พลตรีหญิง ลลิดา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และคุณธาริณี นามศิริชัย ตั้งแต่ครั้งที่ได้รับโอกาสให้เข้าเรียนโรงเรียนจิตรลดา ชั้นเรียนเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งสองท่านก็ได้รับพระเมตตาเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ พลตรีหญิง ลลิดาย้อนเล่าเรื่องราวความทรงจำวัยเด็กให้เราฟังว่า
“ความที่คุณพ่อเป็นข้าราชบริพารในพระตำหนักจิตรลดาฯ ทำให้ดิฉันมีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตในสวนจิตรลดาและเรียนหนังสือที่โรงเรียนจิตรลดา สมัยนั้นมีแค่ 4 ชั้นเรียน เพราะเปิดตามพระชันษาของทูลกระหม่อมทั้งสี่พระองค์ ส่วนพวกเราเริ่มเรียนอนุบาล 1 ชั้นเรียนเดียวกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงปฏิบัติพระองค์เหมือนเด็กทั่วไป ถ้าเป็นเวรทำความสะอาด พระองค์ท่านจะทรงกวาดห้องเรียน ยกเก้าอี้ เช็ดกระดาน หรือทานอาหารเสร็จต้องเขี่ยเศษอาหารจากจานลงถังขยะ ทรงทำให้เพื่อนทุกคนเหมือนนักเรียนทั่วไป
“พระองค์ท่านทรงไม่ถือพระองค์และทรงประหยัดให้พวกเราเห็นเป็นตัวอย่าง” คุณธาริณี พระสหายช่วยเล่าเสริม “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงได้รับการปฏิบัติเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ ถ้าทำผิด เช่น ซนมากหรือพูดคุยในห้องขณะคุณครูกำลังสอนก็ต้องถูกทำโทษ ไม่มียกเว้น
“นอกจากนี้ยังทรงมีน้ำพระทัยให้เพื่อนทุกคนอย่างสม่ำเสมอ โดยนำของเล่นมาแบ่งปัน มีครั้งหนึ่งพระองค์ท่านนำดินสอสีกล่องใหญ่มาวางบนโต๊ะ แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วยกันใช้ ช่วยกันวาด จำได้ว่าพวกเราตื่นเต้นกันมาก
“วันหนึ่งระหว่างที่เล่นฟุตบอลด้วยกัน ดิฉันเป็นผู้รักษาประตู พระองค์ท่านทรงเตะลูกฟุตบอลมาโดนนิ้วดิฉัน กระดูกเคลื่อน พอทอดพระเนตรเห็นเท่านั้น ความที่กลัวเพื่อนเจ็บ พระองค์ท่านมีรับสั่งถามซ้ำๆว่าเจ็บหรือเปล่า เพราะสงสารเพื่อน สังเกตไหมว่าหากคนพิการหรือคนที่รับพระราชทานปริญญาบัตรแล้วทำหล่นพื้น พระองค์ท่านจะรับสั่งให้มารับพระราชทานใหม่ นี่แหละน้ำพระทัยที่พระองค์ท่านทรงพระเมตตากับทุกคน และทรงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์แล้ว”
คุณธาริณีเล่าพลางยิ้มอย่างมีความสุข พลตรีหญิง ลลิดาจึงสริมบ้าง “ขณะที่เพื่อนคนอื่นมีรถรับ – ส่งระหว่างบ้านและโรงเรียน แต่พระองค์ท่านทรงพระดำเนินทั้งไปและกลับ ดิฉันก็ตามเสด็จกลับไปด้วย พอถึงที่พัก พวกเราซึ่งเป็นลูกข้าราชบริพารสิบกว่าคนจัดการเปลี่ยนชุดนักเรียน แล้วทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ขณะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงทำหน้าที่ของพระองค์ท่านด้วยการพระราชทานอาหารนกและกระต่ายทรงเลี้ยง รดน้ำต้นไม้ หรือไม่ก็ทรงเล่นกีฬา ผู้ใหญ่สอนเสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกำชับว่าให้สอนเด็กๆทำงาน จึงจะได้เงินค่าขนมไปโรงเรียน ไม่มีใครได้อะไรมาเปล่าๆ ทุกอย่างที่เรียนรู้ได้มาจากที่นี่ทั้งหมด ถ้าอยู่บ้านกับพ่อแม่อาจทำอะไรไม่เป็น
“ถึงเวลาเย็นพวกเราอาบน้ำ แต่งตัว ก่อนกลับมาเข้าเฝ้าฯบนพระตำหนัก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯขึ้นมาเสวยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้ดิฉันทราบว่าทั้งสองพระองค์ทรงใฝ่หาความรู้มาก หากทรงหนังสือหรือทอดพระเนตรอะไรดีๆ มักทรงเล่าพระราชทานพระราชโอรสและพระราชธิดาเสมอ หรือไม่ก็ทรงเล่าเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เราซึ่งเป็นข้าหลวงได้ฟังไปด้วย
“พอโตขึ้นมาหน่อย ดิฉันชอบเรียนคำนวณและวิทยาศาสตร์ แต่ด้านประวัติศาสตร์ไม่จำเลย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงเรียกไปติวให้ รับสั่งว่าอ่านบทนี้ไปก่อน เดี๋ยวจะรับสั่งถาม ซึ่งพระองค์ท่านทรงพระอัจฉริยภาพมาก อ่านเที่ยวเดียวจำได้ ความที่เราต้องอ่านสิ่งที่ไม่ชอบ อ่านไปอ่านมาหลับ สักพักหนึ่งรับสั่งถามว่าลิดาอ่านถึงไหนแล้ว ปรากฏว่ายังอยู่หน้าเดิม พระองค์ท่านจึงรับสั่งว่า ‘อะไรนี่ เราอ่านจบเล่มแล้ว สามรอบด้วย ถ้าอ่านไม่ได้ก็ฟังแล้วกัน’ แล้วพระองค์ท่านก็พระราชทานเล่าเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนฟังนิทาน สนุกมาก จำง่ายกว่าอ่านเองอีก”
คุณธาริณีที่นั่งข้างๆเล่าบ้าง “พระองค์ท่านทรงชอบประวัติศาสตร์มาก เวลาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงงานตามที่ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะทรงกลับมาเล่าพระราชทานให้เพื่อนๆฟังเสมอว่าประวัติศาสตร์บ้านเมืองนั้นเป็นอย่างนี้อย่างนั้น หรือเมื่อมีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงเยี่ยมชาวเขาที่ภาคเหนือ มักทรงเล่าพระราชทานให้ฟัง จนทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำเพื่อประชาชนไว้มากมาย
“พอเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีหนึ่ง ดิฉันยังได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯอยู่ ทุกกลางวันดิฉันมีหน้าที่เดินไปซื้อฝรั่งดองจากรถเข็นเจ้าอร่อย ‘เทียมมี่’ ที่นิสิตจุฬาฯรู้จักกัน ซึ่งพระองค์ท่านโปรด ช่วงพักเที่ยงจะมีเจ้าหน้าที่เตรียมพระกระยาหารถวาย บางวันถ้ามีโอกาสพระองค์ท่านจะเรียกให้ดิฉันไปทานด้วย จากนั้นทรงช่วยทบทวนเนื้อหาวิชาพื้นฐานที่เรียนเหมือนกัน”
ขณะที่พลตรีหญิง ลลิดาเล่าว่า “ช่วงที่ดิฉันเรียนจบคณะศึกษาศาสตร์ วิชาเอกการสอนคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ระหว่างรอบรรจุเป็นอาจารย์โรงเรียนเตรียมทหาร อยากหาอะไรทำ พระองค์ท่านตรัสว่า ไปสอนเด็กชาวเขาไหม แล้วก็ทรงติดต่อตำรวจตระเวนชายแดนให้ ทุกเช้ามีรถ ตชด.มารับดิฉันไปสอนหนังสือ ตกเย็นติดรถ ตชด.กลับลงมา จนตอนนั้นรู้สึกอยากใช้ชีวิตที่นั่นเลย เพราะเราต้องสอนทุกชั้น ทุกวิชา พ่อแม่เด็กรักเรามากตอนย้ายกลับมากรุงเทพฯพวกเขายังมายืนเข้าแถวส่ง โดยดิฉันกลับมาสอนที่โรงเรียนจิตรลดาหนึ่งเทอม แล้วบรรจุเป็นอาจารย์เตรียมทหาร พระองค์ท่านเองเป็นพระอาจารย์สอนนักเรียนนายร้อย จึงเหมือนส่งลูกศิษย์เราไปเป็นลูกศิษย์พระองค์ท่าน โดยจะรับสั่งถามว่าลูกศิษย์คนนี้คนนั้นเป็นอย่างไรอยู่บ่อยๆ”
ฟากคุณธาริณีอาสาทำหน้าที่อาจารย์พิเศษ สอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนโรงเรียนจิตรลดามานาน 9 ปี “ตอนนั้นดิฉันทำงานบริษัทเอกชน แต่มีช่วงหนึ่งที่ท่านผู้หญิงทัศนีย์ บุณยคุปต์ บอกให้ดิฉันไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ จึงขออนุญาตบริษัทปลีกเวลามาสอนหนังสืออาทิตย์ละ 2 วัน ครั้งละครึ่งวัน ความที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงพระเมตตามาก ถ้ามีอะไรที่เราสามารถทดแทนได้ จึงพร้อมจะทำทุกอย่าง
“หลายปีก่อนพระองค์ท่านพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมลงพระนามให้ในวันพระราชสมภพ ดิฉันนำกลับมาวางบนหิ้งบูชาจนถึงทุกวันนี้” คุณธาริณีเล่าด้วยความปลื้มใจ พลตรีหญิง ลลิดาก็เช่นกัน เธอบอกว่า “ล่าสุดดิฉันทูลขอพระราชทานน้ำสังข์อายุครบ 60 ปี เนื่องจากเกษียณอายุราชการ พระองค์ท่านยังแซวว่า ไม่ได้รดน้ำสังข์แต่งงานก็มารดตอนนี้แล้วกัน พร้อมกับทรงทัดใบมะตูม ทรงเจิม แล้วทรงรดน้ำสังข์ให้ รู้สึกเป็นมงคลอย่างหาที่สุดไม่ได้”
ที่มา : นิตยสารแพรวฉบับที่ 854 มีนาคม 2558