การทำประกันชีวิตเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงและมั่นใจให้ทั้งกับตัวเองและคนที่คุณรัก เดี๋ยวนี้มีประกันชีวิตมากมายหลายรูปแบบให้เลือก ซึ่งการทำประกันให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด คือ คุณจะต้องเลือกประกันให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และความคุ้มครองที่คุณต้องการมากที่สุด แล้วประกันแบบไหนหล่ะที่ถึงจะเรียกว่าเหมาะกับคุณ? หรือ ประกันมีมากมาย แตกต่างกันยังไงเลือกไม่ถูก? วันนี้เรามีวิธีในการเลือกซื้อประกันชีวิตให้เหมาะกับคุณมาฝากค่ะ

ประกันชีวิต แบ่งเป็น 4 แบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละแบบจะเหมาะกับวัตถุประสงค์และความต้องการในการทำประกันชีวิตที่แตกต่างกัน

แบบที่ 1 แบบตลอดชีพ เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการคุ้มครองครอบครัว หรือ มีมรดกเงินก้อนให้ลูกหลาน มีข้อดี คือ เบี้ยประกันต่ำ คุ้มครองผู้ถือกรมธรรม์ตลอดชีพ และจ่ายทุนประกันให้กับผู้รับประโยชน์หรือผู้เอาประกันภัย แต่หากผู้เอาประกันภัยมีชีวิตอยู่จนถึงอายุครบ 90/95 หรือ 99 ปี (ตามกรมธรรม์กำหนด) บริษัทฯ จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย

แบบที่ 2 แบบชั่วระยะเวลา เหมาะกับ ผู้ที่ไม่อยากให้ภาระหนี้สินตกอยู่กับครอบครัวหรือคนที่รักในยามที่เราจากไป เช่น หนี้สินเชื่อบ้าน บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ ถ้าหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด ข้อดี คือ เบี้ยประกันต่ำกว่า แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการมีเงินเก็บ หรือออมเงิน เพราะไม่มีการสะสมทรัพย์รวมอยู่ด้วย

แบบที่ 3 แบบสะสมทรัพย์ เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการรับเงินก้อนเพื่อใช้จ่ายในอนาคต เช่น เป็นทุนการศึกษาของลูก ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญา หรือ มีชีวิตอยู่จนถึงวันครบกำหนดสัญญาบริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ และระหว่างที่อยู่ในสัญญามีความคุ้มครองให้ ข้อดี คือ สามารถเป็นเงินออมเก็บไว้ใช้ในอนาคตได้

แบบที่ 4 แบบบำนาญ เหมาะกับ ผู้ที่ต้องการมีเงินเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณ บริษัทจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเป็นประจำให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อมีชีวิตอยู่ถึงวันที่กำหนดในสัญญา โดยจะได้รับเงินเป็นรายงวดจากประกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหลังเกษียณจะมีเงินใช้ตามระยะเวลาที่กำหนด

สำหรับประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 1 แสนบาท โดยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาท

ความเย้ายวนใจของการลงทุน คือ ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เดี๋ยวนี้การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบให้นักลงทุนเลือกได้ตามความชอบ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งกองทุนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นจากนักลงทุนมือใหม่ หรือนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญ คงหนีไม่พ้นกองทุน LTF และ RMF  ซึ่งในการลงทุนแต่ละครั้ง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละกองทุน และข้อจำกัดเพื่อเลือกลงทุนให้เหมาะกับความต้องการให้มากที่สุด เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง  K-Expert ที่ปรึกษาการเงินจากธนาคารกสิกรไทย มีข้อควรระวังในการเลือกลงทุน  LTF RMF  สำหรับนักลงทุนมือใหม่มาฝากค่ะ

1. ซื้อแต่พอดี อย่าซื้อเกินสิทธิ
หากซื้อเกินสิทธิ นอกจากจะไม่ได้สิทธิลดหย่อนภาษีแล้ว กำไรที่เกิดขึ้นจะต้องนำมารวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีในปีที่ขายอีกด้วย

2. ซื้อแล้ว ถือได้ตามเงื่อนไขหรือไม่
ควรศึกษาข้อกำหนดในการซื้อขายให้ชัดเจน หากซื้อแล้วขายก่อนกำหนด จะต้องคืนภาษีที่ประหยัดได้ ให้แก่กรมสรรพากร และอาจจะมีดอกเบี้ยหากคืนล่าช้า ควรท่องให้ขึ้นใจว่า LTF ต้องถือ 7 ปีถึงจะขายได้ และ RMF ต้องถือจนกว่าจะอายุ 55 ปีจึงจะขายได้

3. ซื้อแล้ว นำเงินไปลงทุนอะไร
ในการเลือกซื้อ LTF และ RMF นอกเหนือจากการลดหย่อนภาษีแล้ว   ผู้ลงทุนควรศึกษาเพิ่มเติมว่าเงินที่เราลงทุนไปนั้น อยู่กับกองทุนอะไร เพราะแต่ละกองทุนมีความเสี่ยงมากน้อยที่ไม่เท่ากัน เช่น  LTF เน้นลงทุนในหุ้น แต่ RMF สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้น ไปจนถึงความเสี่ยงสูงอย่าง หุ้น หรือทองคำ  เป็นต้น

3 ข้อง่ายๆ แบบนี้ จำให้ขึ้นใจ แล้วไปลงทุนใน LTF และ RMF กันเลย

ถึงแม้ว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดี มีประโยชน์หลายๆ ด้าน ที่ถูกใจนักลงทุนก็ตาม แต่ในการลงทุนทุกครั้ง ทุกรูปแบบ คุณจึงควรศึกษาข้อดีข้อเสียของกองทุนก่อนการลงทุนทุกครั้งค่ะ เช่นเดียวกับการลงทุน RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนที่โดดเด่นมากๆ ในเรื่องของการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ และประหยัดภาษี แถมยังมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายให้เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้อีกด้วย หากคุณกำลังสนใจที่จะลงทุนกับกองทุน RMF นี้ เรามีคำแนะนำจาก K-Expert ที่ปรึกษาการเงินจากธนาคารกสิกรไทย มาฝากให้อ่านก่อนลงทุนค่ะ

1. RMF มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลาย
RMF ให้เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยเลือกลงทุนตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ เช่น   ตราสารหนี้ระยะสั้น ไปจนถึงความเสี่ยงสูงอย่าง หุ้น หรือทองคำ

2. ซื้อและถือหน่วยลงทุนต่อเนื่อง
ต้องซื้อและถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และไม่ต้องลงทุนเท่ากันทุกปีก็ได้ โดยให้ลงทุนได้ปีละไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ใช้คำนวนภาษี

3. ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล
เนื่องจาก RMF เป็นกองทุนที่มีวัตถุประสงค์ให้พวกเราเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณอย่างแท้จริง RMF กองทุน จึงไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เรียกได้ว่าเก็บเงินทุกบาท ผลตอบแทนทุกสตางค์ไว้ให้เราใช้ตอนเกษียณจริงๆ

4. เปลี่ยนกองทุนระหว่าง RMF ด้วยกันได้
นอกจากจะมีหลากหลายความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้แล้ว RMF ยังให้เราสับเปลี่ยนกองทุนไปยัง RMF กองอื่นได้อีกด้วย เช่น หากเราลงทุนในกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้น ในช่วงที่หุ้นผันผวน เราก็สามารถโยกหน่วยลงทุนของเราไปยัง RMF กองอื่นที่ผันผวนน้อยกว่าได้ เพื่อให้เราสบายใจกับการลงทุนมากที่สุด

5. ยกเว้นการลงทุนได้ “ปีเว้นปี”
ถ้าปีไหนลืมลงทุน  ในปีถัดไปสามารถกลับมาซื้อ RMF ต่อเนื่องได้ จะได้ไม่ผิดเงื่อนไข เพราะเกณฑ์ระบุว่า จะหยุดการซื้อขายติดต่อกันได้ไม่เกิน 1 ปี แต่ถ้าปีไหนไม่ได้ลงทุน ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุน RMF ได้

และนี่ก็คือ 5 ข้อที่ช่วยให้รู้จักและเข้าใจกองทุน RMF ได้ดีขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน ใครที่สนใจก็ไปหาลงทุนกันได้ แต่ก่อนตัดสินใจเลือกกองทุน อย่าลืมทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนนะ ว่าเราเหมาะกับกองทุนระดับไหน เพื่อให้ลงทุนได้อย่างสบายใจและเป็นสุข