนนั้นเรียนอยู่ที่อังกฤษค่ะ ด้วยความที่อยู่ใกล้ยุโรปขอวีซ่าง่าย พอเรียนจบปุ๊บก็วางแผนกับเพื่อนว่าจะไปเที่ยวกัน เริ่มจาก โครเอเชีย, อิตาลี, ตุรกี, กรีซ, เยอรมัน, เชค, ออสเตรีย, ฮังการี, สโลวาเกีย แล้วก็กลับมาเยอรมันอีกครั้ง หลังจากนั้นไปต่อเนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยม ต้องเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ อย่างวันนี้อยู่ฝรั่งเศส วันรุ่งขึ้นก็ต้องแพ็คกระเป๋าขึ้นรถไฟไปต่ออีกประเทศ เหนื่อย ตื่นเต้น แต่สนุกมากค่ะ โดยเฉพาะตอนไปตุรกีจำได้แม่น เพราะเกือบตาย คือได้มีโอกาสขึ้นบอลลูนเที่ยวรอบเมือง แต่วันนั้นลมแรงมากทำให้บอลลูนออกนอกเส้นทาง แถมยังแกว่งไปมา ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข่าวบอลลูนตุรกีชนกันนักท่องเที่ยวตายเพียบ เลยยิ่งนอยด์มาก คิดว่าต้องตายแน่ๆ ร้องกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ คนบังคับต้องรีบเอาบอลลูนลงด่วน สรุปไปตกลงกลายทุ่ง กว่าจะหารถกลับได้ทุลักทุเลมากค่ะ

“ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ”

ไฮโซฯ ‘เพชร’ ทุ่ม 100 ล้าน! เสกเรือนหอให้ ‘พิ้งค์กี้’

ต้องบอกว่างานช้างบวกงานยักษ์จริงๆ สำหรับงานแต่งของนางเอกสาวตาคม ‘พิ้งค์กี้’ สาวิกา ไชยเดช กับมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังริมทรัพย์เมืองพัทยา ‘เพชร’ อิทธิ เชาวลิตธำรงที่จะมีขึ้นในวันที่ 12 กันยายนนี้ ข่าวว่าเจ้าบ่าวทุ่มเรือนหอกว่า 1000 ตารางเมตร รวมถึงทุ่มงบ 30 ล้านในการจัดงาน

ล่าสุดมีเสียงกระซิบจากคนใกล้ชิดนางเอกสาวว่าเสี่ยเพชรจัดเต็ม ทุ่มแรงส์กับเรือนหอเกือบ 60 ล้านบาท รวมตกแต่งแล้วปาเข้าไปกว่า 100 ล้าน ซึ่งเรือนหอหรูเริ่ดอลังการนี้เป็นเพ้นท์เฮ้าส์ ตั้งอยู่ย่านเอกมัย โดยเสี่ยเพชรทำตามสั่งสาวพิ้งค์กี้ทั้งหมด

keyboard_arrow_up