โลกแฟชั่นยกให้ Coco Chanel เป็นผู้คิดค้นและแนะนำ Little Black Dress เป็นคนแรกๆ ก็จริงอยู่ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า Audrey Hepburn ในภาพยนตร์ “Breakfast at Tiffany’s” ต่างหากที่ทำให้มันฮิตในวงกว้าง จากเดรสเข้ารูปของ Givenchy ในตอนนั้น สู่เดรสสั้นเสมอใจของคู่ซี้ Kendall และ Gigi ลิตเติ้ล แบล็ก เดรส ในวันนี้ก็ได้กลายเป็นคลาสสิกพีซที่ “ชิค + คูล” จนเกือบลืมไปแล้วว่าต้นกำเนิดของมันนั้น…เป็นอย่างไร

Pound_Praewnista ขอพาสาวๆ ย้อนเวลากลับไปดูวิวัฒนาการของ LBD จากยุคเก่า 100 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน เพราะอย่างที่บอกครับว่า “แฟชั่นไม่ใช่เพียงเรื่องของเสื้อผ้า แต่มันบ่งบอกที่มา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง”
Middle Aged หรือช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 15 : ยุโรปประกาศให้การใส่ชุดดำเป็นชุดไว้ทุกข์เป็นชาติแรกๆ แต่ไม่ได้เป็นค่านิยมในวงกว้างมากนัก เพราะใส่กันเฉพาะผู้ที่ร่ำรวยเท่านั้น ต้องเข้าใจอย่างนี้ครับว่า ชุดไว้ทุกข์ของยุคนั้นเป็นเหมือนประเพณีกึ่งๆ อวดรวยนิดๆ วัตถุดิบที่ใช้ต้องเลอค่า เพราะค่านิยมการแบ่งชนชั้นยังปกคลุมในวงกว้าง

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 : โลกรู้จักคุณค่าของการใส่ชุดไว้ทุกข์อย่างแท้จริง ด้วยเพราะควีนวิกตอเรีย (Alexandrina Victoria) สวมใส่ชุดโทนสีดำเป็นเวลายาวนานเพื่อการไว้ทุกข์ให้เจ้าชายอัลเบิร์ต
ใช่แล้วครับ! โลกเปิดรับโทนสีดำเพื่อการไว้ทุกข์มายาวนานมาก
จนเข้าสู่
ในช่วงปี 1915 – 1920 : ค่านิยมที่ถูกปลูกฝังถึงการสวมชุดดำเพื่อการไว้ทุกข์ถูกหยิบมาใส่กันอย่างพร้อมเพรียงจาก 2 เหตุการณ์สุดสะเทือนใจของโลก นั่นคือ การไว้ทุกข์ให้ผู้ตายจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และไว้ทุกข์ให้ผู้ตายจากภัยพิบัติ “Spanish Flu” ว่ากันว่าไข้หวัดนี้ฆ่าคนไปมากกว่าสงครามโลกเสียอีก
ในปี 1926 : โคโค่ ชาเนล ส่งรูปสเก็ตช์ Little Black Dress ออกมาให้โลกได้เห็นเป็นครั้งแรก ว่ากันว่าเธอใช้เวลาในการคิดและวาดชุดนี้ออกมาในเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยดีไซน์ความยาวแบบครึ่งน่อง แขนยาว และดึงให้คอลึกลงมา สิ่งเดียวที่แต่งอยู่บนชุดนั้นคือการเล่นสีโทนสว่างเดินเส้นเรียบๆ เท่านั้น คอมพลีตลุคด้วยผม (นางแบบ) สไตล์ Boyish Hair Cut ที่อยู่ภายใต้หมวกโครเชต์อีกที เครื่องประดับหนึ่งเดียวที่โคโค่เลือกใช้คือสร้อยมุก ผมเคยอ่านเจอบทสัมภาษณ์หนึ่งของกาเบรียล โคโค่ ชาเนล ว่า เธอเชื่อเหลือเกินว่าการประโคมใส่เครื่องประดับไม่ได้การันตีถึงความมีรสนิยมที่ดีเสมอไป
ในช่วงปี 1929 – 1939 : The Great Depression มันคือช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำมากที่สุด ด้วยเหตุจากสงครามก็ดี การขยายตัวทางอุตสาหกรรมก็ดี หรือแม้กระทั่งความทะเยอทยานของทั่วโลก ทั้งหมดส่งผลให้ความเกินตัวของทุกๆ พื้นที่เข้าสู่จุดต่ำที่ฝืดเคืองที่สุด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Little Black Dress สาวๆ ยุคนั้นคว้าชุดดำมาใส่กันเป็นว่าเล่น ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะ “มันง่าย มันเรียบ และมันเก๋” (สาวๆ ยุคนั้นคงคิดกันแบบนี้) ใช่สิครับ! ในช่วงภาวะขาดเงินแบบนั้นจะมีสตางค์ที่ไหนซื้อหาชุดเลิศๆ เพื่อเปลี่ยนแบบเปลี่ยนสีได้ทุกวัน! จริงไหมครับ นิตยสารชื่อดังของอเมริกาในยุคนั้นยังเขียนชื่นชม LBD เลยว่า มันเป็นตัวแทนของความลักชัวรี่ที่ไม่ต้องสืบค้นหาเงินในกระเป๋า คุณไม่มีทางดูจนแน่ถ้าสวม LBD ออกจากบ้าน
ในช่วงปี 1940 – 1965 : ปีแห่งวงการฮอลลีวู้ดและหนังคลาสสิกขาวดำ เรื่องน่าตลกก็คือ ในยุคที่ภาพยนตร์ยังไม่มีสี ชุดของนักแสดงยุคนั้นก็เลยเป็นสีขาวและดำไปโดยปริยาย และมันก็สร้างภาพจำให้สาวๆ ว่า ชุดแบบนั้น สีแบบนี้สินะ ที่เข้าขั้นว่า “คลาสสิก”

ในปี 1961 : Audrey Hepburn สร้างภาพลักษณ์ให้ LBD เป็นมากกว่าที่เคย ด้วยภาพลักษณ์ของความหรูหรา เซ็กซี่ ทว่าสวมใส่สบาย จากภาพยนตร์เรื่อง Breakfast at Tiffany’s และหนึ่งในชุดตำนานนั้นก็คือ ชุดเดรสสีดำจาก Givenchy ที่เธอเลือกแมตช์กับถุงมือยาว และสวมสร้อยมุกให้ถ่วงไปที่หลัง
ในช่วงปี 1970 – 1980 : ชุดดำถูกปรับความยาวให้ทั้งสั้นและยาวอย่างหลากหลาย
ในปี 1990 : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของแฟชั่น ทั้งวัฒนธรรมกรั๊นจ์สู่ความฟู่ฟ่าแบบฟุ่มเฟือย และทวิสต์กลับมาสู่การเรียกหาความมินิมัล ก่อนจะกลับมา (เกือบ) บ้าอีกครั้งในช่วงต้อนรับปีมิลเลนเนียล นั่นหมายความว่าไม่มีทศวรรษไหนแล้วที่ LBD ถูกขยี้และปู้ยี่ปู้ยำมากที่สุดเท่าช่วงนี้ ทั้งสูงค่าสู่ยาจก และเรียบง่ายจนชวนมึน สู่ความหรูหราหลากหลาย
แม้ว่าชุดดำหรือ LBD ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การไว้ทุกข์ งานโศกเศร้า และเศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ดีไซน์เรียบโก้และคลาสสิกเฉกเช่นยุคเริ่มต้น ชุดดำในวันนี้เป็นอะไรก็ได้ จะหรูหรา ยากจน สำรวม หรือบ้าคลั่ง ก็แล้วแต่ผู้สวมใส่ สิ่งเดียวที่จะบอกได้ว่าคุณใส่ชุดดำเพื่อวาระและเวลาไหนคือ “จิตใจ” ของคุณเอง
ด้วยรักและอาลัย
เรื่อง : Pound_Praewnista