คูณสามซูเปอร์เกรียน

ปกติผมไม่ค่อยวางแผนชีวิตไกลนะ แต่ล่าสุดคิดว่า ภายใน 2-3 ปีนี้อยากเปิดร้านขายยาครับเพราะเรียนมาด้านนี้ (บอยจบคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ตอนนี้กำลังมองหาสถานที่อยู่ จะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์ด้วย ผ่านมาหลายปีก็แอบลืมทฤษฎีไปบ้าง แต่เชื่อว่ารื้อฟื้นได้ไม่ยาก

วันนี้เรามีนัดกับสามเซียนแห่งวงการเกรียนที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้แต่เช้า สามซี้โคจรมาพบกันทั้งที บรรยากาศการทำงานจึงมีการเกทับบลัฟแหลกกันอยู่ตลอดเวลา

เริ่มด้วยพี่ใหญ่ของแก๊ง บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ที่พูดถึงสาว ‘วันใหม่’ ไม่ขาดปาก จนหมากถามว่า “วันใหม่ไหน?” ความจึงแตกว่าหนุ่มซี้รุ่นน้องไม่ทราบข่าวว่าบอยรับน้องวันใหม่มาเป็นสมาชิกคนล่าสุดของครอบครัวฉัตรบริรักษ์

“คิดดูสิ น้องวันใหม่มาอยู่บ้านผมครึ่งปีแล้วนะ ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมตลอด แต่หมากไม่สนใจเลย” บอยแกล้งบ่นน้อยใจ ทำเป็นไม่สนใจท่าทีงอนง้อขอหมาก แล้วหันมาเม้าท์กับเราต่อ “ตอนนี้ครอบครัวผมกำลังเห่อน้องวันใหม่มากครับ เจอเขาครั้งแรกตอนถ่ายปกกับสุดสัปดาห์ เมื่อปีที่แล้วในธีม Don’t Cry Baby ที่ให้นายแบบถ่ายกับเด็กกำพร้า ผมเห็นเขาแล้วถูกชะตามาก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถ่ายด้วยกัน เขาคู่กับพี่อนันดา หลังจากวันนั้นผมก็ชวนแม่ไปเยี่ยมเขาที่บ้านเด็กอ่อนพญาไทตลอด ไปบ่อยจนคิดอยากรับมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเพราะผมอยากมีลูก เคยคุยกับแม่ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้วว่า ถ้าเรียนจบ มีแฟนแล้วจะรีบขอแฟนแต่งงานเพราะอยากให้แม่อุ้มหลานไวๆ ที่สุดจึงตัดสินใจไปรับมาอยู่กันจริงๆ ทำให้บ้านเราอบอุ่นขึ้น

“ผมเองตั้งแต่ทำงานบันเทิง ยุ่งมากจนไม่มีแฟน ชอบดูหนังแต่ต้องไปดูคนเดียวประจำ เพราะเวลาว่างมักไม่ตรงกับใครเขา เวลาเจอคนอื่นควงกันมาดูหนังเป็นคู่ๆ ก็นึกถึงเวลาที่เรามีแฟนนั่งดูด้วย แต่แปลกอย่างหนึ่งเวลาคบใคร นิสัยผมจะเหมือนผู้หญิงมาก อาจด้วยนิสัยขี้จุกจิกตามประสาพี่ชายคนโต ซึ่งเริ่มจากเป็นห่วงคุณแม่และน้องชายมาแต่ไหนแต่ไร คอยตามจนทุกคนเบื่อ พอน้องๆ เริ่มโต ไม่ค่อยทำตัวน่าเป็นห่วง ผมจึงลดความจู้จี้ลงไป จริงๆ เพราะเข็ดด้วย เคยโดนปรามจากแฟนเก่าว่า ผมห่วงเขามากเกินไปทั้งๆ ที่โตๆ กันแล้ว อย่างเมื่อก่อน ผมจะบอกแฟนตลอดว่า ถึงบ้านแล้วให้โทรมาบอกนะ ถ้าเขาออกจากที่ทำงานสองทุ่ม สี่ทุ่มยังไม่โทรมาผมจะกระวนกระวายแล้ว ไปไหน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า คอยโทรเช็คจนผู้หญิงรำคาญ อย่างวันใหม่เองโตขึ้นเป็นสาวผมคงหวงเขาน่าดู ประมาณว่า ไว้หนวดทำเข้มรอกันท่าหนุ่มๆ ตั้งแต่วันนี้เลยทีเดียว (หัวเราะ)

“แต่ถ้าเป็นความรักปัจจุบัน ส่วนมากเป็นแฟนในข่าวครับ (ยิ้ม) อย่างหลายคนชอบถามว่า ผมกับมาร์กี้มีสิทธิ์ลุ้นกันนอกจอหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่มี เพราะจุดเริ่มต้นเกิดจากความเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เหมือนที่ผมสนิทกับ หมาก และ เกรท-วรินทร แต่ไลฟ์สไตล์ผมเหมือนมาร์กี้มากกว่าสองคนนั้นที่ว่างปุ๊บเป็นต้องเล่นกีฬา ส่วนผมกับมาร์กี้ชอบดูหนัง หาของกินอร่อยๆ ช่วงแรกก็กลัวพี่ต้อง (จุลวุฒิ ชลลัมพี) แฟนมาร์กี้จะหึงเอา เพราะตอนนั้นผมกับพี่ต้องยังไม่ค่อยสนิท แต่พอสนิทแล้วก็กลายเป็นแก๊งเดียวกันเลย เขารู้ว่าเราไม่ได้คิดอะไรกับมาร์กี้ เราแค่เป็นคู่เกรียนในอินสตาแกรม เน้นท่าฮาคิดสด ตามสถานการณ์ ซึ่งมาร์กี้เขาก็กล้าเล่นด้วย เราจะถ่ายกันไว้สองแอ็คทุกครั้งเพื่อแบ่งกันลงคนละรูป แต่ผมชอบแกล้งชิงตัดหน้าลงก่อนบ่อยๆ ให้เขาแค้นเล่น

ปกติผมไม่ค่อยวางแผนชีวิตไกลนะ แต่ล่าสุดคิดว่า ภายใน 2-3 ปีนี้อยากเปิดร้านขายยาครับเพราะเรียนมาด้านนี้ (บอยจบคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ตอนนี้กำลังมองหาสถานที่อยู่ จะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์ด้วย ผ่านมาหลายปีก็แอบลืมทฤษฎีไปบ้าง แต่เชื่อว่ารื้อฟื้นได้ไม่ยาก

รู้อย่างนี้เตรียมป่วย เอ๊ย เตรียมอุดหนุนกันนะจ๊ะ

ติดตามอ่านเรื่องราวของพวกเขาทั้ง 3 เพิ่มเติมได้ที่ นิตยสารแพรวฉบับ 811 วันที่ 10 มิถุนายน 2556 คอลัมน์ จากปก

12 Years of love

“เมื่อก่อนเราทำโทษด้วยการให้ยืนเข้ามุม แต่ส่วนมากเวลาหมิวทำโทษยังไม่ทันได้เข้ามุมหรอก มือชิงตีไปก่อนแล้ว 1 เพียะ แล้วยิ่งตอนนี้แพลงต้อนเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำโทษเขา แม้เหตุผลเหล่านั้นจะเข้าข้างตัวเองหมดก็ตาม”

ไม่ว่านิยามความรักของคุณจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อถูกลิขิตให้ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับใครคนหนึ่งแล้ว การปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับคู่หมิว-ก้อง

หลังจากเคยให้สัมภาษณ์กับแพรวเมื่อหลายปีก่อน เจอกันคราวนี้ดีกรีความรัก ความสัมพันธ์ และความน่ารักของทั้งคู่ไม่ได้ลดลง กลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้เวลาจะผ่านมานานถึง 12 ปี ลูกชายแพลงต้อน-อีตั้นเข้าสู่วัยน่ารักน่าหยิกแล้วก็ตาม


อัพเดทเรื่องของสองหนุ่มให้ฟังหน่อยนะคะ
หมิวตั้งใจเล่าด้วยสุ้มเสียงเป็นปลื้ม “ตอนนี้แพลงต้อนอายุ 12 ปี แล้วค่ะ กำลังขึ้นม.1 เริ่มติดโทรศัพท์ และโซเชียลเน็ตเวิร์ค ชอบดูฟุตบอล ชอบดูหนัง ขณะที่อีตั้นอยู่ป.4 ยังชอบดูการ์ตูน ชอบว่ายน้ำ ตีกลอง มีจินตนาการของตัวเอง ก่อนหน้านี้หมิวเคยให้ไปเรียนอูคูเลเล่ประมาณหนึ่งปีแล้วไม่ค่อยเวิร์คจึงตั้งใจจะไม่บังคับ แล้วแต่เขาว่าสนใจอะไร แค่เรื่องเรียนหนังสือเท่านั้นที่ขอให้ตั้งใจ”

KWANKAO’s Style

“แพงเป็นคนชอบเที่ยวทุกที่ตามโอกาสและสถานที่ปกติแล้วเป็นคนชอบเที่ยวทะเลเพราะไปแล้วรู้สึกสบายใจเหมือนได้ผ่อนคลาย ได้ฟังเสียงคลื่นมองหาดทรายขาวพร้อมวิวสวยๆ แค่นี้ก็รู้สึกดีแล้วก็สบายใจแล้วค่ะ”

หากพูดถึงสาวโสดสุดฮอตที่เป็นทั้งดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า KWANKAO ไม่มีแฟชั่นนิสต้าคนไหนที่ไม่รู้จักเธอ แพง-ขวัญข้าว เศวตวิมล คนนี้ เมื่อ praew.com มีโอกาสได้พบเธอ จึงขอไถ่ถามอัพเดทไลฟ์สไตล์ช่วงนี้ของเธอเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อ praew.com มีโอกาสได้พบเธอ จึงขอไถ่ถามอัพเดทไลฟ์สไตล์ช่วงนี้ของเธอเสียหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

YOUR LIFESTYLE

“แพงเป็นคนสบายๆ มีไลฟสไตล์หลากหลายเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสม ปกติแล้วจะทำงานอยู่ที่ออฟฟิศและมีออกไปงานข้างนอกบ้างแต่ช่วงนี้จะหมั่นออกกำลังกายมากเป็นพิเศษสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพราะเมื่อได้ออกกำลังกายแล้วแพงรู้สึกสดชื่นและทำงานได้เต็มที่มากขึ้น”

YOUR TRIP

“แพงเป็นคนชอบเที่ยวทุกที่ตามโอกาสและสถานที่ปกติแล้วเป็นคนชอบเที่ยวทะเลเพราะไปแล้วรู้สึกสบายใจเหมือนได้ผ่อนคลาย ได้ฟังเสียงคลื่นมองหาดทรายขาวพร้อมวิวสวยๆ แค่นี้ก็รู้สึกดีแล้วก็สบายใจแล้วค่ะ”

YOUR RECOMMEND

“เป็นคนชอบทะเลภาคใต้อย่างจังหวัดกระบี่ค่ะเพราะว่าทั้งสงบและสวยมากแถมยังเป็นอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย แพงว่าประเทศไทยของเรามีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ เยอะจึงอยากให้พวกเราหันมาเที่ยวไทยกันค่ะ ทะเลบ้านเรานั้นสวยไม่แพ้ที่ไหนเลย แถมยังติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกอีกด้วย”

เห็นด้วยกับที่เซเลบสาวสวยแนะนำเป็นที่สุด ประเทศไทยของเรานั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยไม่แพ้ที่ไหนในโลกเลย ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา น้ำตก เหนือจรดใต้นี่พูดได้คำเดียวเลยว่าเที่ยวเมืองไทยไปกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ

Life on the Rock ของเจ้าพ่อร็อกมือขวา

ในยุคแรกที่เล่นคอนเสิร์ต เราใช้รถตู้คันเล็กๆ ขนสัมภาระ เครื่องดนตรีและทีมงานรวมแล้วเกือบ 10 คน อัดกันอยู่ในนั้น ออกเดินทางทั่วประเทศ สนุกและ ลำบากพอสมควรนะมิสเตอร์แพรว พอเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ มีแฟนเพลงกรี๊ดสนั่น พวกเราจะขึ้นรถกลับมาที่โรงแรม เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น ล้อมวงกินข้าวผัดกะเพราในห้องพัก

คุณมีภาพ ‘หนุ่ย-อำพล ลำพูน’ ในใจแบบไหน สำหรับผม สารภาพตรงๆ ว่า มองเขาเป็นศิลปินรุ่นเดอะ ที่น่าจะเซอร์ เอาใจยาก และทำตัวเยอะๆ ตามแบบฉบับซุปตาร์’ ตัวพ่อ (หรือตัวแม่ที่เจอมาแล้วหลายคน)

แต่เอาเข้าจริง ร็อกแอนด์โรว์ มีมุมละเอียดอ่อนมากกว่าที่คิด และคงให้คุณค้นหาเองในบทสัมภาษณ์นี้ ก่อนที่อำพลจะขึ้นเวที ‘คอนเสิร์ตมือขวาสามัคคี’ ร่วมกับเพื่อนร่วมรุ่นในวงการเพลงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น อนุญาตให้ยกมือขวาแล้วไปร็อกพร้อมๆกัน

MR.PRAEW : เริ่มจากคอนเสิร์ตมือขวาสามัคคี ดูรายชื่อศิลปินแล้วไม่ธรรมดา
อำพล : จะบอกว่าอายุรวมกันเป็นพันปีใช่ไหม (หัวเราะ) มีไมโคร นูโว แหวน-ฐิติมา บิลลี่ และใหม่ เจริญปุระ เราว่านี่เป็นช่วงแรกๆ ของ ‘ร็อกมือขวา’ ที่ศิลปินกับคนดูได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในคอนเสิร์ตร่วมกัน คำว่าร็อกมือขวาไม่ใช่เฉพาะอำพลหรอก แต่ที่คนติดภาพอาจเพราะเราชอบแหกปากว่า ขอมือขวาหน่อย (ตะโกนจริง) หลังจากนี้ศิลปินทุกคนคงต้องนัดซ้อมเตรียมความพร้อมกัน เพราะมีเพลงที่ต้องแชร์กันเล่น ต้องสนุกมากแน่ๆ

MR.PRAEW : ถามตรงๆ ในวัย 50 อายุมีผลต่อการทำงานไหม
อำพล : อืม… จะว่าไม่มีผลก็คงไม่ใช่ แต่มีวิธีจัดการ นักดนตรีก็เหมือนนักกีฬาที่ต้องซ้อม เหมือนจิตรกรที่ต้องฝึกเขียนรูป ผสมสีวันที่พันย่อมดีกว่าวันแรก ไมโครซ้อมกันบ่อย ยิ่งซ้อมยิ่งมั่นใจ เล่นเพลงเดิมแต่มันกว่าเดิม เพราะแม่นยำและมั่นใจในรายละเอียดที่ดีขึ้น

ทุกวันนี้ก่อนเล่น ผมกับเพื่อนๆ ยังซาวนด์เช็คกันเอง คงเหลือไม่กี่วงแล้วมั้งที่ทำแบบนี้ แต่ผมกับเพื่อนๆ ทำมาตลอด เพราะอยากเมคชัวร์ทุกอย่าง ระบบเสียงตรงไหนยังไม่ลงตัวก็ต้องแก้ให้เป๊ะ แฟนเพลงที่มารอดู 3-4 ชั่วโมง พอขึ้นเพลงแรกมาแล้วปึ้ก กระหึ่มเลยจะได้คุ้มค่ากับการรอคอย และเมื่อเราทุ่มเทคนดูจะรับรู้และรู้สึกได้

MR.PRAEW : ถ้าชวนนึกถึง 30 ปีในวงการเพลง ภาพแรกที่ผุดขึ้นในความคิดคืออะไร
อำพล : ที่เรารู้สึกจริงๆ คือ ในยุคแรกที่เล่นคอนเสิร์ต เราใช้รถตู้คันเล็กๆ ขนสัมภาระ เครื่องดนตรีและทีมงานรวมแล้วเกือบ 10 คน อัดกันอยู่ในนั้น ออกเดินทางทั่วประเทศ สนุกและ ลำบากพอสมควรนะมิสเตอร์แพรว พอเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ มีแฟนเพลงกรี๊ดสนั่น พวกเราจะขึ้นรถกลับมาที่โรงแรม เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น ล้อมวงกินข้าวผัดกะเพราในห้องพัก

พอมองวันนี้ วงเราเป็นมืออาชีพ อุปกรณ์มากขึ้น ทริปไหนเดินทางด้วยรถ ทั้งรถทีมงานกับรถขนอุปกรณ์รวมแล้วก็ 6 – 7 คัน องค์ประกอบรอบตัวแตกต่างจากเมื่อก่อนพอสมควร แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ เรายังคงเดินทางร้องเพลงเล่นดนตรีบนถนนเส้นเดิม ขอแค่ให้ได้ร้องกับเล่น ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้ เรื่องอาหารการกินก็สบายๆ กระเพราไก่ไข่ดาวยังเป็นอาหารประจำเผ่า ลืมไม่ได้ นี่คือรากเหง้าของเรา นอกจากนั้นกินอะไรก็ได้ขอแค่สุก ร็อกแอนด์โรว์กินได้หมด (หัวเราะ)

ติดตามเรื่องราวของเจ้าพ่อขาร็อคต่อได้ที่นิตยสารแพรวฉบับ 812 วันที่ 25 มิถุนายน 2556 คอลัมน์

Dream Team Family

น้องจุนเห็นพี่ชายเป็นฮีโร่ ทำทุกอย่างตามเป็นเครื่องหมายไม้ยมก หน่อยจึงบอกคุนบ่อยๆ ว่า น้องคุนต้องเป็นเด็กดีนะ เห็นไหมว่าน้องทำตามทุกอย่าง เขาก็รับคำ “ครับ” ซึ่งเจ้าพี่ชายก็รักน้องมาก อย่างล่าสุด 4 กรกฎาคม วันเกิดน้องจุน น้องคุนมีของขวัญให้น้องด้วย”

ไปเที่ยวเขาใหญ่กันไหม “สัมภาษณ์” ฉบับนี้ แพรวยกขบวนตาม “หน่อย-คุน-จุน-เคน” ไปเที่ยวบ้านที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นการรวมตัวถ่ายแฟชั่นและให้สัมภาษณ์แบบพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งแรกของครอบครัววงศ์พัวพันธ์

ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายของบ้านบนเนินเขา ฝีมือการตกแต่งของพ่อบ้านสุดหล่อ

ปลื้มจิตร์ ถินขาว นักตบลูกยางสาวเท่ทีมชาติไทย

แมทช์ที่ไปคัดโอลิมปิกมันโหดร้ายมากในชีวิต ถ้าเราชนะญี่ปุ่น เราชนะเกาหลี เราชนะทุกทีม เราก็ไม่ต้องไปนับแต้มรอแต้มจากใครแต่เราก็คิดว่าเราทำเต็มที่สุดๆ แล้ว เพราะก่อนที่จะไปแข่ง ซ้อมกันเดือนกว่าๆ ทุกคนทุ่มเทมาก ไม่มีใครอู้ ตั้งใจกันมาก แต่พอไปแข่งแล้วผลเป็นแบบนี้ ก็เซ็ง เสียความรู้สึก

นักวอลเลย์บอลสาวห้าวดีกรีแชมป์วอลเลย์บอลเอเชียที่โด่งดังสุดๆ ในตอนนี้ คงไม่ใช่ใครที่ไหน หน่อง – ปลื้มจิตร์ ถินขาว มีดีทั้งฝีมือและหน้าตาแบบนี้มั่นใจว่าเธอคงเป็นไอดอลของใครหลายๆ คนอย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้เป็นแชมป์วอลเลย์บอลเอเชีย กลับมาคราวนี้งานยุ่งไม่ใช่น้อย

กัปตันกิ๊ฟ-วิลาวัณย์ กว่าจะมาเป็นคู่ซี้กันแบบนี้ได้ เมื่อก่อนเกลียดกันจะตาย

เป็นคนเชื่อเรื่องโชคลางมาก คือจะต้องทำบุญ แข่งชนะมาก็ทำบุญ ก่อนแข่งก็ต้องทำบุญ จะบอกน้องๆ ในทีมเสมอค่ะ เราทำบุญด้วยกันบ่อยทั้งทีมเลย กิ๊ฟพยายามปลูกฝังให้พวกเค้าชอบทำบุญกันแต่จริงๆ เค้าก็ชอบกันอยู่แล้วด้วย

หลังจากที่ แพรว ได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวเท่ หน่อง – ปลื้มจิตร์ ถินขาว แล้วอีกคนที่พลาดไม่ได้คือคู่ซี้อย่าง กัปตันกิ๊ฟ-วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ อีกหนึ่งฮีโร่สาวชาวไทย

ผู้สร้างชื่อเสียงให้กับวงการกีฬาวอลเลย์บอลไทยจนโด่งดังไปสู่ระดับสากล มางานนี้กัปตันกิ๊ฟบอกว่ากว่าจะมาเป็นคู่ซี้กันแบบนี้ได้ เมื่อก่อนเกลียดกันจะตาย ส่วนตอนที่กำลังถ่ายทำก็ยังมีการหยอกเอินกันให้เห็นเรียกเสียงฮาให้ทีมงานอยู่ตลอด

เมื่อกี๊เหมือนว่าจะมีการแก้แค้นกันเกิดขึ้น?
(กัปตันกิ๊ฟหัวเราชอบใจ) ใช่ค่ะ ก็เพิ่งทาเล็บมาใหม่เลยได้จังหวะ ปลื้มจิตรเค้าเป็นซูเปอร์สตาร์ไง ก็เลยบอกปลื้มจิตร์ก้มลงถอดสนับเข่าให้หน่อยดิ๊ ถอดเองไม่ได้เดี๋ยวเล็บเปื้อน ต่อหน้าคนอื่นเค้าก็จะไม่ปฏิเสธแต่ถ้าอยู่สองคนเค้าก็จะบอกให้รอไปก่อนถอดเอง แต่อยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ เค้าเลยถอดให้ แล้วเค้าไปทาเล็บมาเค้าก็เลยเอาบ้างบอกว่า กิ๊ฟเล็บเปื้อนถอดให้บ้าง กลัวเกินกัน เดี๋ยวจะไม่พอดีกัน

เริ่มต้นก็ไม่ถูกชะตา
เกลียดตั้งแต่แรกเห็นหน้าเลย ไม่ค่อยชอบ(ยิ้ม) รู้จักกับหน่องครั้งแรกตอนม.3 โดยบังเอิญ หน่องเป็นคนไม่ค่อยยิ้มไง เหมือนหน้าตาดีแล้วหยิ่ง เราก็เลยไม่ค่อยชอบ ทีนี้มีคนอื่นมาถามชื่อเค้าแล้วมีเสียงตอบกลับมาว่า มีแฟนแล้ว เราเลยรู้สึกว่าแหม แกมั่นใจมากเลยเค้าไม่ได้ถามสักหน่อยว่ามีแฟนยัง เราก็เลยไม่ถูกโฉลก ไม่ชอบเลยคนนี้ แล้วบังเอิญว่าได้มาอยู่สโมสรเดียวกัน เก็บตัวที่เดียวกัน กิ๊ฟเป็นคนชอบเราเรื่อง เพื่อนๆ ก็จะมานั่งฟังแล้วหน่องก็มานั่งฟังด้วยแล้วก็หัวเราะ เราด้วยความไม่ชอบอยู่แล้วไง ก็คิดว่านี่มานั่งฟังแล้วยังหัวเราะอีกยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่(หัวเราะ) ก็เลยฝังใจว่าไม่ชอบ

หลังจากนั้นกิ๊ฟกับหน่องถูกเรียกเก็บตัวเยาวชนทีมชาติด้วยกันอีก เอ้า! ตามมาหลอกหลอนอีก แล้วบังเอิญว่าตอนเก็บตัวโค้ชเค้าแบ่งห้องพักก็ได้อยู่ห้องเดียวกันอีก ทุกครั้งที่แข่ง ทุกครั้งที่ไปไหนก็แล้วแต่ เป็นน้องสองคนด้วย อายุน้อยสุด กลายเป็นทำอะไรก็ต้องทำด้วยกันพอเรื่อยๆ เข้าก็เลยสนิทกัน เคยเล่าให้หน่องฟังว่าตอนแรกเกลียดขี้หน้า ไม่ชอบหน้า เค้าก็โวยวายว่าแล้วมาเกลียดทำไมเสียงนั่นไม่ใช่เค้าเป็นเพื่อนเค้าตอบ เราก็ไม่รู้แหละก็เราไม่ชอบ

สนิทกันขนาดไหน?
พอสนิทกัน เคมีมันลงตัว มันใช่อ่ะ ก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ถึงขั้นที่ว่าคือเมื่อก่อนเราไม่มีแฟนเลย วันเสาร์อาทิตย์เค้าปล่อยให้กลับบ้านเราก็ไม่กลับ ถ้ากลับบ้านใครอีกคนก็จะต้องไปด้วยกันแบบนี้ ถ้าวันไหนไปบ้านกิ๊ฟหน่องก็ไปด้วย ถ้าวันไหนไปบ้านหน่องกิ๊ฟก็ไปด้วย อยู่ด้วยกันตลอดแทบจะ 24 ชั่วโมง

เป็นคนที่เชื่อเรื่องโชคลางมาก
(หัวเราะ) ก็ชอบค่ะ เป็นคนเชื่อเรื่องแบบนี้ คือจะต้องทำบุญ แข่งชนะมาก็ทำบุญ ก่อนแข่งก็ต้องทำบุญ จะบอกน้องๆ ในทีมเสมอค่ะ เราทำบุญด้วยกันบ่อยทั้งทีมเลย กิ๊ฟพยายามปลูกฝังให้พวกเค้าชอบทำบุญกันแต่จริงๆ เค้าก็ชอบกันอยู่แล้วด้วย เพียงแต่เราจะเชื่อเยอะหน่อยไง ดูดงดูดวงเอาหมดทุกอย่าง(ยิ้ม)

แปลกแต่ต้องทำ
เรื่องชุดชั้นในค่ะคือตัวนี้ไม่แห้งยังไงก็ต้องเป่าให้มันแห้ง คือยังไงก็จะใส่ตัวเดิมให้ได้ หน่องก็พูดว่ามันอะไรจะต้องขนาดนั้นคือเราเอาไดร์มาเป่าไงคะ เค้าจะยืนดูทำหน้าทำตาแล้วถามว่ามันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ เราก็บอกว่าไม่ได้เดี๋ยวมันจะผิดเคล็ด แต่ส่วนใหญ่คือเค้าก็เชื่อด้วยไง พอเราบอกอะไรเค้าก็ตะลีตะลานทำตามคือเชื่อเหมือนกัน ทำทุกวัน วันไหนใส่สีอะไร กิ๊ฟมีอยู่ในโปรแกรม มีตารางสีก็จะเช็คตลอด

ที่มาของการโพสต์รูปคู่
เริ่มจากแข่งวันแรกแพ้คือเมื่อก่อนเนี่ยเวลาไปแข่งแมชท์ไหนก็ตาม พอถ่ายรูปคู่กันเนี่ยมันชอบชนะเราก็เลยพูดกันเล่นๆ ว่าเฮ้ยถ่ายรูปคู่กันมันเฮงว่ะ แล้วก็มีคนพูดเข้ามาว่า ถ่ายรูปคู่กันแล้วมันชนะนะก็เลยแบบวันแรกไม่ได้ถ่ายแล้วแพ้ พอวันต่อมาก็เลยไปกินกาแฟแล้วถ่ายรูปคู่กันแล้วมันชนะ วันหลังก็เลยลองถ่ายอีก วันที่เจอญี่ปุ่นคือมันหนักแต่ก็ชนะมาได้ พอแข่งกับจีนก็ถ่ายแล้วชนะอีก จากนั้นก็เลยต้องสั่งกาแฟทุกวัน ต้องกินเหมือนเดิมด้วย(ยิ้ม) คือต้องทำอะไรที่เหมือนเดิม อาบน้ำก็ต้องอาบเหมือนเดิม สระผมไหมก่อนแข่งก็ต้องทำเหมือนเดิม ทุกอย่างจะต้องเอาเหมือนเดิมให้ได้

ต้องทำอะไรก่อนแข่งขันบ้าง
กิ๊ฟจะมีอะไรที่ต้องทำเหมือนเดิมเยอะ อย่างเลือกแดนก็เหมือนกัน ครั้งแรกที่เราแพ้คาซัคเราก็จะไม่อยู่ด้านนั้นอีกเลย แล้วทีนี้โค้ชให้เลือกเสิร์ฟเราก็บอกไม่เอาเราจะเลือกแดน คือเวลาเสี่ยงแดนเค้าก็จะบอกว่าถ้าเราได้ให้เลือกเสิร์ฟก่อนนะ แต่พอเราได้เราก็จะเลือกแดนแต่เราก็ไปบอกเค้าว่าด้านนู้นเค้าเลือกเสิร์ฟก่อนค่ะ เราเลยได้แดนอะไรอย่างงี้ แต่อยากจะบอกโค้ชวันนี้แหละว่าเราได้เลือกก่อนตลอดแหละแต่เราเลือกแดน (หัวเราะ) เราเชื่อๆ

ขอ 3 คำให้โค้ช
ยิ่ง ใหญ่ มาก

จะเชื่อโชคลางหรือไม่ไม่สำคัญ แต่สิ่งที่แน่นอนและทำให้คนไทยทั้งประเทศชื่นชมในตัว กิ๊ฟ-วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ คือฝีมือที่การันตีโดยรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (เอ็มวีพี) จากศึกวอลเลย์บอลชิงแชมป์เอเชีย 2013 และการพาทีมคว้าแชมป์วอลเลย์บอลหลากหลายรายการนั่นเอง

ฟังกัปตันกิ๊ฟพูดถึงคู่เพื่อนซี้สุดเท่ หน่อง ปลื้มจิตต์ ถินขาวไปเยอะแล้ว มาดูหน่องเปิดใจถึงกัปตันทีมและน้องๆ กันบ้างดีกว่า

ฮารุกะ มิยาชิตะ มือเซ็ตญี่ปุ่น น่ารักทะลุจอ

สาวน้อยคนนี้เริ่มเล่นวอลเลย์บอลตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด้วยความรักในวอลเลย์บอลบวกกับความสามารถทำให้เธอได้กลายเป็นนักวอลเลย์บอลประจำโรงเรียน Osakakokusaidai Wada Junior High School

ฮารุกะ มิยาชิตะ นักวอลเลย์บอลมือเซตหน้าตาน่ารัก ที่เมื่อลงสนามครั้งใดก็เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆ วอลเลย์บอลได้เป็นอย่างดี

ใครที่ได้ติดตามชมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงรายการ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2014 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ที่ทีมญี่ปุ่นโชว์ฟอร์มเจ๋งแบบสุด ๆ เอาชนะทีมวอลเลย์สาวไทยไปได้ 3-0 เซต คงจะสะดุดตากับสาวญี่ปุ่นมือเซตนามว่า “ฮารุกะ มิยาชิตะ” ไม่น้อย ก็เพราะฝีมือที่ยอดเยี่ยมเซ็ตบอลไม่มีพลาดแล้ว หน้าตาของเธอยังน่ารักโดนใจใครหลายๆ คนอีก ว่าแล้ววันนี้ praew.com ก็มีประวัติเล็กๆ น้อยๆ ของสาวคนนี้มาฝากกันจ้า

ฮารุกะ มิยาชิตะ เป็นนักวอลเลย์บอลของญี่ปุ่น เกิดวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1994 เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ ปัจจุบันอายุ 19 ปี

วรรณา บัวแก้ว กับความคิดว่าอาจจะเลิกรับใช้ทีมชาติ

ก็แก่แล้วเนอะ ตั้ง 32 แล้วอ่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาค่ะ กับทุกคนก็เข้ากันได้ เล่นเข้าขากันได้ ก็เคยมีคิดไว้ว่าจะเลิกเล่นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่มันยังไม่บรรลุเป้าหมาย น้องๆ ก็ยังไม่แข็งแรงพอ คนก็ยังไม่พอ เรายังมีแรงที่จะช่วยน้องได้ ก็ยังอยากช่วยอยู่ค่ะ

อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าไม่เชื่อลองมารู้จักกับอีกหนึ่งสาวที่ทีมนักวอลเลย์บอลหญิงยกให้เป็นผู้อาวุโสที่สุดของน้องๆ ด้วยฉายา ยาย(นา) หรือวรรณา บัวแก้ว

เจ้าของตำแหน่งลิโบโร่ยอดเยี่ยมชั้นแนวหน้าของโลก หลังจากที่ผ่าตัดแล้ว สภาพร่างกายตอนนี้ก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาดีเกือบเท่าเดิมแล้ว

ความรู้สึกตอนนี้?
ตอนนี้ก็โล่งแล้วค่ะ มันเหนือความคาดหมายแล้ว ตอนนี้ก็แค่ทำให้แฟนๆ มีความสุขและ เสร็จจากตรงนี้ก็ต้องกลับไปซ้อมแล้ว

หลังผ่าไซนัสตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้างคะ?
ผ่าแล้วก็ดีขึ้น ตอนนี้ก็ยังมีตึงๆ แผลอยู่ เอาออกไปแล้วก็โล่งค่ะ เพราะเราต้องเล่นอาชีพ ใช่ค่ะ เห็นจริงๆ คุณหมอถ่ายรูปออกมาให้ดู คุณหมอเละออกมามันเป็นวงกลมยาวด้วย ผนังหนาๆ ด้วย คุณหมอบอว่าเอาออกมาอ่ะดีแล้ว เพราะไม่งั้นมันอาจจะใหญ่จนแตกแล้วออกมาเอง ตอนนี้ก็พร้อมประมาณนึง คุณหมอแนะนำพักสามอาทิตย์แล้วค่อยออกกำลังกายทีละเล็กละน้อย ห้ามเล่นรุนแรงเพราะว่ามันจะกระทบกระเทือน ก็รักษาสภาพร่างกายไปก่อนก็ยังไหวอยู่ค่ะ

เกือบเลิกแล้ว?
ก็แก่แล้วเนอะ ตั้ง 32 แล้วอ่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาค่ะ กับทุกคนก็เข้ากันได้ เล่นเข้าขากันได้ ก็เคยมีคิดไว้ว่าจะเลิกเล่นตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่มันยังไม่บรรลุเป้าหมาย น้องๆ ก็ยังไม่แข็งแรงพอ คนก็ยังไม่พอ เรายังมีแรงที่จะช่วยน้องได้ ก็ยังอยากช่วยอยู่ค่ะ

แผนการอนาคต
ก็มีคิดๆ ไว้บ้างค่ะ ตอนนี้มีงานประจำก็คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แล้วก็มีทำร้านเสื้อผ้าอยู่กับแฟนค่ะ

ระหว่างนั้นสาวหน่องเดินมาเลียบเคียงอยู่ด้านข้างพร้อมทำหน้าตาใส่ทีมงานก็เลยขอ 3 คำให้หน่องนิดนึง
(เสียงหน่องตะโกนตอบมาว่า สวย ฝุด ฝุด) ส่วนวรรณาของเราตอบว่า รำ คาญ มาก!!! (ฮ่าๆๆ)

เรียกได้ว่าเป็นทีมที่น่ารักและก็รักกันจริงๆ ทีมนี้ ใครเห็นด้วยมั่ง!!!

ขอบคุณภาพจาก Instagram @buakaewwwww

บทสรุปความรักของมาช่าและอำพล

หลายคนบอกว่า เป็นปีวันเกิดที่อบอุ่นมากนะ เพราะกลับบ้านมาเจอลูกรอเซอร์ไพรส์ด้วย กายเขาจัดงานด้วยการเอาลูกโป่งมาตกแต่งเต็มไปหมด แล้วชวนเพื่อนๆ เขา กับพวกเพื่อนๆ ช่าที่เล่นดนตรีมาจอยด้วยกัน

บทสรุปความรักของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคู่เลิกลากันแล้วกลายเป็นแค่คนแปลกหน้า ขณะที่บางคู่จากลาด้วยความเข้าใจ เหมือนดังอดีตคู่รักตำนานร็อคอย่าง มาช่า วัฒนพานิช กับ อำพล ลำพูน

เรื่อง : อภิญญา ภาพ: แพรว

เมื่อสายน้ำไม่อาจหวนกลับ จึงต้องก้าวเดินต่อไป แล้วปล่อยให้กาลเวลาเยียวยาทุกอย่าง จนนำมาซึ่งวันที่ทั้งสองกลับมาพบเจอกันบนปกแพรว เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีสำหรับการถ่ายแบบคู่กัน ภาพความผูกพันที่เห็นทำให้เรารู้สึกว่า อ้อมกอดที่เห็นบนเวทีคอนเสิร์ตอาจไม่ใช่เพื่อเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้ชมอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่ทั้งคู่แสดงออกมาจากความรู้สึกจริงๆ

หลังงานคอนเสิร์ต SEVEN หายเหนื่อยหรือยังคะ
“โอ้โฮ…ยังหายใจไม่ทั่วท้องเลยค่ะ ช่วงระหว่างซ้อมมีการทำฉาก เลื่อยไม้ ทั้งฝุ่นและควันเต็มไปหมด ซึ่งถ้าพูดคุยกันเฉยๆ ไม่เท่าไหร่ แต่ช่าต้องอ้าปากร้องเพลง (ทำท่าร้องเพลงประกอบ) จึงรับฝุ่นเต็มๆ แล้วอาทิตย์ก่อนหน้าแสดงจริง ช่าออกกำลังกายหนักมาก ตั้งใจมาปล่อยพลังเล่นคอนเสิร์ตเต็มที่ ปรากฏว่าพอใกล้วันจริงยังเป็น ‘วันนั้นของเดือน’ อีก เรื่องแบบนี้ผู้หญิงจะเข้าใจกันว่า ช่วงนั้นถ้านอนเฉยๆ เลือดคงไม่พลุ่งพล่านเท่าไหร่ แต่นี่ช่าต้องเดินก้าวขึ้นก้าวลงบันไดเวที แฟนคลับยังบอกว่า วันนั้นช่าเดินขึ้นลงเยอะที่สุด จนปวดขาไปหมด แต่ในความอ่วมอรทัย เราก็รู้สึกยินดีที่พี่ๆ น้องๆ Seven ทุกคนรวมพลังเต็มที่ เพราะงานแบบนี้คงไม่มีแล้ว จึงเป็นคอนเสิร์ตที่ช่าที่จัดเต็มจริงๆ และถ้ามีครั้งต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะใส่มงกุฎหรืออะไรดี เพราะใส่ตั้งแต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์จนถึงชุดแฟนตาซี หมดมุกแล้วค่ะ (หัวเราะ) หลังจบคอนเสิร์ตทีมงานป่วยกันเป็นแถว น้องๆ แดนเซอร์เป็นไข้เข้าโรงพยาบาล ส่วนช่าเส้นเสียงบวม พูดไม่ได้ ต้องกินยาสเตียรอยด์ระงับความปวด เพราะต้องเล่นคอนเสิร์ตต่ออีก 2 งาน แล้วช่วงใกล้ๆ นั้นเพิ่งนอนโรงพยาบาลมา 2 คืน ไม่ได้พักเลย แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ

เห็นว่าเกิดอุบัติเหตุบนเวทีด้วยหรือคะ
“ค่ะ เพลงแรกเลย จังหวะที่ต้องร้องเพลงใกล้กับเพื่อนๆ ช่ามัวแต่มองพื้น เพราะกลัวจะวิ่งกลับมาหากลุ่มไม่ทัน ลืมสังเกตว่า มีคานเหล็กนั่งร้านอยู่บนศีรษะ ความที่เราใส่ส้นสูง จึงโดนฟาดเข้าไปจังๆ มึนหัวตึ้บเลยค่ะ ที่แย่กว่าคือ ผมเสียทรง (หัวเราะ) เจ็บมากนะ แต่ชั่วโมงนั้นลืมตัว เพราะทุกอย่างต้องรันต่อไปเรื่อยๆ จึงไม่คิดอะไร มารู้สึกเจ็บอีกทีก็ตอนถึงบ้านแล้ว

ได้ข่าวว่าเจอเซอร์ไพรส์วันเกิดเพียบด้วย
“(พยักหน้ายิ้ม) สารภาพเลยว่า ปกติไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันเกิด รู้สึกว่าเป็นแค่วันธรรมดาๆ แต่ปีนี้วันเกิดตรงกับคอนเสิร์ตตอนที่พี่แอม (เสาวลักษณ์ ลีละบุตร) ยื่นดอกไม้มาให้ ความที่ช่ากับพี่แอมสนิทกัน คบกันมาเป็นสิบปี ผูกพันกันมาก บวกกับแฟนเพลงในฮอลล์กว่า 5,000 คนร่วมกันร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ ซึ่งในชีวิตเกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ พยายามกัดกรามข่มอารมณ์ให้นิ่ง บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบร้องไห้ แต่ก็กลั้นได้เต็มที่แค่น้ำตาคลอ วินาทีนั้นพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ขอบคุณทุกคนมากๆ แล้วยังต่อด้วยเซอร์ไพรส์ที่ 2 ซึ่งก่อนหน้านี้ยังคุยเล่นๆ กับพี่แอมอยู่ว่า ช่วงนี้พี่หนุ่ยโทรมาหาบ่อย อย่างวันหนึ่งโทรมาขอบคุณที่ไปเล่นคอนเสิร์ตมือขวาสามัคคีให้ ช่าก็เล่าถึงคอนเสิร์ตของตัวเองแต่บอกว่า Seven เป็นคอนเสิร์ตผู้หญิง พี่หนุ่ยคงไม่ชอบหรอก ไม่เป็นไรพี่พักผ่อนเถอะ พี่หนุ่ยเงียบไป แต่จู่ๆ มาโผล่เซอร์ไพรส์บนเวทีพร้อมดอกไม้ ตกใจมาก แทนที่ช่าจะเดินไปต้อนรับ กลับกระโดดถอยหลังหนี (หัวเราะ) ซึ่งมารู้ทีหลังว่า วันนั้นพี่หนุ่ยไม่ค่อยสบาย เพราะเพิ่งกลับมาจากเล่นคอนเสิร์ตที่ต่างจังหวัด แต่ยังอุตสาห์มาให้กำลังใจ (ยิ้ม)

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่นิตยสารแพรวฉบับ 818 วันที่ 25 กันยายน 2556 คอลัมน์สัมภาษณ์

แม่บ้านสาวผู้เสกอาหารให้มีชีวิต

“ฉันโชคดีมากที่เมนูที่ครีเอทขึ้นมาทำให้ลูกสาวของชั้นตื่นเต้นและรอคอยมื้อต่อๆ ไปได้เสมอ และตอนนี้เธอก็มีน้องสาวตัวเล็กที่พร้อมจะผจญภัยไปกับมื้ออาหารซึ่งมันทำให้เวลาอาหารเป็นเวลาที่สนุกมากจริงๆ”

อาหารเป็นอีกสิ่งที่สำคัญที่คุณจะได้ใช้เวลากับคนที่คุณรักอย่างมีความสุข

ซาแมนธ่า ลี ก็เป็นอีก 1 คนที่ให้เวลากับอาหารเช้าเพื่อลูกน้อยที่รักของเธอ ทุกเมนูของเธอกลับกลายเป็นนินทานที่นอกจากจะสวยงามน่ารับประทานแล้ว ยังสร้างเสริมจินตนาการให้กับลูกสาวสุดที่รักของเธออีกด้วย

แสบเล็ก VS แสบใหญ่ มาร์กี้ขอเม้าท์เฮียๆ ของวันใหม่รุมแกล้งน้อง

“เฮียๆ ชอบเล่นกับน้องเหมือนเด็กผู้ชายกันอ่ะ แบบตีๆ รุมๆ อย่างตอนที่ไปร้านขายของเล่นก็จะเอาโฟมมารุมตีน้องกัน เหมือนเลี้ยงเด็กผู้ชายค่ะ”

ถ้าพูดถึงสาวสวยคู่เกรียนของนายบอย-ปกรณ์ คงจะต้องเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมาร์กี้-ราศรี นางเอกสาวดาวรุ่ง หลังจากพบกันในงานแพรวแชริตี้ แพรวเลยขออัพเดทชีวิตของมาร์กี้ช่วงนี้ให้แฟนๆ ได้ฟังกัน

“ตอนที่ไปร้านขายของเล่นก็จะเอาโฟมมารุมตีน้องกัน”

ซึ่งสาวมาร์กี้บอกว่าช่วงนี้เร่งถ่ายละครจนใกล้ปิดกล้องแล้ว “ก็มีตอนนี้เรื่องในสวนขวัญตอนนี้ถ่ายใกล้เสร็จแล้ว อีกสักประมาณเดือนนึงก็น่าจะถ่ายจบเรียบร้อยแล้วค่ะ ต่อไปก็มีถ่ายเรื่องรากบุญ2 เล่นกับไมค์เหมือนเดิม ก็จะมีพี่น้ำผึ้ง ณัฐริกา และพี่ศิริต้า เจนเซ่น มาเสริมทัพให้สนุกขึ้น ต้องติดตามเพราะว่าตั้งแต่รากบุญ 1 แล้วคือออกแนวแบบมีเซอร์ไพรส์ตลอดว่า คนต่อไปจะเป็นใคร อันนี้เราก็ขออุบไว้ก่อนละกันค่ะ”

หันมาถามถึงแสบน้อยที่สาวมาร์กี้หรือแสบใหญ่ที่พักนี้ชอบถ่ายรูปคู่กันลงในอินสตาแกรมเป็นพิเศษว่าสนิทกันขนาดไหน มาร์กี้ยิ้มแล้วบอกว่า “เล่นบ่อยไหมหรอ ก็เจอกันตามงาน เจอจนคุ้นเคยกัน” ส่วนสนิทจนตัวติดกันไหม มาร์กี้บอกว่า “ไม่หรอก วันใหม่เจอคนเยอะ ช่วงนี้เขาจะเหมือนเป็นเซเลบริตี้ตัวน้อย ถ้าถามว่าหนูเข้าใจมั้ยว่าทำไมบางครั้งวันใหม่ถึงแบบไม่ยิ้ม หนูก็เข้าใจนะ เพราะว่าได้ยินทุกวันว่า วันใหม่ยิ้มสิๆ (หัวเราะ) เขาเริ่มโตขึ้นคงเริ่มรู้เรื่องเยอะแล้ว”

ถามเรื่องเคยเห็นวีรกรรมของพวกเฮียๆ ที่ชอบแกล้งวันใหม่หรือเปล่า มาร์กี้ตอบขำๆ ว่า“เฮียๆ ชอบเล่นกับน้องเหมือนเด็กผู้ชายกันอ่ะ แบบตีๆ รุมๆ อย่างตอนที่ไปร้านขายของเล่นก็จะเอาโฟมมารุมตีน้องกัน เหมือนเลี้ยงเด็กผู้ชายค่ะ”

Mean Girl ‘อารยา เอ ฮาร์เก็ต’

‘คอยดูนะ…แพรวปกนี้ จะต้องสวยที่สุด และแซบที่สุดเท่าที่ชมเคยถ่ายมา!!!’

‘คอยดูนะ…แพรวปกนี้ จะต้องสวยที่สุด และแซบที่สุดเท่าที่ชมเคยถ่ายมา!!!’ นี่คือพูดสั้นๆ ของนางเอกสาว ‘ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต’ ที่ประกาศให้สัญญากับทีมงานและผู้อ่านแพรวทุกคน ว่าวันนี้เธอจะทุ่มสุดตัวแบบจัดเต็ม!

สิ้นคำ เจ้าของคำสัญญาก็ลุกขึ้นละจากโต๊ะแต่งหน้า เดินเข้ามายังราวเสื้อผ้าที่เรียงรายไปด้วยหลากลุครันเวย์ของหลายซูเปอร์แบรนด์ดัง พร้อมกับหยิบชุดสวยผ้าทวีตซิกเนเจอร์จาก Chanel มาใส่ประเดิมเป็นชุดแรก เท่านั้นยังไม่พอ ขอเพิ่มความแกลมให้เริดสมฐานะอีกนิดด้วยเครื่องเพชรจาก Gems Pavillion ที่วันนี้ใจดีเปิดเซฟขนเครื่องประดับมาให้สาวชมสวมใส่รวมมูลค่ากว่าหลายล้านบาทเลยทีเดียว

เมื่อทุกอย่างพร้อม…แฟชั่นเซตพิเศษอีกเซตของแพรวก็เริ่มขึ้น
พี่ณัฐ (ณัฐ ประกอบสันติสุข) ไม่รอช้า สั่งให้ผู้ชาย รวมถึงคนที่มีกลิ่นของความเป็นชายออกไปรอด้านนอกให้หมด เหลือไว้เพียงผู้หญิง และผู้ที่มีดีกรีความเป็นหญิงอยู่สูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์ยืนอยูในพื้นที่หน้าเซต เนื่องจากเป็นช็อตที่สาวชมต้องโชว์แผ่นหลังตลอดร่างมีเพียงผ้าปิดด้านหน้า และด้วยสปิริตสุดเริดของชมพู่ ภาพที่ได้ก็คือ ‘ปก’ สวยๆ ที่คุณกำลังถืออยู่นั่นเอง

ชุดถัดมาก็ดูเซ็กซี่เบาๆ ด้วยเดรสลูกไม้รัดรูปซีทรูสีเทา หรือบราท็อปสีดำ ที่เข้ากันดีกับกระโปรงสุดซีทรูที่ใส่แล้วเพิ่มลุคเซ็กซี่เต็มขั้น แต่ที่ดูจะถูกจริตสาวชมเป็นพิเศษ ก็คือ ชุดคลุมสุดงามจาก Louis Vuitton บนผ้าไหมสีชมพูพิมพ์ลายซึ่งด้านในบุด้วยขนนกทั้งตัว ที่ชมกระซิบว่า “นุ่มสุดๆ ไปเลย โดยเฉพาะการที่เราไม่ได้ใส่อะไรเลยแม้กระทั่งชั้นในแบบนี้ ทำให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนุ่มอย่างแท้จริง” สิ้นเสียงก็เรียกแสียงหัวเราะให้ทีมงานกันอย่างครื้นเครง

พีช พชร ฟุ้ง สาวนทโดนใจนิสัยคล้ายกัน

“เราสองคนเป็นคนที่นิสัยค่อนข้างคล้ายกัน เป็นคนลุยๆ ไปได้ทุกที่ ไม่เกี่ยงเลยว่าจะร้อนรึเปล่า พีชเป็นคนทำอะไรที่ต้องมีแผนล่วงหน้า แต่เขาจะไม่มีแผนเลย จะแตกต่างกันตรงวิธีการคิดบางอย่าง ประทับใจเพราะเขาเป็นคนสบายๆ ไม่เรื่องมาก”

อีกหนึ่งหนุ่มสุดฮอตในขณะนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก หนุ่มหล่อ พีช พชร จากซีรียส์เรื่องดัง “ฮอร์โมน” มาเจอกันวันนี้ แพรวขออัพเดทชีวิตช่วงนี้ของพีทสักหน่

การบอกว่าเคยดูดวงให้ใคร คือการตลาดฝ่ายมารที่ผมไม่ชอบ

“ผมเชื่อว่า มนุษย์ในโลกหลายหมื่นล้านคนน่าจะมีคนที่สวรรค์ให้อะไรมากกว่าปกติ เพียงแต่ว่า ผู้วิเศษหรือเอ็กซ์เมนที่เหนือธรรมชาติเหล่านั้น รวมถึงคนที่อยู่ในอาชีพผมด้วยก็เถอะ”

ปีใหม่นี้ ฉันจะเฮงไหม ได้แต่งงาน ปรับตำแหน่ง ถูกหวยหรือเปล่า! หรือหิมะจะตกกรุงเทพฯ น้ำท่วมซ้ำ แผ่นดินแยก เจ็บป่วย ฯลฯ เห็นทีฉันต้องจัดบ้าน เปลี่ยนเบอร์มือถือ แล้วติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถว่า เจ้าแบล็คคันนี้เป็นสีขาว บลา บลา บลา…

เอาล่ะ ไหนบอกผมสิว่า เมื่อปีใหม่มาถึง คุณไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย… แต่ถึงคิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย และผมก็โกยหลายคำเรื่องเหล่านั้นมาให้ ‘หมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา’ เปิดตำราดวงดาว เอาล่ะ โชคดีตลอดบทสัมภาษณ์และ พ.ศ. 2556 สวัสดีปีใหม่ครับ

MR.PRAEW : ขอคำถามนี้ก่อน สติ๊กเกอร์สุดฮิตอย่าง ‘รถคันนี้สีขาว’ รวมถึงอีกสารพัดสีที่ช่วยให้ดวงเจ้าของรถดีขึ้น ผมสงสัยว่า เราหลอกโชคชะตาได้ขนาดนั้นหรือ
หมอช้าง : มันช่วยให้ร้านสติ๊กเกอร์ขายดีเท่านั้นครับ (หัวเราะ) ผมไม่โทษคนติดนะ เพราะเขาไม่ได้เรียนโหราศาสตร์ จึงเชื่ออาจารย์ที่แนะนำ ทั้งที่ความจริงโหราศาสตร์ไม่มีกลไกแบบนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าผมทำป้ายแขวนตัวเองว่า ณเดชน์ มิสเตอร์แพรวจะเชื่อไหมว่า ผมคือณเดชน์

MR.PRAEW : ไม่เชื่อ
หมอช้าง : นั่นไง (หัวเราะ) ในทางโหราศาสตร์ เราทำแค่ความสบายใจไม่ได้ ถ้าสีของรถไม่ตรงกับดวงชะตา ก็แก้ไขได้ตั้งหลายวิธี เช่น หากล่องใส่ทิชชู่ หรือหมอนที่เป็นสีถูกโฉลกมาไว้ในรถ แต่ถ้าอยากติดสติ๊กเกอร์สี คุณต้องติดทั้งคัน ไม่ใช่แค่ข้อความ

MR.PRAEW : หมอช้างคิดอย่างไรกับเทรนด์เปลี่ยนเบอร์มือถือให้ดวงดี
หมอช้าง : อธิบายอย่างนี้ดีกว่า ผมแบ่งศาสตร์การพยากรณ์ได้ 5 อย่าง หนึ่ง การศึกษาจากดวงดาวคือ โหราศาสตร์ สอง การศึกษาสภาพแวดล้อม ทิศทางคือ ฮวงจุ้ย สาม ศึกษาจากกายภาพของคนคือ โหวงเฮ้งและลายมือ สี่ การเสียงทายเช่น เซียมซี ไพ่ยิบซี และสุดท้ายคือ เรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆ ซึ่งสมัยนี้มีกันเยอะ สำหรับเรื่องตัวเลขคือกรอบเล็กๆ ในตำราโหราศาสตร์ ไม่ใช่เนื้อหาหลัก แต่เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว คนจึงสนใจ

MR.PRAEW : ติดใจเรื่องเหนือธรรมชาติ เหมือนเดี๋ยวนี้เมืองไทยมีผู้วิเศษเต็มเมือง คุณคิดยังไง
หมอช้าง : ผมเชื่อว่า มนุษย์ในโลกหลายหมื่นล้านคนน่าจะมีคนที่สวรรค์ให้อะไรมากกว่าปกติ เพียงแต่ว่า ผู้วิเศษหรือเอ็กซ์เมนที่เหนือธรรมชาติเหล่านั้น รวมถึงคนที่อยู่ในอาชีพผมด้วยก็เถอะ หลายคนใช้ความรู้โดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน เช่น บอกแม่คนหนึ่งที่เสียลูกว่า ลูกไม่ได้บุญที่คุณทำให้ เพราะเขากำลังทรมานในนรกขุมนั้นขุมนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ ต้องตายไปด้วยกันถึงรู้ แต่คำถามคือ จิตใจของแม่คนนั้นจะรู้สึกอย่างไร ขณะเดียวกันคนที่เขาตั้งใจทำงานที่เป็นประโยชน์ก็พลอยโดนด่าไปด้วย

ติดตามอ่านต่อได้ที่ นิตยสารแพรว ฉบับ 801 วันที่ 10 มกราคม 2556 คอลัมน์

The Voice ตัวจริง เสียงจริงคนแรกของเมืองไทย

“ตอนแข่งรอบ blind ผมใจแป้วตั้งแต่ร้องเพลง ‘ฟ้า’ ท่อนแรกๆ คิดว่าคงไม่มีโค้ชคนไหนกดไฟหรอก ไม่เป็นไร ได้ออกทีวีสักครั้งในชีวิตก็พอ”

“ผมเกิดและโตที่ภูเก็ต ประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตั้งแต่อายุ 8 ขวบ บางครั้งก็เปลี่ยนไปร้องเพลงสตริงบ้าง ผมอยากร้องเพลงทุกแนวบนโลกใบนี้

รู้สึกเหมือนเราได้ชิมรสชาติใหม่ๆ อยู่เสมอ ผมเคยเรียนร้องเพลงด้วยนะ เผื่อว่าจะร้องดีขึ้น แต่ผมเป็นศิษย์นอกคอก ครูสอนให้หายใจทางปาก ผมก็ยังหายใจทางจมูก เพราะทำไม่เป็น ที่สุดเลิกเรียน คิดว่าผมคงเหมือนนกครับ ต้องหัดบินเอง ลองผิดลองถูกจึงจะแข็งแกร่ง

ธ ทรงเป็นแรงบันดาลใจ

“สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ ทุกสิ่งสำเร็จได้ถ้าไม่นั่งฝันอย่างเดียว ต้องลงมือทำด้วย”

“ครอบครัวผมจงรักภักดีและผูกพันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งเเต่สมัยรุ่นคุณตา (กมล สุโกศล) สมัยนั้นคุณตานำเข้ารถมาสด้า แล้วมีโอกาสรับเสด็จในหลวงที่เสด็จฯ มาที่ร้านห้องเเถวเยาวราช ยังมีรูปถ่ายเก็บไว้ด้วย

“ครอบครัวผมจงรักภักดีและผูกพันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งเเต่สมัยรุ่นคุณตา (กมล สุโกศล) สมัยนั้นคุณตานำเข้ารถมาสด้า แล้วมีโอกาสรับเสด็จในหลวงที่เสด็จฯ มาที่ร้านห้องเเถวเยาวราช ยังมีรูปถ่ายเก็บไว้ด้วย ถือเป็นเกียรติสูงสุดซึ่งน้อยคนจะได้รับ คือ ครอบครัวเราได้รับพระราชทานตราครุฑด้วย พอมาถึงรุ่นผมเเม้ไม่มีโอกาสเห็นพระองค์จริง ยังเสียดายว่า เกิดช้าไปไม่ทันได้เห็นช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินต่างประเทศ หรือเสด็จตามต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ผมจึงรู้สึกว่ายังมีอีกหลายแง่มุมเกี่ยวกับพระองค์ท่านที่ผมอยากรู้ ซึ่งเเหล่งข้อมูลที่ผมสามารถค้นคว้าได้ดีคือ รูปถ่าย กับหนังสือเก่า เพราะเป็นการเล่าเรื่องได้ดีที่สุด ผมรู้สึกว่า เวลาถือหนังสือเก่าเเล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอุ้มประวัติศาสตร์ประเทศชาติ

“ผมเป็นเหมือนนักสะสมหลายคน ที่ต่อให้วันศุกร์จะปาร์ตี้ดึกดื่นขนาดไหน ทุกเช้าวันเสาร์ผมต้องตื่นไปเดินจตุจักร หาของเก่า อย่างธงสยามรูปช้าง ซึ่งถือเป็นธงประจำแผ่นดินสยาม ที่ติดอยู่ตรงบริเวณเคานท์เตอร์ต้อนรับที่โรงเเรมThe Siam ผมซื้อมาเมื่อ 8 ปีที่เเล้ว มีเเขกชาวต่างชาติหลายคนเห็นเเล้วขอซื้อต่อ ผมไม่ขายเเน่นอน สำหรับพระบรมฉายาลักษณ์ที่ผมสะสมคือ ส่วนใหญ่เป็นขณะกำลังทรงงาน และในพระอริยาบถสบายๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น รวมทั้งแม็กกาซีนอย่าง Time ที่หน้าปกเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ 3 เล่ม ผมไปเจอในร้านขายหนังสือเก่าที่อเมริกา และแสตมป์ที่พิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงทุกโอกาส

“พอผมทำโรงแรม ก็พยายามอธิบายสิ่งเล็กน้อยๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย รวมทั้งสะท้อนเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ อย่างพระบรมฉายาลักษณ์ขณะเสด็จพระดำเนินไปเยี่ยมประชาชนที่ตลาด หรือในห้องหนึ่งที่ผมนำกล้องถ่ายรูปเก่ามาตั้งโชว์หลายสิบตัว ผมก็อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ที่ในหลวงทรงพกกล้องไว้เสมอมาติดไว้ด้วย หรือถ้าเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมจะมีอัลบั้มเพลงที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ไว้ รวมทั้งพระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงแซ็กโซโฟน คือผมเชื่อมโยงพระบรมฉายาลักษณ์เข้ากับสิ่งที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติ ผมยังมีภาพที่พระองค์ท่านพบกับเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งหลายคนอาจเคยเห็นกันแล้ว แต่ผมมีคอลเล็คชั่นภาพก่อนหน้านั้นด้วย เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงกับพระราชินีกำลังเสด็จทอดพระเนตรคอนเสิร์ตเอลวิส

บางเรื่องไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่ภาพถ่ายที่ดีสามารถทำให้เราเห็นวิญญาณของคนในภาพได้ การที่ได้เห็นพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ พระองค์ท่านมาตลอด ทำให้ผมตระหนักว่า คนเราควรมี Passion ในหลายๆ ด้าน ซึ่งกลายเป็นเเรงบันดาลใจให้ผมไม่ยึดติด หรือพึ่งอาชีพการร้องเพลงอย่างเดียว ผมจึงลองเเสดงหนัง สร้างโรงเเรม สะสมของเก่าที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ฯลฯ

การเดินทางท่องโลกแบบสุดขั้วของโอ๋-ฟูตอง

ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับโอ๋ปีนึง เพราะโอ๋อยากจะเดินทางอย่างสุดโต่ง แล้วโอ๋ก็ทำสำเร็จในปีนี้ คิดเอาไว้นานแล้วแต่ว่ายังไม่มีโอกาส คำว่าสุดโต่งในที่นี้หมายความว่าโอ๋ขายทุกอย่างเลย ทั้งบ้าน รถ ของ เสื้อผ้า ของที่รักทุกอย่าง แล้วโอ๋ก็ออกเดินทาง คือมันเป็นการเดินทางที่มีแค่กระเป๋าหนึ่งใบกับตัวกับพู่กันและสีแล้วโอ๋ก็ออกไปทุกที่

พูดถึงปีใหม่ หลายคนคงเป้าหมายกับการเปิดรับสิ่งใหม่หรือสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการดูแลตัวเอง หรือเรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่น ซื้อรถ หรือบ้านหลังใหม่ให้กับตัวเอง

แต่สำหรับสาวเซอร์อย่าง โอ๋ หทัยรัตน์ เจริญชัยชนะ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม โอ๋ ฟูตอง-นั้นแปลกออกไป เพราะเป้าหมายรับปีใหม่นี้คือการเดินทางท่องโลก และก็เป็นการเดินทางที่น้อยคนจะกล้าทำเสียด้วย

โอ๋ : ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับโอ๋ปีนึง เพราะโอ๋อยากจะเดินทางอย่างสุดโต่ง แล้วโอ๋ก็ทำสำเร็จในปีนี้ คิดเอาไว้นานแล้วแต่ว่ายังไม่มีโอกาส คำว่าสุดโต่งในที่นี้หมายความว่าโอ๋ขายทุกอย่างเลย ทั้งบ้าน รถ ของ เสื้อผ้า ของที่รักทุกอย่าง แล้วโอ๋ก็ออกเดินทาง คือมันเป็นการเดินทางที่มีแค่กระเป๋าหนึ่งใบกับตัวกับพู่กันและสีแล้วโอ๋ก็ออกไปทุกที่

เริ่มต้นการเดินทาง
โอ๋ : โอ๋ยกเลิกทุกอย่างเลย โอ๋ไม่มีโทรศัพท์บ้านแล้ว ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วก็เริ่มต้นตั้งแต่หลายเดือนก่อน เป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของโอ๋ แล้วก็ได้ทำจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะใจเด็ดขนาดนี้ที่กล้าทิ้งทุกอย่างได้(ยิ้ม) จริงๆ เป็นคนเดินทางบ่อยอยู่แล้ว แต่เป็นการเดินทางที่รู้ว่ามีบ้านที่รอเราอยู่ แต่ว่าโอ๋อยากจะสุดโต่งก็คือการทุบหม้อข้าวทิ้งเลย จริงๆ สิ่งนี้มันคือการเปลี่ยนแปลง

ชาร์ตแบตฯก้อนใหญ่ให้ชีวิต
โอ๋ : อยากจะชาร์ตแบตฯก้อนใหญ่ ทุกครั้งที่เราไปเที่ยวเราจะชาร์ตฯแบตก้อนเล็กๆ ของเราใช่ไหมคะ แต่ครั้งนี้มันคือการชาร์ตก้อนใหญ่ มันคือการทำให้ตัวเองกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง มันคือการเสี่ยง มันคือการทำทุกอย่าง แบบว่ามุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าอะไรจะรอเราอยู่ข้างหน้าบ้าง โอ๋รู้สึกว่าชีวิตโอ๋กระชับกระเฉงขึ้นมาก มันตื้นเต้นมาก และนั่นคือการชาร์ตแบตก้อนใหญ่ของโอ๋คะ

ค้นหาสิ่งใหม่ๆ จากการเดินทาง
โอ๋ : คือการได้รู้จักสิ่งแปลกใหม่ ได้พบเจอกับสิ่งที่เราไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปสร้างผลงานหรือทำอะไร โอ๋คิดว่าสิ่งนั้นคือการสร้างงานที่ยิ่งใหญ่นะ การไปจุดประกายที่นั่น โอ๋ไปอินเดียได้เจอกับผู้คนแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคนแบบนี้ได้ที่นี่ หรือเราก็อาจไม่เจอคนอย่างนี้ในประเทศอื่น ได้เพื่อนใหม่มาเยอะเหมือนกันค่ะ ครั้งนี้จริงๆ แล้วมีจุดมุ่งหมายอยู่นิดนึง คือไปทำงานศิลปะก็เลยเลือกที่จะไปเฉพาะอินเดีย เพราะมีงานรออยู่แต่ตอนนี้งานศิลปะเสร็จแล้ว หลังจากนี้เราก็อยากจะเที่ยวจริงๆ แล้วคะ

จุดหมายใหม่ในเซ้าท์แอฟริกา
โอ๋ : จริงๆ แล้วก็ไม่ได้วางแผนไกลเลยคะ ประเทศที่ต้องไปเดือนกุมภาพันธ์นี้ ก็คือเคนย่า เซ้าท์แอฟริกา เพราะเพื่อนแต่งงานเราเป็นคนทำการ์ดแต่งงานให้เขา คือเราก็ตั้งใจจะไปร่วมงาน แล้วที่สำคัญคืออยากไปเซาท์แอฟฟริกามานานมากแล้ว เลยถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้ไป (ยิ้ม) โอ๋อยากจะไปประเทศที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไป จริงๆ โอ๋อยากไปเลบานอนมาก แต่ว่าทำวีซ่าไม่ได้เพราะไม่มีสถานทูตเลบานอนที่เมืองไทย การทำวีซ่าจึงยากมากๆ สำหรับคนไทย ก็เลยอดไปนี้นอกจากนี้โอ๋ก็มักจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกันกับครอบครัวบ้าง เพื่อนบ้างค่ะ

OH+’s Life 2013
โอ๋ : พูดตรงๆ เอาแบบจริงจังเลยนะ (หัวเราะ) โอ๋เป็นคนไม่ค่อยคาดหวังอะไร แพลนชีวิตของโอ๋จะเปลี่ยนทุกๆ เดือนเลยค่ะ เพราะเป็นคนไม่ค่อยมองอะไรไกล อย่างเดียวที่วางแผนไว้ ก็คือจะสร้างสตูดิโอที่เมืองไทย เพื่อที่จะได้กลับมาแสดงผลงานที่เราทำ ให้ผู้อื่นได้ชื่นชมกัน นี่คือแผนสำหรับเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์เป็นเวลาสองเดือน เราจะหาแบบที่ดินมาเพื่อทำบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ ซึ่งเราจะได้ใช้บ้านของพ่อกับแม่ที่เมืองไทยนี้ สร้างทำเป็นสตูดิโอของเรา เป็นแผนล่าสุดที่น่าจะใกล้ตัวที่สุดแล้ว

จบจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้แล้ว เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสาวลุยสุดเซอร์คนนี้จะไปเยือนมุมไหนของโลกอยู่บ้าง แต่มั่นใจว่าอีกไม่นานเราจะได้ยินเรื่องราวสนุกสนานจากปลายปากกาของเธอมาให้พวกเราได้จินตนาการตามไปอีกระลอกใหญ่แน่นอนค่ะ

keyboard_arrow_up