‘ยู้ ศุภรินทุ์’ เปิดกรุกระเป๋าแบรนด์ดัง!

ด้วยดีกรีความสามารถระดับอินเตอร์จากนิวยอร์ก พร้อมประสบการณ์การทำงานกับ Luxury brands ในต่างแดน ทำให้คุณยู้ ศุภรินทุ์ ชวนะเวสน์ นับเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจสาวที่น่าจับตามองคนหนึ่งในแวดวงคนรุ่นใหม่ไฟแรง ล่าสุดเธอได้เข้ามาสานต่อธุรกิจจิเวลรี่ของครอบครัว (เมี้ยนเต็ก จิวเวลรี่) ที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี ให้กลายมาเป็นแบรนด์ระดับอินเตอร์ภายใต้ชื่อ ‘CHAVANA’ และนอกจากเครื่องประดับสไตล์วินเทจแบบอาร์ตเดโคที่เจ้าตัวชื่นชอบแล้ว เธอยังเป็นสาวกกระเป๋าแบรนด์ดังถึงขั้นมีเป็นกรุเลยทีเดียว

“ยอมรับว่าค่อนข้างมีความเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ทั้งในเรื่องของการทำงาน และไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชื่นชอบการแต่งตัวแนวเรียบโก้ดู casual elegant ไม่หวือหวาเปลี่ยนไปตามแฟชั่น มีความเป็นตัวของตัวเอง และบ้ากระเป๋ามาก ตอนนี้มีเกิน 100 ใบแล้ว ชอบซื้อทีเดียว 2-3 ใบ เป็นแบบไล่เฉดสีแต่แบบเดียวกัน เอามาวางเรียงแล้วดูสวยดี (หัวเราะ) ซึ่งแต่ละใบล้วนมีความพิเศษต่างกัน ที่ชอบสุดคงเป็น Bottega Veneta กระเป๋าใบแรกที่ซื้อตอนเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก เพราะใบใหญ่ ใช้ง่าย แล้วเป็นงานแฮนเมดที่ถักด้วยมือทั้งหมด ชอบตรงดีไซน์ที่ดูเรียบแต่มีดีเทล เลยซื้อเก็บสะสมมาตลอด แล้วก็มี Alexander Mcqueen กับ Chanel แนววินเทจรุ่นหายากค่ะ

“ไม่อยากออกตัวว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่มีเยอะจนเลือกใช้ไม่ถูกเลยค่ะ”

มาช่า วัฒนพานิช… เตรียมคลอด ผลงานใหม่

นักร้องสาวสวยตลอดกาล มาช่า วัฒนพานิช ช่วงหลังมานี้เงียบหายไป จนผู้คนพากันสงสัยว่า เซ็กซี่ตัวแม่คงกำลังซุ่มทำผลงานชิ้นเด็ดอยู่แน่ๆ จนมีโอกาสเหมาะเจอตัว เมื่อเธอกำลังโพสต์สวยถ่ายแบบให้กับ The Scarlett Clinic ในฐานะ Brand Ambassador และหุ้นส่วน จึงรีบคว้าตัวมาถามไถ่

“ไม่ได้ตั้งใจเก็บตัวอะไรเลย เนี่ยก็มาทำงานของคลินิกเสริมความงาม The Scarlett Clinic คือช่าทำธุรกิจนี้มานานเกือบ 2 ปีแล้ว แต่คนอาจจะไม่ค่อยรู้ ส่วนงานเพลง เร็วๆ นี้ก็จะมีขึ้นคอนเสิร์ต “ขนนก กับ ดอกไม้” กับพี่เบิร์ด แต่ที่เป็นผลงานเพลงของตัวเองจริงๆ ตอนนี้ช่าขอพักไว้ก่อนเองแหละ เรื่องงานละคร งานหนังก็อยู่ในขั้นคุยๆ กันอยู่

“ช่วงเวลาที่หายไป ก็ไปพักผ่อน และใช้เวลาร่วมปีในการเขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค ของตัวเอง ใช้ชื่อว่า “Real Maesha” เพราะจะเผยทุกเรื่องราวในชีวิต ในแบบที่ใครไม่เคยรู้มาก่อน คาดว่าน่าจะเปิดตัว วางขายได้ในเดือนหน้าค่ะ”

ส่วนคำถามนี้ไม่ถามคงไม่ได้ เกี่ยวกับสถานะหัวใจ
“(หัวเราะ) ตอนนี้ขออยู่เป็นโสดคนเดียวแบบนี้ไปก่อน เพราะมีความสุขดีอยู่แล้ว ยังไม่อยากไปโฟกัส แต่ก็ไม่ใช่ว่าปิดนะ คือช่าว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาบ้างก็ดี”

ที่มา : ครอบครัวข่าว 3

ซูซี่-สุษิรา ใจเด็ด! ย้ายกลับเชียงใหม่ เหตุเพราะเหงา

นักแสดงสาว ซูซี่-สุษิรา ตอนนี้กำลังจะมีผลงานละครออกมาให้ได้ชมกัน คือเรื่อง “ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู” โดยออกอากาศวันศุกร์นี้เป็นตอนแรก แต่ล่าสุดกลับมีข่าวว่าเจ้าตัวเตรียมจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำเอาลือกันทั่วว่านางจะลาวงการ

“ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ ที่ผ่านมาซูซี่อยู่กรุงเทพฯก็เช่าคอนโดอยู่คนเดียว บอกตรงๆว่าเหงามาก เข้าใจใช่ไหมคะ เลยคิดอยากจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว เพราะรู้แล้วว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มีความสุขที่สุด โดยแพลนทั้งหมดเนี่ยซูซี่ตั้งใจว่าจะเริ่มต้นปีหน้าที่จะย้ายไปอยู่เชียงใหม่แบบถาวร ทีนี้พอจะกลับไปก็เลยแพลนว่าจะทำธุรกิจเล็กๆ ที่เชียงใหม่ด้วย แต่ไม่ได้จะทิ้งวงการนะคะ ก็ยังจะทำงานอยู่ แต่เป็นแบบไปๆ มาๆ”

บรรดา FC ถอนหายใจโล่งอกได้

ที่มา : ครอบครัวข่าว 3
ภาพ : @susiroo

ลิเดีย-แมทธิว จัดหนัก! ทำงบแต่งบานปลาย

งานนี้กระเป๋าไม่ตั๋งคงยากจะเข้าใจ กับคอนเซ็ปต์ “แต่งเดียวในชีวิต” โชคดีที่ว่าที่คู่บ่าวสาว ลิเดีย- ศรัณย์รัชต์ และแมททิว ดีน เห็นพ้องต้องกันเรื่องจัดหนัก ทุ่มแรงในงานแต่งของตัว ฉะนั้นหลังจากที่เคยควงคู่ออกมาประกาศข่าวดีว่าเตรียมจะแต่งงานในปีหน้า นับแต่นั้นแพลนวิวาห์เลิศหรูอลังก็ถูกจัดเตรียม จนตอนนี้ข่าวว่างบบานปลายไปกว่าเป้าแล้วจร้า

แมทธิว : เพิ่งกลับจากถ่ายพรีเวดดิ้งที่ฝรั่งเศสครับ คือปารีสเป็นเมืองที่สำคัญกับเราสองคน เป็นเมืองที่ผมขอเดียแต่งงาน พอจะแต่งงานเลยตั้งใจจะไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่โน่น และถ่ายทั้งทีก็อยากจะให้มีความแปลกกว่าคนอื่นซะหน่อยเลยยกกันไปชุดใหญ่ 9 คนอ่ะครับ มีทั้งช่างหน้า ช่างผม สไตลิสต์ ช่างภาพอีก 3 คน ผู้จัดการส่วนตัวเราอีก แต่ละคนที่ไปเขาไปด้วยใจที่สนิท อยากจะช่วยเรา ก็ถือว่าได้ไปเที่ยวด้วย เลยไม่ได้คิดค่าตัวแพงอะไรนัก(หัวเราะ)

ลีเดีย : ใช้เวลาถ่ายกันอยู่ 4-5 วันค่ะ ธีมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษค่ะ มีเป็นชุดแต่งงาน ชุดปกติ ชุดราตรี ไปถ่ายตามสถานที่ต่างๆ ถามว่าเสียค่าใช้จ่ายไปเยอะไหม ก็เป็นอะไรที่แพงค่ะ(หัวเราะ) แต่ก็ไม่ถึงหลักล้าน คือเราคุยกันว่ามันก็เป็นครั้งเดียวในชีวิตนะคะ และเราสองคนก็อยากจะให้เป็นที่นี่ เพราะมันเป็นที่ที่มีความหมายกับเราสองคน

ภาพพรีเวดดิ้งออกมาอย่างใจเลยไหม?
ลิเดีย : สำหรับภาพตอนนี้เราสองคนเองก็ยังไม่ได้เห็นเลยค่ะ

แมทธิว : ต้องใช้เวลาทำสี แก้ไขภาพให้ลงตัวครับ คือเราถ่ายกันมาเยอะเลยต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ แต่บอกได้เลยว่าตอนนี้เราสองคนอยากเห็นภาพกันมาก(ลากเสียงยาว)

งานนี้คู่รักมาราทอนเขาเผยฤกษ์หมั้นแต่งออกมาด้วย
แมทธิว : งานหมั้นตอนเช้าจะอยู่วันที่ 16 มีนาคม ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ส่วนงานเลี้ยงกลางคืนวันที่ 21 มีนาคม จะจัดที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลครับ

ลีเดีย : ตอนนี้กลัวมากว่าจะเตรียมงานไม่ทัน คือเราเพิ่งได้สถานที่กัน เดี๋ยวก็ต้องมาคุยกับเวดดิ้งแพลนเนอร์ว่าอยากได้ธีมงานประมาณไหนรายละเอียดมันเยอะ และยังมีหลายอย่างที่ต้องทำ ยอมรับว่ากังวลค่ะ

แมทธิว : ครับ ตอนนี้ธีมยังไม่ลงตัวเลย ยังเคาะๆ กันอยู่ ก็ให้เพื่อนๆ กับทางออกาไนซ์ช่วยกันคิด ตอนนี้เตรียมงานไปได้แค่ 30 เปอร์เซ็นต์เอง ยังเหลืออีกเยอะครับ เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ยังไม่สรุปชัดเจน อีกปัญหาคือเรื่องของการ์ดแต่งงานที่ยังไม่ได้ออกแบบเลย แล้วยังมีเรื่องลิสต์รายชื่อแขกที่จะมาร่วมงานว่าจะเชิญใครบ้าง คิดว่าคงจะเยอะอยู่ อย่างเรือนหอก็มี 3 หลังแล้วครับ เป็นบ้านที่เรามีๆ กันอยู่ กะว่าเลือกๆ วนพักอาศัยแล้วแต่สะดวก บางทีทำงานในเมืองก็อาจจะพักที่คอนโด แต่ก็ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะสร้างเรือนหอจริงๆ อีกหลัง งบประมาณก็ไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีหมดซะที แต่ไม่เป็นไร แต่งครั้งเดียวก็จัดให้ดีไปเลย

ปิดท้ายด้วยคำหยอดแสนหวานจากว่าที่เจ้าบ่าวที่ว่า “เจ้าสาวอยากได้อะไรก็ต้องให้อยู่แล้วครับ”

ฟังแล้วว่าที่เจ้าสาวไม่รู้จะใจละลายเพิ่มรึเปล่า

ที่มา : ครอบครัวข่าว 3

เจนสุดา ยัน! เลิฟซีน ‘อนันดา’ ไม่ทำถ่านไฟเก่าคุ

ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับหนังไทยเรื่อง ‘ภวังค์รัก’ ผลงานของผู้กำกับ ‘ลี ชาตะเมธีกุล’ ที่ได้เดินสายเข้าร่วมเทศกาลหนังระดับนานาชาติอยู่หลายรายการไม่ว่าจะเป็นที่ ปูซาน, ร็อตเตอร์ดัม, ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้ และไทเป งานนี้เล่นเอาหนึ่งในนักแสดงอย่างสาว ‘เจนสุดา ปานโต’ ออกอาการปลื้มสุดๆ เพราะเจ้าตัวทุ่มทุนถึงขนาดยอมจูบจริงกับหนุ่ม ‘อนันดา’ เลยทีเดียว

“ก่อนหน้านี้เจนได้ร่วมเดินทางไปตามงานเทศกาลหนังต่างประเทศมาเยอะมาก กว่าจะมาถึงเมืองไทยก็หลายปีอยู่ ดีใจมากค่ะที่คนไทยจะได้ดูสักที ต้องบอกว่าเจนทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้มาก เพราะบทค่อนข้างหนัก ต้องทำความเข้าใจเยอะ เนื่องจากมีซีนดราม่าแสดงอารมณ์เกือบทั้งเรื่อง โดยเฉพาะฉากเลิฟซีนกับอนันดาที่ต้องจูบกันอย่างดูดดื่ม แต่ก็เทคเดียวผ่านเลยนะ เขาช่วยเซฟเราเยอะ ด้านคนรู้ใจ (พอล สิริสันต์) เขาก็เข้าใจค่ะว่าคือการแสดง

“เจนรู้ว่าพอมาเล่นหนังด้วยกันแบบนี้ แน่นอนว่ามีหลายคนจับตามองว่าถ่านไฟเก่าจะคุหรือเปล่า ขอยืนยันเลยค่ะว่าไม่มีทาง คือเราโตๆ กันแล้ว สามารถแยกแยะส่วนที่เป็นความรู้สึกกับส่วนที่เป็นงานได้ไม่มีการเอามาปนกัน

“ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมากกว่าค่ะ”

ภาพ IG @janesuda

ขวัญ-อุษามณี ตอกกระแสข่าว ”พิ้งค์กี้-เพชร” อย่ามโน

ไม่ไปก็เป็นประเด็น ครั้นไปก็เป็นประเด็นขึ้นมาอีก หลังนางเอกสาว “ขวัญ” อุษามณี ไวทยานนท์ ควงแขนคุณแม่ไปร่วมยินดีพิธีแต่งงานอลังเลอเว่อร์สุดๆ ระหว่างไฮโซมหาเศรษฐี “เพชร” อิทธิ ชวลิตธำรง กับ “พิ้งค์กี้” สาวิกา ไชยเดช ณ โรงแรมดุสิต พัทยา หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า”เพชร” ยึดคอนโดที่เป็นค่าจ้างในการเป็นพรีเซ็นเตอรของขวัญ และนางเอกสาวก็ออกมาโต้ไปรอบหนึ่งแล้วว่า “ไม่จริ้งงงง ไม่จริง”

โดยหลังจากที่ขวัญไปร่วมงานแต่งก็มีกระแสข่าวร่ำลือฮือฮาชวนให้ติ่งประณามสื่อมโน เสี้ยมให้ 2 นางเอกตีกัน กับข่าวที่ว่าขวัญนัดช่างภาพให้ไปถ่ายรูปในงานแต่งเพราะหวังให้เป็นข่าวอีกด้วย

งานนี้ทำเอาขวัญที่มาร่วมงาน “Hairworld Festival 2014” ออกอาการฉุนเล็กน้อย จวกนักข่าวไร้จรรยาบรรณ และไร้ศีลธรรม พร้อมยืนยันว่าไม่ได้นัดช่างภาพให้ตามไปถ่ายรูปในงานแต่งของพิ้งค์กี้เพราะหวังให้เป็นประเด็นข่าวอย่างแน่นอน

“เรื่องที่มีนสพ. เขียนข่าวว่ามีดาราคนนึงนัดสื่อเพื่อไปถ่ายรูปแต่งงานจะได้มาออกเป็นข่าวนั้น ขวัญอยากบอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกับขวัญเลย ถามขวัญก็เหมือนกับถามคนอื่นๆ ซึ่งเราไม่ได้ทำ มาถามขวัญ ขวัญก็ไม่รู้ว่าต้นตอคืออะไร ถ้าเกิดอยากรู้สาเหตุหรือว่ารู้ผลจริงๆ ขวัญว่าไปถามคนที่เขียนข่าวฉบับนั้นดีกว่า น่าจะรู้ต้นสายปลายเหตุกว่าจะมาถามขวัญ และขวัญว่าข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้มาจากขวัญหรอกค่ะ มาจากคนเขียนมากกว่า ขวัญก็ไม่ทราบว่าคนเขียนเขาจะไปงานด้วยหรือเปล่า หรือว่าคนเขียนเขาไปเห็นอะไรมา หรือมีอะไรในใจส่วนตัวกับใคร การเขียนข่าวสมัยนี้แบบมีจรรยาบรรณก็มีส่วนนึง แต่อย่างบางคนอยากจะเขียนอะไรก็เขียนก็มีส่วนนึง ซึ่งข่าวนี้ขวัญก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ส่วนไหน แล้วก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียน วันนั้นขวัญไปร่วมงานในฐานะของเพื่อน ทั้ง “พิ้งค์กี้” และ “เพชร” ไปร่วมแสดงความยินดีในส่วนที่เราจะทำได้ คือขวัญนับถือศาสนาพุทธ จะให้ไปเข้าพิธีอิสลามตามพี่ๆ เขา เราก็เกรงใจ ช่วงนั้นเป็นช่วงฉลองของครอบครัว เราเป็นคนนอกก็ไปตามช่วงเวลาโอกาสที่เหมาะสมดีกว่า ขวัญไม่มีปัญหาอะไรกับพี่เพชร พี่เพชรก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับขวัญ ยังน่ารักกับขวัญเหมือนเดิมในแง่ของคนทำงาน เรื่องมีปัญหากับพิงค์กี้เพราะคอนโดนั้น ขวัญว่าอย่าโยงเลย เพราะอันนี้คือครอบครัวของเขา แล้วขวัญก็มีครอบครัวของขวัญ คืออย่ามาสร้างให้เป็นปัญหาครอบครัวแต่ละคนเลย มันบาปคะ และขวัญจะขอตอบคำถามเรื่องพี่พิ้งค์กี้กับพี่เพชรแค่ครั้งนี้แล้วก็จบนะ ถ้าครั้งหน้าตอบอีกก็กลายเป็นยืดเยื้อไม่จบ คนเขียนก็มโนไปเรื่อยๆ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงประเด็นโดนอักษรย่อว่าเป็นนางร้ายนอกจอ สาวขวัญก็บอกทันทีว่า มั่นใจว่าไม่ใช่ตัวเองแน่นอน และก็ไม่จำเป็นต้องไปน้อมรับหรือเอาใจไปตรงนั้น

“ใครเป็นคนเขียน แล้วขวัญก็ไม่รู้ด้วยว่าตรงไหนระบุว่าเป็นขวัญ โดยส่วนตัวขวัญจะรับแต่สิ่งดีๆ อะไรไม่ดีแล้วขวัญมั่นใจว่าไม่ใช่ขวัญก็ไม่จำเป็นต้องไปน้อมรับหรือเอาใจไปใส่ตรงนั้น ถามว่าอยากคุยกับคนเขียนข่าวคนนั้นไหม ก็ไม่คุยดีกว่า การคุยแล้วให้ความสำคัญกับคนแบบนี้มันก็จะเกิดการเหลิง ได้ใจไปเรื่อยๆ ขวัญว่าเคารพซึ่งกันและกันดีกว่า”

ชัด และแรงส์!! คงเส้น คงวา

ภาพ : @kwanusa9, @pinkysavika
ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/hotnews/140916_78722.html

สุ่ย-พรนภา ลั่น! ปิดอู่ถาวร

ผ่านมรสุมข่าวฉาวมือที่สามแย่งสามีชาวบ้านมาได้ ดาราสาว”สุ่ย” พรนภา เทพทินกร ก็เม้าท์กระจายอย่างเห่อลูกว่า

“เคนโซ่ 11 เดือนแล้วค่ะ กำลังพูด กำลังตั้งไข่เลย ติดลูกมากค่ะ คือทุกวันนี้ทำงานเสร็จก็รีบแถกลับไปหาลูก ไปอุ้มไปอะไรอย่างนี้ ก็เลี้ยงกับพี่เลี้ยง และคุณพ่อ(บูรพากรณ์ มุสิกสินธร)เขาค่ะ พัฒนาการน้องดีมาก เป็นคนที่เรียนรู้เร็วดีมาก พูดเก่ง เรียกแม่ สอนไหว้พระธุจ้า ไม่ค่อยเป็นเด็กงอแง

“แต่ขอมีคนเดียวค่ะ อายุเราเยอะแล้ว จะสี่สิบแล้ว มันต้องเจาะโน่นนี้นั้น เจาะจนพรุน กว่าจะได้เด็กที่สมบูรณ์มาสักคน ถ้าจะมีอีกคงไม่ไหวอ่ะ พอแล้ว ตอนนี้ปิดอู่แล้วเรียบร้อยคะ (แล้วเรื่องที่ถูกโจมตีว่าเป็นมือที่สามละคะ) แหม… เรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่เจอนักข่าวทีไรก็จะถามเรื่องนี้ทุกทีเลย เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติค่ะ คือเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตใหม่กันเรียบร้อย นานแล้วนะอันนี้ขอบอก ส่วนเรื่องสุ่ยกับเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกของเขา บอกเลยว่าเรารักกันมาก สุ่ยเป็นคนที่เล่นกับเด็กๆ อยู่แล้ว แบบฮาๆ ไม่ซีเรียสค่ะ เพราะเราอยู่อย่างนี้มันต้องรู้อยู่แล้วว่าจะเจออย่างนี้ ถามว่าทำยังไงไม่ให้ซีเรียส ก็แค่ไม่มอง ไม่ไปเครียด ไม่ต้องไปคิดมาก เข้าใจซะที่สื่อจะอยากรู้ ชาวบ้านจะอยากรู้ ก็ไม่ต้องไปคิดมาก ตอบตามความเป็นจริง

“เพราะความจริงคือสิ่งที่เราพูดได้และก็ไม่มีวันเปลี่ยนอยู่แล้ว”

ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/hotnews/140915_77721.html

‘คิม’ ยันเปล่าทะเลาะ ‘หมาก’ หลังขายรถหรูที่ซื้อร่วมกัน

ถึงไม่บอกตรงๆ ว่าอยู่ในสถานะแฟนแต่นางเอกสาว ‘คิมเบอร์ลี่- แอน เทียมสิริ’ ก็ใจปํ้าให้พี่ชายคนสนิทอย่างหนุ่ม ‘หมาก-ปริญ สุภารัตน์’ ขายรถหรูที่ซื้อร่วมกันด้วย เลยโดนมองว่าทะเลาะกันหรือเปล่า งานนี้สาวคิมขอชี้แจง

“ถ้าพูดกันตามหลักความจริงรถเป็นชื่อพี่หมากค่ะ คิมแค่ช่วยดูสีดูรุ่น ช่วยออกเงินบ้างนิดหนึ่ง แล้วที่ใช้ชื่อพี่เขา เพราะคิมคิดว่าเราสนิทกันมาก ไม่ได้กลัวว่าจะมีปัญหา บวกกับทางผู้ใหญ่เองก็ไม่ว่าอะไรค่ะ แต่พอซื้อมาเราแทบไม่ได้ขับเลย เพราะต่างคนต่างก็ขับรถของตัวเอง เลยตัดสินใจขายไปแล้ว ไม่ใช่ทะเลาะกันแล้วขายรถทิ้งนะคะ คือตอนนี้เรามีเป้าหมายอื่น ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรขออุบไว้ก่อน เป็นเรื่องออกแนวไร้สาระนิดหน่อย

“แต่ไม่ได้ขายรถ เพื่อซื้อเรือนหอแน่นอนค่ะ”

‘กิ๊บซี่ – แมทธิว’ เลิฟซีนถึงใจ เล่นจริง จูบจริง!

ถูกพูดถึงกันอย่างหนาหู สำหรับภาพยนตร์แนวอีโรติก-สยองขวัญ 3D ‘SPELL (สเปลล์) น้ำมันพราย’ ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ ‘ดุลยสิทธิ์ นิยมกุล’ เพราะได้พระเอกหนุ่มรูปหล่อ ตาน้ำข้าว ‘แมทธิว ดีน’ มารับเล่นหนังเป็นเรื่องแรกในชีวิต ประกบกับเซ็กซี่สตาร์ ไอ-ดอลวัยทีน ‘กิ๊บซี่ – วนิดา เติมธนาภรณ์’ แถมมีฉากเลิฟซีนกันอย่างถึงใจ ซึ่ง งานนี้ทั้งคู่ถึงกับยอมลงทุนเล่นจริง จูบจริง โนสแตนอิน ทุกซีน ซึ่งสาวกิ๊บซี่รับหน้าที่ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า

“เป็นหนังเรื่องแรกเลยที่เราสองคนยอมลงทุนเปลืองเนื้อเปลืองตัวมากที่สุด (หัวเราะ) คือเรามีความตั้งใจอยากให้หนังออกมาดีที่สุด ดูสมจริงมากที่สุดเท่าที่ลิมิตเราจะทำกันได้ ซึ่งพี่ดุลย์ ผู้กำกับก็ถามว่า อยากใช้สแตนอินแทนหรือไม่ เขาสามารถจัดให้ได้นะ แต่เรา 2 คนรู้สึกว่าในหลายๆ มุมภาพ ดูยังไงก็ไม่ใช่ตัวเราเอง จึงขอเลือกที่จะเล่นเองดีกว่า ตอนทำงานกันจริงๆ ก็ไม่ได้ลำบาก หรือติดปัญหาอะไร เทคเดียวผ่านเลยค่ะ ตั้งใจอยากทำให้ออกมาดีที่สุด เพราะถ้าต้องถ่ายซ้ำหลายๆ เทคจะยิ่งไปกันใหญ่ มีจูบจริง แต่ก็ใช้เทคนิคมุมกล้องช่วยบ้าง โดยกิ๊บจะมีลิมิตคือ ไม่ถึงขนาดต้องเปลือยหน้าอก แมทธิวเองก็มีลิมิตของเขาเช่นกัน ซึ่งงานออกมาดีเป็นที่พอใจกันทุกฝ่าย ต้องยกความดีให้ผู้กำกับคนเก่งของเราคือ พี่ดุลย์ ค่ะ

“อยากให้ทุกคนไปชมกันนะคะ เพราะเราทุ่มเทกันเต็มที่จริงๆ ค่ะ”

ภาพ: IG@gybzygirlyberry
ที่มา : http://www.popcornfor2.com

‘ณเดชน์’ เอือม! ได้เกียรตินิยมก็โดนเม้าท์… อีกแล้ว

เพิ่งเป็นประเด็นร้อนๆ ในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับกรณีที่พระเอกหนุ่มซุปตาร์ ‘แบรี่ -ณเดชน์ คูกิมิยะ’ ที่เพิ่งจะศึกษาจบระดับชั้นปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แต่มีคนเม้าท์กันให้แซ่ดว่า เจ้าตัวเอาแต่ทำงานไม่ค่อยได้เข้าชั้นเรียน แต่กลับคว้าเกียรตินิยมอันดับ1

ทำเอาแฟนคลับตัวจริงร้อนเป็นไฟ ออกมา ปกป้องพระเอกในดวงใจทันที ในขณะที่ อาจารย์ อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ทันทีว่า ณเดชน์ ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ไม่ใช่อันดับ 1 เพราะได้เกรดเฉลี่ย 3.31 ซึ่งอยู่ในระดับที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ส่วนข้อครหาที่ว่า ณเดชน์เรียนได้เกรดระดับนั้นจริงหรือไม่ ยอมรับว่าเขามีความรู้ขั้นพื้นฐานดีอยู่แล้ว เรื่องภาษาก็ได้เปรียบคนอื่น วิชาภาษาอังกฤษจึงได้เกรดโดดเด่น ขณะที่ตัวแบรี่เองเจอแบบนี้ก็ถึงกับบอกเลยว่า…เอือม

“จริงๆ ผมอยากเรียนจบ 4 ปี แล้วก็ไม่ได้หวังว่าจะได้เกียรตินิยม แต่ในในเมื่อได้ผมก็ต้องคว้าไว้ ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมได้เพื่อนกับอาจารย์ค่อยช่วยเหลืออย่างดีมากๆ แล้วผมก็ค่อนข้างแบ่งเวลาชัดเจนว่าวันไหนต้องไปมหาวิทยาลัย หรือวันไหนทำงาน ผมไม่ซีเรียสหรอกที่โดนวิจารณ์แรงแบบนี้ เพราะรู้ตัวว่าได้พยายามทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ไม่นอยส์ด้วย คิดว่าปล่อยๆ ไปเถอะ ดีใจเสียอีกที่สามารถเรียนจบได้ แต่ยังไร้แพลนเรียนต่อ ขอทำงานก่อนครับ” ?

หล่อขนาดนี้ ใครนะช่างกล้า ใส่ร้าย โซเรียว ริว

ภาพ : IG @keaw_jung
ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/hotnews/140914_63824.html

เทย์เลอร์ สวิฟท์ แอบร้าย! แต่งเพลงด่าคู่ปรับสาว

แม้ดูเหมือนสาวสวิฟท์จะเป็นมิตรกับดาราฮอลลีวู้ดแทบทุกคน แต่นักร้องป็อป-คันทรีสาวคนสวย ก็มีศัตรูอยู่ในวงการเช่นกัน เป็นคนดังสาวคนหนึ่งซึ่งเธอไม่ขอเปิดเผยชื่อ แต่ขอตอบโต้ตามสไตล์ถนัด นั่นก็คือการแต่งเพลงด่ากลับไป เหมือนที่เธอเคยทำกับบรรดาแฟนเก่าของเธอนั่นเอง

ป็อปสตาร์สาววัย 24 ปี เปิดเผยผ่านนิตยสารโรลลิง สโตน ว่าเธอมีปัญหาเกลียดขี้หน้ากับคนดังผู้หญิงคนหนึ่ง และไม่ใช่เรื่องผู้ชาย แต่แทนที่จะเผชิญหน้าตรงๆ เธอเลือกที่แต่งเพลงชื่อ ”Bad Blood” ซึ่งจะอยู่ในอัลบั้มใหม่ของเธอ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะแต่งเพลงนี้ออกมา เธอไม่แน่ใจว่าดาราหญิงนิรนามคนนี้เป็นเพื่อนหรือศัตรูของเธอกันแน่

”หลายปีที่ฉันไม่แน่ใจว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า เธอจะเข้ามาหาฉันในงานประกาศรางวัล และพูดบางอย่าง แล้วเดินจากไป ฉันต้องคิดทบทวนว่าเราเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า เพราะเธอเพิ่งด่าอย่างหยาบคายที่สุดในชีวิตฉัน และเมื่อปีที่แล้วเธอก็ทำบางอย่างที่เลวร้ายมาก และฉันก็แบบว่า… โอ้… เราเป็นศัตรูกันจริงๆ สินะ และมันไม่ใช่เรื่องผู้ชายด้วย!”

เจ้าของเพลง ”Shake It Off” ไม่หลุดเปิดเผยตัวตนคู่ปรับของเธอออกมาในบทสัมภาษณ์เลย แต่เธออธิบายถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอตาสว่างว่า ”มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ เธอพยายามบ่อนทำลายคอนเสิร์ตอารีน่า ทัวร์ ครั้งหนึ่ง เธอพยายามจ้างทีมงานออกไปจากฉัน”

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบความขัดแย้ง สวิฟท์จึงเลือกหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสาวปริศนารายนี้มาตลอด ”คุณจะไม่เชื่อเลยว่าฉันเกลียดความขัดแย้งมากแค่ไหน ดังนั้นตอนนี้ฉันต้องหลีกเลี่ยงเธอ มันรู้สึกแปลกๆ และฉันไม่ชอบมันเลย”

เดากันสิว่า สาวปริศนาคนนั้นคือใคร

ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/Hollywood/140910_0133.html

คลูนี่ย์ ประกาศแขวนนวม! หยุดเป็นเจ้าบ่าวกลัวฝน

ไม่ต้องคาดเดาอะไรกันแล้ว เพราะ จอร์จ คลูนี่ย์ พระเอกมาดละเมียด ได้ออกมายืนยันว่าพร้อมที่จะจูงมือ อามาล อลามุดดิน คู่หมั้นสาวคนสวย เข้าสู่ประตูวิวาห์ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ภายในสองสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน

นักแสดงชื่อดังวัย 53 ปี ได้หมั้นหมายกับนักกฎหมายสาวด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากที่พวกเขาคบหาดูใจกันเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีก่อน โดยการประกาศเรื่องแต่งงานของคลูนี่ย์ ถือว่าเซอร์ไพรส์อย่างมาก เพราะเขาเคยเป็น ”เจ้าบ่าวที่กลัวฝน” จากประวัติการทิ้งผู้หญิงทุกคนที่คบอยู่ หากใครก็ตามคิดเรื่องแต่งงาน

ตลอดช่วงที่ผ่านมา หลายคนต่างคาดเดากันว่า คลูนี่ย์จะแต่งงานที่ไหน แต่ตอนนี้คงไม่ต้องเดาแล้ว เพราะนักแสดงดังจากภาพยนตร์เรื่อง ”Ocean”s Eleven” ยืนยันผ่านรายการ ”เซเลบริตี้ ไฟต์ ไนต์” เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า จะแต่งงานที่ดินแดนมะกะโรนี แน่นอน

”ผมพบกับว่าที่เจ้าสาวของผมที่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นคนที่ผมอยากจะแต่งงานด้วย โดยพิธีจะมีขึ้นในภาย 2 สัปดาห์นี้ ในเวนิส” คลูนี่ย์ที่เคยคบสาวงามหลายคน อย่างเช่น ซาร่าห์ ลาร์สัน, อลิซาเบธ คานาลิส, สเตซี่ คิบเลอร์, เคลลี่ เพรสตัน, เรเน่ เซลล์วีเกอร์ แต่ไม่เคยยอมแต่งงานกับใคร กล่าวถึงความพร้อมในการสละโสดของเขา

คลูนี่ย์ กับแฟนสาววัย 36 ปี ซึ่งหมั้นหมายกันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตกเป็นข่าวว่าอาจจะแต่งงานกันที่หมู่บ้านเลค โคโม่ ในอิตาลี แต่เชื่อว่าที่เขาตัดสินใจไม่เลือกที่นี่เพราะเป็นสถานที่ที่ผู้คนรู้จักกันมากมาย และทำให้งานแต่งงานไม่มีความเป็นส่วนตัวมากนัก
ขณะเดียวกัน คลูนี่ย์ซึ่งเคยแต่งงานกับ ทาเลีย บัลแซม ในปี 1989 ก่อนจะหย่ากันในปี 1993 กับ อลามุดดิน ซึ่งได้ใบทะเบียนสมรสที่สภาเมืองเชลซี ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีแผนที่จะเขียนคำปฏิญาณในงานวิวาห์ที่แสนโรแมนติก และจะแลกเปลี่ยนแหวนกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงานจำนวนหนึ่งเท่านั้น

แหล่งข่าวเผยว่า ”นี่ไม่ใช่การแต่งงานที่ใหญ่โตแบบชาวฮอลลีวู้ด แต่ จูเลีย โรเบิร์ตส์ และ ซานดร้า บูลล็อก ก็เตรียมจะเดินทางไปในอิตาลีในสัปดาห์นี้ พวกเขาอยากแต่งงานแบบเงียบๆ โดยมีเฉพาะเพื่อนสนิทร่วมงาน แต่เป็นงานที่มีความสุขและมีการดินเนอร์ที่สนุกสนาน หลังจากนั้นพวกเขาก็อยากจะกล่าวอะไรสั้นๆ แต่มีความหมาย พร้อมกับเขียนคำปฏิญาณต่อหน้าคนที่พวกเขารัก”

อวยพรล่วงหน้าจร้า

ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/Hollywood/140910_0722.html

เปิดบ้านมุมหรูสุดว้าว!! ของเซเลบฯ คนดัง

สำหรับบ้านของเซเลบฯ คนดังที่ท่านกำลังจะชมต่อไปนี้ บอกได้คำเดียวว่าแต่ละหลังอลังการงานสร้างสวยงามสุดๆ เลยจ้า

อณิชา อรรถสกุลชัย ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ LOVEBIRD
ทันทีที่เปิดประตูต้องสะดุดตากับห้องรับแขกโปร่งโล่ง ที่จัดแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของ Visionnaire ให้อารมณ์อิตาลีแกลมมัวรัส หรู เริด เซ็กซี่ คุณแพมบอกว่าตอนแรกคิดสร้างบ้านแถวเลียบทางด่วนรามอินทรา เพราะมีที่ดินอยู่ตรงนั้น แต่เพื่อความสะดวกและอยู่กันแค่ไม่กี่คน จึงตัดสินใจเลือกเป็นคอนโดใจกลางเมือง และด้วยนิสัยเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ ของใช้ทุกอย่างจึงเน้นของดี มูลค่ารวมตกแต่งเลยทะยานไปอยู่ที่ประมาณ 8 หลัก

อัญชลี วิกสิตนาคกุล ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ ANCHAVIKA
ความยูนีคที่ชื่นชอบไม่เพียงสะท้อนออกมาในสไตล์เสื้อผ้าเท่านั้น แต่ถ่ายทอดออกมาถึงทุกรายละเอียดในบ้านหลังสวยที่สอดแทรกงานดีไซน์ของเธอ อย่างชุดโซฟาในห้องรับแขกก็นํามาบุหนังใหม่โดยมีลายปักอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เธอดีไซน์เอง ทําให้บรรยากาศห้องโดยรวมที่ให้อารมณ์ขรึมขลังแบบยุโรปยุคเก่าเปลี่ยนเป็นมีสีสันและโมเดิร์นขึ้นมาก

บุกบ้านตระกูลดังแบรนด์ Emilio Pucci
เอมิลิโอ ปุชชี่ ทายาทเจ้าของแบรนด์ดังเปิดบ้านเลขที่ 6 บนถนน Via dei Pucci ที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของตระกูลเจ้าของคฤหาสน์ให้เราได้ชม ภายในบ้านมีพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมเก็บผลงานที่คุณพ่อของเธอสร้างสรรค์ไว้ อย่างชุดที่ใส่อยู่ในหุ่นเป็นเสื้อคลุมแบบไม่มีแขนทําจากผ้าคอตต้อนกํามะหยี่ของปุชชี่จากยุค 60 และ 70 นอกจากนั้นยังจัดวางรถม้าเก่าแก่ของตระกูลตั้งแต่สมัยรุ่นคุณทวด ซึ่งยังคงสภาพไว้อย่างสมบูรณ์ ทั ้งเหล็ก ไม้ เบาะหนัง และอุปกรณ์การขี่ นี่คือความภูมิใจของทายาทที่สามารถรักษาความทรงจําของประวัติศาสตร์ครอบครัวไว้ได้

อรวรรณ อิงคสิทธิ์ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ Olivia Diamond
บ้านหลังนี้คุณยุ้ยเข้ามาอยู่ได้ปีกว่าแล้ว รวมพื้นที่ประมาณ 1ไร่ ตัวบ้านมีลักษณะเป็นทรงกล่องดูเรียบ แต่มากด้วยสไตล์เฉกเช่นเจ้าของบ้าน และแน่นอนว่าทุกอย่างต้องเนี้ยบ เวลาคุณยุ้ยไปต่างประเทศ เห็นอะไรถูกใจจะซื้อเก็บไว้ตลอด เป็นของแอนทีคบ้าง ของใหม่บ้าง ส่วนมากจะเป็นภาพงานศิลป์ และภาพถ่ายขาวดําเก๋ๆ คล้ายมุมในอาร์ตแกลเลอรี่เล็กๆ รวมทั้งตู้ไม้บิวท์อินติดผนังจัดหมวดหมู่หนังสืออย่างชัดเจนในสไตล์มินิมัล

สุเทพ คำแหง นักสะสมพระเครื่อง อันดับต้นๆ ของเมืองไทย
บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ สถาปัตยกรรมในแบบตะวันออกภายนอกรับกับการตกแต่งภายในที่เต็มพื้นที่ไปด้วยชิ้นงานแอคทีค งานศิลป์ ภาพวาดหายาก ทั้งหมดเกิดจากไอเดียซึ่งอัดแน่นด้วยพรสวรรค์และมุมมองอันเฉียบขาดทางด้านงานศิลปะของเจ้าบ้านโดยแท้จริง เนื่องจากคุณสุเทพชอบแต่งบ้านอยู่แล้ว อย่างบ้านหลังนี้เมื่อแรกซื้อก็เป็นอาคารปูนเปลือยที่ยังสร้างไม่เสร็จ และไม่มีต้นไม้สักต้น แต่คุณสุเทพต่อเติมให้สมบูรณ์ในสไตล์ชิโนโปรตุกีส ซึ่งของเก่าทั้งหมดจะเก็บไว้ในนี้ ส่วนพื้นที่อื่นรอบๆ มีการนำสถาปัตยกรรมในสไตล์ญี่ปุ่นและจีนมาผสม ซึ่งแต่ละที่ให้อารมณ์ต่างกัน ในแบบจีนที่สร้างในลักษณะคล้ายหอคอย ส่วนญี่ปุ่นก็จะเป็นบรรยากาศที่รู้สึกสบายๆ

‘กิ๊ฟซ่า’ กลัวตาย จับมือ ‘ณัฐ’ หักดิบเลิกเหล้า!

เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวโดนตำรวจจับเพราะเมาแล้วขับเมื่อหลายปีก่อน แต่สาว ‘กิ๊ฟซ่า- ปิยา พงศ์กุลภา’ ยังคงวนเวียนอยู่ในแหล่งอโคจร กินเหล้า เป็นสาวปาร์ตี้จ๋า แต่ในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา เจ้าตัวเริ่มปฏิวัติตัวเอง ด้วยการจูงมือแฟนหนุ่ม ‘ณัฐ สารสาส’ หักดิบเลิกดื่มเหล้า โดยหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าตัวลุกขึ้นมาเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะมีหมอดูทักแรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ โดยหลังจากงดเหล้าเข้าพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน เจ้าตัวกับแฟนหนุ่มก็ตัดสินใจเลิกเหล้าตลอดชีวิต และขอจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำเป็นคนใหม่ตั้งใจทำงานมากกว่าเดิม

“จริงๆ หมอดูทักว่าช่วงเดือนกันยายนจะเกิดเรื่องไม่ดี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เคยโดนจับ อาจจะเกิดอุบัติเหตุใหญ่ หรือมีเรื่องในที่อโคจร ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมากิ๊ฟกับณัฐเลยตัดสินใจเลิกเหล้ากัน ตอนนี้เลิกมาได้ 2 เดือนแล้ว ก็มีเอฟเฟ็กต์บ้าง เช่น ปวดหัวเหมือนคนแฮงค์ทั้งๆ ที่เราไม่ได้กินเหล้า และจะเป็นทุกๆ 4 โมงเย็นอยู่พักหนึ่ง พิมพ์หนังสือหาเพื่อนไม่รู้เรื่อง พิมพ์ผิดๆ ถูกๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นมือสั่น เพราะถ้ามือสั่นนี่คงต้องไปพบแพทย์ทันที

“ตัดสินใจหักดิบค่ะ ซึ่งหลังจากเลิกเหล้าแล้วก็มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ข้อแรกคืองานเยอะขึ้น สองกำลังจะดังด้วย(หัวเราะ) ข้อสามเรารู้ว่าในหนึ่งวันเรามีเวลาทำอะไรได้เยอะขึ้น เพราะเมื่อก่อนกินเหล้าแฮงค์ตื่นมาวันหนึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรเลย พอตอนเย็นก็กินเหล้าอีก วงจรมันเป็นอย่างนี้

“ตอนนี้เหมือนจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำ ทางเฮียเขาก็อยากจะดูศักยภาพ และความตั้งใจของเราด้วย ฉะนั้นเราต้องแสดงความตั้งใจให้เขาเห็น ตอนนี้ช่อง 8 เขากำลังมาแรง ถ้าเราทำตัวเองให้พร้อม ผู้ใหญ่โยนอะไรมาให้เราก็ทำได้เลยทันที นี่ก็มีละครติดต่อเข้ามาเยอะ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร อยากรอให้หมดสัญญาช่วงกลางเดือนตุลาที่จะถึงนี้ ถึงจะตัดสินใจรับค่ะ

“ยอมรับว่าวันที่มีงานเยอะๆ เราไม่ค่อยตั้งใจ คนก็มองว่าเราไม่ดี ไม่เอาเรา ตอนนี้พอเริ่มรู้ตัวก็อยากทำตัวเองให้ดีขึ้น จะได้มีงานเหมือนเดิม(หัวเราะ) ชีวิตก็เป็นวัฎจักรแบบนี้แหละค่ะ ตอนแย่ๆ ทำตัวโทรมๆ เพื่อนก็เตือนว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ จะต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้าง พูดกรอกหูทุกวันจนเราเริ่มรู้สึก

“ว่าต้องลุกมาปฏิวัติตัวเองแล้วค่ะ”

ที่มา : http://www.popcornfor2.com

เคนดัลล์-ไคลี่ สยอง! โดนแฮ็กเกอร์ตามข่มขู่เป็นเดือน

6 สัปดาห์ก่อนที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอจะบุกพังประตูเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยที่โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ เบเวอร์ลี่ ฮิลล์ส แหล่งข่าววงในยืนยันว่า คริส เจนเนอร์ และ บรูซ สามีที่แยกกันอยู่แล้ว ได้ดำเนินการติดต่อเจ้าหน้าที่รัฐอย่างลับๆ เพื่อจัดการกับแฮ็กเกอร์ตัวปัญหา หลังจาก เคนดัลล์ และ ไคลี่ เจนเนอร์ ลูกสาววัยรุ่นของพวกเขา ตกเป็นเป้าหมายของการข่มขู่มานานหลายสัปดาห์

หลังได้รับข้อความขู่ฆ่าและโทรศัพท์ตามรังควานอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด คริส และ บรูซ อดทนต่อไปไม่ไหว โดยเรดาร์ออนไลน์ สื่อเกาะติดวงการบันเทิงแดนลุงแซม รายงานว่า คู่สามีภรรยาจากรายการเรียลิตี้ Keeping Up with the Kardashians ตัดสินใจติดต่อเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ จนนำไปสู่การบุกจับกุมผู้ต้องสงสัยเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 5 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่น

แหล่งข่าวเผยกับเรดาร์ออนไลน์ ว่า ”บรูซกับคริส ตัดสินใจให้เอฟบีไอเข้ามาจัดการ หลังจากมีการข่มขู่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีข้อมูลเจาะจงพุ่งเป้ามาที่ เคนดัลล์ และ ไคลี่ เรื่องนี้ได้รับการจัดการอย่างจริงจังมาก และคริสเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยขึ้นหลายเท่าที่บ้านของเธอในฮิดเด้น ฮิลล์ส มันน่ากังวลมาก เพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมามีช่างภาพหลายคนที่สามารถผ่านประตูชุมชนของคริสเข้ามาได้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ชอบพวกคาร์ดาเชี่ยน แต่ไม่มีใครสมควรอยู่เหมือนเป็นนักโทษในบ้านของพวกเขาเอง และคริสจะมีบอดี้การ์ดของเธออีกหนึ่งคนในอนาคตอันใกล้นี้ ขณะที่บรูซกลับไม่รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพราะเขาเป็นเจ้าของปืนสั้นหลายกระบอกอยู่แล้ว”
นอกจากนี้แหล่งข่าววงในยังเผยด้วยว่า ทั้งคริสและบรูซต้องการให้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเป็นไปอย่างเงียบเชียบที่สุด โดยกำชับกับสมาชิกในครอบครัว ”ไม่ให้พูดถึงอะไรทั้งนั้นต่อสาธารณะเกี่ยวกับกระบวนการสืบสวน”

ทั้งนี้เรดาร์ออนไลน์เพิ่งเปิดเผยเรื่องสุดช็อก เมื่อเจ้าหน้าที่เอฟบีไอบุกเข้าไปยังห้องๆ หนึ่งในโรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ ใน เบเวอร์ลี่ ฮิลล์ส เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและจับกุมตัวผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งต้องสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับการข่มขู่คริสและครอบครัวของเธอ

จากคำกล่าวอ้างของผู้ต้องสงสัย เธอยืนยันว่าเธอไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไรทั้งนั้น เพราะเธอให้เพื่อนใช้คอมพิวเตอร์ของเธอตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา และไม่รู้ว่าเพื่อนนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ข่มขู่ครอบครัวของคริส ”ตอนเช้าวันศุกร์ฉันหลับอยู่ในห้องโรงแรม ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู พอฉันถามว่าใคร พวกเขาบอกว่าเป็นเอฟบีไอ ฉันเปิดประตูและถูกสั่งให้หันหลังและถูกใส่กุญแจมือ โดยมีเจ้าหน้าที่ 12 คนถือปืนเล็งมาที่ฉัน”
ระหว่างนำตัวผู้หญิงคนดังกล่าวไปสอบสวนอยู่ที่ห้องข้างๆ ที่ว่างอยู่ เจ้าหน้าที่อีกส่วนก็เข้าไปค้นห้องพักของเธอนานกว่า 3 ชั่วโมง และยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเธอ รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ ไอแพด ไอพอด และโทรศัพท์มือถือไว้เป็นของกลาง

ผู้ต้องสงสัยกล่าวอีกว่า ”หลังจากค้นห้อง ฉันถูกพากลับเข้าไปในห้องอีกครั้งและถูกถามว่าฉันคิดว่าทั้งหมดนี้คืออะไร ฉันบอกว่าฉันไม่รู้ พวกเขาถามฉันว่าฉันใช้อินเทอร์เน็ตบ่อยไหม ฉันบอกว่าใช่ พวกเขาบอกฉันว่า คริส เจนเนอร์ และบัญชีต่างๆ ของเธอโดนแฮ็ก อีเมล์ของเธอโดนแฮ็ก ไอคลาวด์ของเธอก็โดนเจาะเข้าไปได้ และมีสายโทรศัพท์แปลกๆ ฉันรู้สึกตกใจมาก”

ขณะเดียวกันแหล่งข่าวเจ้าเดิมยังเผยอีกว่า “คิม คาร์ดาเชี่ยน พี่สาวคนโตของครอบครัว และ คานเย่ เวสต์ สามีแร็พเปอร์เสนอตัวและยืนยันว่าพวกเขาจะเป็นคนจ่ายเงินสำหรับมาตรการความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาเอง ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาก็อยู่ในบ้านหลังนั้นกับ “นอร์ธ” ลูกสาว แต่เพราะพวกเขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อคริส คานเย่อาจมีปัญหาทะเลาะกับคริสหลายครั้ง แต่เขาก็รักเธอและจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ”

นี่ถ้าหากคริสไม่ยืนยันให้เก็บรายละเอียดเป็นความลับ วงนอกมีสิทธิ์คิดว่าเป็นเรื่องจัดฉากถ่ายเรียลิตี้นะ

ภาพ: pinterest
ที่มา : สยามดารา
http://www.siamdara.com/Hollywood/140911_0345.html


‘เจสัน’ โพสต์ IG เบิร์ธเดย์ ‘เจนี่’ ฟรุ้งฟริ้งจากแอลเอ

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุ 33 ปีของนางฟ้า ’เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ’ และนางเอกสาวก็ได้โพสต์วลีประจำตัว Begin Again ลงไอจี โดยมีเหล่าแฟนคลับแอนด์ติ่งผู้พิทักษ์เจนี่โพสต์ตอบ HBD กันล้นทะลัก! ด้านเพื่อนซี้แก๊งค์นางฟ้าอย่าง นานา ไรบีนา วุ้นเส้น-วิริฒิพา แย้มนาม แอน-อลิชา ไล่ศัตรูไกล ก็ไม่พลาดรีบร่อนภาพความรัก ความผูกพันธ์และคำอวยพรให้น้าเจี้ยบผ่านไอจีกันยกใหญ่

แต่หลายคนสงสัยว่า MY NEW BFF เพื่อนที่ดีสุดอย่าง ‘เจสัน เบอร์เรนท์’ จากแอลเอ. จะลืมวันเกิดนางเอกเพื่อนรักหรือเปล่า? บอกเลย… ว่าเจสันลื้มมมมมมมมมม ลืมซะที่ไหน เพราะเขาได้เบิร์ดเดย์ตรงจากแอลเอ. ฝากไว้ในไอจีด้วยการโพสต์ภาพเจนี่ในอิริยาบทที่แฮปปี้สุโค่ย พร้อมข้อความตามที่ปรากฏนี้ล่ะค่า

งานนี้เจนี่คงปลื้มน่าดู

ที่มา : สยามดารา http://www.siamdara.com/hotnews/140911_97622.html

ฮิโระ ซาโนะ ซามูไรในแดนสยาม

หนุ่มหน้าเข้มจากแดนปลาดิบที่พาผู้ชมชาวไทยไปรู้จักญี่ปุ่น ผ่านรายการ “วาบิ ซาบิ” และ “อาเซียน โฟกัส” ด้วยภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่นชวนให้อมยิ้ม ประโยคแรกที่ผมทักเขาคือ “ตัวจริงดูหล่อกว่าในโทรทัศน์” ฮิโระตอบว่า “หลายคนก็ทักผมแบบนี้ ผมมักตอบกลับไปว่า โทรทัศน์คุณแย่แล้วหรือเปล่าครับ ซื้อใหม่ดีไหม” รู้เลยว่า ภาษาไทยของเขาไม่ธรรมดา

MR.PRAEW : ทำไมจึงตัดสินใจมาเมืองไทย

ฮิโระ : ผมชอบเดินทางท่องเที่ยวแบบแบคแพ็ค เริ่มจากออสเตรเลีย เกาหลี แล้วก็ไทย ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองไทยเท่าไร แค่ได้ดูโฆษณาของการบินไทยที่บอกว่า “จะไปเมืองไทย ต้องไปช่วงวัยรุ่น” ผมจึงรู้สึกว่า เออ…งั้นไป มาถึงวันแรก ร้อนมาก! มีประเทศที่ร้อนขนาดนี้ด้วยหรือ (หัวเราะ) คือพอถึงสนามบินดอนเมืองก็เหงื่อออก เข้าใจแล้วว่าทำไมโฆษณาการบินไทยบอกให้มาช่วงวัยรุ่น เพราะร้อนจริงๆ แต่ยิ่งใช้ชีวิตยากผมกลับยิ่งชอบ อย่างไปออสเตรเลีย พอพูดภาษาอังกฤษได้ ไปเกาหลีอาหารการกินและวัฒนธรรมก็คล้ายๆ ญี่ปุ่น แต่เมืองไทยจะต่างกันไปเลย ผมจึงชอบมาก (ยิ้ม)

MR.PRAEW : แล้วเป็นมาอย่างไรถึงได้มาทำรายการท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้คนไทยดู

ฮิโระ : เริ่มต้นมาจากที่ผมมีพื้นฐานการแสดงอยู่บ้าง พอมาเมืองไทยก็มีคนที่รู้จักกันชวนไปเล่นโฆษณา หลังจากนั้นก็มีงานเข้ามาเรื่อยๆ รวมถึงงานละครเรื่อง ฟ้ากับตะวัน ของช่องไทยพีบีเอส เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว จู่ๆ ทางช่องก็ถามว่า สนใจทำรายการแนะนำประเทศญี่ปุ่นไหม ผมกลับไปนั่งคิด แล้วนึกขึ้นได้ว่าเวลาอยู่ในกองถ่ายกับทีมงาน ความที่ผมเป็นคนญี่ปุ่นคนเดียว หลายคนจึงชอบถามผมว่า “ฮิโระ ร้านราเมนในญี่ปุ่นที่ไหนอร่อย” หรือ “อยากช้อปปิ้งรองเท้า เครื่องสำอาง ต้องไปซื้อที่ไหนดีที่สุด”

พอโดนถามแบบนี้มาตลอดจนรู้สึกว่าทำไมคนไทยสนใจญี่ปุ่นขนาดนี้ จึงเป็นไอเดียว่า ถ้าอย่างนั้นผมนำข้อมูลตรงนี้มาบอกในรายการเลยดีกว่า อีกเหตุผลหนึ่งคือ ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่คนไทยเข้าใจผิดอยู่ เช่น บางคนเห็นดอกไม้สีชมพูบานก็บอกว่าเป็นดอกซากุระ ความจริงคือดอกบ๊วย หรือในละคร ให้ผมเล่นเป็นซามูไรแต่ถือดาบของจีน หรือให้สวมชุดเทควันโด้แต่เล่นคาราเต้ ผมไม่อยากให้คนไทยรู้จักญี่ปุ่นแบบผิดๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำรายการเพื่อแนะนำความเป็นญี่ปุ่นที่แท้จริงให้คนไทยรู้จัก

MR.PRAEW : มีเทปไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม

ฮิโระ :ประทับใจที่สุดคงเป็นตอนที่ผมต้องไปถ่ายรายการอาเซียนโฟกัส เพื่อทำสารคดีหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น ครั้งนั้นผมไปเมืองอิชิโนมากิ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบมาก บ้านเรือนพังเสียหายหมด ผมไปพบผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างในหมู่บ้าน แต่มีพลังในการฟื้นฟูและช่วยเหลือชุมชนสูงมาก ความที่บ้านและออฟฟิศของเขาไม่เป็นอะไรมาก เขาจึงลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการสร้างบ้านให้คนที่สูญเสียบ้าน เพราะตอนนั้นอากาศหนาว ผู้คนจำเป็นต้องมีที่อยู่ เขาใช้วิธีสร้างบ้านแบบมองโกเลีย ที่เรียกว่า เกอร์ (Ger) โดยให้คนมองโกเลียมาช่วยสร้างให้ เพราะพวกเขาจะไม่อยู่ที่เดียวนาน จะเดินทางไปเรื่อยๆ จึงมีวิธีการสร้างบ้านชั่วคราวที่เก่งมาก

ตอนนั้นแม้ทุกอย่างยังไม่เข้าที่ดี ผู้ชายญี่ปุ่นคนที่เป็นช่างก่อสร้างคนนี้ยังถามผมว่า “ฮิโระ เข้าออนเซ็นไหม” ลองนึกภาพดูนะครับ บ้านยังแทบไม่มีให้อยู่ เหลือแต่ซากปรักหักพัง แต่เขายังอุตส่าห์ทำอ่างน้ำร้อนแบบโอเพ่นแอร์ให้แช่น้ำพลางดูวิวซากเมือง เป็นภาพที่ผมลืมไม่ลงเลย ผมรู้ว่าตอนนั้นทุกคนเหนื่อยมาก แต่คนญี่ปุ่นยังไงก็ต้องแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลาย การแช่ออนเซ็นในครั้งนั้นทำให้ผมเข้าใจแมสเสจที่ผู้ชายคนนี้อยากบอก คือ “ไม่เป็นไร ยังไงเราก็มีอนาคต” คนญี่ปุ่นจะเป็นแบบนี้ครับ เขาไม่พูดตรงๆ แต่จะสื่อสารผ่านการกระทำ อาจจะมาจากซามูไร ซึ่งพอผมเข้าใจ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เราเข้าใจกัน

MR.PRAEW : ที่ผ่านมาคนไทยมองว่า ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่มีความสุข ขณะเดียวกันก็มีอีกมุมที่ตรงข้ามกันเลย อย่างเช่น ข่าวเด็กนักเรียนฆ่ากัน หรือข่าวการฆ่าตัวตาย จริงๆ แล้ว สังคมญี่ปุ่นเครียดขนาดนั้นเลยหรือ

ฮิโระ : เราต้องระวังในการรับข่าวสาร เพราะเรื่องไม่ดีเพียงเรื่องเดียวอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ เหมือนกับข่าวฆ่าข่มขืนบนรถไฟที่เมืองไทย เรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน มีคนญี่ปุ่นถามผมว่าคนไทยแย่ขนาดนี้เลยหรือ ผมยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นว่า เราก็เหมือนกันทั้ง 2 ฝ่าย และเมื่อผมยืนอยู่ตรงกลางของเรื่องนี้ ผมจะอธิบายให้คนญี่ปุ่นฟังว่า คนไทยไม่ใช่แบบนี้นะ นี่เป็นแค่คนเดียวใน 65 ล้านคน ขณะเดียวกันผมก็จะบอกคนไทยที่ถามผมว่า อย่ามองญี่ปุ่นจากการกระทำของคนแค่คนเดียวได้ไหม เพราะอีก 99% อาจไม่ใช่ แต่ถ้าถามว่าคนญี่ปุ่นเครียดไหม ผมบอกได้เลยว่าเครียดขึ้น เหมือนกรุงเทพนี่แหละ เมื่อ GDP เพิ่มขึ้น ความเครียดก็เพิ่มขึ้น ทั่วโลกเหมือนกันหมดครับ

MR.PRAEW : อีกเรื่องที่ต้องถาม คนมักมองญี่ปุ่นถึงอุตสาหกรรมหนัง AV คุณมองเรื่องนี้อย่างไร

ฮิโระ : ผมว่าคนไทยดูหนังแนวนี้เยอะกว่าคนญี่ปุ่นอีกนะ (หัวเราะ) บางทีคนไทยพูดชื่อดาราคนนั้นคนนี้ ผมยังถามว่า หน้าตาเป็นอย่างไร เรื่องหนัง AV คนญี่ปุ่นเปิดเผยกับเรื่องนี้ แต่คนไทยค่อนข้างปิด คนญี่ปุ่นมองว่าเป็นศิลปะและเป็นภาพยนตร์ประเภทหนึ่ง จึงมีการผลิตมาก คนที่อยากเล่นก็มีเยอะ เพื่อนผมคนหนึ่งทำหนังอยู่กับโปรดักชั่นเฮาส์ดังมากในญี่ปุ่นชื่อ นิกคัตซึ ซินิม่า (Nikkatsu Cinema) เขาก็เริ่มจากหนังเอวีเหมือนกัน คือทั้งนักแสดงและผู้กำกับที่โน่นก็อยากทำงานกับหนังใหญ่ๆ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาส แล้วในเมื่อมีหนังเอวีรองรับอยู่ก็ใช้โอกาสนี้แสดงให้เต็มที่ ผมเคยดูสารคดีญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง นักแสดงหญิงเอวีเขาจริงจังมากนะ เขาจะคิดบทไปด้วยแล้วคุยกับผู้กำกับ คือช่วยคิดจริงจัง พอแอ็คชั่นปุ๊บก็เปลี่ยนเป็นคาแรคเตอร์นั้นเลย ถือเป็นวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นที่ผมประทับใจ

MR.PRAEW : ถ้าคนไทยมีโอกาสไปญี่ปุ่นได้แค่ 3 ที่ คุณอยากแนะนำที่ไหน

ฮิโระ : ที่แรกต้องเป็นโตเกียวครับ เพราะมีความหลากหลายที่สุด ทั้งโมเดิร์นและคลาสสิกอยู่ในที่เดียว มีทั้งวัดเก่าแก่ไปจนถึงสถานที่ช้อปปิ้งของแฟชั่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เรียกว่าไม่มีอะไรที่หาไม่ได้ในโตเกียว อีกที่หนึ่งคือ กูโจฮาจิมัง (Kujo Haji) เมืองเล็กๆ ที่น่ารักมาก เต็มไปด้วยปราสาทเก่าแก่ แถมทุกที่ในเมืองจะได้มีสายน้ำไหลผ่านและได้ยินเสียงน้ำ สดชื่นมาก ต่อให้มีเวลาวันเดียวก็เที่ยวได้ แนะนำมากๆ แห่งที่สามคือ คาโกชิมะ (Kagoshima) อยู่ทางภาคใต้ ผมประทับใจคนที่นั่นเพราะนิสัยเหมือนคนไทยเลยครับ ใจดี น่ารัก คุยง่าย สบายๆ แล้วก็ดื่มเก่งมาก (หัวเราะ) อีกอย่างคือที่นี่มีออนเซ็นแบบอบทราย แปลกดี แถมยังมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกามิกาเซ่และทหารญี่ปุ่น ซึ่งผมสนใจเป็นพิเศษ

MR.PRAEW : กลับกันถ้าให้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทย ที่ไหนที่คุณฮิโระชอบไปที่สุด

ฮิโระ : ทะเลครับ ผมว่าเกาะกับทะเลในเมืองไทยสวยมาก สู้มัลดีฟได้เลยนะ ผมเห็นคนไทยไปมัลดีฟกันเยอะ ทั้งที่เกาะเมืองไทยสวยอยู่แล้ว ทะเลก็สมบูรณ์มาก ถ้าจำไม่ผิด หนังสือเล่มหนึ่งของอเมริกาเพิ่งเลือกเกาะเต่าให้เป็นเกาะสวยงามอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้
MR.PRAEW : คนญี่ปุ่นชอบอะไรในเมืองไทยมากที่สุด

ถ้าถามผม..คนไทยใจดีมาก ครั้งหนึ่งผมขี่มอเตอร์ไซค์แล้วล้มแถวๆ ประตูน้ำ ภายใน 5 วินาที มี คนเข้ามาช่วยผม 3-4 คน ภายใน 5 วินาทีนะ (ย้ำหนักแน่น) หรือมีผู้สูงอายุทำตั๋วรถไฟฟ้าหล่น แค่ 3 วินาที ก็มีคนมาช่วยเก็บให้ แป๊บเดียว (หัวเราะ) ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นอาจจะคิดก่อนว่าจะช่วยดีไหม แค่คิดก็ผ่านไป 10 นาทีแล้ว (หัวเราะ) แต่คนไทยต่างออกไป ผมรู้สึกว่าคนไทยมีน้ำใจ พร้อมช่วยเหลือคนอื่นอยู่ตลอด ถ้ามีคนสูงอายุล้มก็ช่วยเลย ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะมองอย่างไร

MR.PRAEW : วางแผนชีวิตต่อจากนี้อย่างไร

ฮิโระ : ตอนนี้กำลังทำรายการ “สุโค่ย เจแปน” ต่อ แล้วก็มี www.wabisabijp.com เป็นเว็บไซต์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นสไตล์ญี่ปุ่น จะพยายามพัฒนาไปเรื่อยๆ อีกอันเป็นโปรเจ็คท์ส่วนตัวที่ตั้งใจทำในญี่ปุ่น เกี่ยวกับการสร้างคอมมิวนิตี้ให้เป็นเหมือนศาลาคนสูงอายุมารวมกัน นัดมาเจอกันอาทิตย์ละครั้ง

ที่มองเรื่องนี้เพราะตอนนี้ผู้สูงอายุญี่ปุ่นมีเยอะที่สุดในโลก อีก 20 ปีข้างหน้า หมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัดจะหายไปเหลือแต่บ้าน หรือปัญหาคนแก่เสียชีวิตคนเดียวในห้องเล็กๆ โดยไม่มีใครรู้ ผ่านไป 5 เดือน จึงจะมีคนมาเจอ ผมรู้สึกว่าสังคมครอบครัวญี่ปุ่นห่างกันมากไป คือ ลูกทำงานยุ่งอยู่ในโตเกียว ส่วนพ่อแม่อยู่อีกเมืองจึงไม่ค่อยมีเวลาดูแล พอพ่อหรือแม่เสียไป อีกคนก็ต้องอยู่คนเดียวไม่มีใครดู ก็ต้องตายไปคนเดียว ผมจึงชอบที่คนไทยยังอยู่กับพ่อแม่แบบครอบครัวใหญ่ คนไทยยังมีวัฒนธรรมแบบนี้อยู่

MR.PRAEW : คุณฮิโระอยากพูดถึงญี่ปุ่นในด้านใดให้คนไทยได้ฟังบ้าง

ฮิโระ : คนญี่ปุ่นชอบคนไทยมากมากครับ มากกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ อาหารไทยดังมากในญี่ปุ่น มีนักเรียนไทยไปแลกเปลี่ยนเยอะ เพื่อนญี่ปุ่นผมคนหนึ่งเป็นอาจารย์สอนทำอาหารไทย เขาพูดภาษาไทยได้เท่าๆ กับผม แต่ทำรายการในช่อง NHK จึงดังมาก ทุกวันนี้คลาสเรียนของเขาเต็มหมด จองยากต้องรอคิวยาว

ผมอยากบอกว่า คนญี่ปุ่นขอบเมืองไทยมากจริงๆ ครับ (ยิ้ม)

เรื่อง : Mr.Praew
ภาพ : อิทธิศักดิ์ บุปราศภัย
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ talk around by mr.praew

เรื่องกินเรื่องใหญ่ สุนทรี (โทโมโกะ) ลี้โกมลชัย

คุณโกะเป็นลูกครึ่งที่เติบโตในเมืองไทย ก่อนจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นหลายปี เธอจึงได้ซึมซับวัฒนธรรมที่แตกต่างหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องอาหาร

“สมัยไปเรียนที่ญี่ปุ่นใหม่ๆ โกะยังไม่ชินกับวัฒนธรรมการกิน โดยเฉพาะพวกอาหารเส้น อย่างตอนเข้าร้านโซบะ ช่วงแรกต้องขอช้อน แล้วใช้ตะเกียบคีบเส้นวางลงบนช้อน ตักน้ำซุปนิดหน่อย แล้วค่อยๆ ใส่เข้าปากตามประสาสาวไทยที่ต้องกินให้เรียบร้อย ขณะที่คนญี่ปุ่นรอบตัวสูดเส้นเข้าปากกันซู้ดๆ ยกชามโซบะซดน้ำซุปดังลั่น พอเจ้าของร้านเห็นโกะกินเงียบๆ อยู่คนเดียวก็เดินเข้ามาถามเสียงเครียดเชียวว่า “อาหารไม่อร่อยหรือ” ฟังแล้วงง กลับมาถามญาติ จึงได้รู้มารยาทการกินแบบญี่ปุ่นว่า ต้องคีบเส้นทีละเยอะๆ แล้วสูดแรงๆ น้ำจะไม่กระเด็น พอกินเส้นไปสักครึ่งชาม ค่อยยกชามเพื่อซดน้ำ ซึ่งต้องซดดังๆ ด้วย ถ้ากินเงียบๆ เขาจะถือว่าไม่อร่อย หลังจากนั้นโกะก็ปรับตัวสุดฤทธิ์จนสามารถซดน้ำดูดเส้นเสียงดังได้โดยไม่หกไม่เปื้อน ปรากฏว่าพอเรียนจบกลับมาเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว เผลอคีบเส้นเป็นแผงแล้วซดน้ำเสียงดัง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตายแล้ว เราอยู่เมืองไทย คนข้างๆ คงตกใจว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้กินได้ฮาร์ดคอร์จัง (หัวเราะ)

ตอนหลังโกะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย สังเกตว่า คนไทยกับคนญี่ปุ่นมีพฤติกรรมการกินไม่เหมือนกันหลายอย่าง โดยเฉพาะการปรุงรส คนไทยติดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะกินอะไร ที่ไหนก็ต้องปรุงเพิ่ม อย่างราเมน บางคนเทพริกป่นใส่เกือบหมดขวดจนน้ำซุปแดงแจ๋ พ่อครัวเห็นแล้วคิดมากว่าเขาคงทำไม่อร่อย เพราะคนญี่ปุ่นถือว่าอาหารที่เชฟทำมาอร่อยที่สุดแล้ว จะไม่ปรุงเพิ่ม หรือการกินซูชิ คนไทยติดใส่วาซาบิเยอะ จนซ้อสเป็นสีเขียว กินทีจมูกโล่งหายเป็นหวัด แต่คนญี่ปุ่นใส่วาซาบินิดเดียว แค่พอให้ได้กลิ่นเท่านั้น เพื่อไม่ให้กลบรสชาติและกลิ่นของปลา แล้วเวลากินต้องใช้มือหยิบ เพื่อจิ้มเนื้อปลากับซ้อสแล้วกินทั้งคำ แต่คนไทยใช้ตะเกียบคีบ แล้วจิ้มด้านที่เป็นข้าวลงไปในซ้อสทำให้ข้าวแตกร่วงหล่นเต็มถ้วย โกะแนะนำว่ากินซูชิให้อร่อยใช้มือดีกว่า ก็เชฟยังใช้มือปั้นให้เราเลย เหมือนคนไทยใช้มือเปิบข้าวเหนียวจิ้มแจ่ว

อร่อยแบบออริจินัลอย่าได้อายค่ะ

เรื่อง : โทมาลิน
ภาพ : อิทธิศักดิ์, โยธา
สถานที่: ร้านอาหาร Nippon Tei ราชดำริ
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 840 คอลัมน์ 108 คำถาม

keyboard_arrow_up