‘แหม่ม-จินตหรา’ เห็นใจ ‘โฬม’ ภาพลักษณ์เสียหาย

กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกจับตามองอย่างมากเลยทีเดียว หลังพระเอกหนุ่ม “โฬม-พัชฏะ นามปาน” มีอาการมึนๆ เบลอๆ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องขณะออกงานอีเว้นท์หนึ่ง จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย โดยก่อนหน้านี้พระเอกหนุ่ม “โฬม” ได้ออกมาเปิดเผยแล้วครั้งหนึ่งที่งานอีเว้นท์ดังกล่าวในสภาพมึนๆ ว่าเป็นเพราะเมายาแก้อักเสบที่กินอัดเข้าไปค่อนข้างเยอะนั่นเอง

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รายงานว่าจากกรณีนักแสดงสาวรุ่นพี่ ‘แหม่ม’ จินตหรา สุขพัฒน์ ได้ร่วมงานถ่ายละครคู่กับพระเอกหนุ่ม “โฬม-พัชฏะ” อยู่บ่อยๆ ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวของ “โฬม-พัชฏะ” ลงเฟสบุ๊คส่วนตัว Mam Jintara เป็นการยืนยันว่า “หนุ่มโฬม” มีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้จริง และมีคุณแม่มาคอยดูแลที่กองถ่ายอยู่บ่อยๆ พร้อมจวกผู้จัดการส่วนตัวของ “โฬม” ว่าไม่ดูแลภาพพจน์พระเอกคนดัง ทำไมปล่อยให้มีภาพดังกล่าวออกมาได้

“เสียดายค่ะเขาเป็นนักแสดงที่ดี นิสัยส่วนตัวดี แต่พอคลิปออกมาแบบนี้ เขาเสียหายมาก ยอมรับว่าโฬมกินยานอนหลับ และยารักษาโรคประจำตัว เนื่องจากเขาเป็นภูมิแพ้อย่างหนัก บางวันมาทำงานไม่ไหว คุณแม่ต้องตามมาดูแลที่กองถ่ายด้วย พี่ไม่ได้แก้ตัวแทนนะคะ พี่ร่วมงานการแสดงกับเขา ถึงทราบว่าเขามีโรคประจำตัว แต่คลิปนี้ต้องตำหนิผู้จัดการส่วนตัวว่าให้นักข่าวสัมภาษณ์โฬมได้ไง แปลกใจว่าทำไมปล่อยให้ออกมาแบบนั้น เขายังไม่พร้อมเลย ขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจนะคะ” เป็นข้อความจากเฟสบุ๊คของ แหม่ม จินตหรา

ภาพ : IG

สุดทึ่ง! อาร์ตเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ข่าว “อาร์ต KPN” มีลูกทั้งที่เป็นเกย์แน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวฮอต แต่การที่้ขาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นี่สิ ขอบอกว่าน่าสนใจมว้ากกก

“เป็นนมแม่จริงๆ ครับ ได้มาจากการบริจาค เริ่มจากผมโพสข้อความขอบริจาคน้ำนมแม่บนเฟสบุ๊ก ‘นมแม่แบ่งปัน’ ปรากฏว่า มีคนติดต่อมาเยอะมาก จนตอนนี้เต็มตู้เย็นแล้ว ล่าสุดที่ไปรับมาตอนแรกเขาบอกว่ามี 100 ถุง เราก็เตรียมกล่องโฟมไปแพ็คแค่นั้น แต่กลายเป็นว่าเขาให้มาถึง 200 ถุง แถมบอกเดี๋ยวปั๊มใหม่ให้ ตอนนี้น่าจะมีพอให้น้องอันนา(ลูกสาว) ถึง 6 เดือนแล้ว ที่สำคัญคุณแม่ทุกคนที่บริจาคนมมายังให้กำลังใจผมด้วย บางคนบอกว่าไม่เคยให้นมลูกกับใครเลย แต่ให้ผมเป็นคนแรก เพราะเขาดูข่าวแล้วชื่นชมที่เรามีความรับผิดชอบ ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณทุกคนมาก พวกคุณได้ให้สิ่งล้ำค่ากับลูกของผม ซึ่งหาซื้อที่ไหนไม่ได้จริงๆ

“ขอบคุณครับ”

เรื่อง Mr.Praew

‘เจนี่’ แฮปปี้เว่อร์ ‘เจสัน’ เซอร์ไพรส์เบิร์ดเดย์ล่วงหน้าก่อนบินกลับไทย พร้อมประกาศชัดงดสื่อเผือกเรื่องส่วนตัว!

ทำเอาสาว ‘เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ’ แฮปปี้ฟินกระจาย เมื่อเพื่อนที่ดีที่สุด ‘เจสัน เบอร์เรนท์’ และเพื่อนๆ ที่อเมริการ่วมหัวจัดเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้เบิร์ดเดย์ล่วงหน้า พร้อมเลี้ยงส่งนางเอกสาวก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมประกาศกฏอัยการข่าวชัด ‘เจนี่’ งดสื่อเผือกเรื่องส่วนตัว

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมานางเอกสาวเจนี่ได้อัพภาพลงอินสตาแกรม janienineeleven ซึ่งเป็นภาพที่เธอกำลังนั่งหลับตาราวกับกำลังอธิษฐานอยู่ในร้านอาหาร พร้อมกับข้อความ “My early birthday surprise #sosweet #serenity #loved” (เซอร์ไพรส์ก่อนถึงวันเกิด) นอกจากนี้ยังได้อัพคลิปวิดีโอ ซึ่งในคลิปจะเห็นชัดเจนว่าเพื่อนๆ มะกันของเจนี่ได้ร่วมกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดล่วงหน้าให้กับนางกลางร้านอาหารที่ประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมีความสุข โดยมีเพื่อนมะกันที่ดีสุด หล่อ-ล่ำที่สุดอย่างเจสันรับหน้าที่ยกเค้กมาให้นางเอกสาวคนดังอีกต่างหาก พร้อมข้อความขอบคุณก๊วนเพื่อนๆตามนี้ ” Thanks to @adamcoynewell you really made my day totally!!! @jasonberrent thanks for everything darling”

แฟนเก่า ‘คิมฮยอนจุง’ ปล่อยหลักฐานภาพถ่ายโดนไอดอลหนุ่มซ้อมน่วม!

สำนักข่าวจอมแฉ Dispatch สร้างความฮือฮาด้วยหลักฐานจากอดีตหญิงคนรักของไอดอลหนุ่มคนดัง “คิมฮยอนจุง” ที่เป็นภาพถ่ายซึ่งแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยช้ำของเธอ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอเคยโดนเขาทำร้ายร่ายกายจนบาดเจ็บจริงๆ

เรื่องอื้อฉาวของไอดอลหนุ่ม คิมฮยอนจุง และอดีตหญิงคนรักซึ่งสื่อเกาหลีใช้ชื่อเรียกว่า “A” เริ่มจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วเมื่อล่าสุดฝ่ายหญิงได้ส่งภาพที่เธออ้างว่าเป็นหลักฐานว่าตนเองเคยโดนดาราหนุ่มขวัญใจสาวๆ ทำร้ายร่ายกายจนบอบช้ำทั้งบริเวณหน้าอก, แขนทั้งสองข้าง, สะโพก รวมไปถึงด้านซ้ายของใบหน้าด้วย พร้อมหลักฐานใบรับรองจากแพทย์ที่ตรวจดูอาการของสาว A และพบว่าเธอมีรอยช้ำอยู่ทั่วร่างให้กับสื่อดัง Dispatch นำไปเผยแพร่ ซึ่งสาว A อ้างว่าภาพดังกล่าวถ่ายเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค. ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เธอยังคบหาดูใจอยู่กับเขา และวันที่เกิดเหตุทั้งคู่เกิดมีปากเสียงกันขึ้น เพราะฝ่ายหญิงเริ่มสงสัยว่า คิมฮยอนจุง อาจจะมีผู้หญิงอื่น สุดท้ายการถกเถียงจึงบานปลายไปเป็นการลงไม้ลงมือกัน

หลังข่าวกลายเป็นประเด็นใหญ่โตในหน้าสื่อเกาหลีใต้ ทาง Keyeast ต้นสังกัดของ คิมฮยอนจุง ได้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่าเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ฝ่ายหญิงได้รับบาดเจ็บจริง แต่ก็เป็นเพียงการเล่นกันรุนแรงเกินกว่าเหตุของอดีตคู่รักเท่านั้น นอกจากนั้น Keyeast ยังอ้างว่า คิมฮยอนจุงคบกับผู้หญิงคนนี้แค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ไม่ได้นานถึง 2 ปีอย่างที่เธออ้าง แต่หลังออกแถลงการณ์ไปไม่นาน Dispatch ก็ปล่อยข้อมูลอีกชุด เป็นข้อความที่ทั้งสองเคยส่งให้กันในระหว่าง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งข้อความบอกรักที่ คิมฮยอนจุง ส่งไปหาฝ่ายหญิง และยังมีข้อความที่เขาขอร้องไม่ให้เธอเลิกกับเขา รวมทั้งข้อความที่ดาราหนุ่มส่งให้ฝ่ายหญิงเกี่ยวกับเหตุการณ์การทำร้าย โดยมีใจความว่า “ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงทำอะไรที่จะทำให้ผมเองก็เสียใจ หวังว่าจะหายจากความบอบช้ำในเร็ววันนะครับ ผมขอโทษจริงๆ” ซึ่งสาว A ก็ยืนยันว่าเธอคบกับไอดอลหนุ่มคนดังเป็นปี ไม่ใช่แค่ไม่กี่เดือนอย่างที่ต้นสังกัดของเขาอ้างแต่อย่างใด ถึงตอนนี้ฝ่ายหญิงได้เข้าไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว

เพื่อให้เรื่องกระจ่างเร็วที่สุด คิมฮยอนจุง จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ทันทีที่เขากลับถึงเกาหลีใต้หลังเดินทางกลับจากแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทยจ้า

ที่มา : http://popcornfor2.com

‘แพทตี้’ แปลงโฉมใส่ชุดนร.ไทยกลางนิวยอร์ก!

เห็นหน้าโผล่มาแค่แว่บๆ ตอน ‘วิน’ ในฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2 ทำเอาหลายคนถึงกับแซวว่า ‘แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา’ ไปถ่ายทำที่นิวยอร์กด้วย หรือเป็นแค่ฉากกราฟิคที่ทำขึ้นมา งานนี้เจ้าตัวถึงกับยิ้ม และยืนยันว่า ”หนูไปมาจริงๆค่ะ”

”บรรยากาศการถ่ายทำที่นิวยอร์กสนุกมาก คือเวลาเราเดินทางไปเมืองนอกก็รู้สึกอยากใส่ชุดสวยๆ ถ่ายรูป แต่ตอนถ่ายทำแพทต้องใส่ชุดนักเรียน รองเท้านักเรียนเดินอยู่กลางนิวยอร์ก หนาวมาก คนทั่วไปต่างมองเราเป็นตัวประหลาด เพราะโรงเรียนที่โน่นไม่มียูนิฟอร์มเหมือนบ้านเรา มีครั้งหนึ่งแพทอยู่ในรถไฟใต้ดิน แต่กล้องอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เพื่อจะถ่ายฉากที่วินยืนมองแล้วก็หันมา ตอนนั้นดึกมากและแทบไม่มีคน แพทไม่รู้ว่าช่างกล้องเริ่มเก็บภาพหรือยัง เลยยืนนิ่งไว้ก่อน ไม่อยากขยับเดี๋ยวใช้ไม่ได้ ระหว่างนั้นก็มีขบวนรถไฟวิ่งผ่านมาผ่านไป แล้วมีอยู่ขบวนหนึ่งผ่านมาแล้วหยุดตรงหน้า สักพักคนขับรถไฟเปิดหน้าต่างมาถามว่า ARE YOU OK? แพทก็ตอบไม่ได้ ต้องนิ่งและตามองกล้องอยู่ไกลๆ เขาคงงงว่าเรามาทำอะไรคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ คงกลัวแพทจะฆ่าตัวตาย เพราะที่โน่นมีคนกระโดดขวางรถไฟฆ่าตัวตายเยอะมากค่ะ (หัวเราะ)


“อยากฝากให้ติดตามฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2 กันเยอะๆนะคะ จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตวัยรุ่นค่ะ”


ภาพ :

อั้ม-แอมป์… หวานเปียก! ราด IceBucketChallengeTH ปาท่องโก๋

ประกาศให้โลกรู้ว่าเราคู่กันนะจ้ะ ว่าเเล้วนางเอกสาว อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ก็จัด IceBucketChallengeTH ราดน้ำแข็งคู่ เปียกคู่กับเนื้อคู่ไฮโซ แอมป์-พิธาน องค์โฆษิต พร้อมอัพคลิป อัพข้อความลงไอจี งานนี้บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะว่าเป็นการโชว์หวานเปียกท้าบริจาคแสน! ที่แฟนๆ รัวไลค์กระจาย

โดยสาวอั้มอัพกระจายมาแบบว่า #aum_patchrapa รับคำท้าแล้วนะจ๊ะ ณเดชน์ /พี่เสาวลักษณ์ /ต๊อบ / เมย์ พิชญ์นาฏ /พี่ติ๊ก กัญญารัตน์ / ปอย ตรีชฎา /ทีมนักกีฬาวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทย และ นัท ณัฐพล … จริงๆ กะว่าจะไม่ทำ จะร่วมบริจาคอย่างเดียว แต่นัทท้ามาว่าถ้าอั้มกับแอมป์รับคำท้าจะบริจาคให้คนละ 1 แสน สมทบทุนร่วมทำบุญด้วย ส่วนจะทำบุญที่ไหนสัปดาห์หน้าจะมาบอกนะคะ วันนี้เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด…ไม่ขอท้าใครต่อนะคะ คิดว่าทุกคนคงเล่นกันครบแล้ว และอย่าลืมร่วมบริจาคตามความตั้งใจของผู้เริ่ม icebucketchallenge นะคะ. ถ้าเล่นโปรดระมัดระวังด้วยนะคะ @nut_nuttapol รับคำท้าป๋าใจดีล่ะนะคะ. ทำพร้อมกับ @amp_ongkosit ล่ะน้า

วันใหม่ ฉัตรบริรักษ์… โหม่ยมุ้งมิ้ง

พี่ชายขึ้นชื่อเรื่องปรมาจารย์เกรียน แต่น้องสาว หนูโหม่ย-วันใหม่ ดูจะมีมุมมุ้งมิ้งอยู่นะ ข้อสังเกตนี้มาจากคุณแม่งามทิพย์ ฉัตรบริรักษ์ จร้า

“เห็นมีแต่พี่ชายไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเป็นทอมบอยนะคะ เขารักสวยรักงามพอตัว แถมชอบทำงานบ้าน ล่าสุดเพิ่งพาพี่มืด (สุนัขตัวโปรด) ไปทำสวยครบวงจร ตั้งแต่อุ้มไปอาบน้ำ ไดร์ขน ปากก็บ่นพึมพำ “พี่มืดอย่าดื้อกับคุณโหม่ยนะ” คือทุกวันอาทิตย์เขาเห็นพี่เลี้ยงอาบน้ำให้น้องหมา จึงจำมาทำบ้าง วันนั้นพอแม่ลงรูปในไอจีมีคนบอกว่า พี่มืดจะรอดไหม จะผิวไหม้ไหม จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ลมเย็นค่ะ เลยปล่อยให้เขาไดร์ไปด้วยท่าทางที่เหมือนชำนาญเชียว ทั้งที่ไม่เคยทำหรอก แต่หลายๆ อย่างเขาเห็นจากพี่เลี้ยงทำ แม่ไม่เคยสอน อย่างกวาดบ้าน เช็ดโต๊ะ หรือรีดเสื้อ ที่ไปเจอเตารีดตัวเล็กๆ แล้วลองรีดเล่นตั้งแต่ขวบครึ่ง จนเรางงกันว่าเหมือนเธอเคยทำงานบ้านมาก่อน

“ครูบอกว่า วันใหม่วุฒิภาวะดี เข้าใจที่ครูสอน ตั้งใจทำงาน และชอบดูแลคนอื่น ใครลุกจากเก้าอี้นางจะเข้าไปจูง ชอบเป็นพี่เลี้ยง แต่มุมกุ๊กกิ๊กแบบผู้หญิงก็มี อย่างแอบหยิบลิปสติกของแม่ไปแต้มปาก เคยเผลอแป๊บเดียวนางหยิบลิปสติกทาถึงหู นับไม่หมดละว่าเสียไปกี่แท่ง

“พี่ๆ เขาไม่ค่อยหวงน้อง แต่เห่อ เวลากลับจากที่ทำงานทุกคนจะมาถามหาว่า น้องอยู่ไหน เพราะวันใหม่เล่นด้วยแล้วสนุก เขาเลียนแบบเก่ง ถ้าเล่นกับเฮียบอยจะขำๆ ครับผม หรือทำครับผมเวอร์ชั่นเสียงสูงได้ ทำหน้าเลียนแบบก็ได้ ส่วนเรื่องความกลัวเขากลัวแม่ที่สุด แต่ขนาดกลัวนะคะแม่ยังเหนื่อย (หัวเราะ) เคยตกลงกันว่า ถ้าเขาดื้อ แม่จะนับ 1 2 3 ถ้ายังไม่หยุดจะโดนตีน่อง ตอนหลังเขาบอกว่า ไม่ดื้อ ไม่ซน แต่หนีๆ (หัวเราะ) ภัทรบอกแม่ว่าต้องแลกกันนะ ถ้าอยากให้เด็กเก่งทำอะไรได้หลายอย่างก็ต้องมีมุมดื้ออย่างนี้บ้าง แม่เองเวลาดุไปแล้วเห็นเขาจ๋อย ก็เปลี่ยนบรรยากาศไปหัวเราะใส่ เขาก็จะคุณแม่ขา แล้วมามุ้งมิ้งๆ อยู่ตรงหน้าเรา

“เห็นแล้วใจอ่อนทุกที”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 839 (10 สิงหาคม 2557) คอลัมน์ Live stories

แหม่ม-คัทลียา เปิดกองเม้าท์ ‘เนซซี่’ การันตีความฮา

เป็นซุปตาร์ในไอจีอีกคนสำหรับ หนูเนซซี่ ลูกสาวสุดเลิฟของคุณแม่คนสวย คัทลียา กระจ่างเนตร์ รายการเม้าท์ครั้งนี้จึงเกิดขึ้นจากความรักล้วนๆ

“วีรกรรมประจำตัวของเนซซี่คือ บาดเจ็บบ่อยสุด ทั้งที่นางเป็นหญิง แต่เดี๋ยวตก หล่น ล้ม สันนิษฐานว่าเพราะมีพี่ชายสองคน…มั้ง บางโมเมนท์นางจึงเหมือนทอมบอย ไม่กลัวใคร ไม่ขี้อาย ทีนี้พ่อเห็นความทะโมนของลูกสาวแล้วคงกังวล วันหนึ่งพอรู้ว่านางชอบตุ๊กตาจึงโล่งใจมาก อุตส่าห์ขับรถไปซื้อมาให้ลูกสี่ตัวรวด แต่อ่านฉลากแล้วเขาห้ามเด็กเล็กเล่นจึงต้องเก็บใส่ตู้ไว้ก่อน จ๋อยเลย

“ถึงอย่างไรเนซซี่ก็จัดว่ารักสวยรักงามอย่างที่คุณยายเคยเอ่ยชมด้วยศัพท์เฉพาะตนว่า “แม่คนนี้จั๊กกะแหลน” อย่าไปเปิดพจนานุกรมนะคะ ความหมายไม่ใช่อย่างที่คุณยายเอ่ยแน่ๆ ของเล่นโปรดของเนซซี่คือพวกตุ๊กตา โดยเฉพาะตุ๊กตาเจ้าหญิง กับพวกเครื่องสำอางของเด็กไว้เล่นปัดแก้ม ทาปาก เวลาแม่แต่งหน้าจะชอบมานั่งดู ยิ่งวันไหนมีช่างแต่งหน้ามาเป็นเรื่องเป็นราว เสร็จนางเลย สมัยยังเล็กกว่านี้แค่ให้พู่กันใส่มือไปเล่นอาจจะจบ แต่เดี๋ยวนี้มีขอแป้ง ขอที่ปัดแก้มสีชมพูเพิ่ม

“แต่ความรักสวยรักงามยังเป็นรอง เรื่องใหญ่ของเนซซี่คือการไปเที่ยวข้างนอก ถ้ารู้ว่าไม่ได้ออกจากบ้านจะโวย แต่ด้วยวัยที่ยังเล็ก ความแสบของนางจึงมาเป็นคำพูด เช่น “แม่ๆ ห้ามไปนะ นั่งตรงนี้” และเดี๋ยวนี้สามารถค้อนได้ หน้างอเป็นแล้ว ขั้นกว่าคือ หน้าเบะ เสียใจ แค่พ่อตะโกนเตือนว่าระวังน้ำหก เท่านั้นก็ปากห้อย “ป่าป๊า ไม่รักหนู หนูเสียใจ” เล่นใหญ่มา…ก

“เวลาเนซซี่อยู่ในโหมดซอฟท์ แสดงออกว่ารักแม่ เขาจะขอให้อุ้ม พออุ้มแล้วซบหน้านิ่ง บางเวลาถามเขาว่า รักแม่ๆ ไหมคะ เขาก็บอกว่า รักค่ะ ให้หอม ให้กอด ให้พูดว่าอะไรทำให้หมด เพียงแค่แม่ๆ ต้องมีขนมอยู่ในมือ
“เคล็ดลับความรักอยู่ตรงนี้เองค่ะคุณขา”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 839 (10 สิงหาคม 2557) คอลัมน์ Live stories

เฮเดน-โจชัวร์ ฟิชเชอร์… แฝดกลัวแม่มด

ดังเป็นพลุแตกกับบท ไก่-ไข่ ฝาแฝดลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ที่พกความซ่ามาแบบเต็มแมกซ์ การันตีความซนแบบดับเบิ้ลโดยคุณแม่เจน-จิดาภา

“ความซนของสองคนนี้ขึ้นชื่อมาก แย่งของเล่นกันมาตั้งแต่อายุสามเดือน ถึงทุกวันนี้ก็ยังทะเลาะกันทุก 5 นาที (หัวเราะ)

“แม้จะเป็นแฝดแต่นิสัยต่างกันเยอะ เฮเดนมีความเป็นพี่สูง ชอบปกป้องและเป็นผู้นำ ทั้ง ที่เกิดห่างกันแค่ 1 นาที ส่วนโจชัวร์จะดื้อ ง้องแง้งตลอดเวลา ชอบหาเรื่องคนอื่น แต่ในทางกลับกัน บทเฮเดนงอแงขึ้นมาจะเป็นเยอะกว่าโจชัวร์มาก ที่สำคัญคือตื๊อไม่หยุดด้วย เหมือนระเบิดแตกเลย

“เห็นทะเลาะกันอย่างนี้แต่จัดว่าเฮเดนโจชัวร์มีความสามัคคีกันสูงมาก ครั้งหนึ่งระหว่างที่ทั้งคู่กำลังตีกัน จู่ๆ ชาลี(น้องชายคนเล็ก)เข้าไปแจมแล้วตีโดนใครสักคน เท่านั้นแหละ สองคนนี้รวมพลังหันมารุมน้องคนเดียว แม่ต้องห้ามยกใหญ่ เวลาอยู่โรงเรียน ถ้าแยกห้องเรียนไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ด้วยกัน เกิดสงครามได้ตลอด ยกเว้นถ้ามีคนอื่นแหยมเข้ามา เขาจะไม่ยอม

“บ้านเราเลี้ยงลูกทั้งแบบไทยและฝรั่ง แต่เรียนรู้แล้วว่า การตีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ็บแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ทำอีก กระทั่งวันหนึ่งพาเขาไปเดินห้างช่วงฮัลโลวีน เพิ่งรู้ว่าสองคนนี้กลัวแม่มดมาก แม่เลยได้ที ถ้าเริ่มซนเมื่อไหร่จะบอกว่า witch เขาจะเงียบกริบ

“หวังว่าจะใช้มุกนี้ได้อีกนานๆ”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 839 (10 สิงหาคม 2557) คอลัมน์ Live stories

ศรีริต้า ได้ยาดีชื่อ‘ขันเงิน’ เกาะติดขอบเตียง ดูแลใกล้ชิด!

จากที่นางเอกสาวสวย ‘ริต้า-ศรีริต้า เจนเซ่น’ ต้องผ่าตัดด่วนหลังหมอตรวจพบช็อกโกแลตซีสต์ 3 ก้อนในช่องท้อง ตอนนี้สาวริต้าได้กลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว โดยเจ้าตัวดูมีสีหน้าที่สดใสขึ้นเป็นกอง คงเพราะได้กำลังใจดีจากเพื่อนสนิท รวมทั้งคนรู้ใจอย่าง ‘ขันเงิน’ ที่คอยดูแลตลอดเวลา

“หลังจากผ่าตัดแล้วคุณหมอบอกว่าต้องให้เวลาพักฟื้น 3 อาทิตย์ ถึงจะหายเป็นปกติ แต่ริต้ารู้สึกเองว่าร่างกายฟื้นตัวเร็วมากกกกก. อย่างช่วงแรก จริงๆ หลังผ่าตัดริต้าต้องนอนอยู่โรงพยาบาลแล้วใส่สายเดรนเลือดประมาณ 4 วัน แต่วันแรกริต้าลุกเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว พร้อมกับหิ้วถุงนี้ติดตัวไปด้วยตลอด บอกตามตรงว่ารู้สึกอึดอัดมาก ปกติไม่ค่อยเป็นอะไร คิดว่าตัวเองแข็งแรง พอเป็นทีก็เป็นหนักเลย คุณหมอเองยังงงว่าทำไมริต้าฟื้นฟูร่างกายได้เร็วมาก อาจเพราะมีงานรออยู่ทั้งถ่ายโฆษณา และละคร เราจึงต้องรีบกลับมาเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด ด้านขันเงินก็ดูแลริต้าอย่างดี ก่อนรู้ตัวว่าเป็นซีสต์ ริต้ายังบ่นกับเขาอยู่เลยว่าปวดท้อง เขาจึงพาไปหาหมอ ต้องบอกว่าตอนนี้เขาแทบไม่ได้ไปงานสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเลย ว่างเมื่อไหร่ก็จะมาหาริต้า เอายาบำรุงมาให้กินที่บ้านตลอด

“อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ริต้าหายเร็วก็ได้ค่ะ”

ภาพ : IG

นาวา-พัชรนันท์… หนูน้อยจอมอ้อน

ด้วยยอดโฟล์โลว์ 78k ในอินสตราแกรม nava_patchranant การันตีความน่ารักของสาวน้อยตากลม ผมหยิก ที่ถอดแบบความสวยของแม่ อ้อม- พิยดา จุฑารัตนกุล มาเป๊ะๆ

“นาวาติดอ้อมมาก เพราะนอนด้วยกันตลอด ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอ เขาจะเริ่มร้องเรียก แม่จ๋าๆ เวลากินข้าว ป้อนนม ก็จะเป็นหน้าที่อ้อม แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยเจอลูกเพราะอ้อมเป็นผู้จัดละครเรื่อง ‘เงาใจ’ ทางช่อง 5 ต้องออกจากบ้านเกือบทุกวัน บางวันต้องออกเช้ามากตั้งแต่ตี 5 กลับก็ดึกแล้ว หน้าที่เลี้ยงลูกจึงเป็นของพ่อแทน แต่วันไหนออกสายได้ก็จะตื่นมาทำอาหารเช้าให้เขาทาน นาวาชอบมะเขือเทศมาก ก็จะทำมะเขือเทศใส่ไก่งวง บางวันทำไข่กระทะ อ้อมรู้สึกว่าเวลาตอนเช้าก่อนไปทำงาน เป็นช่วงที่มีความสุขมาก ได้นั่งกินข้าวกับลูกแล้วก็แชร์รูปลงอินสตาแกรม

“นิสัยนาวาค่อนไปทางขี้อ้อนมาก อ้อนทุกคนเลย โดยเฉพาะพ่อ วันหนึ่งนาวาบอกพี่อาทว่า‘พ่อจ๋า นอนมองตากันนะ’ พ่อก็โทรมาเล่าด้วยความปลาบปลื้มมา… พออีกคืนพี่อาทถามลูกว่า ‘นาวาโตแล้ว ให้คุณพ่ออาบน้ำได้ไหมคะ’ เขาก็ตอบกลับชนิดที่ทำให้พี่อาทน้ำตาไหลว่า ‘ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้’ ส่วนกับอ้อม ถ้าวันไหนออกไปทำงาน ไม่ได้เจอกัน วันรุ่งขึ้นนาวาจะเดินมาบอกด้วยเสียงหวานเจี๊ยบว่า ‘แม่จ๋า นาวาคิดถึงแม่จ๋าเหลือเกินจ้ะ’

“หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง”

ภาพ IG :

สัมภาษณ์ “ดีเจเจ๊แหม่ม” จัดเต็ม! พร้อมแต่งแฟนหนุ่มปีหน้า

อุต๊ะ ว้ายกรี๊ด กับข่าวโลกาภิวัฒน์ฉบับเรียลิตี้ เหตุเพราะดีเจหน้าหวาน “เจ๊แหม่ม-วินัย สุขแสวง” ออกมาประกาศก้อง พร้อมแต่งงานกับแฟนหนุ่มรุ่นน้อง “บอย-พัชรวัสส์ คงถวิล” แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้มีภาพงานหมั้นสุดสวีทของทั้งคู่หลุดออกมาว่อนเน็ตให้แมงเม้าท์กระพือปีกกันให้ว่อน วันนี้(27 สิงหาคม) praew.com มีคำสัมภาษณ์ของคู่รักกระแสแรงมาให้เม้าท์สนั่นขึ้น

ข่าวว่าพบรักที่สีลม?
บอย : บังเอิญผมไปเที่ยวที่สีลม ต่างคนต่างไปพักผ่อนกัน แล้วก็ไปเจอกันที่ผับ

เจ๊แหม่ม : ใครจีบใครก่อน จะถามงี้ใช่มั้ย แหม… เห็นหนังเหนียวแบบนี้แต่ไม่แรดนะคะ(หัวเราะ) เขาต้องมาจีบเราก่อนสิ
เราเนี่ยเป็นคนเก่งแต่ปาก เอาเข้าจริงก็ไม่กล้า เพราะฉะนั้นเขาเป็นคนเริ่มก่อน(เน้นเสียง)

บอย : (หัวเราะ) ครับ ผมเป็นคนเริ่มก่อนเองแหละ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นพี่เจ๊แหม่ม คิดว่าเป็นคนมาเที่ยวปกติ เห็นหน้าสวยๆ ด้วย

เจ๊แหม่ม : วันแรกที่เขาเห็นเรา เขาบอกว่าสงสัยคงแต่งตัวมาโชว์ เพราะหน้าผมมาเต็มมาก นางนึกว่าเป็นนางโชว์อยู่ซอย 2 (หัวเราะเสียงดัง)

บอย : วันนั้นก็แค่คิดว่าหาเพื่อนคุยกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นแฟนกันจนถึงวันนี้ครับ สารภาพเลยว่าตอนแรกไม่ได้คิดอะไรเลย ตั้งใจคบแบบเป็นเพื่อนเที่ยวเฉยๆ แต่พอหลังจาก 2 อาทิตย์แรกที่พบกัน แล้วก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คือเขาเป็นคนดูแลเอาใจใส่ และทำอาหารอร่อยมาก(เน้นเสียง) ขณะที่ถ้าผมมีเวลาก็จะไปคอยดูแลเขาที่บ้านบ้าง

ตอนนี้หมั้นกันแล้ว?
เจ๊แหม่ม : ใช่(ยิ้มแฮ้ปปี้) แต่ยังไม่ได้เป็นสามีเป็นตัวเป็นตนนะ เป็นคู่หมั้นไปก่อน คือมีคนมาดูแลก็แฮปปี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ส่วนงานพรีเวดดิ้งนั้นเป็นไอเดียของวู้ดดี้ เพราะเราไปออกรายการวู้ดดี้ เกิดมาคุย แล้วเขาก็ทำเซอร์ไพรส์ให้ ใจจริงเราก็ไม่ได้อยากทำอะไรที่มันใหญ่โตขนาดนั้น แต่ด้วยความที่สนิทกัน วู้ดดี้บอกขอเหอะ จะได้มีรูปเอาไปติดหน้างานเธอไง ปรากฏว่าพี่คนที่ถ่ายรูปก็เป็นมือถ่ายเวดดิ้งที่ถ่ายรูปผออกมาสวย ก็เลยกลายเป็นว่าเราแต่งฟ้าแลบ ท้องก่อนแต่ง สวยเนอะท้องก่อนแต่งได้เนี่ย (หัวเราะ)

อยากเห็นแหวนหมั้น?
บอย : เราหมั้นแบบไม่มีสวมแหวนครับ เพราะเขาไม่ชอบใส่เครื่องประดับ ผมเลยซื้อเป็นคอนโดให้ ราคาก็เฉียด 4 ล้านครับ

เจ๊แหม่ม :
เขาก็เหมือนรู้นิสัยเรานะ ทั้งๆ ที่คบกันมาได้แค่ 3 เดือน แต่เขารู้ว่าเราไม่ใช้เงินไปกับการซื้อเครื่องประดับ ซื้อนาฬิกา ซื้อสร้อย เราไม่ซื้อ เราชอบอยู่กับของเล่น ชอบอยู่บ้าน ชอบซื้อรถ มี 3 อย่างที่ชอบ แต่ตอนนี้มีอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือเขานี่แหละเป็นสิ่งที่ 4 (ยิ้มหวาน)

ทำไมยอมใจอ่อน?
เจ๊แหม่ม : ที่ยอมใจอ่อนเพราะกลัวแก่แล้วต้องอยู่คนเดียว (หัวเราะสนุก) เดี๋ยวป่วยแล้วไม่มีคนพาไปหาหมอ ถึงวัยเขาจะเป็นรุ่นน้อง แต่เรามองว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่า ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเอาหรอก เพราะหนึ่งคือไม่ชอบเด็กเลย เพราะทัศนคติมันก็ต่างกันเนอะ(หันไปพยักเพยิด) ช่องว่างก็เยอะ คือเขาเด็กกว่าเรารอบหนึ่งน่ะ แต่กลายเป็นว่าความคิดเขาแก่กว่าเราอีก ที่สำคัญเขาวางแผนอะไรในชีวิตกับเราค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องธุรกิจ เรื่องการดูแลตัวเอง เขาบอก…จะมานอนจมกองของเล่นฝุ่นเต็มไปหมดไม่ได้ ต้องหันมาดูแลสุขภาพ จะได้อยู่กันไปยาวๆ

บอย :
จะได้อยู่เป็นเพื่อนกันไปนานๆ ตอนที่เราอายุเยอะๆ จะได้ปรึกษาเรื่องงานด้วยได้ คือตอนแรกก็ยอมรับนะว่ากังวลเรื่องความต่างของอายุเหมือนกัน กลัวจะเข้ากันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็มีการปรับและพูดกันหลายๆ อย่าง ก็ปรับจูนสิ่งที่มันไม่เข้ากันและทำให้เข้ากันได้ พี่แหม่มเป็นคนที่คอยเอาใจใส่ดูแล คอยเทกแคร์ เขาจะไม่ค่อยพูดคำว่ารัก แต่จะปฏิบัติซะมากกว่าครับ ก็เลยใจอ่อน (ยิ้ม)

พร้อมใช้ชีวิตคู่แบบสามีภรรยา?
เจ๊แหม่ม : เขาไปขอเรากับแม่ แม่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะรู้ว่าเราเป็นคนที่อยู่คนเดียวมานาน ถ้ามีเพื่อนที่มาดูแลกันและกันมันก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีในชีวิต เพราะเราก็โตเกินกว่าจะไปใช้ชีวิตแบบไม่นิ่งแล้ว เรารู้สึกว่าเรานิ่งเรื่องความรัก เพราะเรามองอนาคต เราก็ห่วงตัวเองเหมือนกันว่าทำงานหนักๆ ล้มป่วยแล้วใครจะดูแล แต่การมีเขาอย่างน้อยที่สุดถ้าเราหัวฟาดห้องน้ำไป หรือเกิดอะไรขึ้นเขาก็ฮุบสมบัติไปคนเดียว(หัวเราะ) แต่บอกก่อนว่า ณ วันนี้ยังไม่ได้อยู่กันแบบสามีภรรยานะ เรื่องที่เขาซื้อคอนโดให้ เราก็คุยกันว่าเหมือนเป็นการเตรียมตัว ถ้าคอนโดเสร็จก็เตรียมตัวใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ตอบแบบดูสวยเนอะ ดูเป็นนางเอกเกาหลีดี (หัวเราะ)

บอย :
น่าจะอีก 18 เดือนคอนโดคงเรียบร้อยครับ ส่วนเรื่องแต่งก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าทุกอย่างลงตัวคงจะเป็นเดือนพฤษภาคม วันที่เราเจอกันวันแรกและเป็นเดือนเกิดของเขาด้วยครับ

เจ๊แหม่ม : เนี่ย เขาเป็นแบบเนี้ย เป็นคนให้ความสนใจในรายละเอียด ผู้หญิงคงอยากจะได้ผู้ชายแบบนี้ที่ดูแลเอาใจใส่เป็นแฟน เขาก็มีอะไรตรงนี้เยอะมาก ในขณะที่เราอาจจะมีแต่ไม่แสดงออก เป็นเรื่องของการห่วงใยกันมากกว่า

เคยมีเรื่องหึงหวงกันไหม?
บอย : สำหรับผมไม่มีครับ เพราะถ้าเราสองคนมั่นคงต่อกัน ความหึงหวงก็คงไม่เกิดขึ้น

เจ๊แหม่ม :
ส่วนเราก็เคยมีแอบหึงนะ เวลาเห็นเขาคุยโทรศัพท์ เราก็จะถามว่าคุยกับใคร แต่มันก็ขำๆ แหละ ไม่มีอะไรหรอก เพราะเราก็มองว่าเขาค่อนข้างเสถียรอยู่พอสมควรเรื่องของความรัก ประเด็นคือคู่เรามันอาจจะเป็นคู่ที่มีลักษณะเฉพาะตรงที่เราเป็นคนขาดเรื่องความรักมาก เราไม่เคยได้รับการดูแลแบบนี้มานานมาก ในขณะที่เขามีเยอะจนบางทีคนอาจจะมองว่ามันล้นมากซะเหลือเกิน มันก็เลยมาคลิกตรงกันพอดี

บอย : ถามว่ากลัวความรักช่วงแรกๆ จะมาก แต่หลังๆ จะแผ่วลงไหม ผมไม่นะ เพราะเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ตลอด ตั้งแต่วันที่คบเขาวันแรกจนวันนี้ ผมยังไม่เคยมีดอกไม้ให้เขาเลยสักดอก ผมอยากทำให้ทุกวันมันเป็นวันสำคัญ ไม่เกี่ยวว่าเฉพาะวันไหน

ไม่คิดว่าด่วนตัดสินใจ?
บอย : ไม่เลย เพราะถึงจะทิ้งเวลาไปนานกว่านี้อีก 5-6 ปี แล้วมาเริ่มต้นจากการเป็นแฟน ผมว่ามันก็มีค่าเท่ากัน ถ้า ณ วันนี้เราพร้อมกันทั้งคู่ ก็เปิดฉากด้วยการเป็นแฟนกันเลยดีกว่า เพราะเพื่อน เราสองคนมีเยอะแล้ว แต่อยากมีคนที่เข้าใจและพิเศษมากกว่า ซึ่งพี่แหม่มคือคนๆ นั้นสำหรับผม(ยิ้ม)

เจ๊แหม่ม :
สำหรับเรา ภาพเรื่องความรักเราไม่มีเรื่องนี้ตั้ง 10 กว่าปีมาแล้ว แต่ก็คิดเสมอว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกอายุ กับรักครั้งนี้คิดว่าจะทำให้ดีเพื่อเป็นตัวอย่างของเพื่อนๆ ในกลุ่มของเราเองและอีกหลายๆ คน ให้เขาเห็นว่าเรารักกันจริงๆ และอย่างน้อยความรักแบบนี้ก็ไปสร้างต่อให้เขารู้สึกว่าฉันอยากมีแบบนี้บ้าง เรามองแค่นี้เอง

รักคือพลัง เห็นด้วยเลยคร่า

เรื่อง “จิบลิ”
ภาพ : IG

‘จุ๋ย’ เผย! เผื่อใจไว้เจ็บเสมอ

เป็นอีกหนึ่งซุปตาร์ที่คิวแน่น งานล้นจริงๆ สำหรับ ‘จุ๋ย- วรัทยา นิลคูหา’ เพราะนอกจากถ่ายละครแล้วยังมีงานพิธีกรอีก 3 รายการคือ ‘ชิงช้าสวรรค์’ ‘ชิงร้อยชิงล้าน’ และ ‘หนูน้อยกู้อีจู้’ แถมด้วยธุรกิจอาหารเสริม, สกินแคร์ รวมทั้งร้านอาบน้ำน้องหมาน้องแมว กับธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าจากเกาหลีแบรนด์ Blender Market งานรัดตัวขนาดนี้ สาวจุ๋ยจึงโอดว่าไม่ค่อยมีเวลาให้แฟนหนุ่มหน้าตี๋ ‘หนาม-รวิ ธนดล อิทธิระวิวงศ์’ เลยจ้า

“ละครตอนนี้มีเรื่อง ‘ฝันเฟื่อง’ แนวโรแมนติกคอเมดี้ ของผู้จัด-พี่เจี๊ยบ โสภิตนภา เปลี่ยนมาเล่นใสๆ บ้าง เพราะไม่อยากให้คนดูยึดติดว่าจุ๋ยต้องเล่นร้าย เนื่องจากละครแต่ละเรื่องแนวเรื่่องไม่เหมือนกัน ความแรงก็ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้จุ๋ยได้ร่วมงานกับเพื่อนดีๆ โปรดักชั่นดีๆ ผู้จัดละครดีๆ มีความสุขมากเวลาไปกองถ่าย แล้วบทก็ไม่ดราม่ามาก ยังยิ้ม หัวเราะได้ คลายเครียดไปอีกแบบ จริงๆ ยากนะคะ เพราะการที่จะทำให้ละครโรแมนติกคอมเมดี้ออกมาดูน่ารักแบบไม่ตั้งใจต้องทำอย่างไร จังหวะการเล่นก็สำคัญ ทุกอย่างสำคัญหมดเลย

นานะ… ตอบคำถาม “แอ๊บแบ๊วไปป่ะ”

น่ารักไปก็เป็นเรื่อง คำนี้น่าจะใช้ได้กับสาวนานะ ซูเปอร์ไอดอลสาววง After School ภายหลังซิงเกิล My Copycat ถูกปล่อยออกมา โดยเธอและเพื่อนร่วมวงได้รับเชิญไปออกรายการวิทยุ Choi Hwa Jung’s Power Time ของทาง SBS PowerFM ซึ่งช่วงหนึ่งของรายการ ดีเจ ชอยฮวาจอง ได้ชมเชยเธอว่า… บุคลิกเธอดูเนียนกับภาพลักษณ์น่ารักสดใสมาก จนเขารู้สึกว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ทำท่าน่ารักได้อย่างเป็นธรรมชาติมากจริงๆ

เจอมุกป้อยอจากพิธีกรเข้าไป ถ้าใครจะคิดว่าสาวนานะจะทำท่าเอียงศรีษะยก 2 นิ้วขึ้นแนบขมับอยู่หลังไมค์ก็บอกเลยว่า ผิดนะคร้าบ คุณเธอฉลาดไหวพริบดีเลิศ ถือโอกาสใช้รายการวิทยุเป็นสถานีแก้กระแสที่กำลังถูกโจมตีในข้อหา “แอ๊บแบ๊วไปป่ะ” ด้วยการพูดออกอากาศไปเลยว่า

“ฉันเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง และยังเป็นคนที่ค่อนข้างนิ่งๆ เลยต้องอาศัยท่าทางพวกนี้ในการสร้างบรรยากาศเวลาไปร่วมรายการโทรทัศน์ ยอมรับนะว่าบางทีฉันก็อาจทำท่าทางแบบนี้เยอะเกินไปเหมือนกัน และทำให้มีคนลุกขึ้นมาแอนตี้ ฉันรู้ว่าสาวๆ ไม่ค่อยชอบฉันหรอกเวลาทำท่าทางแบบนี้ พวกเขาจะแสดงออกเหมือนว่า… ฉันจะแอ-กโย(ภาษาเกาหลี แปลไทยว่า แอ๊บแบ๊ว)ไปไหน โดยเฉพาะกลุ่มสาวๆ ที่เป็นแฟนคลับของพวกหนุ่มๆ ฉันเข้าใจเลยว่าทำไมพวกเธอถึงรู้สึกไม่พอใจเวลาที่ฉันทำท่าน่ารักต่อหน้าหนุ่มๆ ของเขา พวกเธอคงอยากตะโกนใส่ฉันว่า “เธอจะทำอะไรกับโอปป้าของฉันย่ะ!(หัวเราะ)”

“แต่ฉันขอยืนยันนะคะว่าท่าทางทั้งหมดของฉันมันมาจากธรรมชาติในตัวฉันจริงๆค่ะ”

เอ้า… เหล่าสาวจอมยี้ เชื่อเธอสักหน่อยเหอะ เธอเปล่าประดิษฐ์เจงๆ

เรื่อง “จิบลิ”


”จ๋า-กึ้ง” ฤาสัมพันธ์รักจะเกิดภาวะฉุกเฉิน

เป็นอีกหนึ่งคู่รักที่ถูกจับตามอง สำหรับ จ๋า-วรัลชญาน์ จินดารักษ์วงศ์ กับเสี่ยค้ากาแฟไฮโซ กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ ที่ช่วงหลังมักเห็นวีเจคนสวยโพสต์ข้อความปรัชญาแห่งความรัก ชวนให้เกิดปริศนาคาใจอยู่บ่อยๆ ว่า… ฤาสัมพันธ์รักจะเกิดภาวะฉุกเฉินเบาๆ อ๊ะเปล่า

ล่าสุดในงานเปิดตัว “bestminton” ทั้งคู่นั่งรถคันเดียวกันมาร่วมงาน แต่พอเดินเข้างานคู่เลิฟก็ทางใคร ทางมัน ทำเอาช่างภาพเงิบ เพราะไม่ทันกดชัตเตอร์

พชร ปัญญายงค์ ‘เปลี่ยน’ เพราะ ‘รัก’

ถ้าดูจากคาแรคเตอร์ ‘เขา’ ที่เราเห็นชินตา ยามทำหน้าที่วิเคราะห์เศรษฐกิจการเงินหน้าจอ หลายคนอาจไม่เชื่อว่า ผู้ชายคนนี้เคยผ่านสารพัดเหตุการณ์ ที่คุณรู้แล้วต้องอึ้งว่าขนาดนี้เลยหรือ แต่เพราะ ‘ความรัก’ จึงทำให้เขาพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิต

ชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ ‘เครียด’หายนะ

ถ้าเธอไม่เอ่ยปาก เราคงไม่รู้ว่าสาวสวยเจ้าของแววตาเปี่ยมสุข บุคลิกร่าเริง กระตือรือร้น และแอคทีฟ ที่นั่งตรงหน้า เพิ่งผ่านเรื่องร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ทว่า เมื่อเธอและคนรอบข้างร่วมกันต่อสู้ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และพร้อมจะอดทนไปกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ ทำให้เธอได้ชีวิตใหม่คืนมา และตั้งใจว่าจะใช้เวลานับจากนี้ เพื่อ Give & Share

“นกอ่านหนังสือของ ‘หนูดี’ (วนิษา เรซ) เขียนไว้ว่า — “บางที เรื่องเลวๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ก็ทำให้เราได้คิดว่า สิ่งใดที่ควรกระชากทิ้งไป” แต่นกอยากบอกเพิ่มว่า ตอนที่ยังกระชากทิ้งไม่ได้ เรารู้สึกทรมานมาก แต่พอสะบัดหลุดแล้ว เราจะรู้สึกขอบคุณที่สิ่งนั้น ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะมันทำให้เรารู้จักปล่อยวางและเข้าใจชีวิตมากขึ้น”

พันธนาการแห่งความเครียด
“จุดเปลี่ยนที่เกิดกับชีวิตนก เริ่มเมื่อต้นปีที่แล้ว เราเปิดบริษัทใหม่เพิ่มสองบริษัท เพื่อขยายทำธุรกิจอื่น จากเดิมมีบริษัททำรายการโทรทัศน์ ‘ลิฟวิ่งอินเชป’ อยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าสองธุรกิจนั้นไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ ทำได้สักพัก ต้องปิดบริษัท ทำให้รู้สึกตรอมใจ เกิดความเครียด และความเครียดนี่แหละ ที่เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะทั้งปวง

“วันนี้ …ที่ทุกคนเห็นนกเป็นอย่างนี้ เพราะทุกอย่างกลับมาเป็นปรกติแล้ว ก่อนหน้านี้ นกเพิ่งผ่านการเป็นโรคซึมเศร้า อาการตอนนั้น เหมือนคนใจด้านชา ใช้ชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นของเรา จิตใจไม่อยู่กับตัว รู้สึกสับสนกับตัวเองหลายอย่าง ทั้งที่แต่เดิม นกมีชีวิตชีวา มีแรงบันดาลใจ เวลาเกิดเหตุการณ์ขึ้นในชีวิต คนเราจะมีปฏิกริยาสองแบบ คือ ‘Fight’ และ ‘Flight’ ยืนหยัดสู้ หรือไม่ก็หลบหลีก ซึ่งปรกตินกเป็นแนวสู้ แต่ตอนนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่สู้อีกแล้ว ห่อเหี่ยว ถึงขั้นไม่กล้าออกจากบ้าน ระแวงว่ามีคนมอง เวลาเห็นตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกน่าเกลียด เหมือนตัวประหลาด ตัวเองยังทนตัวเองไม่ได้เลย ถึงเวลาไปทำงาน อัดเทปรายการทีวี ก็ทำไปอย่างซึมกระทือ จนคนใกล้ตัวรู้ว่านกเปลี่ยน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

“จากนั้นไม่กี่เดือนถัดมา นกไปพบหมอสูตินรีเวช รับตัวอ่อนฝังในมดลูก เพื่อตั้งครรภ์ เมื่อรับแล้ว ต้องกลับมาอยู่บ้านนิ่งๆ ห้ามทำงาน เดินขึ้นบันไดไม่ได้ ออกไปไหนไม่ได้เป็นเดือนๆ นอกจากไปพบหมอ จนเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์แล้ว ส่วนใหญ่คนเราตั้งท้อง ต้องดีใจ แต่นกกลับไม่รู้สึกอะไร ยังพูดกับพี่ทีมงานที่สนิทกัน ให้เขาช่วยตบหน้าหรือทุบนกแรงๆ หน่อย ทำไมใจไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งที่เป็นนักแสดง ต้องรู้สึกอ่อนไหวกับศิลปะ หรือดูหนัง ดูละคร ต้องสะเทือนใจ อ่อนไหวบ้าง แต่กลายเป็นว่านกไม่สามารถร้องไห้ได้

“อาการต่อมา คือ นอนไม่หลับ ติดต่อกันสามเดือน จนผมร่วงทั่วบ้าน แม่บ้านกวาดบ้าน ได้เส้นผมเป็นกอง จะกินยานอนหลับก็ห่วงลูกว่าจะมีไซต์เอฟเฟ็คท์ จนกลายเป็นว่าความจำ และความ

สามารถในการคิดเลข ทักษะการทำอะไรง่ายๆ ที่เคยทำได้ อย่างการทำกับข้าว หั่นผัก ผัดผักง่ายๆ ก็ทำไม่ได้ แต่งหน้าตัวเองไม่ได้ ต้องขอให้ช่างแต่งหน้ามาสอน เขาเองก็งงว่านก ชลิดา ประกวดเวทีระดับโลกมาหลายเวทีแล้ว ยังต้องให้สอนอีก ตอนนั้นนกเริ่มไม่แยแสตัวเองแล้วว่าจะเป็นอย่างไร ไม่อยากแต่งหน้า แต่งตัว เสื้อผ้าก็ใส่แต่สีดำๆ เทาๆ ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไร ไม่อยากกินข้าว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร พอน้องสาวรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ก็บอกให้แม่กับพ่อกลับจากอเมริกา เพื่อมาดูแลนก

“พอตั้งท้องได้สองเดือน ตรวจครรภ์ จึงรู้ว่าเด็กไม่มีหัวใจ ต้องยุติการตั้งครรภ์ไปโดยปริยาย ตอนนั้นนกเองคิดเหมือนกันว่า ถ้าลูกโตไป เขาอาจไม่ปรกติก็ได้ เพราะหัวใจเราไม่รู้สึกมีสายใยใดๆ ผูกพันกับลูกเลย ยังแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมไม่รู้สึกอะไรเลย เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ ทุกคนรอบตัวจึงบอกให้นกโทร.หาหมอเบิร์ท (พญ.อภิสรา ศรีรังสรรค์) เถอะ เพราะขืนปล่อยอย่างนี้ต่อไป นกต้องแย่แน่ๆ พอหมอเบิร์ทฟังอาการที่นกเล่า ถึงรู้ว่านกเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้นกเข้าใจเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า คนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถมีความสุขได้เลย

“สาเหตุอาจเกิดจากสิ่งเร้าภายนอก หรือจู่ๆ ฮอร์โมน ‘เซโรโทนิน’ อาจแห้งเหือดไปโดยเราไม่รู้ตัว ถ้านอนไม่หลับติดกันเป็นอาทิตย์ แสดงว่าฮอร์โมนตัวนี้พร่องอย่างแรง และฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อนอนหลับเท่านั้น ยาที่กินเข้าไป เพื่อกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องแก้อันดับแรกคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เราหลับ หมอจึงให้ทั้งยาต้านโรคซึมเศร้า และยานอนหลับ เพราะถ้าไม่หลับเลย อาจส่งผลให้เกิดอาการสมองเสื่อม
‘ให้’=’ได้’
“ระหว่างรักษา หมอเบิร์ทชวนนกไปบ้าน เพื่อทำอาหารและขนมไปแจกคนไข้ เขาบอกนกว่ากิจกรรมแบบนี้อาจไม่เติมเต็มความรู้สึกให้นกแล้ว เพราะนกมีทุกอย่างในชีวิตครบ จึงอาจต้องไปทำงานบางอย่าง ตัวหมอเบิร์ทเอง ได้ไปช่วยเหลือ พูดคุยกับผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นโรคซึมเศร้า แม้จะเหนื่อย แต่พอเห็นคนไข้ดีขึ้น เขารู้สึกดีใจที่ได้ให้คนอื่น นกจึงถึงบางอ้อว่า เราต้องให้มากกว่านี้ เพราะ ‘การให้’ อยู่เรื่อยๆ ‘ให้’ อย่างสม่ำเสมอ ช่วยเติมเต็มความรู้สึกในใจเราได้ ช่วงที่ผ่านมา นกลุยงานอย่างเดียว ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมที่เคยทำเพื่อผู้อื่น จึงบอกหมอเบิร์ทว่า ถ้าหายดีแล้ว อยากช่วยคนไข้วอร์ดเบิร์ททุกคน ถ้าเขาอยากทำอาหาร คุกกี้ ขนม นกยินดีไปสอน เพราะ Self Esteem หรือการนับถือตนเอง ภาคภูมิใจในตัวเอง เกิดขึ้นได้จากการที่เราทำความดีอะไรสักอย่าง หรือทำอะไรเพื่อผู้อื่น เป็นการโฟกัสในสิ่งที่ออกไปจากตัวเอง

”แรกๆ พี่กบ (สามี) ไม่อยากยอมรับว่านกป่วยด้วยโรคนี้ แต่ตอนหลังเข้าก็เข้าใจและซัพพอร์ททุกอย่าง แต่บางทีเขาหรือญาติๆก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร มันเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องช่วยเหลือตัวเอง”

เผชิญหน้ากับโรคภูมิเพี้ยน
“จากนั้น นกมีอาการปวดคอร้าวลงแขน และปวดจากหลังลงไปถึงก้นกบ เข่า และขา ได้ยินเสียงดังผิดปกติในหู เกิดอาการแขนขาล้า จึงไปตรวจอย่างละเอียดกับคุณหมอเอ๋ (พญ.เอระวดี มิตรภักดี) ที่ Muscle and Nerve Clinic ได้ตรวจ EMG (ตรวจไฟฟ้าเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ) จึงได้รู้ว่า นกป่วยเป็นอีกโรคหนึ่ง คือ ‘Auto Immune Disease’ หรือ ‘โรคภูมิเพี้ยน’ มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส ความเครียด หรือจู่ๆก็มีอาการขึ้นมาเอง และที่สำคัญคือนกคิดว่าโรคนี้ อาจส่งผลให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย โดยร่างกายเริ่มโจมตีเซลล์ต่างๆ ในบริเวณไหนก็ได้ แต่นกโดนที่เส้นประสาทหู ส่งผลให้การได้ยินทั้งสองข้างลดลงกว่าปกติ ทั้งที่บางคนอาจมีอาการนี้ตอนอายุมากกว่า 65 ปี ทำให้นกมักได้ยินเสียง…ตึ๊งๆ เหมือนเสียงน้ำฝักบัวกระทบพื้นตลอดเวลา หรือตอนไปถ่ายรายการที่โรงเรียนของหนูดี นกได้ยินเสียงเด็กอนุบาลเจี๊ยวจ๊าวแล้วรู้สึกปวดหัวมาก แต่ก็ทำงานไปทั้งที่ปวดหัว ส่วนปัญหาที่ข้อต่อ ซึ่งทำให้ปวดข้อ ปวดเข่า ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว เรื่องการได้ยินก็สามารถทนต่อเสียงต่างๆ ได้ แขนขาไม่ค่อยชา และมีแรงมากขึ้นจนเป็นปกติ”

พบความสุขของชีวิต = ชีวิตใหม่
“หลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้นกตระหนักว่า สังขารเป็นของไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถือว่าบุญนักหนา ชีวิตคนเรากินได้ นอนหลับ ขับถ่ายได้ แฮปปี้ที่สุดแล้ว แต่เรามักไม่สำเหนียกกับสิ่งเหล่านั้น จนกระทั่งวันที่เราไม่มี ร่างกายเรามีร่างเดียว เพราะฉะนั้นรักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดี จะได้อยู่กับเรานานๆ

“ชีวิตนกวันนี้ งานอาจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด แต่นกตั้งใจที่จะใช้ชีวิตในปีนี้อย่างเปี่ยมพลัง ด้วยการให้และแบ่งปัน นกมีแผนกลับไปเยี่ยมน้องสาวที่อเมริกา เพื่อนๆ ที่เรียนพยาบาลด้วยกันมา เยี่ยมคนที่เราเคยผูกพันสมัยอยู่อเมริกา เพราะหากคิดจะทำอะไร ให้ลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่ได้ทำ เพราะถ้าต้องสูญเสียสมองอีกครั้งหนึ่ง นกไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือเปล่า เพราะการสูญเสียอะไร ก็ไม่เท่ากับสูญเสียสมองหรือจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนพิการได้เลย เพราะฉะนั้น เราต้องแบ่งชีวิตให้สมดุลย์ รู้จักให้และแบ่งปัน เพื่อเติมเต็มความรู้สึกและจิตวิญญาณในตัวเราอย่างที่เคยเป็น

“ส่วนเรื่องอยากมีลูก คงหยุดแล้ว เพราะไข่ที่เก็บไว้หมด ถ้าต้องการตั้งครรภ์อีก นกต้องไปกระตุ้นร่างกายเพื่อสร้างไข่ใหม่ กลับไปสู่วงจรเดิมๆ ซึ่งคงไม่ไหว สู้เราใช้เวลาและความรักที่อยากให้ลูก ไปให้กับเด็กอื่น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลานเราก็ได้ อย่างเด็กที่มูลนิธิศุภนิมิตร หรือเด็กติดเชื้อเอชไอวี บ้านเมอร์ซี่ ที่นกอุปถัมภ์มากว่าสิบห้าปี

“อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นกได้คิดคือ การจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ถ้าพรุ่งนี้เราไม่อยู่ จะได้ไม่ต้องพะวักพะวง เป็นห่วง กรณีที่เกิดขึ้น ทำให้นกคิดว่าต้องเตรียมเขียนพินัยกรรมไว้ สมบัติชิ้นไหนให้ใคร ส่วนไหนบริจาคการกุศล ที่ผ่านมา แม่พูดให้นกได้คิดว่า แม้นกจะอายุน้อยกว่าพี่กบ แต่แม่เห็นอาการนกตอนนั้นแล้ว ทำให้คิดว่าบางทีนกอาจตายก่อนก็เป็นได้ ชีวิตจึงเป็นสิ่งคาดเดาไม่ได้ แต่ทำให้นกรู้สึกรักแม่มากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า รักน้องสาว รักพ่อ รักพี่กบ รักเพื่อน รักแม้กระทั่งหมาที่บ้าน เพราะในวันที่ชีวิตนกตกต่ำถึงขีดสุด มันยังเดินกระดิกหางมาหา เพราะมันแคร์ว่าเราเป็นอะไร สบายดีไหม

“ขอบคุณทุกคน ที่ยืนหยัดอยู่ด้วยกัน ในช่วงที่นกอ่อนแอ ว่ากันว่าในวันที่เราย่ำแย่และตกต่ำสุด จะเป็นวันที่ทำให้เราได้เห็นเพื่อนแท้จริงของเรา”

เรื่อง : ดั่มดั๊มพ์
ภาพ : กฤตธี ผ่องเสรี
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับ 831 คอลัมน์ live stories

‘เชฟร็อค’ — ภูริ หัสดินทร์ เทรนเนอร์เลือดนักสู้

ชายหนุ่มคนนี้ เปรียบเทียบชีวิตตัวเองเป็นเหมือนการเดินทาง ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา
จากเชฟหนุ่มน้ำหนักตัว 135 กิโลฯ เขาสามารถลดน้ำหนักเหลือ 90 กิโลฯ เส้นทางนี้กว่าจะได้มา ไม่ง่าย เป็นเจ้าของอู่แต่งรถ สร้างรายได้นับสิบล้านบาท ก่อน ‘เจ๊ง’ ไม่เป็นท่า ทำให้เขาถึงขั้นปลิดชีพตัวเอง แต่เพราะมัจจุราชไม่ว่างมารับตัว โอกาสจึงกลับเป็นของเขาอีกครั้ง

keyboard_arrow_up