“อั้มเป็นทั้งเพื่อน ครอบครัว และครู เพราะอั้มเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงก่อน แล้วชวนเอมาเป็นผู้จัดการ หลังจากนั้นเราสองคนก็ลองผิดลองถูกมาด้วยกันหลายเรื่อง” นี่คือความในใจถึง “อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ” ซูเปอร์สตาร์ระดับตัวแม่ของเมืองไทย จากปากของ “เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร” ผู้จัดการดาราระดับท็อปที่ฮ็อตไม่แพ้ซุป’ตาร์เลยสักนิด สำหรับความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นของทั้งคู่นั้น นอกจากการทำงานด้วยกันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ยังอยู่ที่ความนิสัยดียืนหนึ่งของอั้ม บวกกับความเก่งกาจของผู้จัดการดาราอย่างเอ ซึ่งนับเป็นเคล็ดลับในการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่น่าชื่นชมมากเลยทีเดียว

1. มองหาความแตกต่าง

งานแรกที่ทำกับอั้มคือถ่ายปกนิตยสารเล่มหนึ่ง ซึ่งภาพออกมาโป๊มาก เป็นรูปอั้มใส่เสื้อกล้ามสีขาวซ้อนกัน 2 ชั้น แต่ทีมงานรีทัชเสื้อตัวในออก ทำให้เหมือนอั้มจับหน้าอกตัวเอง ซึ่งถือว่าแรงสำหรับนางเอกไทย ครั้งนั้นเราโดนผู้ใหญ่ตำหนิ ซึ่งเราก็ขอโทษไป แต่อีกใจหนึ่งก็อยากฉีกแนว เพราะคิดว่านางเอกเรียบร้อยมีเยอะแล้ว หากเปรียบกับห้องเรียน ถ้ามีเด็กเก่งเลข วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เราก็ต้องเอาดีทางนาฏศิลป์ถึงจะโดดเด่น และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อั้มแตกต่างจากคนอื่น กลายเป็นนางเอกที่เป็นเซ็กซี่สตาร์คนแรกๆ ของประเทศไทย

2. ไปให้สุดแล้วจบให้คนจำ

เวลาอั้มถ่ายแฟชั่นลุคเซ็กซี่ เราจะเชียร์เต็มที่ว่า บิดอีกนิด ดึงเสื้อลงอีกหน่อย ทำปากเจ่อสิเธอ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ว่าอั้ม-พัชราภา จะขึ้นปกนิตยสารด้วยรูปปากแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นผู้จัดการคนอื่น เวลาสไตลิสต์ให้ดาราโพสท่าเซ็กซี่ก็อาจติดเบรกว่า “อุ๊ย…ไม่ได้” แต่เราจะบอกว่า โพสแรงอีก! จนบางครั้งอั้มก็แซวว่า มาถ่ายเองไหม รู้นะว่าอยาก (หัวเราะ)

3. รักษาเวลา

อั้มเป็นมนุษย์ไฮเปอร์ ถ้าเป็นนักมวยก็อยากไปถึงเวทีแล้วได้ขึ้นชกเลย ไม่ใช่ต้องนั่งรอ 5 ชั่วโมง เนื่องจากนางตรงต่อเวลามาก ถ้านัด 7 โมงเช้าก็จะไปถึงก่อน 30 นาที โดยนั่งรออยู่ในรถให้ทีมงานรู้ว่ามาถึงแล้วนะ พอเข็มนาฬิกาถึง 7 โมงปุ๊บจะเดินลงจากรถ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเธอจะเลต ไม่มีทาง แต่อั้มก็เลิกตรงเวลาเหมือนกันนะ ถ้าตกลงกันไว้ว่า เลิก 2 ทุ่มก็ต้องเป๊ะตามนั้น ยกเว้นถ้ายังไม่เสร็จจริงๆ อาจต่อเวลาได้อีกหน่อย

4. คิดก่อนเคี้ยว

บางทีอั้มหิวมาก แต่พอจะตักเข้าปาก เขาจะเตือนตัวเองว่า ไม่ได้ ฉันเป็นดารา ต้องรักษารูปร่างให้ดี กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสม อั้มมีวินัยในการดูแลตัวเองดีแบบนี้มาตลอด

5. เงินไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

งานที่เราไม่มีทางรับให้อั้มคืองานที่เขาต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองมากเกินไป หรือบางครั้งอั้มก็พูดเองเลย เช่น บางงานทุ่มเงินให้ 30 ล้านบาท แต่อั้มคิดว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่เหมาะกับตัวเองจริงๆ ก็จะบอกเราตรงๆ นี่คือสิ่งที่เราใช้สอนดารารุ่นหลังด้วย เพราะการรับงานที่ไม่ใช่ตัวเอง สุดท้ายอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าดี

6. ใช้ตัวเองเป็นกันชนก่อนยานแม่ลง

อั้มนิสัยแมนๆ และรักเพื่อน ถ้าเพื่อนเจอข่าวที่ไม่เป็นความจริงจะเข้าข้างเต็มที่ ซึ่งถ้าเกิดกรณีอย่างนั้น เราจะแซงโมโหแทนก่อน เพราะถ้าปล่อยให้อั้มพูดเองทั้งหมดอาจไม่ดีเท่าไร และพอทำแบบนี้ อั้มจะใจเย็นลงแล้วบอกว่า เธอพอแล้วๆ ฉันโอเค

7. คุณแม่ของอั้มคือที่สุด

ผู้หญิงหนึ่งคนที่ต้องชื่นชมมากคือคุณแม่สุภาพร ไชยเชื้อ ท่านจะไม่ยุ่งเรื่องการทำงานของอั้มเลย แต่สิ่งที่ทำมาตลอดคือการดูแลลูกสาวอย่างดี เช่น ให้อั้มนอนบนผ้าปูเตียงที่ทำจากด้ายพิเศษ ซึ่งช่วยให้หน้าไม่หย่อนคล้อย ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยรังสิต รวมถึงเป็นต้นแบบในเรื่องของความเป๊ะ ยกตัวอย่างเวลาไปบ้านของอั้ม ถ้าคุณแม่ไม่ได้แต่งหน้า ทำผม หรือใส่ชุดสวยงาม ท่านจะไม่ออกมาจากห้อง ตอนแรกก็งงว่าทำไม แต่รู้แล้วว่าทุกอย่างต้องเป๊ะ ยิ่งเป็นดาราที่เจอคนเยอะๆ ยิ่งต้องมีความพร้อมมากที่สุด

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 945

ภาพ : @a_supachai1, #aum_patchrapa

เพชรแท้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถเปล่งประกายงดงามออกมาได้อย่างเจิดจรัสเสมอ เช่นเดียวกับฝีมือการแสดงของ เฟรช อริศรา วงษ์ชาลี ไม่ว่าเธอจะสวมบทบาทไหน เธอก็ยังสามารถถ่ายทอดการแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

เพชรแท้ที่เปล่งประกาย

ไม่ง่ายเลยที่นักแสดงหนึ่งคนจะมีผลงานตราตรึงและประทับใจผู้ชม เพราะนอกจากบทต้องส่งเสริมแล้ว พวกเขายังต้องแสดงฝีมือให้เปล่งประกายออกมาอีกด้วย และหากไม่ใช่นักแสดงนำ หรือพระเอก-นางเอกก็ยากที่ผู้ชมจะมองเห็นได้ง่ายๆ แต่อย่างที่หลายคนบอก เพชรแท้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถเปล่งประกายงดงามออกมาได้อย่างเจิดจรัสเสมอ เช่นเดียวกับฝีมือการแสดงของนักแสดงสาวเจ้าบทบาท เฟรช อริศรา วงษ์ชาลี

เส้นทางในวงการบันเทิงของเฟรช

“คือต้องขอบคุณเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนชวนไปสมัครเป็นนักศึกษาให้กับโครงการของค่ายมือถือค่ายหนึ่ง เพื่อนบอกว่าไปเถอะที่นี่เขามีเงินเดือนประจำ มีโทรศัพท์ให้ใช้แล้วเราก็ทำกิจกรรมกับเขา เราก็ไปเป็นเพื่อน สรุปวันนั้นเพื่อนไม่ได้แต่เราได้ แล้วก็พอวันที่ไปทำกิจกรรมเราก็ไปเดินอยู่แถวหน้าตึก ไปเก็บขยะตามถนน ผู้บริหารเขาเห็น แล้วเขาจะถ่ายโฆษณา เขาก็ไม่แคสใครเขาก็เอาเด็กในกลุ่มนี้ไปถ่าย เราก็ได้เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเงินก้อนแรก ก็ได้เยอะประมาณ 8-9 หมื่นบาท พอได้เงินมาเราก็จัดการแบ่ง เก็บไว้เรียน และให้แม่เก็บไว้ส่วนหนึ่งเผื่อพี่น้องมีความจำเป็นก็เอาไปใช้ หลังจากเล่นละครสักพักก็ไปเล่นหนังได้เงินก้อนใหญ่มาซื้อคอนโดอยู่กับแม่และหลานๆ”

ผลงานที่ตราตรึงใจผู้ชม

ผลงานชิ้นแรกของ”เฟรช” คือการถ่ายโฆษณาของเครือข่าย “เวิลด์โฟน 1800” โดยผลงานนี้ยังเข้าตากรรมการอย่างผู้กำกับ “ตู่-นพพล โกมารชุน”ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการแสดงของเธอ โดยผลงานชิ้นที่ตราตรึงใจผู้ชมมีอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง “1+1 เป็นสูญ (Nothing to Lose)” ผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกที่ “เฟรช”ได้ร่วมงานกับผู้กำกับดัง “แดนนี่ แปง” ทั้งยังได้รับรางวัล “นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม” จากเวที  “รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 12”

ไม่ใช่แค่ผลงานจอเงินเท่านั้น แต่เธอยังได้รับการชื่นชมในการเล่นละครจอแก้ว โดยผลงานของเธอมีมากมาย แต่ที่โดดเด่นก็คือ “เหยื่ออารมณ์” ซึ่งเธอรับบทเป็น “เอื้อย” สาววัยใสที่ถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนจนตั้งครรภ์ กระทั่งจิตหลุดและลงมือฆ่าคนตาย ซึ่งนับเป็นบทที่ท้าทายเธอมากๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “เก็บแผ่นดิน”, “รักแปดพันเก้า”, “คือหัตถาครองพิภพ” , “ล่า” รวมถึงเรื่อง “นาคี” ที่เธอรับบทเป็น “คำปอง” ซึ่งผลงานนี้ยังส่งให้เธอคว้ารางวัล “นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม” จาก 2 เวทีใหญ่ “โทรทัศน์ทองคำ ครั้งที่ 31” และ “นาฏราช ครั้งที่ 8”

มีละครออกอากาศ 7 วันรวด

“เฟรช”ไม่เคยห่างหายจากงานแสดงเลย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 42 ปี ของเธอ เรียกว่าเป็นยุคทองสุดๆ และได้ฉายา “เฟรช 7 วัน” จากผลงานแสดงที่ออนแอร์ติดต่อกันตลอดสัปดาห์ วันจันทร์-วันอังคาร ละครเรื่อง”กรงกรรม”, วันพุธ-วันพฤหัสบดี ละครเรื่อง “มายาเร้นรัก”และ “รักจังเอย” รวมถึง วันศุกร์-วันอาทิตย์ ละครเรื่อง “วัยแสบสาแหรกขาด2” ซึ่งทุกๆ เรื่อง “เฟรช” ได้รับบทบาทที่แตกต่างกันออกไป

อีติ๋มตัวละครที่เต็มไปด้วยสีสัน

ดูเหมือนว่าหนึ่งบทบาทที่โดดเด่นที่สุดในปี 2019 ก็คือ “อีติ๋ม” โสเภณีสุดแซบในละครเรื่อง “กรงกรรม” โดยนักแสดงสาวได้พูดถึงตัวละครนี้ว่า เป็นบทบาทที่ท้าทาย เพราะเป็นการพลิกบทบาทจากบทของ “คำปอง” ในละครเรื่อง “นาคี” ที่เธอได้แสดงกับช่อง 3 ไปก่อนหน้านี้

“รู้สึกเป็นบทบาทที่ท้ายทาย “ติ๋ม” คือตัวละครนี้มีปมจากการกระทำของ “ย้อย” ซึ่งทำให้ครอบครัวของ “ติ๋ม”บ้านแตกสาแหรกขาด ตัวติ๋มก็เลยกลับมาแก้แค้น ซึ่งการพลิกบทบาทในครั้งนี้เราก็เต็มใจที่จะเปลี่ยน ซึ่งตัวเราเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่า เราจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”

นักแสดงที่ไม่เคยยึดติดกับบทบาทที่ได้รับ

ในรายการ “คุยแซบโชว์” ดาราสาวเจ้าบทบาทได้เปิดใจถึงการรับงานแสดงโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นบทแม่หรือบทโสเภณีไว้ว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรถูกใจเราไปทุกอย่าง แต่เราเลือกที่จะเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้มากกว่า

“ถ้าเรารอบทจากเพื่อน, น้า หรือพี่ที่รู้จักกันในวงการ เราก็ไม่รู้ว่าจะมีบทอะไรให้เราได้เล่นมากแค่ไหน แต่ถ้าสมมติเขามั่นใจว่าเราเล่นได้เราก็จะรับไว้ เฟรชมองว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรถูกใจเราไปทุกอย่าง แต่เราเลือกที่จะเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้มากกว่า”

“ถามว่ากลัวไหมว่าคนจะติดภาพกับบทบาทที่แสดง คือจากที่ได้สัมผัสตอนแรกก็กังวลเหมือนกันตอนที่รับบทแม่ว่าเราอาจต้องเล่นบทนี้ไปตลอด แต่กลายเป็นว่าเรากลับได้รับบทที่หลากหลาย และท้าทายเพราะบางอย่างเราก็ไม่เคยสัมผัสกับชีวิตเรามาก่อน อย่างในเรื่อง “ล่า” ที่รับบทเป็นทนายความของ “พี่หมิว” (ลลิตา ปัญโญภาส) เป็นการเล่นละครที่บทยาวมากประมาณ 3 หน้ากระดาษ ซึ่งเฟรชถึงขั้นต้องปิดห้องซ้อมที่บ้านเลย”

คำดูถูกในวันนั้นกลายเป็นแรงผลักดันในวันนี้

ถึงแม้ทุกวันนี้เฟรชจะถูกชื่นชมว่าเป็นนักแสดงเจ้าบทบาท แต่ก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะไม่ทราบมาก่อนว่าเฟรชเคยโดนนักแสดงหญิงคนหนึ่งดูถูกเกี่ยวกับการแสดงของเธอด้วย

“นานมาแล้วเป็นช่วงแรกๆ ที่เฟชรเข้าวงการบันเทิง ตอนนั้นเป็นนักแสดงใหม่อาจจะทำอะไรไม่ถูกใจใครบ้าง ก็ไม่ได้เจตนาและไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่แน่ใจว่ามาจากความที่เขาไม่ชอบเราหรือเปล่า คือไปแสดงเรื่องหนึ่งแล้ววันนั้นเราเทคบ่อย ซึ่งตอนที่ไม่มีคนอยู่นักแสดงคนนี้ก็เดินเข้ามาหาและบอกกับเราว่า “เมื่อกี้ทำอะไร เล่นไม่เป็นเหรอ?” เราอาจจะไปทำให้เขาเสียเวลาหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนั้นที่ได้ยินคำนี้ทำให้เราช็อคขาอ่อน และเราก็แอบไปร้องไห้ แต่พอคิดได้ก็ลุกขึ้น เรารู้สึกว่าต้องทำให้ดีให้ได้”

เมื่อมีโอกาสต้องทำจนสุดความสามารถ

“แม้จะโดนตำหนิขนาดนั้น แต่เราก็ไม่เคยคิดจะออกจากวงการบันเทิง เพราะในเมื่อเรามีโอกาสเข้ามาแล้ว เราควรจะลองทำสิ่งที่เราตั้งใจให้สุดความสามารถ คนรอบข้างเราก็คอยช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็น “อาตู่” (นพพล โกมารชุน) หรือ “คุณยาย”  (ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ) ดังนั้นหัวใจของเราก็เลยแข็งแรง

อ่านต่อ “เรื่องราวของเฟรชในวัยเด็ก” ที่หน้า 2

เปิดภาพปาร์ตี้สุดอบอุ่นที่นางเอกสาว เบลล่า ทำเซอร์ไพร้ส์จัดงานวันเกิดฉลองอายุครบ 34 ปี ให้ พี่เวียร์ หนุ่มคนพิเศษอย่างโรแมนติก

ถึงความรักระหว่าง “เรณู” กับ “อาไช้” ในละครเรื่อง “กรงกรรม” จะหมดโปรโมชั่นไปแล้ว แต่สำหรับคู่รักตัวจริงอย่าง “เบลล่า-ราณี” แคมเปน” กับ “เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ” กลับหวานฉ่ำเหมือนตอนจีบกันใหม่ๆ

โดยเฉพาะปีนี้ดูจะหวานกว่าทุกๆ ปี เพราะ “เบลล่า” นางเอกสาวคิวทอง ลงทุนจัดงานเซอร์ไพร้ส์วันเกิดให้กับ พี่เวียร์ เหล่าลูกโป่งสีสันสดใส และลูกโป่งรูปหัวใจถูกจัดเรียงอย่างสวยงามในรถบ้าน ทำให้พระเอกหนุ่มสุขล้นหัวใจ ทั้งยังบอกอีกว่าเป็นวันเกิดที่รู้สึกอบอุ่นมากๆ เลยทีเดียว

https://www.instagram.com/p/BwZpzBfF5cD/

สำหรับสาว “เบลล่า” และหนุ่ม “เวียร์” เริ่มต้นสานสัมพันธ์ข้ามค่ายกันตั้งแต่ปี 2556 ท่ามกลางกระแสข่าวมากมาย แต่สุดท้ายเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักของทั้งคู่ ปีที่ผ่านมาทั้งสองจึงได้เปิดตัวกันมากขึ้น โดยเฉพาะในงานประกาศรางวัล แม้ทั้งสองจะไม่ได้มีโอกาสร่วมรับรางวัลด้วยกันเพราะอยู่คนละค่าย แต่สาว “เบลล่า” ได้ประกาศผ่านอินสตาแกรมว่าจะตามหลอกหลอนหนุ่ม “เวียร์”ไปทุกเวที โอ๊ย! หวานกันจริงๆ นะคู่นี้ แอดล่ะอิจฉาตาร้อนจริงๆ

ภาพจาก : IG @weir19 @bellacampen

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ ได้ที่นี่

รุ่นลิมิเต็ด! ส่องความพิเศษนาฬิกาแบรนด์ดัง ของขวัญจากหนุ่ม ‘เวียร์’ สู่ข้อมือสาว ‘เบลล่า’

รู้จักไอเท็มแทนใจ! หมวก Balenciaga จากแม่นาย เวียร์-ศุกลวัฒน์ ใส่ไปทุกที่

ความหวานทะลุหลังคาโลก “เบลล่า-เวียร์” จ่อพากันและกันพบครอบครัวปีใหม่นี้

“เบลล่า”สวยสู้ดราม่า! ถูกแฟนคลับคู่จิ้นฉะไม่พอใจภาพคู่”เวียร์”

ลองถาม “เวียร์ ศุกลวัฒน์” ว่าชอบให้สาวเบล…เอ้ย สาวๆ ทาลิปสีอะไร มาดูคำตอบ

ความรู้สึกชัดเจน สถานะใดๆ ไม่สำคัญ เวียร์-ศุกลวัฒน์ หวานเจี๊ยบ เบลล่า-ราณี

ฝ่าดราม่าแรง! เบลล่า – เวียร์ ถูกเชียร์ให้สลับคู่

นี่งานเปิดห้างหรือเปิดตัวค่ะซิส! เวียร์ – เบลล่า ออกงานคู่ครั้งแรกหวานเบรกแตก

มีความเอาใจใส่? เบลล่าลุยช่วย น้ำท่วมอีสาน เวียร์ขันอาสาดูแลใกล้ชิด

ให้รักพองโตดั่งลูกโป่ง เบลล่า เซอร์ไพร้ส์วันเกิด เวียร์ ทั้งทำหน้าที่ลูกสาวที่ดีของครอบครัว