เพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9

ฟังกี่ครั้งก็ยังไพเราะ! เหล่าคนดังถ่ายทอดเสียงเพลงผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9

เพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9
เพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9

ฟังกี่ครั้งไม่ว่าเวอร์ชั่นไหน ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ขับร้อง บทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ยังคงความไพเราะไม่มีเปลี่ยน

เชื่อว่าเหล่าศิลปินนักร้องรุ่นใหม่ ผู้ที่หลงรักเสียงเพลง หรือทำงานในแวดวงสายดนตรี ย่อมต้องมีบทเพลงที่เปรียบเสมือนเพลงครูไว้สำหรับฝึกซ้อมและหัดเล่นยามเริ่มต้น ซึ่งบทเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือพ่อหลวงของชาวไทยเรานั้นก็เป็นบทเพลงชั้นเยี่ยม ที่ไม่ว่าศิลปินรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ต่างก็นำมาขับร้อง รวมถึงมีการปรับจังหวะทำนองเพลงขับร้องไปตามแต่ละเวอร์ชั่นของตนเองด้วย

บทเพลงพระราชนิพนธ์แต่ละบทเพลง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อร้องเวอร์ชั่นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นทั้งหมด 48 บทเพลงนั้น ล้วนมีทำนองเพลงอันไพเราะและมีความหมายที่ดี อย่างเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” (Smiles) เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 16 ทรงพระราชนิพนธ์ในปี พ.ศ.2495 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย เพื่อเป็นการปลอบขวัญและให้กำลังใจแก่คนตาบอด แล้วพระราชทานในการนำไปบรรเลงในงานสมาคมช่วยคนตาบอด ในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ในวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2495

จะเห็นว่านอกจากบทเพลงพระราชนิพนธ์จะให้ความไพเราะ ฟังรื่นหู เป็นเพลงครูให้เหล่าศิลปินทุกรุ่นแล้ว ยังได้สร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ฟังอีกด้วย วันนี้แพรวจึงได้รวมบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่เหล่าศิลปิน นักร้องรุ่นใหม่นำมาขับร้องตามแต่ละเวอร์ชั่นของตัวเองมาให้ได้ฟังกัน

 

เพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” (Smiles)

ขับร้องโดยวง Getsunova (เก็ทสึโนวา) ใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในโครงการคีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ “ยิ้มสู้” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 16 ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ.2495

 เพลงยิ้มสู้ (Smiles) โดยวงเก็ทสึโนวา (Getsunova)


เพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” (Falling Rain)

ขับร้องโดย ปุ๊ – อัญชลี จงคดีกิจ ใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในโครงการคีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 3 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ.2489 เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้มีลีลานุ่มนวลอ่อนหวาน บรรเลงครั้งแรกในงานรื่นเริงของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2489 จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยอีกเพลงหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

เพลงสายฝน (Falling Rain) โดยปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ


เพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด”

เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 43 ทรงพระราชนิพนธ์ในปี พ.ศ.2514 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน “ความฝันอันสูงสุด” เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี โดยเพลงนี้มีศิลปินนำมาขับร้องใหม่หลายคนด้วยกัน อาทิ ก้อง – สหรัถ สังคปรีชา และ น้องอ๊ะอาย – ด.ญ.กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ ขับร้องเพื่อใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในโครงการคีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ หรือแม้แต่ศิลปิน กิต – กิตตินันท์ แห่งเวที The Voice Thailand ร่วมร้องกับวง BSO (Stability adjust)

ก้อง สหรัถ สังคปรีชา และอ๊ะอาย กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ

กิต กิตตินันท์ ชินสำราญ The Voice Thailand



เพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต”

เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ และเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกวาระหนึ่ง โดยเพลงชะตาชีวิตได้มีศิลปินหลายคนนำมาขับร้องเวอร์ชั่นใหม่หลายคนเลย อาทิ ดา เอ็นโดรฟิน, อำพล ลำพูน, แก้ม – วิชญาณี เปียกลิ่น (แก้ม The Star 4)

ดา เอ็นโดรฟิน อำพล ลำพูน และแก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น The Star 4




เพลงพระราชนิพนธ์ “ใกล้รุ่ง” (Near Dawn)

เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์ในปี พ.ศ.2489 ขณะทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช และได้พระราชทานแก่วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงครั้งแรกทางสถานีวิทยุกระจายเสียง กรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ปัจจุบัน) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2489 เพลงนี้ได้มีศิลปินหลายคนนำมาขับร้อง อาทิ เอ้ The Voice Thailand หรือแม้แต่นางเอกสาวตาหวาน ญาญ่า – อุรัสยา เสปอร์บันด์

เอ้ กุลจิรา คงทอง The Voice Thailand และญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์



เพลงพระราชนิพนธ์ “Still on my mind” (ในดวงใจนิรันดร์)

เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 37 ทรงพระราชนิพนธ์ในปี พ.ศ.2508 และเป็นบทเพลงแรกที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์คำร้องเป็นภาษาอังกฤษ เพลงนี้ได้นักร้องสาวเสียงดี เจนนิเฟอร์ คิ้ม มาขับร้องในคอนเสิร์ต H.M. BLUES ร้อง บรรเลง เพลงของพ่อ

เจนนิเฟอร์ คิ้ม


เมดเลย์ 4 บทเพลงพระราชนิพนธ์
“ความฝันอันสูงสุด” “ชะตาชีวิต” “ยิ้มสู้” และ “สายฝน”

โดยได้ศิลปินจากเวทีประกวดร้องเพลง The Star มาร่วมขับร้อง นำทีมโดย แก้ม – วิชญาณี เปียกลิ่น, กัน – นภัทร อินทร์ใจเอื้อ, ริท – เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช, โดม – จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม และ ตั้ม – วราวุธ โพธิ์ยิ้ม

แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ ริท เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม และตั้ม วราวุธ โพธิ์ยิ้ม


เรื่อง : Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ : IG @getsunova, @poohanchalee, @kongsaharat_fanclub, @urassayas, @daendorphine, @aeytheape, @gamwichayanee, @ritz_rueangritz, Facebook: น้องอ๊ะอาย กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ, กิต กิตตินันท์ The Voice Thailand Season 2, thaifilm.com

ไม่ธรรมดา! เปิดประวัตินายห้างศักดา ชายโพกหัวที่กอดพระบรมฉายาลักษณ์ ร.9 ร่ำไห้ร่วมกับคนไทย

หลังจากข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีการแชร์ภาพของชายคนหนึ่งที่กอดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่ในมือตลอดเวลา พร้อมกับใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาและสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดี ซึ่งดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะใช่คนไทย ทำให้หลายคนต่างก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร

1

บอกเลยว่าพลังโซเชียลนั้นไปไกลกว่าที่เราคิด ซึ่งไม่นานมานี้ก็มีผู้ทราบข้อมูลและประวัติของชายคนนี้แล้วว่าแท้จริงนั้นเขาคือคุณศักดา สัจจะมิตร อายุ 67 ปี เป็นชาวไทยเชื้อสายอินเดีย ถือเป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูลสัจจะมิตร ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมาร่วม 100 ปี บอกเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงประธานชมรมสันติสุขไทย – อินเดีย สมาชิกชมรมไทยซิกข์อุปถัมภ์ และทำธุรกิจค้าขายในประเทศไทย หรือคนทั่วไปมักจะเรียกเขาว่า “นายห้างศักดา”

2

ต้องบอกเลยว่ายิ่งเราไปหาประวัติของชายผู้นี้ ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเขารักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นอย่างมาก ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช นายห้างศักดาก็มักจะไปลงนามถวายพระพรและเฝ้าฯรับเสด็จทุกครั้ง ไม่เพียงแค่นี้ เขายังเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำการกุศลเยอะมาก หากใครลองเสิร์ชชื่อของเขาในอินเทอร์เน็ต จะเห็นว่าเขามักจะเดินสายบริจาคเงินช่วยเหลือตามมูลนิธิและโครงการการกุศลต่างๆอยู่เป็นประจำ

3

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาจงรักและภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ไม่ต่างกับที่คนไทยรู้สึก คือซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน โดยตัวเขานั้นตั้งแต่เกิดอยู่บนแผ่นดินไทย บรรพบุรุษรวมทั้งคนไทยเชื้อสายอินเดียทุกคนจะปลูกฝังให้ลูกหลานทุกคนรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทยมาโดยตลอด ถึงขนาดตายแทนได้ก็ยอม จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายต่างชาติคนนี้ถึงร่ำไห้เสียใจต่อการจากไปของพระองค์ท่านไม่ต่างจากคนไทยเลยทีเดียว

6

คุณศักดา สัจจะมิตร ร่วมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557
จากรายการทุบโต๊ะข่าว สถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 วันที่ 15 กันยายน 2557

คุณศักดา สัจจะมิตร ประธานชมรมสันติสุขไทย – อินเดีย ให้สัมภาษณ์ในรายการ “คืนคุณแผ่นดิน” เนื่องในวันแม่แห่งชาติ 2559 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 วันที่ 11 สิงหาคม 2559

เรื่อง : saipiroon_แพรวดอทคอม
ภาพ : FB : Suvinit Aum Pornnavalai

ไว้ทุกข์อย่างพอเพียง 10 ไอเดียทำริบบิ้นไว้อาลัยแบบง่ายๆ ทำแจกก็ได้ ทำใส่เองก็ดี

อีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ไม่มีเสื้อสีดำใส่ไว้ทุกข์ แม้แต่ออฟฟิศหรือองค์กรต่างๆที่ต้องใส่ชุดยูนิฟอร์มที่ไม่ใช่สีดำ การติดริบบิ้นไว้อาลัย หรือริบบิ้นสีดำ (Mourning Ribbon) เป็นอีกทางเลือกที่ดีและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

ริบบิ้นไว้อาลัยคือสัญลักษณ์แห่งการไว้ทุกข์และระลึกถึง โดยนิยมติดไว้บริเวณแขนข้างซ้ายเหนือศอกขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีที่แสดงออกอย่างสุภาพ เพราะถ้าให้พูดตามตรงต้องบอกว่าบางคนไม่สามารถที่จะซื้อชุดสีดำหรือใส่ชุดสีดำได้ตลอด แต่ถ้าจะใส่สีอื่นก็อาจถูกมองในทางไม่ดี ซึ่งการติดริบบิ้นก็ถือเป็นการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ซึ่งริบบิ้นไว้อาลัยนั้นก็มีหลายแบบ ตั้งแต่แบบเรียบง่าย ธรรมดา ไปจนถึงการดัดแปลงดีไซน์ให้สวยงามมากขึ้น โดยวิธีทำนั้นก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งวันนี้แพรวมีวิธีทำริบบิ้นไว้อาลัยมาเป็นไอเดียไว้ให้เพื่อนๆได้ลองทำกันถึง 10 แบบด้วยกัน รับรองว่าไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ เพราะแพรวได้รวบรวมวิธีมาจาก “ครูจอย – อัจฉรา กล้ากสิการณ์” เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ “สุวรรณเหรียญโปรยทาน” ซึ่งได้อธิบายวิธีทำริบบิ้นไว้อาลัยอย่างละเอียดและเข้าใจง่ายมากๆ มาแชร์เป็นความรู้สำหรับคนที่จะทำริบบิ้นไว้อาลัยแจกคนทั่วไปหรือทำไว้ใช้เองค่ะ

ริบบิ้นไว้อาลัยแบบที่ 1

1 1-1 1-2

ริบบิ้นไว้อาลัยแบบที่ 2

2 2-1 2-2

ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม

ปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม ปัญหาเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

Alternative Textaccount_circle
ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม
ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม

มีผู้หญิงจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากการมี ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต แต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย เพราะสร้างความเครียด ความกังวล และทำให้รู้สึกรำคาญ

คุณผู้หญิงบางคนอาจจะเป็นมากจนต้องใส่ผ้าอนามัยทุกวัน ทำให้ไม่สะดวกในการใช้ชีวิต ต้องปลีกตัวจากสังคม และบ่อยครั้งไม่กล้าทำกิจกรรมอย่างการเล่นกีฬา หลายคนอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็พอจะทนได้ แต่จริงๆ แล้วจากปัญหาเล็กๆ เหล่านี้ อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ที่จะตามมาก็ได้ วันนี้เราจึงจะพาคุณไปเรียนรู้ในเรื่องการมี ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย

ปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม เป็นภาวะหนึ่งที่มีคุณผู้หญิงมากมายต้องประสบปัญหา สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นก็คือ กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คอยพยุงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน หรือจะเรียกว่ามีอาการของหูรูดท่อปัสสาวะเสื่อมสภาพก็ได้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวะนี้ขึ้นก็มีหลากหลาย ทั้งการคลอดบุตร อายุที่มากขึ้น อ้วน มีเนื้องอกในช่องท้อง ภาวะไอเรื้อรัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ท่อปัสสาวะเปิด เมื่อไอหรือจามจึงทำให้มีปัสสาวะเล็ดออกมาได้

เมื่อเรารู้สาเหตุแล้ว คำถามที่ตามมาก็คือ ปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม จะมีวิธีใดบ้างในการรักษาหรือแก้ไข สิ่งสำคัญประการแรกคือ เมื่อคุณเริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม บ่อยมากขึ้น ให้คุณรีบมาปรึกษาแพทย์ในเบื้องต้น แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย ตรวจภายใน หรือส่งตรวจพิเศษ เพื่อยืนยันว่ามีภาวะนี้จริง แล้วจึงทำการรักษา

ซึ่งการรักษาก็มีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การแนะนำให้คนไข้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง โดยการฝึกขมิบช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี แต่ถ้าคนไข้หยุดปฏิบัติ โอกาสที่จะกลับมาเป็นอีกก็มีสูง การปรับพฤติกรรมของคนไข้เองด้วยการลดน้ำหนัก รักษาอาการไอหรือจามเรื้อรัง รักษาอาการท้องผูก ซึ่งวิธีการเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ถ้าคนไข้หมั่นปฏิบัติ อาการจะดีขึ้นภายใน 3 – 6 เดือน ส่วนวิธีการที่คนไข้ไม่ต้องฝึกปฏิบัติเอง ก็จะมีวิธีการฉีดสารช่วยลดขนาดท่อปัสสาวะ โดยการฉีดสารบางชนิดบริเวณด้านนอกของท่อปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะเล็ดน้อยลงหรือไม่เล็ดเลย และอีกหนึ่งวิธี ซึ่งเป็นวิธีสุดท้ายคือ การผ่าตัด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่เทคนิคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในการนำมาใช้แก้ปัญหากระเพาะปัสสาวะหย่อนยานคือ เทคนิค Tension-free Vaginal Tape (TVT) ซึ่งเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่แผ่นตาข่ายพิเศษพยุงท่อปัสสาวะ เพื่อหยุดการรั่วซึมของน้ำปัสสาวะ เป็นวิธีที่ทันสมัยและปลอดภัยในการแก้ไขอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม เนื่องจากทำได้สะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน ประมาณ 30 – 40 นาที อีกทั้งแผลก็มีขนาดเล็ก จึงฟื้นตัวเร็ว มีภาวะแทรกซ้อนน้อย พักโรงพยาบาลเพียง 1 – 2 วันก็สามารถกลับบ้านได้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า อาการปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม อาจจะเป็นเรื่องเล็กที่คุณไม่ควรมองข้ามไปเสียทีเดียว เพราะปล่อยไว้จนมีอาการรุนแรง แน่นอนว่าต้องทำให้การใช้ชีวิตประจำวันได้รับผลกระทบมากมาย แต่ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่จะต้องกังวล ถ้าหากคุณตัดสินใจที่จะเข้ามารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน อาจจะต้องถึงขั้นผ่าตัด ถึงแม้จะถึงขั้นนั้นจริงก็ไม่ต้องกังวล เพราะวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่สามารถตอบโจทย์การรักษาได้ครอบคลุมวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ได้มากขึ้น และการผ่าตัดก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ซับซ้อน หรือน่ากลัวอย่างที่คุณคิดอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นจะต้องลางานนานๆ เพื่อพักรักษาตัว หลังการผ่าตัดพักเพียง 1 วันก็สามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้แล้ว คุณผู้หญิงที่รู้สึกรำคาญ ไม่ชอบความเหนอะหนะของจุดซ่อนเร้นก็ไม่ต้องกังวล คุณสามารถทำความสะอาดช่องคลอดและอาบน้ำได้ตามปกติหลังผ่าตัด แต่ทางที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคหรือมีอาการเหล่านี้ การควบคุมอาหาร วางแผนการมีบุตรอย่างเหมาะสม  ฝึกขมิบช่องคลอดภายหลังคลอด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดปัสสาวะเล็ดขณะไอ จาม ได้เป็นอย่างดี หากคุณทำได้ เราก็แนะนำให้คุณปฏิบัติตามนี้ เพราะจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตัวคุณเองแน่นอน

ที่มา : นายแพทย์มฆวัน ธนะนันท์กูล สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดด้วยกล้องลาปาโรสโคปทางนรีเวช และรักษาผู้ป่วยมีบุตรยาก โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

ภาพ : pexels

“มา…เพื่อให้พ่อรู้ว่าเราคิดถึงท่านมากแค่ไหน” แอน ทองประสม ไปกราบพ่อก่อนกลับบ้านเกือบทุกวัน

หากได้ชื่อว่าเป็น “ลูกของพ่อหลวง” ความรู้สึกอาลัยและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็คงไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด

ดังเช่นอีกหนึ่งนางเอกสาวชื่อดัง “แอน ทองประสม” ที่ยังคงเดินทางไปกราบแสดงความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระบรมมหาราชวัง ต่อเนื่องเกือบทุกวันในช่วงเวลากลางคืนหลังเลิกงาน

โดยเจ้าตัวจะโพสต์ภาพพร้อมลงบันทึกวันที่ไปกราบพ่อ แม้ในวันที่มีงาน เช่น ในวันเดียวกันที่จบจากพิธีแสดงความอาลัย น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทางช่อง 3 เป็นผู้จัด สาว “แอน” ก็ยังเดินทางไปกราบแสดงความอาลัยพ่อต่อที่พระบรมมหาราชวัง โดยมีการโพสต์ข้อความแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งลงในอินสตาแกรม ในแต่ละวัน อาทิ

 “มา…เพื่อให้พ่อรู้ว่าเราคิดถึงท่านมากแค่ไหน”, “มากราบพ่อก่อนกลับบ้าน #คิดถึงในหลวงสุดหัวใจ”,

“การที่แค่ได้เดินวนไปวนมา อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกได้ว่าพระองค์ท่านไม่ได้จากเราไปไหนไกล…”

 

08

แอน ทองประสม

แอน ทองประสม

02

06

01

03

05

07

09

13

เรื่อง : Red Apple_แพรวดอทคอม
ภาพ : IG@annethong /IG@atinnabhan

ยังไม่มีกำหนดสึก! “พระบี้” หรือ “พระวรสีโล” ตั้งใจจำพรรษาต่อ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงร.๙

เข้าร่มกาสาวพัสตร์ไปเมื่อแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา สำหรับ “พระบี้ ธรรศภาคย์ ชี” หรือ “พระวรสีโล” ซึ่งในการบวชครั้งนี้เพื่อทดแทนบุญคุณให้คุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้อง,ครอบครัว (ภรรยาและลูก)รวมถึงบวชเบญจเพสด้วย ซึ่ง “พระบี้” ก็ได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้เป็นอย่างดีตลอดที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดท่าไม้ ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร แต่ล่าสุด ยังไม่มีกำหนดศึก เพราะมีความตั้งใจบวชถวายเป็นพระราชกุศลแด่ ในหลวงร.๙ โดย“พระบี้” กล่าวว่า

“ในระหว่างจำพรรษาเพื่อเจริญศีลปฏิบัติธรรมอยู่นั้นอาตมาได้ทราบข่าวถึงการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการตลอด 70 ปี ที่ขึ้นครองราชย์ อาตมามีความตั้งใจที่จะบวชต่อโดยยังไม่มีกำหนดสึก เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”

"พระบี้" หรือ "พระวรสีโล"

ข้อมูลและภาพจาก : Thai PR

แม้วันที่อ่อนแอที่สุด! น้ำใจคนไทยไม่เคยเหือดหาย รวมพลังไม่แบ่งแยก ขอยืนหยัดทำดีเพื่อ “พ่อ”

น้ำใจคนไทยไม่เคยเหือดหาย รวมพลัง ขอยืนหยัดทำดีเพื่อ “พ่อ”

น้ำใจคนไทยไม่เคยแห้งจากแผ่นดิน…ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะต้องเจอเหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆนานา แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งแยกสีเสื้อ ฯลฯ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่หลวง คนในชาติตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนแออย่างหนัก สุดท้ายเราคนไทยก็ไม่ทิ้งกัน ต่างคนต่างออกมาช่วยเหลือเติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมพลังเพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านความโศกเศร้านี้ไปให้ได้ แพรวดอทคอมขอรวบรวมภาพบรรยากาศที่ท้องสนามหลวงและบริเวณโดยรอบ ซึ่งเป็นภาพที่อาจจะช่วยเยียวยาหัวใจคนไทยที่แตกร้าว ให้มีรอยยิ้มเล็กๆกลับมาอีกครั้ง


14772975136181

14772979086231

1477298468998114772986670361ในวันที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึง…ท่ามกลางความอ่อนแอ ความโศกเศร้าของคนทั้งชาติ เราได้เห็นความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เห็นความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ชอบ เห็นผู้คนต่างอาชีพ ต่างสาขา ต่างชนชั้น พร้อมใจกันมุ่งมั่นทำดีเพื่อส่วนรวมโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ภายใต้จุดประสงค์เดียวกันคือ “เพื่อพ่อ”14772976159831
14772979617121

เด็กนักเรียนในชุด รด.อาสาเดินแจกน้ำดื่มให้ผู้คนที่เดินทางไปยังท้องสนามหลวง
14772980068751รับ – ส่งฟรี ทำดีเพื่อพ่อ
14772980945471 14772981721871 14772984259241


14772985854011

ประชาชนทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ได้ร่วมกันเก็บขยะบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวังและสนามหลวง เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

14772986256961นวดคลายเมื่อย พสกนิกรที่เดินผ่านไปมาโดยรอบสนามหลวงจะพบกับอีกหนึ่งกลุ่มจิตอาสาที่คอยให้บริการนวดคอ บ่า ไหล่ และขา ภายในเวลา 5 นาทีอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย

1477298848216 14772987622591 14772987966051 เรื่อง : แพรวดอทคอม

ภาพ : โยธา

 

 

 

 

Little Black Dress

100 ปี เดอะ ลิตเติ้ล แบล็ก เดรส “LBD” ( Little Black Dress ) REVOLUTION

Little Black Dress
Little Black Dress

โลกแฟชั่นยกให้ Coco Chanel เป็นผู้คิดค้นและแนะนำ Little Black Dress เป็นคนแรกๆ ก็จริงอยู่ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า Audrey Hepburn ในภาพยนตร์ “Breakfast at Tiffany’s” ต่างหากที่ทำให้มันฮิตในวงกว้าง จากเดรสเข้ารูปของ Givenchy ในตอนนั้น สู่เดรสสั้นเสมอใจของคู่ซี้ Kendall และ Gigi ลิตเติ้ล แบล็ก เดรส ในวันนี้ก็ได้กลายเป็นคลาสสิกพีซที่ “ชิค + คูล” จนเกือบลืมไปแล้วว่าต้นกำเนิดของมันนั้น…เป็นอย่างไร

The Little Black Dress: Vintage Treasure
The Little Black Dress: Vintage Treasure

Pound_Praewnista ขอพาสาวๆ ย้อนเวลากลับไปดูวิวัฒนาการของ LBD จากยุคเก่า 100 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน เพราะอย่างที่บอกครับว่า “แฟชั่นไม่ใช่เพียงเรื่องของเสื้อผ้า แต่มันบ่งบอกที่มา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง”

แฟชั่นชุดดำในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 5 - 15

Middle Aged หรือช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 15 : ยุโรปประกาศให้การใส่ชุดดำเป็นชุดไว้ทุกข์เป็นชาติแรกๆ แต่ไม่ได้เป็นค่านิยมในวงกว้างมากนัก เพราะใส่กันเฉพาะผู้ที่ร่ำรวยเท่านั้น ต้องเข้าใจอย่างนี้ครับว่า ชุดไว้ทุกข์ของยุคนั้นเป็นเหมือนประเพณีกึ่งๆ อวดรวยนิดๆ วัตถุดิบที่ใช้ต้องเลอค่า เพราะค่านิยมการแบ่งชนชั้นยังปกคลุมในวงกว้าง

ควีนวิกตอเรียสวมใส่ชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้เจ้าชายอัลเบิร์ต
One of Queen Victoria’s Mourning Outfits

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 : โลกรู้จักคุณค่าของการใส่ชุดไว้ทุกข์อย่างแท้จริง ด้วยเพราะควีนวิกตอเรีย (Alexandrina Victoria) สวมใส่ชุดโทนสีดำเป็นเวลายาวนานเพื่อการไว้ทุกข์ให้เจ้าชายอัลเบิร์ต
ใช่แล้วครับ! โลกเปิดรับโทนสีดำเพื่อการไว้ทุกข์มายาวนานมาก
จนเข้าสู่

แฟชั่นชุดดำในยุโรปช่วงปี 1915 - 1920

ในช่วงปี 1915 – 1920 : ค่านิยมที่ถูกปลูกฝังถึงการสวมชุดดำเพื่อการไว้ทุกข์ถูกหยิบมาใส่กันอย่างพร้อมเพรียงจาก 2 เหตุการณ์สุดสะเทือนใจของโลก นั่นคือ การไว้ทุกข์ให้ผู้ตายจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และไว้ทุกข์ให้ผู้ตายจากภัยพิบัติ “Spanish Flu” ว่ากันว่าไข้หวัดนี้ฆ่าคนไปมากกว่าสงครามโลกเสียอีก

รูปสเก็ตช์ Little Black Dress โดยกาเบรียล โคโค่ ชาเนล

ในปี 1926 : โคโค่ ชาเนล ส่งรูปสเก็ตช์ Little Black Dress ออกมาให้โลกได้เห็นเป็นครั้งแรก ว่ากันว่าเธอใช้เวลาในการคิดและวาดชุดนี้ออกมาในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยดีไซน์ความยาวแบบครึ่งน่อง แขนยาว และดึงให้คอลึกลงมา สิ่งเดียวที่แต่งอยู่บนชุดนั้นคือการเล่นสีโทนสว่างเดินเส้นเรียบๆ เท่านั้น คอมพลีตลุคด้วยผม (นางแบบ) สไตล์ Boyish Hair Cut ที่อยู่ภายใต้หมวกโครเชต์อีกที เครื่องประดับหนึ่งเดียวที่โคโค่เลือกใช้คือสร้อยมุก ผมเคยอ่านเจอบทสัมภาษณ์หนึ่งของกาเบรียล โคโค่ ชาเนล ว่า เธอเชื่อเหลือเกินว่าการประโคมใส่เครื่องประดับไม่ได้การันตีถึงความมีรสนิยมที่ดีเสมอไป

แฟชั่นชุดดำในยุค The Great Depression

ในช่วงปี 1929 – 1939 : The Great Depression มันคือช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำมากที่สุด ด้วยเหตุจากสงครามก็ดี การขยายตัวทางอุตสาหกรรมก็ดี หรือแม้กระทั่งความทะเยอทยานของทั่วโลก ทั้งหมดส่งผลให้ความเกินตัวของทุกๆ พื้นที่เข้าสู่จุดต่ำที่ฝืดเคืองที่สุด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Little Black Dress สาวๆ ยุคนั้นคว้าชุดดำมาใส่กันเป็นว่าเล่น ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะ “มันง่าย มันเรียบ และมันเก๋” (สาวๆ ยุคนั้นคงคิดกันแบบนี้) ใช่สิครับ! ในช่วงภาวะขาดเงินแบบนั้นจะมีสตางค์ที่ไหนซื้อหาชุดเลิศๆ เพื่อเปลี่ยนแบบเปลี่ยนสีได้ทุกวัน! จริงไหมครับ นิตยสารชื่อดังของอเมริกาในยุคนั้นยังเขียนชื่นชม LBD เลยว่า มันเป็นตัวแทนของความลักชัวรี่ที่ไม่ต้องสืบค้นหาเงินในกระเป๋า คุณไม่มีทางดูจนแน่ถ้าสวม LBD ออกจากบ้าน

แฟชั่นชุดดำในวงการฮอลลีวู้ด

แฟชั่นชุดดำคลาสสิกของนักแสดงฮอลลีวู้ด

ในช่วงปี 1940 – 1965 : ปีแห่งวงการฮอลลีวู้ดและหนังคลาสสิกขาวดำ เรื่องน่าตลกก็คือ ในยุคที่ภาพยนตร์ยังไม่มีสี ชุดของนักแสดงยุคนั้นก็เลยเป็นสีขาวและดำไปโดยปริยาย และมันก็สร้างภาพจำให้สาวๆ ว่า ชุดแบบนั้น สีแบบนี้สินะ ที่เข้าขั้นว่า “คลาสสิก”

ออเดรย์ เฮปเบิร์น ในชุด Little Black Dress
Audrey Hepburn’s Iconic Little Black Dress

ในปี 1961 : Audrey Hepburn สร้างภาพลักษณ์ให้ LBD เป็นมากกว่าที่เคย ด้วยภาพลักษณ์ของความหรูหรา เซ็กซี่ ทว่าสวมใส่สบาย จากภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s และหนึ่งในชุดตำนานนั้นก็คือ ชุดเดรสสีดำจาก Givenchy ที่เธอเลือกแมตช์กับถุงมือยาว และสวมสร้อยมุกให้ถ่วงไปที่หลัง

แฟชั่นชุดดำในยุคต่างๆ

แฟชั่นชุดดำในวงการฮอลลีวู้ดที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

ในช่วงปี 1970 – 1980 : ชุดดำถูกปรับความยาวให้ทั้งสั้นและยาวอย่างหลากหลาย
ในปี 1990 : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่น ทั้งวัฒนธรรมกรั๊นจ์สู่ความฟู่ฟ่าแบบฟุ่มเฟือย และทวิสต์กลับมาสู่การเรียกหาความมินิมัล ก่อนจะกลับมา (เกือบ) บ้าอีกครั้งในช่วงต้อนรับปีมิลเลนเนียล นั่นหมายความว่าไม่มีทศวรรษไหนแล้วที่ LBD ถูกขยี้และปู้ยี่ปู้ยำมากที่สุดเท่าช่วงนี้ ทั้งสูงค่าสู่ยาจก และเรียบง่ายจนชวนมึน สู่ความหรูหราหลากหลาย

แม้ว่าชุดดำหรือ LBD ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การไว้ทุกข์ งานโศกเศร้า และเศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ดีไซน์เรียบโก้และคลาสสิกเฉกเช่นยุคเริ่มต้น ชุดดำในวันนี้เป็นอะไรก็ได้ จะหรูหรา ยากจน สำรวม หรือบ้าคลั่ง ก็แล้วแต่ผู้สวมใส่ สิ่งเดียวที่จะบอกได้ว่าคุณใส่ชุดดำเพื่อวาระและเวลาไหนคือ “จิตใจ” ของคุณเอง

ดาราช่อง 3 ร่วมไว้อาลัย ญาญ่า มาร์กี้ คิมเบอร์ลี

อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ใส่ชุดดำร่วมไว้อาลัย

ดาราช่อง 3 สวมชุดดำร่วมกิจกรรมไว้อาลัย

ด้วยรักและอาลัย
เรื่อง : Pound_Praewnista

สิ่งที่จะทำต่อจากนี้…”12 พระเอก” เผยความรู้สึกในวันที่ไม่มี “พ่อหลวง”

แม้วันนี้จะไม่มีพ่อ แต่ความจงรักภักดีที่ลูกมีต่อพ่อยังคงสืบไป…
“12 พระเอก” จากช่อง3 เผยความรู้สึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับพ่อหลวง ความรักและความผูกพันของตนที่มีต่อ “ในหลวงรัชกาลที่ ๙” ตั้งแต่ลืมตาดูโลก พร้อมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ถ่ายทอดออกมาเป็นปณิธานการทำความดีที่จะทำต่อจากนี้

 

ณเดชน์ คูกิมิยะ

สิ่งที่จะทำต่อจากนี้... "12 พระเอก" เผยความรู้สึกในวันที่ไม่มี "พ่อหลวง"

“อะไรๆก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในใจเราเสมอไป สิ่งที่เราทำได้หลังจากนี้ก็คงจะเป็นความดี ผมไปที่สนามหลวงประมาณ 3 ครั้ง และได้เห็นคนไทยที่ทำทุกอย่างให้โดยไม่ได้หวังอะไรเลย ทุกคนยอมสละทรัพย์สิน บางคนยอมสละเวลาเพื่อมาสร้างความดีให้แก่กัน ทำให้ประเทศเรามีแต่ความสุข ผมอยากเห็นภาพนี้ตลอดไป และสิ่งหนึ่งที่ผมจะทำให้กับสังคม ให้กับคนในครอบครัว และให้กับตัวเอง ก็คือทำดีครับ

บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์

บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์

“ในหลวงท่านทรงเป็นภาพจำของคนไทยทุกคนอยู่แล้วตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ทุกคนก็จะปลูกฝังลูกหลานตัวเองหรือว่าเด็กในบ้าน เวลาเราเจอรูปในหลวงหรือพระราชินีเราก็ต้องไหว้ เพราะฉะนั้นเราก็จะมีความเคารพพระองค์ท่าน พอยิ่งโตขึ้นมาเราก็จะยิ่งได้รับทราบสิ่งที่พระองค์ทำมากขึ้น ผมว่าผมโชคดีที่ได้มาทำงานตรงนี้ ผมมีโอกาสได้ไปทำสกู๊ป ทำรายการ หรืออะไรก็ตาม มันทำให้เราได้รับทราบสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำไว้เยอะมาก ซึ่งแต่ละอย่างที่พระองค์ท่านทำเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่พระองค์ท่านก็ทำเพื่อคนไทยและผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ด้วยความยากลำบาก

เจมส์ มาร์

เจมส์ มาร์

รู้สึกคิดถึงแล้วก็เสียใจที่ท่านไม่อยู่กับเราแล้ว แต่เอาจริงๆท่านยังอยู่กับเราครับ ท่านยังอยู่ในใจของเราทุกคนเสมอไป เพราะฉะนั้นสำหรับผมแค่มองไปบนฟ้าแล้วคิดถึงท่านทุกอย่างก็เหมือนเดิมครับ เวลาผมคิดถึงท่านผมก็จะมองไปที่รูปของท่าน ซึ่งก็ทำให้ผมมีกำลังใจ และเราทุกคนต้องเดินหน้าต่อไปแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดครับ

อาเล็ก – ธีรเดช เมธาวรายุทธ

อาเล็ก – ธีรเดช

“ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนเห็น ไม่ว่าจะเป็นภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอเวลาท่านออกทำพระราชกรณียกิจอะไรต่างๆ เชื่อว่าเด็กๆหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆถึงสอนให้เรารักในหลวง ผมเองก็เป็นอีกคนที่โตขึ้นมากับภาพแบบนี้ มันก็ค่อยๆซึมแล้วเห็นว่าท่านทำเพื่อเรามากแค่ไหน จนกลายเป็นความรักจริงๆ เพราะว่าทุกอย่างที่ท่านทำ ท่านทำเพื่อเราครับ

เคน – ภูภูมิ พงศ์ภาณุ

เคน – ภูภูมิ

“มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ผมว่าทุกคนรู้สึกเหมือนกัน ตอนนี้ผมเห็นทุกคนรักกันมากขึ้น เห็นทุกคนมีน้ำใจให้กัน เห็นทุกคนมาทำอะไรเพื่อส่วนรวม หันมาสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆมากขึ้น สนใจสิ่งที่ในหลวงท่านเคยสอนไว้มากยิ่งขึ้น ผมดีใจที่เห็นภาพแบบนี้ครับ คำสอนทุกๆคำผมว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดมากแล้ว และผมอยากให้ทุกคนตระหนักถึงคำสอนของในหลวงที่ท่านสอนพวกเราไว้เสมอ ไม่ใช่แค่ช่วงนี้เท่านั้นครับ

ก้อง – สรวิชญ์ สุบุญ

ก้อง – สรวิชญ์ สุบุญ

“พระองค์ท่านสอนเราเยอะมากตลอดเวลาที่ท่านทรงงานอยู่ แต่สิ่งที่มันชัดเจนที่สุดคือตัวพระองค์ท่านเอง ไม่ใช่คำสอน ตัวพระองค์ท่านคือสิ่งที่สอนได้ดีที่สุด เพราะว่าท่านสอนด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่คำพูดที่พูดออกมา และทุกอย่างที่เรียงร้อยเป็นคำสอนออกมาท่านทำเองหมดแล้ว อย่างเรื่องพอเพียง ตัวท่านคือผู้ที่พอเพียงที่สุด และพระองค์ท่านคือผู้ที่ห่วงใยเรามาก พยายามที่จะทำให้พวกเราอยู่ดีกินดีโดยที่ไม่ได้ห่วงพระวรกาย ไม่ได้ห่วงว่าตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ไม่มีเลย ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยสักคำ”

อาร์ต – พศุตม์ บานแย้ม

อาร์ต – พศุตม์ บานแย้ม

“สำหรับผมเองใช้ชีวิตพอเพียงอยู่แล้วครับ ผมเป็นเด็กค่อนข้างเกเร ใช้ชีวิตค่อนข้างเกินเด็ก พอมาฟังคำสอนของท่าน เรารู้สึกเวลาที่ทำอะไรที่พอเพียงมันมีความสุขมาก บางคนบอกว่าเราซื้อรถมอเตอร์ไซค์ทำไมแพงๆ เรามีความสุข เราไม่ได้ไปปล้นฆ่าใคร เราไม่ได้ไปจี้ใคร เราทำด้วยตัวเองและรู้สึกมีความสุข และเราก็ไม่ได้มัธยัสถ์จนที่แบบเราอยากได้ก็จะอยากได้อยู่อย่างนั้น แต่เราสนองความที่เราอยากได้และเราต้องมีความสุขกับมัน ไม่ต้องประหยัดมาก ไม่ต้องฟุ่มเฟื่อยมาก และทำในสิ่งที่เราชอบที่เรารัก ท่านอยากให้เราเป็นแบบนั้นมากกว่าครับ”

โป๊ป – ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ

โป๊ป – ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ

คนไทยทุกคนรักในหลวง รวมถึงตัวผมด้วยครับ เหมือนศรัทธาในความดีที่ท่านปฏิบัติมาตลอด 70 ปีในพระราชกรณียกิจต่างๆและทำเพื่อประชาชน ผมรู้สึกใจหายที่ท่านจากไป แต่ว่าความดีก็ยังคงอยู่ ผมก็จะพยายามทำดีต่อไป ถึงจะไม่ได้ทุกอย่าง แต่ผมก็จะพยายามทำดีเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมไทยครับ”

เกรท – วรินทร ปัญหกาญจน์

เกรท – วรินทร ปัญหกาญจน์

“ผมว่าคนไทยหลายๆคนเจอกับคำถามนี้ก็คงไม่รู้จะเลือกตอบยังไง เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อปวงชนชาวไทยมีเยอะมาก สำหรับผมรู้สึกรักและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านครับ”

เด่นคุณ งามเนตร

เด่นคุณ งามเนตร

ผมจะเก็บความเสียใจไว้ในใจ และเดินหน้าต่อไปด้วยการยึดหลักตามที่พระองค์ท่านเคยสอนพวกเราทุกคน พระองค์ท่านทรงเป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมเป็นผู้เป็นคนได้ทุกวันนี้ และผมเชื่อว่าพระองค์อยากที่จะบอกคนไทยทั้งประเทศว่าอย่าเครียด และผมก็อยากบอกพระองค์ท่านว่าตื้นตันมากๆที่ทำให้ผมมีที่ยืน มีที่กิน มีที่นอน มีทุกอย่าง มีความสุข ขอให้ทุกคนไม่มีความทุกข์ เข้มแข็งและเดินต่อไปครับ ประเทศไทยสยามเมืองยิ้มครับ”

ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร

ต่อ – ธนภพ

พระมหากษัตริย์ที่ผมเห็นมาไม่เคยมีพระองค์ไหนที่เป็นผู้ให้ได้ขนาดนี้ ผมมองว่าตอนนี้คนไทยทุกคนกำลังตกอยู่ในภาวะความเศร้า แล้วตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือแทนที่เราจะกอดคอกันร้องไห้ เราต้องกอดคอกันเดินหน้า แต่ไม่ใช่ว่าเราเดินหน้าโดยไม่นึกถึงท่านเลย เราต้องนำคำสอนทั้งหมดของท่านมาใช้ครับ”

บอม – ธนิน มนูญศิลป์

บอม – ธนิน

“ท่านคือพ่อของทุกคน รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันกระทบต่อจิตใจของคนไทยมาก ผมว่ามันบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ปกติเราจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ เราอยู่ที่บ้านก็จะไหว้จะกราบ เราก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อเราได้ทำไว้ อย่างเช่น ทรงดนตรี ทรงกีฬา พระบรมราโชวาทต่างๆ ก็พยายามจะคิด คิดว่าพ่ออยากจะเห็นสิ่งที่พ่อรักษาไว้เดินหน้าต่อไป ความรักที่คนไทยมีต่อกัน ผมเชื่อว่าสิ่งนี้พ่อจะดีใจที่เรารักษามันไว้ได้ต่อไปในวันที่ไม่มีพ่อครับ

อ่านต่อ>>  “7 นางเอก” เผยความรู้สึก ที่สุดของชีวิตคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙


เรื่อง : Red Apple_แพรวดอทคอม
ภาพ : Thai TV3

คำพ่อสอน

คำพ่อสอน ฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่ร่างกายแต่จิตใจเป็นรากฐานที่สำคัญ

Alternative Textaccount_circle
คำพ่อสอน
คำพ่อสอน

คำพ่อสอน : กรกนก ยงสกุล ผู้ก่อตั้งสถาบันสร้างบุคลิกภาพ “รื่นรมย์ by เล็ก”
พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าประชาชน ได้ทำความเข้าใจและนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันจะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่จำกัดเพศและวัย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มากแค่ไหน “ความเข้มแข็งในจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไป ถ้ามีชีวิตที่ลำบากไปประสบอุปสรรคใด ๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้…แต่ถ้ามี ความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็งภายในกายในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ นั้นได้…” พระราชดำรัสที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของดิฉันมาตลอด มนุษย์ต้องหมั่นฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ใช่แค่ร่างกาย หรือความคิด แต่ต้องมาจากรากฐานคือจิตใจ เพราะมนุษย์เปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ หลากหลายในแต่ละวัน พระเจ้าอยู่หัวทรงพยายามสอนเราว่า เมื่อจิตใจเข้มแข็งแล้ว ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ เราจะสามารถก้าวผ่านไปได้ เพราะสติจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้อารมณ์มาทำร้ายตัวเอง เหมือนคำกล่าวที่ว่า “You are your own worst enemy” ดิฉันเป็นเทรนเนอร์ด้านบุคลิกภาพ การพูด การแต่งกาย และการบริการ เราไม่ได้เทรนผู้คนเฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่เทรนถึงภายใน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ทัศนคติ เพราะการทำงานทุกอย่าง จะต้องพบเจออุปสรรค เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดหวังมักเกิดอารมณ์ในเชิงลบ จึงต้องฝึกด้วยการดึงสติขึ้นมา แล้วถอยกลับมาดูตัวเองว่า หงุดหงิดเพราะอะไร จะแก้ปัญหาได้อย่างไร โดยแยกเป็นข้อ ๆ ที่สำคัญคือ ต้องใช้ความคิดในเชิงบวก และอย่าเบียดเบียนผู้อื่นด้วยการโทรศัพท์ไปบ่นกับเพื่อน ไม่มีใครอยากฟังสิ่งไม่ดี เวลาที่ดิฉันรู้สึกอึดอัดจะใช้วิธีบ่นกับตัวเอง แล้วตั้งสติ ทำอารมณ์ให้นิ่ง ไม่อย่างนั้นอารมณ์และความคิดอาจฆ่าเราด้วยการทำอะไรที่ขาดสติ เมื่ออารมณ์นิ่งแล้ว เราจะสามารถคิดอะไรที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้

 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 884 (คำพ่อสอน หน้า 66)

ในหลวง ร.9

ในหลวงรัชกาลที่ 9 กษัตริย์นักการทูต เผยหน้าที่ของประมุขคือ ทำให้ต่างชาติรู้ว่าคนไทยมีมิตรจิตมิตรใจ

ในหลวง ร.9
ในหลวง ร.9

อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยหลายคนได้เห็นตลอดหลังในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตคือ การแสดงความอาลัยจากกษัตริย์หลายประเทศ รวมถึงผู้นำทั่วโลก นั่นแสดงให้เห็นว่านอกจากพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยจะทรงพระปรีชาสามารถโดดเด่นในการพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นที่กล่าวขานต่อพื้นที่สื่อนอกแล้ว การสร้างมิตรผูกสัมพันธไมตรีของพระองค์ ซึ่งเปรียบเสมือนนักการทูตประจำประเทศไทยนั้นก็ทรงโดดเด่นไม่แพ้กัน

หากพินิจให้ดีแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระปรีชาสามารถด้านสื่อสารผูกสัมพันธไมตรีอันดีกับต่างประเทศมาโดยตลอด และถ้าหากใครยังจำปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่หลายสื่อทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงคนไทยด้วยกันเองต่างให้ความสนใจและเฝ้าติดตามข่าวเป็นพิเศษด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจและปลื้มปีติ นั่นก็คือพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.2549 โดยพระราชพิธีนี้ได้มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจำนวน 25 ประเทศ จากทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลกมาร่วมราชพิธี ซึ่งถือเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆมากที่สุดในโลกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว

ในหลวง ร.9
ภาพ :วิกิพีเดีย

และเหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทยที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต ก็ได้มีพระมหากษัตริย์หลายประเทศทั้งแสดงความอาลัยจากประเทศของพระองค์ ทั้งเสด็จพระราชดำเนินมาเยือนถึงไทย อย่างสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังซุก แห่งภูฏาน ที่มาพร้อมสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก และเจ้าชายน้อย จิกมี นัมเกล วังชุกหรือแม้แต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงส่งสาส์นส่วนพระองค์แสดงความเสียพระราชหฤทัยถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ รวมถึงผู้นำทั่วโลกต่างๆ เช่น นายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ ประเทศญี่ปุ่น ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ฯลฯ ก็ได้มีการแสดงความอาลัยต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวไทย รวมถึงกล่าวถึงพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่นำพาความเจริญและความสุขสู่ชาวไทยอย่างแท้จริง

หลายคนอาจเกิดความคิดสงสัยว่าประเทศไทยเรานั้นเป็นประเทศเล็กๆหากเทียบกับประเทศอื่น แต่ทำไมประเทศไทย โดยเฉพาะกษัตริย์ไทยนั้นต่างเป็นที่รัก เป็นที่รู้จักต่อกษัตริย์และผู้นำประเทศอื่นๆ แพรวจึงขอนำพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ยามเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศมาให้ได้ทราบกัน

แล้วจะรู้ว่าพ่อหลวง หรือในหลวงรัชกาลที่ 9 ของชาวไทยนั้น ทรงมองการณ์ไกลและทรงใส่พระทัยทำเพื่อประชาชนชาวไทยและประเทศไทยมาโดยตลอด

ในหลวง ร.9
ภาพ: นิตยสารแพรว ปีที่ 33 ฉบับที่ 774 (25 พ.ย. 54)

“การผูกน้ำใจกันไว้นั้น ธรรมดาญาติพี่น้องก็ไปเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แต่สำหรับประเทศไทยนั้น ประชาชนนับแสนนับล้านจะไปเยี่ยมเยียนกันก็ยาก เขาจึงยกให้เป็นหน้าที่ของประมุขของประเทศในการเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ ข้าพเจ้าก็จะแสดงต่อประชาชนของประเทศเหล่านั้นว่า ประชาชนชาวไทยมีมิตรจิตมิตรใจต่อเขา และข้าพเจ้าจะพยายามเต็มที่เพื่อให้ฝ่ายเขารู้จักเมืองไทยและเกิดมีน้ำใจที่ดีต่อชาวไทย…”

(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานไว้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศ)

ในหลวง ร.9
ภาพ: นิตยสารแพรว ปีที่ 33 ฉบับที่ 774 (25 พ.ย. 54)

“ข้าพเจ้าและสมเด็จพระบรมราชินีพร้อมด้วยพระเจ้าโบดวง ได้ไปชมเมืองนามือร์ ชาเลอร์รัว กังค์ และเมืองบูรจ์ ซึ่งในแต่ละเมืองดังกล่าว ประชาชนจำนวนมากได้มายืนเรียงรายเป็นทิวแถวตามฟากถนนที่เราผ่านไป การต้อนรับของประชาชนเหล่านั้นได้เป็นไปด้วยความกระตือรือร้น และด้วยความเป็นมิตรไมตรีอันดี ประชาชนชาวเบลเยียมโดยธรรมชาติเป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียรมาก ความกล้าหาญและการตัดสินใจของเขาในสงครามโลกทั้งสองครั้งที่แล้วมา ทำให้เขาได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าและสมเด็จพระราชินีพักอยู่ในประเทศเบลเยียม พระเจ้าโบดวงได้พระราชทานความสนพระทัยเป็นส่วนพระองค์แก่เราเป็นอย่างดี และความเป็นกันเองของพระองค์ทำให้สะดวกสบายอย่างมาก…”

(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อคราวเสด็จฯไปทรงเยือนประเทศเบลเยียม 2503)

ในหลวง ร.9
ภาพ: นิตยสารแพรว ปีที่ 33 ฉบับที่ 774 (25 พ.ย. 54)

“…การไปต่างประเทศคราวนี้ก็ไปเป็นทางราชการแผ่นดิน เป็นการทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะเป็นประมุขของประเทศ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าในสมัยนี้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่เสมอ ว่าชนทุกชาติเป็นญาติพี่น้องกันก็ว่าได้ จึงควรพยายามให้รู้จักนิสัยใจคอกัน ทั้งต้องผูกน้ำใจกันไว้ให้ดีด้วย”

(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานไว้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนต่างประเทศ)


ภาพ: นิตยสารแพรว ปีที่ 33 ฉบับที่ 774 (25 พ.ย. 54), วิกิพีเดีย

ส่งต่อแรงบันดาลใจ “ขวัญ – อุษามณี” เที่ยวตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ณ เมืองโลซาน

อีกหนึ่งนักแสดงที่ส่งต่อแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตด้วยการทำดีตามคำสอนพ่อหลวง “ขวัญ – อุษามณี” หลังจากไปเป็นจิตอาสาช่วยแจกอาหารและเครื่องดื่มบริเวณท้องสนามหลวงอยู่หลายวัน

ล่าสุดก็บินลัดฟ้า เที่ยวตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งประทับอยู่ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ งานนี้สาว “ขวัญ” จะ “ตามรอยพ่อหลวง” ไปสถานที่ใดบ้าง แพรวพาไปส่องภาพพร้อมข้อมูลตามพระราชประวัติกันค่ะ

ตามพระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ นครโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมเชษฐาและพระเชษฐภคินี เมื่อพุทธศักราช 2476 ภายหลังที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยประทับอยู่ ณ พระตำหนัก “วิลล่าวัฒนา”

ขวัญ อุษามณี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเมียร์มองต์ ชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออีส โรมองต์ และโรงเรียนจิมนาส คลาสสิก คองโตนาล ตามลำดับ และทรงได้รับประกาศนียบัตรบาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษาดังกล่าวทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และละติน

ต่อจากนั้นทรงเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซาน ก่อนจะเสด็จนิวัตประเทศไทยในปี พ.ศ.2488 พร้อมกับพระบรมเชษฐา
แล้วจึงเสด็จฯกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2489 ได้ทรงศึกษาวิชาใหม่ เป็นสาขาวิชารัฐศาสตร์แทนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องด้วยทรงคำนึงถึงพระราชภารกิจในการปกครองประเทศเป็นสำคัญ

ขวัญ อุษามณี

“ที่ที่พ่อเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ณ เมืองโลซาน แต่ปัจจุบันย้ายออกจากที่เดิมละนะคะ มาครั้งหนึ่งในชีวิตของคนไทย ตามรอยพ่อเรากันนะคะ ง่ายๆค่ะ ขึ้นรถเมล์สาย 17 ลงที่ Renens VD ต่อด้วยรถไฟไปสถานี Lausanne เดินไปอีกประมาณ 7 นาทีก็พบที่เก่าของพ่อเราแล้วค่ะ”

ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทครั้งนี้ยังมีจุดหมายที่ “แฟลตเลขที่ 16” ซึ่งตั้งอยู่บนถนนทิสโซต์ (Tissot)

ที่แห่งนี้หม่อมสังวาลย์พร้อมพระราชธิดาและพระราชโอรสทรงใช้เป็นที่ประทับในช่วงปี พ.ศ.2476 – 2478 โดยเป็นแฟลตห่างตัวเมืองเล็กน้อย ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระนิพนธ์ถึงแฟลตนี้ไว้ว่า “เป็นตึกขนาดใหญ่ มีแฟลตหลายชุด แม่เช่าที่ชั้นล่างเพราะเกรงว่าลูกอาจรบกวนคนที่พักอยู่ข้างใต้ด้วยการวิ่งหรือกระโดด ใต้แฟลตของเรายังมีโรงรถอีก”

07

 

 เที่ยวตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

05

อีกหนึ่งสถานที่ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทคือ ทะเลสาบเลอมอง (Leman)
เมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ยังทรงพระเยาว์ ทั้งสองพระองค์เคยทรงเรือใบและกรรเชียงเล่นในทะเลสาบแห่งนี้

 เที่ยวตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

Le Pavillon Thailandais

ศาลาไทย ณ เมืองโลซาน จุดแลนด์มาร์คอีกหนึ่งแห่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองโลซาน เมื่อมีโอกาสจะต้องแวะเวียนมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก โดย Le Pavillon Thailandais สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเป็นที่ระลึกในโอกาสครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิสในปี พ.ศ.2549
ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีเปิดศาลาไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2552

03


สาวขวัญ – อุษามณี กับงานจิตอาสา แจกอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเข็มกลัดริบบิ้น บริเวณท้องสนามหลวง

09

สาว “ขวัญ” โพสต์เป็นกำลังใจให้พี่ๆผู้ปิดทองหลังพระ

08
“ถามว่าพี่เหนื่อยมั้ย พี่ไม่เหนื่อยหรอกคะ ทำเพื่อพ่อ” เปรียบเหมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ ขอบคุณที่ดูแลบ้านเราให้สวยงามอยู่เสมอนะคะ <ตากแดด ตากฝน ตากลม> เหนื่อยละยังมีรอยยิ้ม #ต้องสตองขนาดไหน #ขวัญเป็นกำลังใจให้นะคะ

01


เรื่อง : Red Apple_แพรวดอทคอม
ภาพ : IG@kwanusa9
ขอบคุณข้อมูล Le Pavillon Thailandais จาก www.thaiembassy.ch

เรื่องเล่าครั้งยังทรงพระเยาว์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จากสองพระสหายในโรงเรียนจิตรลดา

พลตรีหญิง ลลิดา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และคุณธาริณี นามศิริชัย ตั้งแต่ครั้งที่ได้รับโอกาสให้เข้าเรียนโรงเรียนจิตรลดา ชั้นเรียนเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งสองท่านก็ได้รับพระเมตตาเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ พลตรีหญิง ลลิดาย้อนเล่าเรื่องราวความทรงจำวัยเด็กให้เราฟังว่า

6

“ความที่คุณพ่อเป็นข้าราชบริพารในพระตำหนักจิตรลดาฯ ทำให้ดิฉันมีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตในสวนจิตรลดาและเรียนหนังสือที่โรงเรียนจิตรลดา สมัยนั้นมีแค่ 4 ชั้นเรียน เพราะเปิดตามพระชันษาของทูลกระหม่อมทั้งสี่พระองค์ ส่วนพวกเราเริ่มเรียนอนุบาล 1 ชั้นเรียนเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงปฏิบัติพระองค์เหมือนเด็กทั่วไป ถ้าเป็นเวรทำความสะอาด พระองค์ท่านจะทรงกวาดห้องเรียน ยกเก้าอี้ เช็ดกระดาน หรือทานอาหารเสร็จต้องเขี่ยเศษอาหารจากจานลงถังขยะ ทรงทำให้เพื่อนทุกคนเหมือนนักเรียนทั่วไป

“พระองค์ท่านทรงไม่ถือพระองค์และทรงประหยัดให้พวกเราเห็นเป็นตัวอย่าง” คุณธาริณี พระสหายช่วยเล่าเสริม “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงได้รับการปฏิบัติเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ ถ้าทำผิด เช่น ซนมากหรือพูดคุยในห้องขณะคุณครูกำลังสอนก็ต้องถูกทำโทษ ไม่มียกเว้น

3

“นอกจากนี้ยังทรงมีน้ำพระทัยให้เพื่อนทุกคนอย่างสม่ำเสมอ โดยนำของเล่นมาแบ่งปัน มีครั้งหนึ่งพระองค์ท่านนำดินสอสีกล่องใหญ่มาวางบนโต๊ะ แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วยกันใช้ ช่วยกันวาด จำได้ว่าพวกเราตื่นเต้นกันมาก

“วันหนึ่งระหว่างที่เล่นฟุตบอลด้วยกัน ดิฉันเป็นผู้รักษาประตู พระองค์ท่านทรงเตะลูกฟุตบอลมาโดนนิ้วดิฉัน กระดูกเคลื่อน พอทอดพระเนตรเห็นเท่านั้น ความที่กลัวเพื่อนเจ็บ พระองค์ท่านมีรับสั่งถามซ้ำๆว่าเจ็บหรือเปล่า เพราะสงสารเพื่อน สังเกตไหมว่าหากคนพิการหรือคนที่รับพระราชทานปริญญาบัตรแล้วทำหล่นพื้น พระองค์ท่านจะรับสั่งให้มารับพระราชทานใหม่ นี่แหละน้ำพระทัยที่พระองค์ท่านทรงพระเมตตากับทุกคน และทรงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์แล้ว”

4

คุณธาริณีเล่าพลางยิ้มอย่างมีความสุข พลตรีหญิง ลลิดาจึงสริมบ้าง “ขณะที่เพื่อนคนอื่นมีรถรับ – ส่งระหว่างบ้านและโรงเรียน แต่พระองค์ท่านทรงพระดำเนินทั้งไปและกลับ ดิฉันก็ตามเสด็จกลับไปด้วย พอถึงที่พัก พวกเราซึ่งเป็นลูกข้าราชบริพารสิบกว่าคนจัดการเปลี่ยนชุดนักเรียน แล้วทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ขณะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงทำหน้าที่ของพระองค์ท่านด้วยการพระราชทานอาหารนกและกระต่ายทรงเลี้ยง รดน้ำต้นไม้ หรือไม่ก็ทรงเล่นกีฬา ผู้ใหญ่สอนเสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกำชับว่าให้สอนเด็กๆทำงาน จึงจะได้เงินค่าขนมไปโรงเรียน ไม่มีใครได้อะไรมาเปล่าๆ ทุกอย่างที่เรียนรู้ได้มาจากที่นี่ทั้งหมด ถ้าอยู่บ้านกับพ่อแม่อาจทำอะไรไม่เป็น

5

“ถึงเวลาเย็นพวกเราอาบน้ำ แต่งตัว ก่อนกลับมาเข้าเฝ้าฯบนพระตำหนัก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯขึ้นมาเสวยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้ดิฉันทราบว่าทั้งสองพระองค์ทรงใฝ่หาความรู้มาก หากทรงหนังสือหรือทอดพระเนตรอะไรดีๆ มักทรงเล่าพระราชทานพระราชโอรสและพระราชธิดาเสมอ หรือไม่ก็ทรงเล่าเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เราซึ่งเป็นข้าหลวงได้ฟังไปด้วย

“พอโตขึ้นมาหน่อย ดิฉันชอบเรียนคำนวณและวิทยาศาสตร์ แต่ด้านประวัติศาสตร์ไม่จำเลย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงเรียกไปติวให้ รับสั่งว่าอ่านบทนี้ไปก่อน เดี๋ยวจะรับสั่งถาม ซึ่งพระองค์ท่านทรงพระอัจฉริยภาพมาก อ่านเที่ยวเดียวจำได้ ความที่เราต้องอ่านสิ่งที่ไม่ชอบ อ่านไปอ่านมาหลับ สักพักหนึ่งรับสั่งถามว่าลิดาอ่านถึงไหนแล้ว ปรากฏว่ายังอยู่หน้าเดิม พระองค์ท่านจึงรับสั่งว่า ‘อะไรนี่ เราอ่านจบเล่มแล้ว สามรอบด้วย ถ้าอ่านไม่ได้ก็ฟังแล้วกัน’ แล้วพระองค์ท่านก็พระราชทานเล่าเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนฟังนิทาน สนุกมาก จำง่ายกว่าอ่านเองอีก”

1

คุณธาริณีที่นั่งข้างๆเล่าบ้าง “พระองค์ท่านทรงชอบประวัติศาสตร์มาก เวลาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงงานตามที่ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะทรงกลับมาเล่าพระราชทานให้เพื่อนๆฟังเสมอว่าประวัติศาสตร์บ้านเมืองนั้นเป็นอย่างนี้อย่างนั้น หรือเมื่อมีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมชาวเขาที่ภาคเหนือ มักทรงเล่าพระราชทานให้ฟัง จนทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อประชาชนไว้มากมาย

“พอเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีหนึ่ง ดิฉันยังได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯอยู่ ทุกกลางวันดิฉันมีหน้าที่เดินไปซื้อฝรั่งดองจากรถเข็นเจ้าอร่อย ‘เทียมมี่’ ที่นิสิตจุฬาฯรู้จักกัน ซึ่งพระองค์ท่านโปรด ช่วงพักเที่ยงจะมีเจ้าหน้าที่เตรียมพระกระยาหารถวาย บางวันถ้ามีโอกาสพระองค์ท่านจะเรียกให้ดิฉันไปทานด้วย จากนั้นทรงช่วยทบทวนเนื้อหาวิชาพื้นฐานที่เรียนเหมือนกัน”

ขณะที่พลตรีหญิง ลลิดาเล่าว่า “ช่วงที่ดิฉันเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกการสอนคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ระหว่างรอบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนเตรียมทหาร อยากหาอะไรทำ พระองค์ท่านตรัสว่า ไปสอนเด็กชาวเขาไหม แล้วก็ทรงติดต่อตำรวจตระเวนชายแดนให้ ทุกเช้ามีรถ ตชด.มารับดิฉันไปสอนหนังสือ ตกเย็นติดรถ ตชด.กลับลงมา จนตอนนั้นรู้สึกอยากใช้ชีวิตที่นั่นเลย เพราะเราต้องสอนทุกชั้น ทุกวิชา พ่อแม่เด็กรักเรามากตอนย้ายกลับมากรุงเทพฯพวกเขายังมายืนเข้าแถวส่ง โดยดิฉันกลับมาสอนที่โรงเรียนจิตรลดาหนึ่งเทอม แล้วบรรจุเป็นอาจารย์เตรียมทหาร พระองค์ท่านเองเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนนายร้อย จึงเหมือนส่งลูกศิษย์เราไปเป็นลูกศิษย์พระองค์ท่าน โดยจะรับสั่งถามว่าลูกศิษย์คนนี้คนนั้นเป็นอย่างไรอยู่บ่อยๆ”

wigs for sale 

ฟากคุณธาริณีอาสาทำหน้าที่อาจารย์พิเศษ สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนโรงเรียนจิตรลดามานาน 9 ปี “ตอนนั้นดิฉันทำงานบริษัทเอกชน แต่มีช่วงหนึ่งที่ท่านผู้หญิงทัศนีย์ บุณยคุปต์ บอกให้ดิฉันไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ จึงขออนุญาตบริษัทปลีกเวลามาสอนหนังสืออาทิตย์ละ 2 วัน ครั้งละครึ่งวัน ความที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงพระเมตตามาก ถ้ามีอะไรที่เราสามารถทดแทนได้ จึงพร้อมจะทำทุกอย่าง

“หลายปีก่อนพระองค์ท่านพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมลงพระนามให้ในวันพระราชสมภพ ดิฉันนำกลับมาวางบนหิ้งบูชาจนถึงทุกวันนี้” คุณธาริณีเล่าด้วยความปลื้มใจ พลตรีหญิง ลลิดาก็เช่นกัน เธอบอกว่า “ล่าสุดดิฉันทูลขอพระราชทานน้ำสังข์อายุครบ 60 ปี เนื่องจากเกษียณอายุราชการ พระองค์ท่านยังแซวว่า ไม่ได้รดน้ำสังข์แต่งงานก็มารดตอนนี้แล้วกัน พร้อมกับทรงทัดใบมะตูม ทรงเจิม แล้วทรงรดน้ำสังข์ให้ รู้สึกเป็นมงคลอย่างหาที่สุดไม่ได้”

ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 854 มีนาคม 2558

ในหลวง ร.9

จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่ 4 ภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

ในหลวง ร.9
ในหลวง ร.9

ไม่เพียงแต่พระบรมราโชวาทในหนังสือหรือพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศชี้นำทางให้เหล่าพสกนิกรชาวไทยใช้ยึดเป็นแบบอย่าง แล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตเท่านั้น แต่ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ที่พระองค์พระราชนิพนธ์ขึ้นก็ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สามารถสอนสั่งหรือให้คติธรรมแก่พวกเราชาวไทยเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตได้เช่นกัน

เมื่อปี พ.ศ.2558 ภาพยนตร์ในโครงการ “คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์” ที่ประกอบด้วยภาพยนตร์ 4 เรื่อง คือ เรื่องอมยิ้ม, ดาว, The Singers และฝนตกที่ห้วยขาแข้ง ได้ฉายให้ผู้ชมได้ชมโดยไม่คิดค่าบริการไปแล้วในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ 78 สาขาทั่วประเทศ โดยภาพยนตร์ทั้งสี่เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก 4 บทเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในปีนี้ภาพยนตร์คีตราชนิพนธ์ทั้งสี่เรื่องได้นำมาฉายลงใน Line TV เพื่อให้ผู้ชมได้ชมอย่างทั่วถึงและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

“คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์” เป็นภาพยนตร์ที่เหล่าผู้กำกับได้นำเสนอเรื่องราวในมุมของตนเองหลังจากได้ฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ และยังได้มีการนำเรื่องราวชีวประวัติของบุคคลจริงที่ได้ยึดมั่นตั้งมั่นสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม เดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 มาสร้างเป็น 1 ใน 4 ภาพยนตร์นี้ด้วย และภาพยนตร์ทั้งสี่เรื่องในโครงการนี้ยังได้รับเลือกให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ Hawaii International Film Festival 2015 ที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา และในเทศกาล East Wins Film Festival 2016 ณ เมืองโคเวนทรี อังกฤษ

จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่ 4 ภาพยนตร์
สร้างแรงบันดาลใจ มีดังนี้

ภาพยนตร์ “อมยิ้ม” จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้”

ในหลวง ร.9หลังจากผู้กำกับ นัก – วัลลภ ประสพผล ได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” เขาได้พูดถึงการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ผมรู้สึกว่ามีความสวยงาม มีความดี ให้ความรู้สึกของการมองโลกในแง่ดี เจออะไรก็ตามเราจะยิ้มสู้ด้วยวิธีง่ายๆ แต่ว่ามีพลังขนาดนี้ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปลูกฝังสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เห็นแก่ตัว”

ในหลวง ร.9เรื่องย่อ เด็กชายคนหนึ่งกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาคนในโรงเรียน เพราะไม่เคยมีใครเห็นเขาโกรธ ร้องไห้ หัวเราะ หรือแม้แต่ยิ้ม เขาคือคำถามของทุกคน คือของเล่นแสนสนุกน่าแกล้ง แต่ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้หรือคิดทำความรู้จักเขาจริงๆ แล้วทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ข่าวว่าคนที่หน้าตายนิ่งเฉยไม่เคยขยับอย่างเขากำลังจะเล่นละคร แถมเล่นกับนักเรียนหญิงสุดสวยแสนป็อปของโรงเรียนที่เขาแอบชอบ เขาจะเล่นละครได้ไหม และความจริงที่ถูกเปิดเผยอาจเปลี่ยนความรู้สึกใครบางคนไปตลอดกาล

ทีมนักแสดง : ชานน สันติธรกุล, ญานนีน ภารวี ไวเกล, กลรัตน์ เตชะอินทร์, กัญฐ์เอนก นัยนาประเสริฐ,
สุดาพร เทศนะนาวิน
สามารถคลิกเข้าชมได้ที่ คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ – “อมยิ้ม”


ภาพยนตร์ “ดาว” จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด”

ในหลวง ร.9กำกับโดย สิน – ยงยุทธ ทองกองทุน ซึ่งเขาได้พูดถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ไว้ว่า ผมรู้สึกว่าในความหมายเพลงดีมากๆ สามารถเป็นแรงบันดาลใจได้กับคนทุกวัย แม้แต่กับเด็กๆ”

ในหลวง ร.9เรื่องย่อ ใครๆก็รู้ว่าการได้เป็นคนเชิญธงชาติของโรงเรียนเป็นความฝันอันสูงสุดของนักเรียนทุกคน ดังนั้นทันทีที่คุณครูประกาศหาคนเชิญธงคนใหม่แทนพี่ ป.6 ที่กำลังจะจบไป การแข่งขันของหนุ่มน้อยสองคนจึงเกิดขึ้น สำหรับ “โก้” การได้เชิญธงชาติจะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับสาวที่เขาตั้งเป้าว่าต้องจีบเป็นแฟนให้ได้ก่อนสอบปลายปี แต่สำหรับ “หนึ่ง” การได้เป็นคนเชิญธงชาติมีความสำคัญมากกว่าที่ใครจะคาดถึง การแข่งขันที่มีจำนวนดาวเป็นตัวตัดสิน จะทำให้ความฝันอันสูงสุดของหนึ่งเป็นจริงได้หรือไม่

ทีมนักแสดง : ธนากร โปษยานนท์, จารุภัส ปัทมะศิริ, กฤตเมธ เมืองดี, วศิน เกิดนานา, อภิธาร รุ่งเจริญรอด
สามารถคลิกเข้าชมได้ที่ คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ – “ดาว”


ภาพยนตร์ “The Singers” จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต”

ในหลวง ร.9กำกับโดย อุ๋ย – นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง, Timeline จดหมาย ความทรงจำ โดยคุณอุ๋ยได้พูดถึงเรื่องนี้ “เพลงนี้ให้ความรู้สึกสะเทือนใจบางอย่างกับเรา พอเราได้ยินเพลงทีไร เราจะนึกถึงคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งอยู่ที่บ้าน หรือว่าเวลาเราไปต่างจังหวัดก็จะเห็นคนแก่มีภาพขาวดำติดอยู่เต็มไปหมด เรียงเป็นสิบๆเลย บางบ้านเป็นสิบๆคน ผมก็มานึกถึงว่า ชีวิตคนเราก็เท่านี้จริงๆ เกิดมาเราอาจจะได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น หรือสร้างคุณงามความดีให้โลกใบนี้ พอท้ายที่สุดแล้วที่เราทิ้งให้โลกใบก็นี้คือภาพขาวดำ ผมก็เลยคิดว่าเรื่องแบบนี้น่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้คนดูได้”

ในหลวง ร.9เรื่องย่อ หญิงชราสองคนจากสองครอบครัวที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในด้านฐานะและสถานภาพในสังคม แต่ทั้งคู่มีความเหมือนกันในแง่ของสภาพจิตใจ เมื่อทั้งสองได้โคจรมาพบกันและรับรู้เรื่องราวของกันและกัน การผจญภัยของสองย่ายายจึงเริ่มต้นขึ้น เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจได้ดีสำหรับใครที่คิดว่าตัวเองนั้นไร้ความสามารถ

ทีมนักแสดง : นีรนุช ปัทมสูต, วาสนา ชลากร, อนัญญา ธรรมวิชุกร
สามารถคลิกเข้าชมได้ที่ คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ – “The Singers”


ภาพยนตร์ “ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง” จากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน”

ในหลวง ร.9กำกับโดย โอ๋ – ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้เคยฝากผลงานในภาพยนตร์เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง หลังจากคุณโอ๋ได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” ทำให้เขาเห็นภาพดังนี้ ผมค่อยๆเห็นภาพผืนป่ากว้าง ฝนตกพรำทั่วป่า นึกถึงความเมตตา นึกถึงความเอื้ออาทร แล้วยังทำให้ผมนึกถึงคุณสืบ นาคะเสถียร ผู้ซึ่งไม่เห็นแก่ตัว เสียสละทำเพื่อส่วนรวม”

ในหลวง ร.9เรื่องย่อ เรื่องจริงของ “สืบ นาคะเสถียร” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นักสู้ผู้อุทิศชีวิตเพื่อผืนป่าเมืองไทย ในช่วง 4 ปีสุดท้ายที่เขามุ่งมั่นและต่อสู้เพื่อยุติการตัดไม้ทำลายป่าและล่าสัตว์ป่าอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย สืบยืนหยัดต่อกรกับอิทธิพลมืด นักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตด้วยมือเปล่า และหัวใจที่จะไม่ยอมให้ผืนป่าของเมืองไทยต้องหมดสิ้นไปเพราะความโลภและเห็นแก่ตัว เรื่องนี้เรียกว่าให้ความรู้สึกหนักหน่วงและให้คอยลุ้นตามตลอดเรื่อง

ทีมนักแสดง : นพชัย ชัยนาม, อะตอม สัมพันธภาพ, พงศ์ภัทร์ พงษ์ประไพ, โยธิน มาพบพันธ์,
คุณากร เกิดพันธุ์, วิทยา ปานศรีงาม, ภารดี อยู่โสภา
สามารถคลิกเข้าชมได้ที่ คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์ – “ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง”


เรื่อง : Gingyawee_แพรวดอทคอม
ข้อมูลบางส่วนและภาพ : แฟนเพจ Facebook – คีตราชนิพนธ์

“7 นางเอก” เผยความรู้สึก ที่สุดของชีวิตคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙

เพราะคนไทยทุกคนคือลูกของพ่อ ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๙ จึงเป็นความรู้สึกที่ลูกทุกหมู่เหล่าเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมไม่ต่างกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าคนบันเทิงที่พร้อมใจออกมาแสดงพลังทำดีเพื่อพ่อ

ล่าสุดเหล่านางเอกและพิธีกรหญิงสุดสตรองจากช่อง 3 ก็ได้ออกมาเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อพระผู้ทรงเป็นผู้ให้แห่งแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความอาลัย แต่พร้อมใจลุกขึ้นสานต่อในสิ่งที่พ่อสร้าง

 

มิว – นิษฐา จิรยั่งยืน

นางเอก มิว – นิษฐา จิรยั่งยืน
ภาพ :IG@jordwphoto

“อยากขอบคุณ อยากบอกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราชาวไทยแล้ว พระองค์ท่านก็ทรงงานมามากแล้ว ทำเพื่อพวกเราชาวไทยมามากมายเหลือล้นแล้ว ณ วันนี้อยากให้ท่านได้พักบ้าง ต่อไปเป็นหน้าที่ของพวกเราแล้วที่จะดำเนินชีวิตต่อไปโดยยึดตามหลักคำสอนของท่านค่ะ

กาละแมร์ – พัชรศรี เบญจมาศ

03

“ที่สุดของชีวิตก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะคะ แล้วการจากไปครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปวงชนชาวไทย แต่สิ่งที่อยากจะให้พวกเราได้ยึดถือเอาไว้ก็คือพระราชกรณียกิจที่ท่านได้ทำ แล้วก็สิ่งที่พระองค์ได้ดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างให้พวกเราได้ดำเนินชีวิตตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในทุกๆเรื่อง การเสด็จมาของพระองค์ครั้งนี้ ที่เป็นเจ้าเหนือหัวของเราตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ ท่านมาเพื่อเป็นพระผู้ให้อย่างแท้จริง ให้ชีวิตของเราดีขึ้น ให้พวกเราได้มีที่อยู่ที่กิน ให้พวกเราได้มีจิตใจที่รู้ว่าต้องทำเพื่อคนอื่นมากน้อยแค่ไหน มาเพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้นในวันนี้ถึงเราจะไม่ได้มีพระองค์ท่าน แต่ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ตาม พระองค์ท่านก็จะอยู่ในใจเราเสมอ”

เต้ย – จรินทร์พร จุนเกียรติ

นางเอก

“เต้ยคิดว่าคนเราทุกคนมีบ้านของตนเอง บ้านอาจจะแบบ 80 ตารางวา 100 ตารางวา 1 ไร่ หรืออะไรก็ตามแต่ เราดูแลบ้านหลังนั้นให้ดีที่สุด แต่ท่านทรงมีบ้านที่ใหญ่มาก บ้านก็คือแผ่นดินไทยทั้งแผ่นดิน ท่านทรงดูแลทุกๆอย่าง เสียสละทุกหยาดเหงื่อแรงกายของท่าน ตั้งแต่ท่านยังเล็กจนท่านโต เพื่อแผ่นดินของเรา รู้สึกว่าไม่มีใครในโลกนี้ หรือไม่มีใครในประเทศนี้แล้วที่ทำเพื่อลูกๆของท่านได้ขนาดนี้ รู้สึกรักท่านมากค่ะ แล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้ท่านอยู่ในที่ที่ดีที่สุด สบายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเราจะทำได้ก็คือเป็นคนดีให้ท่านเห็น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วก็เข้มแข็งค่ะ ท่านมองลงมาจากข้างบนจะรู้สึกสบายใจกว่า ถ้าลูกๆของท่านเข้มแข็งค่ะ

ไอซ์ – อามีนา กูล

02
“รู้สึกซาบซึ้งใจในสิ่งที่ในหลวงได้ทำค่ะ แม้ว่าเราเองจะไม่ได้เห็นพระราชกรณียกิจทุกอย่างที่ท่านได้ทำอย่างใกล้ชิด แต่เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านทำยิ่งใหญ่มาก แล้วเราก็อยากจะตอบแทนท่าน ถึงเราอาจจะตอบแทนท่านไม่ได้มาก แต่ก็จะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ

มิ้นต์ – ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง

นางเอก

“จริงๆแล้วคำสอนในหลวงมีเยอะมาก และเราไม่ได้เกิดในยุคที่ท่านทำ แต่เราเกิดมาในยุคที่ท่านสร้างไว้แล้ว ไม่ว่าจะโครงการต่างๆ เราได้รับรู้อยู่เสมอ แต่สิ่งที่หนูคิดว่านำมาปฏิบัติง่ายกับตัวเราก็คือการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ทุกอาชีพ สามารถทำได้ง่ายๆ และการที่เรารู้จักให้ รู้จักรับ รู้จักพอมีพอกินในสิ่งที่เรามีอยู่เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆค่ะ”

เบลล่า – ราณี แคมเปน

เบลล่า

“การที่เราเติบโตมาในวันนี้ก็มาจากคำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมดเลย และหนูอยากจะขอให้พระองค์ท่านทรงมองลงมาที่พวกเราบ้างนะคะ หนูเชื่อว่าท่านได้ไปอยู่ในที่ที่ดี ขอให้ท่านทรงพระเกษมสำราญอยู่ข้างบน และหวังว่าคนไทยทุกคนจะสามัคคีกันและผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ หนูเองก็จะเป็นคนดีเพื่อพ่อค่ะ

แต้ว – ณฐพร เตมีรักษ์

05

“รู้สึกโชคดีมากๆที่เราได้เกิดมาในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ได้เกิดมาแล้วก็ได้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ กษัตริย์ที่หาไม่ได้แล้วในโลกใบนี้ค่ะ


เรื่อง : Red Apple_แพรวดอทคอม
ภาพ : Thai TV3

Khoudia Diop นางแบบผิวสีได้ดีเพราะความดำ! พลิกชีวิตจากจุดด้อยกลายเป็นจุดเด่น

โคเดีย ดิออป (Khoudia Diop) คือสาวผิวสีที่ใครๆต่างก็บอกว่าผิวที่ดำสนิทของเธอนั้นคือจุดด้อยในชีวิตเธอ แต่แล้วหนึ่งจุดด้อยที่หลายคนดูถูกกลับกลายเป็นจุดเด่นที่ส่งให้เธอขึ้นไปเป็นนางแบบสุดฮ็อตที่วินาทีนี้ใครๆต่างก็พูดถึง

1

เพราะความสวยงามไม่มีข้อจำกัด ผู้หญิงทุกคนสามารถสวยในแบบของตัวเองได้ ใครที่มีความคิดว่าผู้หญิงผิวขาวคือผู้หญิงสวย ผิวดำคือไม่สวย บอกเลยว่าความคิดนั้นคงจะล้าสมัยไปแล้ว ดูอย่างโคเดีย ดิออป (Khoudia Diop) นางแบบสาวชาวเซเนกัลของเราคนนี้สิ คงไม่มีใครคิดว่าเธอจะกลายเป็นคนดังภายในชั่วข้ามคืนได้

6

หลังจากที่เธอเข้าร่วมถ่ายแบบรณรงค์ในแคมเปญ Colored ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการมีสีผิวที่แตกต่างของมนุษย์ ร่วมกับนางแบบคนอื่นๆ แม้จะต้องถ่ายแบบร่วมกับนางแบบหลายสิบคน แต่ดูเหมือนว่าสีผิวที่ดำสนิทของเธอจะทำให้เธอโดดเด่นเกินกว่าใคร จนได้รับความสนใจจากคนที่เล่นโซเชียลเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างแชร์รูปของเธอพร้อมกับชื่นชมความงามโดยธรรมชาติของเธอที่ไม่เหมือนใคร จนหลายคนให้ฉายาเธอว่า “นางฟ้าเมลานิน”

7

ซึ่งตอนนี้บอกเลยว่าเธอฮ็อตสุดๆ เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในฐานะนางแบบคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีหลายแบรนด์ต่างก็ต้องการตัวเธอให้ไปเป็นนางแบบ แต่ก่อนที่เธอจะได้รับความสนใจและมีผู้คนติดตามมากขนาดนี้ แน่นอนว่าเธอต้องผ่านอะไรมาเยอะมากเลยทีเดียว ปัญหาหลักที่เธอต้องเจออยู่เป็นประจำก็คือ เธอถูกกลั่นแกล้งเพราะสีผิวของเธอ แต่ดูเหมือนคำดูถูกและคำล้อเลียนจะไม่มีผลกับเธอ เพราะถ้าเธอสนใจคำพูดพวกนั้น เธอคงไม่มาถึงจุดนี้ได้ เธอเลือกที่จะมองข้ามความคิดและคำพูดร้ายๆพวกนั้นแล้วเชื่อมั่นในตัวเอง และเพราะทัศนคตินี้ของเธอนี่แหละที่ทำให้เธอสวยงามแตกต่างจากคนอื่น

4

หลายคนอาจจะมองว่าผิวของเธอไม่เห็นจะเป็นอุปสรรคหรือสร้างความลำบากให้เธอสักเท่าไหร่นี่ ต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้เราอาจจะเห็นหรือได้ยินว่ามีการยอมรับคนผิวสีมากขึ้น แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าในโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะแถบยุโรปยังมีอีกหลายคนที่ทั้งดูถูกและเหยียดสีผิวอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสายตาที่พวกเขามองคนผิวสีนั้นราวกับไม่ใช่คน จนทำให้ทุกวันนี้กลุ่มประเทศแถบแอฟริกา ผู้หญิงหลายล้านคนหันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวเป็นจำนวนมาก เพราะอยากจะหลุดพ้นจากการเป็นคนผิวสีนั่นเอง

นั่นแสดงให้เห็นว่ากว่าโคเดีย ดิออป (Khoudia Diop) จะโตมาโดยไม่สนคำพูดที่เหยียดสีผิว แถมไม่เอนเอียงไปตามกระแสนิยมเรื่องผิวขาวได้นั้น เธอต้องใช้ความเชื่อมั่นและจิตใจที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว

2 3 5

เรื่อง : saipiroon_แพรวดอทคอม

ภาพ : www.boredpanda.com, melaniin.goddess

 

ภาพฝีพระหัตถ์ของจริง ร. 6 และ ร. 9 ในหอศิลป เจ้าฟ้า สมบัติล้ำค่าที่คนไทยควรไปชม

ระหว่างการเดินทางไปพระบรมมหาราชวังในช่วงที่ประชาชนคนไทยต่างพร้อมใจกันไปเคารพพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อีกหนึ่งสถานที่สำคัญอย่าง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผลงานของเหล่าศิลปินชั้นครูเท่านั้น แต่ยังมีภาพฝีพระหัตถ์ของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี ทั้งของรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 อีกด้วย

จากพระบรมมหาราชวัง จุดมุ่งหมายของคนไทยทั้งชาติที่ต่างตั้งใจกันเดินทางไป เพื่อแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สถานที่ใกล้เคียงที่อยากให้คนไทยมาเยือนก็คือ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป

ตั้งอยู่บริเวณปลายทางสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวัง ที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ทำให้คนไทยได้ระลึกถึงพระองค์ และได้เห็นพระอัจฉริยภาพในด้านศิลปะจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ซึ่งทรงพระราชทานให้นำมาจัดแสดง

ภาพฝีพระหัตถ์ของจริง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2506 ใช้เทคนิคสีน้ำมัน มีขนาด46x60 เซนติเมตร
ภาพฝีพระหัตถ์ของจริง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2506 ใช้เทคนิคสีน้ำมัน มีขนาด 46 x 60 เซนติเมตร
ภาพฝีพระหัตถ์ของจริง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ใช้เทคนิคสีน้ำมัน มีขนาด41.5x54 เซนติเมตร
ภาพฝีพระหัตถ์ของจริง ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงวาดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ใช้เทคนิคสีน้ำมัน มีขนาด 41.5 x 54 เซนติเมตร

อีกทั้งยังมีภาพวาดของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเขียนภาพเป็นงานอดิเรกไว้จำนวนหนึ่ง มีทั้งภาพลายเส้นและภาพสีน้ำ ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพบุคคล ภาพล้อเลียน และภาพประกอบเรื่อง ทั้งนี้ผลงานจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ที่พระองค์ทรงเขียนเป็นตอนๆด้วยสีน้ำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2460-2462 นั้น พระองค์ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดีเรื่อง “ศกุนตลา” เพื่อใช้เป็นบทประกอบการแสดง

นอกจากภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์แล้ว อีกหนึ่งความน่าสนใจของหอศิลป เจ้าฟ้า ก็คือ พื้นที่ของห้องโถงขนาดใหญ่ที่แสดงภาพจิตรกรรมของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี และพระบรมวงศานุวงศ์

the-national-gallery-10

โดยเป็นผลงานของจิตรกรต่างชาติ บางรูปก็ไม่ปรากฏนามผู้วาดที่ชัดเจน แต่ทุกภาพนั้นมีความงดงามและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง

ภาพสีน้ำมันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพร่างจิตรกรรมตกแต่งเพดานโดมในพระที่นั่ง อนันตสมาคม) ผลงานของนายแกลิเลโอ กินี ปีพ.ศ. 2455 ขนาด 60x120 เซนติเมตร
ภาพสีน้ำมันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพร่างจิตรกรรมตกแต่งเพดานโดมในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ผลงานของนายแกลิเลโอ กินี ปี พ.ศ. 2455 ขนาด 60 x 120 เซนติเมตร
ภาพสีน้ำมัน สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชโอรส และพระราชธิดา ปี พ.ศ. 2434-2440 ขนาด 126.5x190 เซนติเมตร
ภาพสีน้ำมัน สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชโอรส และพระราชธิดา ปี พ.ศ. 2434-2440 ขนาด 126.5 x 190 เซนติเมตร

สำหรับใครที่สนใจไปชมภาพจิตรกรรมที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ในช่วงนี้จะไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2560 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

 

ภาพ : sriploi

 

 

ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบาย เคยได้ยินไหม…พระราชดำรัสจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ถึงประชาชนคนไทยที่ควรรู้

พระราชดำรัสจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ถึงประชาชนคนไทยที่ควรรู้

“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงวางรากฐานเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้คนไทยมานานหลายสิบปีแล้ว หลายคนเข้าใจว่าคือการประหยัด ใช้ชีวิตบนความเรียบง่าย ก็นับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าได้รู้ว่าความพอเพียงในศาสตร์พระราชา หรือปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานมามีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น เพราะนับเป็นแนวทางการพัฒนาขั้นพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนทางสายกลางและความไม่ประมาท ซึ่งคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง และเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย ตามที่ได้พระราชทานไว้ดังนี้

prv_13130801“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับ ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” (18 กรกฏาคม 2517)

“…คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธานในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยิ่งยวดได้…” (4 ธันวาคม 2517)

“…เมื่อปี 2517 วันนั้นได้พูดถึงว่าเราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนพอมีพอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย…” (4 ธันวาคม 2541)

keyboard_arrow_up