พระเอกมิสเตอร์ควีน

สิ้นสุดสัญญา พระเอกมิสเตอร์ควีน ดับเครื่องชนอดีตต้นสังกัดทำลายภาพลักษณ์

Alternative Textaccount_circle
พระเอกมิสเตอร์ควีน
พระเอกมิสเตอร์ควีน

สิ้นสุดสัญญาปุ๊บฟาดกลับปั๊บ!  คิมจองยอน พระเอกมิสเตอร์ควีน ดับเครื่องชนอดีตต้นสังกัดทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียง

เดือนเมษายนที่ผ่านมา วงการบันเทิงเกาหลีใต้เกิดเรื่องร้อนระอุ เมื่อพระเอกมิสเตอร์ควีน คิมจองยอน วัย 31 ปี ตกเป็นข่าวว่ากำลังสานสัมพันธ์พิเศษกับนักแสดงสาว ซอจีเย ซึ่งเคยร่วมงานกันในซีรีส์ Crash Landing On You ในเวลาต่อมาต้นสังกัดของนักแสดงสาวได้ออกมาปฏิเสธพร้อมกับชี้แจงว่าทั้งคู่เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกัน นอกจากนี้ยังระบุอีกว่าพระเอกหนุ่มกำลังมองหาต้นสังกัดใหม่ ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้พูดคุยปรึกษากันมากขึ้น

พระเอกมิสเตอร์ควีน

ทว่าการออกมาชี้แจงในครั้งนี้ทำให้ฝ่ายต้นสังกัดของนักแสดงชายไม่พอใจ เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่หมดสัญญา จากนั้นเรื่องราวก็เหมือนไฟลามทุ่งด้วยการขุดอดีตของนักแสดงหนุ่ม เช่น การคบหาดูใจกับนางเอกซอเยจีอดีตแฟนสาว ที่ทำให้เสียการเสียงาน,การทำพฤติกรรมที่ทำให้นักแสดงหญิงที่ร่วมงานรู้สึกอึดอัดใจ ฯลฯ ออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้ ทำให้เกิดการแอนตี้ทั้งต่อตัว คิมจองยอน และอดีตแฟนสาว ซอเยจี ขณะที่หนุ่ม คิมจองยอน ยังถูกยี้แรงเกี่ยวกับการที่เขาแทบไม่ออกมาอธิบายเรื่องราวจนทำให้ฝ่ายหญิงที่ตกเป็นข่าวด้วย ต้องลุกออกมาปกป้องตัวเอง

สิ้นสุดสัญญา พระเอกมิสเตอร์ควีน ดับเครื่องชนอดีตต้นสังกัดทำลายภาพลักษณ์

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2564 หลังจากที่สิ้นสุดสัญญากับต้นสังกัด Q & Entertainment ในเวลา 00.00 น. ตัวแทนด้านกฎหมายของเขาได้ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นความขัดแย้งกับอดีตต้นสังกัดอย่างที่เรียกว่าไม่ไว้หน้า ตัวแทนกฎหมายได้ชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลายอย่างนักแสดงหนุ่มไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการผลิตบทความที่ไม่ได้รับการยืนยันเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล และในเมื่อสัญญาได้สิ้นสุดลงนักแสดงหนุ่มจึงอยากจะแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่คนเข้าใจผิด รวมถึงการกู้ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีที่เสียไปกลับคืนมา

ตัวแทนได้อธิบายว่าคิมจองยอนมีปัญหาเรื่องสุขภาพมาตั้งแต่ก่อนแสดงผลงานเรื่อง Time อาการของเขาย่ำแย่มากๆ แต่ต้นสังกัดก็ยังเพิกเฉยและไม่ทำหน้าที่ปกป้องเขาในฐานะนักแสดงในสังกัดเลย ซึ่งเมื่อเขาตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่กับสังกัดอื่นก็มีปัญหาตามมามากมาย และเมื่อไม่นานมานี้อดีตต้นสังกัดก็เลือกที่จะทำลายชื่อเสียงของเขา นั่นจึงเป็นที่มาของการตอบโต้กลับในครั้งนี้


ข้อมูลจาก : www.yna.co.kr

สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่

ดราม่าไม่กระทบ ข่าวฉาวแล้วไง ซอเยจี คว้ารางวัลนักแสดงยอดนิยม Baeksang

Dispatch แฉ! พระเอกมิสเตอร์ควีน เคยถอนตัวจากละครเพราะ ซอเยจี แฟนสาวขี้หึง

พระเอกสุดฮา คิมจองฮยอน กับช่วงชีวิตลำบากเพราะถูกสังคมตัดสินก่อนรู้ความจริง

เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่าคุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

พร้อมเริ่มต้นชีวิตคู่! เช็ค 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

Alternative Textaccount_circle
เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่าคุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว
เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่าคุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

พร้อมเริ่มต้นชีวิตคู่! เช็ค 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่า คุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

พูดถึงเรื่องการแต่งงาน สำหรับผู้หญิงหลายคนถือเป็นเรื่องใหญ่!! ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจง่ายๆ เลย ในการเริ่มต้นชีวิตคู่ สร้างครอบครัว นั่นก็เพราะปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะฐานะความมั่นคง ความซื่อสัตย์ของคนรัก และอื่นๆ ในความสัมพันธ์ แต่จะอยู่ขึ้นคานไปตลอด ก็ไม่ใช่ฝันของผู้หญิงหลายคนอีก เพราะส่วนใหญ่ก็ต้องการมีเพื่อนคู่คิดร่วมชีวิตไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วถ้าเกิดอยากแต่งงานขึ้นมา จะมั่นใจได้ยังไงว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะเป็นเจ้าสาว!! ลองเช็ค 5 สัญญาณนี้ดูค่ะ

เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่า คุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

1. เขาคนนั้นของคุณ ทำให้คุณรู้สึกมั่นคง

จะมีผู้ชายสักกี่คนที่จะทำให้คุณรู้สึกมั่นคงเมื่อได้เคียงข้างกับเขา คนที่แค่เมื่อคุณได้อยู่กับเขาก็พร้อมที่จะก้าวเผชิญกับทุกอุปสรรคของชีวิต คุณและเขาสามารถวางแผนอนาคตได้อย่างไร้กังวลและปราศจากความเครียด หากเจอกับเขาคนนั้นแล้ว อย่าได้ลังเลใจอีกเลย

2.ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ เขาคือคนแรกที่คุณอยากให้รับรู้

ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับคุณก็ตาม ทั้งได้เลื่อนตำแหน่ง ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน แม้กระทั่งน้ำในก๊อกที่บ้านไม่ไหล เขาคือคนแรกที่คุณอยากบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ได้รู้ นั่นหมายความว่าคุณรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และอย่าปล่อยมือจากเขา

เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่า คุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

3.คุณและเขาไว้ใจซึ่งกันและกัน

คุณไม่มีความหวาดระแวงใดๆ เกี่ยวกับตัวเขา ไม่ว่าเขาจะไปปาร์ตี้กับเพื่อน หรือมีกิจกรรมเอาท์ติ้งต่างจังหวัดกับที่ทำงาน คุณก็ไม่หวั่นว่าเขาจะแอบไปทำอะไรนอกลู่นอกทาง สิ่งเดียวที่คุณกังวลเกี่ยวกับเขาเมื่อต้องห่างไกลกันคือ เรื่องความปลอดภัยของเขาเสียมากกว่า คุณไว้ใจเขาว่าเขาจะไม่มีวันทำให้คุณผิดหวัง

4.คุณและเขามีความเห็นตรงกันเรื่องทายาท

ยุคสมัยนี้สามีภรรยาหลายคนไม่ต้องการมีลูก ด้วยทัศนคติที่ว่าสังคมยุคนี้ไม่เหมาะสมกับเด็ก ทั้งสภาพอากาศที่โหดร้าย ค่าครองชีพที่สูงและคุณภาพชีวิตซึ่งไม่ดีเท่าที่ควร หากคุณจะแต่งงานกับใครสักคน ควรถามความเห็นของเขาเกี่ยวกับการมีทายาทไว้ก่อนจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

5.คุณมีความเป็นตัวของตัวเอง

การได้อยู่กับคนที่เรารัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องถามตัวเองว่าคุณเป็นตัวของตัวเองที่สุดหรือไม่ คุณไม่กังวลว่าจะต้องสวยตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา คุณไม่จำเป็นต้องเอาอกเอาใจเขาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง และที่สำคัญก็คือ คุณสามารถพูดทุกอย่างตามที่ใจคิดได้

เช็ค 5 สัญญาณส่งซิกส์ที่บ่งบอกว่า คุณพร้อมเป็นเจ้าสาวแล้ว

หากเช็คดูแล้วพบว่าคนรักของคุณ “ใช่” ก็ไม่จำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป การจะหาคนที่คลิกกันได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเจอแล้วอย่าปล่อยมือจากเขาไปเป็นอันขาด


ภาพ : Pexels

 

เบน แอฟเฟล็ก เจโล

เผยสาเหตุทำไม เจโล เลิกเบน แอฟเฟล็ค 3 วันก่อนแต่งงานในปี 2004

account_circle
เบน แอฟเฟล็ก เจโล
เบน แอฟเฟล็ก เจโล

ในขณะที่ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างอื้ออึงว่า เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ เบน แอฟเฟล็ค กำลังหวนคืนความรักโรแมนติกของพวกเขาอีกครั้ง หลังจากที่เลิกรากันไปนานถึง 17 ปี แต่งานนี้ก็ทำเอาหลายคนสงสัยว่าทำไมคู่รัก A-list ถึงได้ตัดสินใจเลิกกันตั้งแต่ครั้งแรก!

ยังไงล่ะแม่งานนี้ จะเป็นเพราะความเหงา หรือ เหตุอันใดที่ทำให้กับ เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ เบน แอฟเฟล็คกลับมาสปาร์คกันอีกครั้ง เพราะหลังจากที่เลิกรากันไปนานถึง 17 ปี ตั้งแต่ปี 2004 ก็ไร้วี่แววว่าจะกลับมาคบหาดูใจกัน เพราะตัวเจโลเองก็เพิ่งตัดสินใจแยกทางกับ อเล็กซ์ โรดริเกซ ไปหมาดๆ

เบน แอฟเฟล็ก เจโล

ย้อนกลับไปในช่วงที่ เจโล และเบนคบหากันและตัดสินใจหมั้นหมายในเดือนพฤศจิกายนปี 2002 ในตอนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนเหมือนดังคู่รักคนอื่นๆ จนกระทั่งเดือนมกราคมปี 2004 ก็มีข่าวช็อควงการบันเทิงเมื่อเจโล และเบนออกมาประกาศแยกทาง ปิดฉากรัก 18 เดือนที่คบหาดูใจกันมา อีกทั้งยังเป็นการเลิกกันก่อน 3 วันที่จะเข้าพิธีแต่งงาน

ทั้งนี้มีการเปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้เจโล และเบนตัดสินใจแยกทางกันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะสื่อ และปาปารัสซี่ที่ตามติดชีวิตพวกเขามาก ซึ่งทั้งคู่ก็ได้ออกมาแถลงถึงสาเหตุด้วยว่า “เนื่องจากสื่อให้ความสนใจมากเกินไปเกี่ยวกับงานแต่งงานของเรา เราจึงตัดสินใจเลื่อนวันออกไป”

“และเมื่อเราพบว่าตัวเองกำลังคิดอย่างจริงจังที่จะจ้าง ‘เจ้าสาวเพื่อใช้ล่อ’ ถึง 3 คน แยกกันไปใน 3 สถานที่ที่แตกต่างกัน เราก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่มันบิดเบี้ยว ”

ทั้งนี้ โฆษกของเจโลกล่าวว่า” เจนนิเฟอร์ โลเปซ ยุติการหมั้นหมายกับ เบน แอฟเฟล็ค แล้ว ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้เราขอให้คุณเคารพความเป็นส่วนตัวของเธอ”

ขณะที่โฆษกของเบนกล่าวว่า “ผมจะไม่ยืนยันอะไรเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา เราไม่ต้องการถูกลากเข้าไปในสถานการณ์ที่ถูกหลอกลวงได้ง่าย ทุกคนต้องการให้มันเกิดสงคราม แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากฝั่งของเรา”

Cr : @benaffleck (Instagram)

อย่างไรก็ตาม เบนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่เขาเลิกกับเจโลอีกครั้งในปี 2008 ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นบอกเป็นนัยๆ ว่า สิ่งต่างๆ ดำเนินเร็วเกินไป และเปิดเผยต่อสาธารณะเกินไป เพียงเพื่อให้ความโรแมนติกของเราเป็นไปอย่างสมจริง

เบนกล่าวว่า “ผมคิดว่า เจนกับผมทำผิดพลาด ด้วยเหตุผลที่ว่า เราตกหลุมรักกัน เราตื่นเต้น และอาจเข้าถึงได้ง่ายเกินไป”

Cr: @jlo (Instagram)

ในขณะที่ เจนนิเฟอร์ โลเปซ เองก็ได้กล่าวไว้ในปี 2016 ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเบนว่า “เราไม่ได้พยายามที่จะมีความสัมพันธ์แบบสาธารณะ”

“ความสัมพันธ์ของเราเกิดขึ้นตั้งแต่แท็บลอยด์กำเนิดและมันก็เหมือนกับว่า ‘โอ้! พระเจ้า’ มันเป็นสิ่งที่กดดันมากๆ ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะเวลาที่ต่างกัน บางสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ความรักแท้จริงเกิดขึ้นตรงนั้น”

ข่าวลมรักพัดหวนของเจโล และเบน กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ซึ่งเว็บไซต์ The Daily Mail ได้เผยแพร่ภาพของทั้งคู่ขณะที่อยู่ด้วยกันในรถย่านสกีรีสอร์ต Big Sky ที่รัฐมอนทานา ซึ่งเบนเองก็มีบ้านอยู่ที่นั่นด้วย ขณะเดียวกันปาปารัสซี่ก็ได้จับภาพรถของเจโลที่มาคอยรับส่งเบนจากบ้านของเธอในลอสแองเจลิส

นอกจากนี้ในคอนเสิร์ต VAX LIVE by Global Citizen ที่ทั้งคู่ไปร่วมงาน เจโลก็ได้ร้องเพลงที่เคยแต่ง Sweet Caroline ของ นีล ไดมอนด์ ซึ่งเธอใช้อินโทรเพลง  I’m Glad ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม This Is Me… Then ซึ่งเพลงนี้เจโลแต่งให้กับเบน แต่หลังจากแยกทางกันเธอก็ไม่เคยหยิบเพลงนี้มาใช้อีกเลย จนกระทั่งในการเล่นคอนเสิร์ตครั้งนี้


ที่มา : www.mirror.co.uk

บอกเป็นรอบที่ 500 ล้านครั้ง! คุณแม่เจโล ตอกกลับชาวเน็ต ลั่นไม่เคยฉีดโบท็อกซ์

น้ำเซาะทราย & เมียหลวง หลบไป รักสามเส้า เราสามคน ของจริงอยู่นี่! 

ทราบหรือไม่ว่าใครคือ นักแสดงชายค่าตัวแพงที่สุด ปี 2020 ?

 

 

เจ้าหญิงไดอาน่า

‘เจ้าหญิงไดอาน่า’ ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุด วัดตามสัดส่วนทองคำกรีกโบราณ

Alternative Textaccount_circle
เจ้าหญิงไดอาน่า
เจ้าหญิงไดอาน่า

‘เจ้าหญิงไดอาน่า’ ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่น่าดึงดูดที่สุดตลอดกาล ตามสูตรอัตราสัดส่วนทองคำของกรีกโบราณ ขณะที่ ‘สมเด็จพระราชินีราเนียแห่งจอร์แดน’ และ ‘เกรซ แพทริเซีย เคลลี หรือ เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก‘ เอาชนะ ‘เมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซักเซกส์’ และ ‘เคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์’ ไปได้

ซึ่งเกณฑ์การวัดที่ตัดสินว่า ‘เจ้าหญิงไดอาน่า’ ถูกยกให้เป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาลนั้น วัดตามอัตราสัดส่วนทองคำของกรีกโบราณ โดย Dr. Julian De Silva ศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องใบหน้าโดยเฉพาะ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ทำการวิเคราะห์อัตราสัดส่วนทองคำกับสตรีชาววังที่มีชื่อเสียงที่สุด และพบว่า เจ้าหญิงไดอาน่า เป็นคนที่น่าดึงดูดมากที่สุด โดยได้รับคะแนนสูงสุด ตามอัตราสัดส่วนทองคำถูกคิดค้นขึ้นในกรีกโบราณ เพื่อกำหนดความสมบูรณ์แบบทางกายภาพ โดยการเปรียบเทียบการวัดอัตราส่วนและความสมมาตรของใบหน้า

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

Dr. Julian De Silva ศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องใบหน้าโดยเฉพาะ ได้คำนวณสรีระใบหน้าสตรีในราชวงศ์ โดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์แบบ Vitruvian Man ที่ได้รับการดัดแปลงโดยนักวิทยาศาสตร์ เพื่อกำหนดนิยามความงามที่สมบูรณ์แบบของชาวกรีก และตอนนี้ได้รับการพัฒนาเป็นเทคนิคการทำแผนที่ใบหน้าด้วยคอมพิวเตอร์

ซึ่งผลที่ออกมาทำให้ ‘เจ้าหญิงไดอาน่า’ ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่น่าดึงดูดที่สุดตลอดกาล เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย ‘สมเด็จพระราชินีราเนียแห่งจอร์แดน’ เป็นอันดับสอง และ ‘เกรซ แพทริเซีย เคลลี หรือ เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก‘ เป็นอันดับสาม ซึ่งเอาชนะ ‘เมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซักเซกส์’ ที่ได้ในอันดับสี่ และ ‘เคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์’ ที่ได้อันดับห้าไปครอง

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

อันดับ 1 : ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงที่อยู่ในความทรงจำที่สวยงามของคนทั่วโลก

เหตุที่เจ้าหญิงไดอาน่า ได้คะแนนสัดส่วนทองคำสูงสุดสำหรับรูปหน้าของพระองค์ไปถึง 89.05% เพราะสัดส่วนความกว้างของจมูก บริเวณคิ้ว หน้าผาก และคิ้ว ทั้งหมดอยู่ในสัดส่วนที่ได้รับคะแนนสูงสุด ส่วนคะแนนต่ำสุดคือบริเวณคางและริมฝีปาก โดยริมฝีปากบางเล็กน้อยและคางก็ดูสวยคลาสสิกน้อยกว่าสตรีคนอื่นๆ

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

อันดับ 2 : สมเด็จพระราชินีราเนียแห่งจอร์แดน

สมเด็จพระราชินีราเนียแห่งจอร์แดน ได้อันดับสองไปด้วยคะแนน 88.9% Dr. Julian De Silva กล่าวว่า พระองค์เป็นราชวงศ์ที่มีชีวิตที่สวยงามที่สุด และเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างน่าทึ่ง คะแนนสูงสุดของใบหน้าก็คือ บริเวณคางและริมฝีปากที่สวยได้รูป

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

อันดับ 3 : เกรซ แพทริเซีย เคลลี หรือ เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก

เจ้าหญิงเกรซ ได้คะแนนสัดส่วนทองคำไป 88.8% Dr. Julian De Silva กล่าวว่า เจ้าหญิงเกรซมีความงามเหนือกาลเวลา ด้านสัดส่วนใบหน้าการเว้นระยะห่างของดวงตาและตำแหน่งดวงตาของพระองค์เกือบจะสมบูรณ์แบบด้วยคะแนนสูงสุดถึง 99.8% ทั้งยังมีริมฝีปากที่สวยงาม ซึ่งพระองค์เสียคะแนนช่วงรอยคางที่ไม่ชัดเจนเล็กน้อย

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

อันดับ 4 : เมแกน มาร์เคิล ดัชเชสแห่งซักเซกส์

เมแกน มาร์เคิล ได้คะแนนสัดส่วนทองคำไป 87.7% Dr. Julian De Silva กล่าวว่า เธอเป็นสตรีที่น่าดึงดูดที่สุดในอันดับต้นๆ มีความโดดเด่นด้วยความสมมาตรบนใบหน้าที่สวยงาม ชาวกรีกถือว่าเป็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ

'เจ้าหญิงไดอาน่า' ถูกยกเป็นราชวงศ์ที่งดงามที่สุดตลอดกาล ตามอัตราส่วนทองคำ

อันดับ 5 : เคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์

ดัชเชสเคทได้คะแนนสัดส่วนทองคำไป 86.82% Dr. Julian De Silva กล่าวว่า แม้จะได้คะแนนสัดส่วนทองคำตามหลังเมแกน มาร์เคิล แต่พระองค์ยังคงเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งในโลก ความงามที่โดดเด่นจนได้คะแนนสูงอยู่บริเวณช่องว่างระหว่างจมูกและริมฝีปากที่สมบูรณ์แบบ และระยะห่างระหว่างดวงตา


ข้อมูล : dailymail.co.uk

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

3 แบรนด์บิวตี้ที่ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ทรงโปรดและไอเท็ม Must-Have ที่สาวยุค 90’s ทำตาม

ถอดคีย์ไอเท็ม เนรมิตลุค Emma Corrin จากเมคอัพอาร์ติสต์ของเจ้าหญิงไดอาน่า

ผิวดีออร่าจับ! สกินแคร์ชิ้นโปรด Emma Corrin นักแสดงสาวผู้รับบท เลดี้ ไดอานา

 

 

แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท-เมแกน

ประชันลุค แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท-เมแกน สวยคนละสไตล์ ต่างกันชัดเจน

แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท-เมแกน
แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท-เมแกน

สวยคนละสไตล์และดูเป็นตัวเอง สำหรับ แฟชั่นชุดแดง ของสองสะใภ้แห่งราชวงศ์อังกฤษ ดัชเชสเคทและเมแกน มาร์เคิล ที่ความแพงของชุดตีคู่สูสีกันมาเลย

ทุกครั้งที่ดัชเชสเคทและเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกส์ ปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชน ชุดที่ใส่ รองเท้าที่สวม และกระเป๋าที่ถือ มักถูกจับจ้องและถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงเสมอ เพราะทั้งสองมีสไตล์ที่สาวๆ หลายคนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นลุคคลาสสิกแบบดัชเชสเคท หรือดูทันสมัยแบบเมแกน ก็สามารถสร้างอิทธิพลให้สาวๆ ทั่วโลกได้ไม่ยาก หลายต่อหลายครั้งที่เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ ของทั้งสองกลายเป็นที่นิยมจน Sold out

แม้กระทั่งการแต่งตัวที่เหมือนกันก็ถูกจับมาเปรียบเทียบอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ทั้งสองสะใภ้แห่งราชวงศ์อังกฤษเลือกใส่ชุดสีแดง ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน โดยเริ่มจากดัชเชสเคทสวมเดรสโค้ตยาวสีแดง เดินทางไปเยือนหอศิลป์ภาพเหมือนแห่งชาติและโรงพยาบาล Royal London

ประชันลุค แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท-เมแกน สวยคนละสไตล์ ต่างกันชัดเจน

 แฟชั่นชุดแดง

ซึ่งลุคนี้ดัชเชสเคทเลือกใส่ชุดเดรสผ้าวูลเครป ‘Coat Dress’ จาก Eponine London คอลเล็คชั่น A/W 2018 คอเสื้อแบบแมนดาริน กระโปรงทรงเอยาว แต่งกระดุมและกระเป๋าด้านหน้า ราคาประมาณ 72,500 บาท แมตช์เข้ากับกระโปรงสีเบจอัดจีบมาพร้อมเข็มขัดจาก Zara รวมถึงรองเท้าและกระเป๋าก็มาในโทนสีน้ำตาล เรียกว่าเป็นลุคที่ดูสวยสง่า มีความเป็นแฟชั่นและสุภาพในเวลาเดียวกัน

 แฟชั่นชุดแดง ดัชเชสเคท

 แฟชั่นชุดแดง

การเลือกสีเบจหรือสีน้ำตาลมาจับคู่กับสีแดงเป็นวิธีที่ชาญฉลาด สามารถดึงดูดสายตาผู้คนและมีความเป็นตัวเองสูงมาก แม้เดรสโค้ตจะสีแดงแจ่ม แต่ดีไซน์มีความคลาสสิกและเรียบหรู ซึ่งคือซิกเนเจอร์ลุคของดัชเชสเคท

 แฟชั่นชุดแดง

 แฟชั่นชุดแดง

ในสัปดาห์เดียวกัน เมแกนก็มาในชุดเดรสสีแดง เพื่ออัดคลิปวิดีโอในฐานะผู้นำคอนเสิร์ต Vax Live รณรงค์แจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้เท่าเทียมกันทั่วโลก และมีการระดมทุนให้กับ Covax ซึ่งเธอไม่สามารถไปร่วมงานนี้ได้ เพราะกำลังตั้งครรภ์

โดยลุคของเมแกนยังคงดูสบายๆ และผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในแอลเอ เธอเลือกสวมเดรสยาวสีแดงลายดอกป๊อปปี้จากแบรนด์ Carolina Herrera ที่มีชื่อรุ่นว่า Poppy Print Tie Waist Shirtdress ราคาประมาณ 53,000 บาท พร้อมด้วยเครื่องประดับที่ใส่เป็นประจำอย่างกำไลข้อมือ Cartier และนาฬิกา Cartier ซึ่งเป็นของเจ้าหญิงไดอาน่า

 แฟชั่นชุดแดง เมแกน

 แฟชั่นชุดแดง เมแกน

แม้ลุคนี้จะดูเรียบง่าย แต่เรื่องความเป๊ะตั้งแต่หน้าผมมาจนถึงเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน ก็ผ่านการทำการบ้านมาอย่างดี และเผยให้เห็นมุมที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ใดๆ อย่างที่ผ่านมา (แม้จะแหกกฎราชวงศ์อยู่บ่อยครั้งก็ตาม)

 แฟชั่นชุดแดง เมแกน

 แฟชั่นชุดแดง

 แฟชั่นชุดแดง


ภาพ : IG@katemidleton1 , www.meghansfashion.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เหตุผลที่ เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

ลูกคุณหนูก็ใช้! กระเป๋า CHARLES & KEITH ‘คาลิสต้า คูอาการ์’ ทายาทเศรษฐีสิงคโปร์

 

WHITE GLOVE DELIVERY

WHITE GLOVE DELIVERY: SAME DAY ส่งวันเดียว เริ่มต้นที่ 699 บาท*

WHITE GLOVE DELIVERY
WHITE GLOVE DELIVERY

บริษัท เวิลด์ รีวอร์ด โซลูชั่น จำกัด (World Reward Solutions) ต่อยอดบริการจัดส่งของระดับพรีเมี่ยม White Glove Delivery by Silver Voyage Club จากที่ต้องจองล่วงหน้าสู่การให้บริการเหนือระดับด้วยการจัดส่งภายในวันเดียว ในราคาเริ่มต้นที่ 699* บาท พร้อมรับประกันการจัดส่งในมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยทีมงานมืออาชีพและการดูแลทั้งด้านความปลอดภัยและอนามัยขั้นสูงสุด

WHITE GLOVE DELIVERY

ฝนตกฟ้าร้อง หรือล็อกดาวน์ แต่ต้องส่งของขวัญวันเกิดให้คนสำคัญ จะส่งของมีค่า ของแบรนด์เนม หรือของที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ติดต่อ White Glove Delivery by Silver Voyage Club บริการจัดส่งของพรีเมี่ยมทั้งของมีค่าและของแบรนด์เนม ไม่ต้องรอข้ามวัน เพราะตอนนี้เราต่อยอดบริการส่งของพรีเมียมด้วยโปรแกรม SAME DAY พร้อมส่งทั่วกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ สำหรับของมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ต่อการรับหรือส่ง โปรพิเศษ !!! ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เท่านั้น จัดส่งภายในวันเดียวในราคาเริ่มต้น 699 บาท (จากราคาเต็ม 1,200 บาท) ฝนตกก็ไม่ต้องเป็นห่วง ของแพงเราก็ดูแลให้พร้อมประกันภัยความเสียหายที่ครอบคลุมสูงถึง 200,000 บาท ต่อการรับหรือส่ง คุณสั่ง เราจัดส่งให้ ของถึงมือผู้รับด้วยความปลอดภัยจากทีมงานจัดส่งมืออาชีพที่เข้าใจถึงคุณค่าของสำคัญ จัดส่งด้วยรถซีดานที่ผ่านการตรวจเช็คและทำความสะอาดทุกวัน ทั้งก่อนและหลังให้บริการ พนักงานสวมถุงมือขาวที่จะส่งมอบของสำคัญด้วยความตั้งใจ พร้อมทีมผู้ช่วย Concierge ที่จะคอยประสานงานการรับสิ่งของ ติดตามการจัดส่งและรายงานผลแบบ Real Time เมื่อของถึงมือผู้รับ ทิ้งความกังวลให้เราเป็นผู้ดูแล

White Glove Delivery: Same Day บริการที่จะสร้างประสบการณ์ที่ควรค่าในการจัดส่งของทรงคุณค่าและของสำคัญ จัดส่งภายในวันเดียว สอบถามได้วันนี้ที่ Concierge 02-016-9975 หรือติดต่อผ่าน Facebook: Silvervoyage.Club

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

นางเอกเกาหลี ซอเยจี

ดราม่าไม่กระทบ ข่าวฉาวแล้วไง ซอเยจี คว้ารางวัลนักแสดงยอดนิยม Baeksang

account_circle
นางเอกเกาหลี ซอเยจี
นางเอกเกาหลี ซอเยจี

แม้จะเจอกระแสดราม่า โดนขุดข่าวฉาวรัวๆ โดนยกเลิกงานพรีเซนเตอร์ แต่ดูเหมือนว่า ความฮ็อตฮิตของ ซอเยจี จะไม่ลดลง การันตีได้จากที่เธอคว้ารางวัลนักแสดงยอดนิยม จาก Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 57

ปังปุริเย่มากแม่ ข่าวฉาวทำอะไรเธอไม่ได้จริงๆ สำหรับนักแสดงสาวเกาหลีชื่อดัง ซอเยจี เพราะล่าสุดในงานประกาศรางวัล Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 57 ซึ่งมีการเปิดโหวตรางวัล  ‘TikTok Most Popular Artist Awards’ ระหว่างวันที่ 3 – 10 พฤษภาคม

นางเอกเกาหลี ซอเยจี

โดยงานนี้มีผู้ถูกเสนอเข้าชิงรางวัล ซึ่งแบ่งเป็นนักแสดงหญิงจำนวน 34 คน หนึ่งในนั้นคือซอเยจี และ นักแสดงชายจำนวน 35 คน ได้มีการประกาศผลเป็นที่เรียบร้อยหลังจากปิดโหวตเมื่อเวลา 23.59 น. ในวันที่ 10 พฤษภาคม

นางเอกเกาหลี ซอเยจี

ทั้งนี้ผู้ที่คว้ารางวัล  ‘TikTok Most Popular Artist Awards’ ฝ่ายหญิงคือ ซอเยจี นางเอกสาวจากเรื่อง It’s Okay to Not Be Okay ด้วยคะแนนโหวต 789,170 คะแนน ตามมาด้วยอันดับ 2 คือ ชินฮเยซอน และอันดับ 3 คือ คิมโซฮยอน

Cr : kimseonhothailand

ในขณะที่ผู้ได้รับรางวัลนักแสดงยอดนิยมฝ่ายชายคือ คิมซอนโฮ นักแสดงหนุ่มที่รับบท ฮันจีพยอง พระรองผู้น่าสงสารจากเรื่อง Start Up โดยเขาคว้าคะแนนโหวตไปถึง 1.3 ล้านคะแนน เอาชนะพระเอกหนุ่ม ซงจุงกิ ที่ได้รับคะแนนโหวต 950,000 คะแนน แบบขาดรอย ในขณะที่อันดับ 3 คือ คิมซูฮยอน พระเอกหนุ่มจากซีรีส์ It’s Okay to Not Be Okay


3 เรื่องอื้อฉาวของ ซอเยจี หลังดราม่าคิมจองฮยอน ซ้ำงานเข้าโดนถอดโฆษณา

เช็กลิสต์! คุณเป็นสาวในสเปคของ พระรองเสน่ห์แรง คิมซอนโฮ หรือเปล่า?

‘วันพุธ รักจริง ไม่ชอบถูกบังคับ โดยเฉพาะเรื่องทำงานหาเงิน ขัดใจอย่างแรง’ ดูดวงรายวัน 12 พฤษภาคม 2564

ดูดวงรายวัน 12 พฤษภาคม 2564 #หมอปุ้ยพยากรณ์ เช็กทุกวัน เป๊ะปังทุกดวง ทั้งการงาน การเงิน ความรัก และสุขภาพ

‘วันพุธ รักจริง ไม่ชอบถูกบังคับ โดยเฉพาะเรื่องทำงานหาเงิน ขัดใจอย่างแรง’

ดูดวงรายวัน 12 พฤษภาคม 2564

ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

การงาน  : สำหรับผู้ที่ทำงานหรือได้เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องใช้ความรู้ สติปัญญา และทักษะเฉพาะด้าน จริงๆ แล้วคุณขยัน ตั้งใจทำงาน มองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นที่ปรึกษาที่ดี แต่ติดนิดเดียวคือ คุณยึดติดอยู่แต่ความคิดเห็นในกลุ่มพวกพ้องของตัวเอง ไม่เปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น  จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า งานที่กำลังทำอยู่จะดำเนินมาถึงวาระสุดท้าย วันนี้จึงจำเป็นต้องใช้การมองโลกบวกของคุณมาช่วยนะคะว่า ‘จบเพื่อเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม’

การเงิน  : มีวิธีการบริหารจัดการการเงินอย่างดี แต่คุณชอบทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อน จนวันนี้การเงินเสี่ยงเข้าขั้นวิกฤติ

ความรัก : คุณใช้ชีวิตคู่อยู่บนหลักการและเหตุผล ปฏิบัติตัวตามหลักขนบธรรมเนียมเป๊ะ แต่วันนี้อาจมีบางอย่างที่ทำให้คุณอึดอัด ทนไม่ไหว ต้องขอยกเลิก   คนโสด  คุณไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับใคร แต่หากเป็นเรื่องความรักแล้ว เหมือนเป็นคนละคน ขี้หึงมากมาย จนอาจถึงขั้นเลิกรากัน

สุขภาพ : ลด ๆ ความจริงจัง ความซีเรียส ความวิตกกังวลลงหน่อย เพราะจะทำให้คุณปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง ไมเกรนจะถามหา ปล่อยวางบ้างค่ะ

 

ผู้ที่เกิดวันจันทร์

การงาน  :  สำหรับผู้ทำงานหรือได้เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ เช่น นักแสดง ศิลปิน นักเขียน นักออกแบบ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชน ฯลฯ หากวันนี้คุณต้องเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขสัญญา หรือลิขสิทธิ์ใดๆ  ก่อนจะเซ็นยอมรับ ควรอ่านเงื่อนไขให้ดี เพราะมีโอกาสสูงมากที่คุณจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หรือมีเล่ห์กลแอบแฝง เช่น ถูกกลั่นแกล้ง  แอบแทงข้างหลัง จนคุณไปทำงานที่ไหนไม่ได้

การเงิน : มีผู้ช่วยเหลือ อาจได้รับมรดกด้วยนะเนี่ย แต่มีความเสี่ยงที่คุณจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ถูกหลอก ถูกโกง ไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หากจะไปทวงหนี้ ก็จะเจอประเภทไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

ความรัก : วันนี้ไม่ต้องสับสน ลังเลใจแล้วค่ะ เพราะจะมีมือที่สามมาให้เห็นตัวเป็นๆ เลย แล้วมาเพื่อหวังผลประโยชน์ พอเธอได้สมใจก็ตีจาก ทิ้งให้คุณปวดใจกันไป  คนโสด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีคู่อยู่แล้ว แต่คุณก็ไม่สามารถตัดใจจากบ่วงรักของเราสามคนได้ แถมคู่ของเขามีความเป็นไปได้ว่า จะไม่ใช่ผู้หญิงด้วยสิ เจ็บตรงนี้!!!

สุขภาพ  : อย่าประมาท มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากของมีคม และความร้อน หรือเปลวไฟ จนเกิดบาดแผลตามร่างกาย

 

ผู้ที่เกิดวันอังคาร

การงาน :  มีความเป็นไปได้สูงว่า คุณจะถูกลดบทบาทความสำคัญ ไม่ได้รับความสนใจจากเจ้านายเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานศิลปะ ศิลปิน ความสวยความงาม จากที่คุณเคยสร้างผลงาน สร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงานหรือองค์กร แต่วันนี้กลายเป็นคุณต้องเข้าสู่การแข่งขัน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นอย่างดุเดือด หรือต้องทำงานในสถานการณ์บีบบังคับด้วยเดทไลน์ เพื่อเรียกเครดิตให้กลับคืนมา ส่งผลให้คุณอึดอัดใจมาก

การเงิน : มีความเสี่ยงที่คุณจะเสียเงินให้กับคนใกล้ชิด แต่ก็มีโอกาสที่ผู้ใหญ่จะให้กลับคืนมาในรูปของการลงทุน ก็มีความเสี่ยงอีกว่า จะได้กำไรหรือจะขาดทุน

ความรัก :  มีความเป็นไปได้ว่า คู่คุณจะหึงหวงคุณเป็นพิเศษ อาจเพราะเขาเห็นความเป็นผู้นำในตัวคุณ ทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน คุณก็รับผิดชอบได้ดี ก็ระวัง จะเกิดปากเสียงกันอย่างรุนแรง เพราะการกระทำของเขาเหมือนไม่เชื่อใจคุณ คนโสด  คุณมีเสน่ห์มากมาย วันนี้มีโอกาสที่หนุ่มๆ เหล่านั้นจะเปิดศึกแย่งชิงคุณ แต่ทำมั้ย ทำไม คุณจึงเลือกคนที่ไม่เหมาะสมกับคุณนะ

สุขภาพ  :  มีความเสี่ยงที่คุณจะเกิดอันตรายจากการทะเลาะวิวาทจากเรื่องชู้สาว รวมถึงการขับขี่ จึงควรใจเย็นๆ มีสติ หากจะดื่มก็ไม่ควรขับขี่ หากจะขับขี่ก็ไม่ควรดื่ม

 

ผู้ที่เกิดวันพุธ

การงาน :  สำหรับนักธุรกิจมือใหม่ หรือผู้ประกอบการรายย่อย SMEs เช่น ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ออร์กาไนเซอร์ สอนพิเศษ ฯลฯ ซึ่งคุณเป็นประเภทตึงเป๊ะ หากตั้งใจอะไรไว้ ใครก็ขวางไม่ได้ แต่ในสถานการณ์โรคระบาดขณะนี้ หากยังยึดมั่นอยู่ที่การทำธุรกิจรูปแบบเดิมๆ ก็คงเหนื่อย จึงควรปรับเปลี่ยนเข้าสู่โลกออนไลน์ เดลิเวอรี่ เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ซึ่งก็คงต้องใช้ความอดทนและรอคอย จังหวะและโอกาสที่ดีด้วย ไม่ควรใช้อารมณ์ วู่วาม เพราะจะทำให้สถานการณ์แย่ลง

การเงิน : จากธุรกิจที่เคยไปได้ดี จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด วันนี้จะติดขัด ต้องบริหารจัดการทรัพย์สินตัวเป็นเกลียว เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด

ความรัก :  คุณอยู่ในครอบครัวที่รักและดูแลเอาใจใส่อย่างดี แต่จากสภาพเศรษฐกิจในครัวเรือนที่ติดขัด ทำให้ต่างคนต่างเครียด จึงมีความเป็นไปได้ที่คุณต้องทำงานหาเงิน จนไม่มีเวลาให้ครอบครัวเหมือนเดิม คนโสด  คุณรักใครรักจริง แต่ก็ไม่ชอบถูกบังคับจิตใจ โดยเฉพาะเรื่องการทำงานหาเงิน

สุขภาพ : ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่สะอาด รสจัด เพราะมีความเสี่ยงจะท้องเสีย เพราะอาหารเป็นพิษ จนถึงมีพยาธิ์ในลำไส้

 

ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

การงาน  :  สำหรับผู้ที่ทำงานหรือได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่มีรูปแบบชัดเจน มีลำดับขั้นตอนเป๊ะๆ เช่น งานราชการ รัฐวิสาหกิจ งานบัญชี งานเอกสาร ฯลฯ  แม้คุณจะไม่ชอบเปลี่ยนงาน แต่เพราะวันนี้คุณมีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เป็นศิลปินสูง จนยากจะทำงานร่วมกับผู้อื่น ทางที่ดีจึงควรรับงานไปทำเป็นโครงการพิเศษ หรือหากมีความสามารถก็ทำธุรกิจส่วนตัวเลย สบายใจกว่า

การเงิน :  อย่าหลงเชื่อคำพูดที่มีหลักการและเหตุผล เพราะคุณจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ซึ่งจะมาในรูปหลอกให้คุณทำบุญ บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน

ความรัก :  วันนี้คุณทำตัวชิลๆ ไม่ยุ่งวุ่นวายกับใครดีแล้วค่ะ เพราะหากใครได้เปิดประเด็นขึ้นมา อาจมีทะเลาะ เพราะคุณก็ไม่ยอมใครเหมือนกัน  คนโสด  คุณมีสเปคแฟนในหัวใจชัดเจน หากไม่ใช่สเปค คุณก็สามารถเลิกคบได้ง่ายๆ โดยที่เขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

สุขภาพ :  ร่างกายจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีความเสี่ยงที่จะเป็นภูมิแพ้ หรือไข้หวัด จึงควรรักษาสุขภาพด้วย

 

ผู้ที่เกิดวันศุกร์

การงาน : สำหรับผู้ที่ทำงานหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่ต้องใช้พลังกาย พลังใจ และความรับผิดชอบสูง เช่น บุคคลในเครื่องแบบ นักการเมือง การปกครอง นักกฎหมาย ฯลฯ วันนี้นับว่าคุณโชคดี การงานราบรื่น ผู้ใหญ่และคนใกล้ชิด รวมถึงจะมีนารีขี่ม้าขาวมาให้การสนับสนุนช่วยเหลือและส่งเสริมให้คุณได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานสีเทา หรืองานที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากคุณถลำลึกจะมีแต่ปัญหาและนำความเดือดร้อนมาให้ไม่จบสิ้นเลย

การเงิน : ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ช่วยเหลือ รวมถึงคุณเองก็หาเงินเก่ง ใช้เงินต่อเงินเพื่อสร้างผลกำไร ก็ควรเก็บเงินไว้บ้าง ไม่ควรนำไปใช้จ่าย หรือเลี้ยงเพื่อนฝูงหมดนะคะ

ความรัก :  มีความเป็นไปได้ที่สมาชิกในบ้านจะได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน รวมถึงคู่คุณด้วย แต่สำหรับคุณแล้วยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เปลี่ยนใจไปมา จนคนรอบข้างเดาใจไม่ถูก คนโสด  คุณมีดวงเป็นนารีอุปถัมภ์ เพื่อให้เขามาเป็นของคุณให้ได้

สุขภาพ :  น้ำหนักที่มากขึ้นจะเป็นภัยต่อสุขภาพ ยิ่งหากคุณเคยผ่าตัดในช่องท้องหรือผ่าคลอด แผลมีโอกาสที่จะอักเสบ

 

ผู้ที่เกิดวันเสาร์

การงาน :  คุณขยัน ตั้งใจทำงาน มองโลกในแง่ดี และชอบช่วยเหลือคนอื่น จึงมีความเป็นไปได้ที่คุณจะได้รับมอบหมายให้เป็นหลักของทีมทำงาน ก็ต้องระวังอีโก้ และความเชื่อมั่นในตัวเอง จนไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ร่วมงานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นงานสายบุญ สายธรรมะ สาย CSR ทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกใส่ร้ายป้ายสี จนเกิดผลร้ายต่อหน้าที่การงานได้อย่างกะทันหัน

การเงิน :  วันนี้คุณมาสายบุญ ชอบทำบุญ ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน  ทำงานเพื่อการกุศลอีกต่างหาก

ความรัก : ชีวิตครอบครัวคุณราบเรียบและราบรื่นในแบบของคุณคือ ทำงานเป็นหลัก มีครอบครัวที่อยู่ในกฎระเบียบเป๊ะ  คนโสด  คุณเป็นหลักของครอบครัว เพราะฉะนั้นหากจะมีแฟนก็ต้องผ่านความเห็นชอบของผู้ใหญ่ก่อน

สุขภาพ :  ภูมิแพ้มาแล้วจ้า วันนี้คุณมีโอกาสที่จะแพ้อากาศที่เดี๋ยวก็ร้อนจัด เดี๋ยวก็ฝนตก จนเริ่มมีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ จามบ่อย มีโอกาสที่ไซนัสจะกำเริบ

 

 

กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง คนดัง-ชาวเน็ตแห่ Duet เล่นกันถล่มถลาย!

กระแส “อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า” มาแรง คนดัง-ชาวเน็ตแห่ Duet เล่นกันถล่มถลาย!

Alternative Textaccount_circle
กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง คนดัง-ชาวเน็ตแห่ Duet เล่นกันถล่มถลาย!
กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง คนดัง-ชาวเน็ตแห่ Duet เล่นกันถล่มถลาย!

กำลังเป็นกระแสมาแรงไม่น้อย! สำหรับคลิป “อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า” ของ “MONOMAX” (โมโนแมกซ์) ในแอปพลิเคชั่น Tiktok ที่มีคนดัง อาทิ “ตุ๊กกี้-สุดารัตน์ บุตรพรหม”, ญิ๋งญิ๋ง-ศรุชา เพชรโรจน์”, “อรอนงค์ ปัญญาวงศ์” พร้อมด้วย Tikoker นำโดย Mymint Nara, Madam Funny, Artymilk และเหล่าชาวเน็ตต่าง Duet คลิปนี้เล่นกันอย่างสนุกสนาน!

กระแส “อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า” มาแรง คนดัง-ชาวเน็ตแห่ Duet เล่นกันถล่มถลาย!

กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรงกระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง

โดยคลิป “อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า” ได้ตัดมาจากฉากหนึ่งในซีรีส์สุดฮิตแดนมังกร Rattan ครึ่งปีศาจซือเถิง” ที่สร้างจากนิยายชื่อดังได้นำมาดัดแปลงสร้างเป็นซีรีส์ นำแสดงโดยดารานักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทยและจีน อย่าง “จางปินปิน” และ “จิ่งเถียน” กับเรื่องราวของพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับปีศาจสาวแบบไม่เต็มใจ! จนก่อกำเนิดความผูกพันของทั้งคู่ขึ้นมาในที่สุด!

กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรงกระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง

กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง กระแส "อย่าเร่งผู้หญิงตอนแต่งหน้า" มาแรง

ไม่เพียงเท่านี้! ชาวไซเบอร์ทั้งหลายยังสามารถร่วม Duet คลิปสนุกๆ สุดฮาจากซีรีส์จีนเรื่องอื่นๆ อีกมากมายผ่านทางแอปพลิเคชั่น Tiktok แล้วค้นหาชื่อ MONOMAX กันได้อีกเพียบ


 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แต่งตาสิมาแรง! ดวงตานี่แหละคือเทรนด์ที่ต้องโฟกัส สวยปิ๊งเต็มที่แม้ต้องใส่แมสก์

เคลียร์ข้อสงสัย UVA / UVB แตกต่างยังไง อะไรเป็นรังสีที่ทำร้ายผิวได้มากที่สุด

ชี้เป้า 2 แบรนด์เทียนหอม เหมาะกับช่วง WFH มีทั้ง ‘กลิ่นกัญชา’ และ ‘กลิ่นออฟฟิศ’

 

กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง! หน้ากากอนามัย Burberry สุดลิมิเต็ด ในราคาหลักพัน

สายแฟต้องจัดสักชิ้น หน้ากากอนามัย Burberry ลายซิกเนเจอร์ ที่กลับมาวางขายอีกครั้ง เพื่อให้คุณจับจองเป็นเจ้าของในราคาหลักพัน

กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง สำหรับหน้ากากอนามัยจากแบรนด์ Burberry สุดลิมิเต็ด อิดิชั่น ที่มาในลวดลายตารางสุดวินเทจ อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ผลิตด้วยวัสดุผ้าที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในการกรองอนุภาค ผสานเทคโนโลยี antimicrobial

ซึ่งมีให้เลือกด้วยกันถึง 3 สี สีน้ำตาล สีเบจ และสีฟ้าอ่อน พร้อมทั้งกระป๋าผ้าสำหรับเก็บหน้ากากอีกด้วย โดยหน้ากากอนามัยมีวางจำหน่ายแล้วทั่วโลกผ่านทางออนไลน์เว็บไซต์ Burberry.com มาในราคา 3,952 บาททุกสี

กลับมาวางจำหน่ายอีกครั้ง! หน้ากากอนามัย Burberry สุดลิมิเต็ด ในราคาหลักพัน

หน้ากากอนามัย Burberry ลิมิเต็ด หน้ากากอนามัย Burberry ลิมิเต็ด หน้ากากอนามัย Burberry ลิมิเต็ด หน้ากากอนามัย Burberry ลิมิเต็ด หน้ากากอนามัย Burberry ลิมิเต็ด หน้ากากอนามัย Burberry สีฟ้า หน้ากากอนามัย Burberry สีฟ้า หน้ากากอนามัย Burberry สีฟ้า หน้ากากอนามัย Burberry หน้ากากอนามัย Burberry หน้ากากอนามัย Burberry


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลิมิเต็ด เอดิชั่น UNIQLO x Marimekko คอลเล็คชั่นใหม่ สดใสในดีไซน์เดนิม

คอลแลปส์สุดเจ๋ง รองเท้า Nike x COMME des GARCONS สไตล์โมโนโครม  

รุ่นใหม่ปล่อยแล้ว! รองเท้าแตะ Onitsuka พื้นหนา น้ำหนักเบา ใส่สบาย

 

ทายาทมหาเศรษฐี

รวยปะทะรวย สเปนเตรียมมีงานใหญ่ ทายาทมหาเศรษฐี วิวาห์สองตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ

account_circle
ทายาทมหาเศรษฐี
ทายาทมหาเศรษฐี

สเปนเตรียมมีงานวิวาห์ใหญ่ครั้งแรกของปี หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์สเปน และ คู่หมั้น ทายาทมหาเศรษฐี ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นที่พระราชวังมาดริดสมัยศตวรรษที่ 18 ในปลายเดือนนี้ หลังจากที่ทั้งคู่หมั้นหมายไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา

จัดว่าเป็นงานวิวาห์ใหญ่ที่น่าจับตามองเลยทีเดียวสำหรับ คู่รักเซเลบริตี้ คาร์ลอส ฟิตซ์-ฮาเมส สจวต อี โซลิส เคานต์แห่งโอซอร์โน และ Belén Corsini ลูกสาวของชายที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของสเปน ซึ่งงานวิวาห์นี้จะจัดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ที่พระราชวัง Liria กรุงมาดริด

รวยปะทะรวย สเปนเตรียมมีงานใหญ่ ทายาทมหาเศรษฐี วิวาห์สองตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ

ทายาทมหาเศรษฐี

ว่ากันว่างานนี้จะเป็นงานแต่งงานของคนชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เหล่าเซเลบริตี้จำนวนมากทั่วยุโรปถูกบังคับให้เลื่อนงานแต่งงานอันฟุ่มเฟือยเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามมีการคาดว่าทั้งคู่น่าจะลดจำนวนแขกที่มาร่วมงานด้วย

คาร์ลอส ฟิตซ์-ฮาเมส สจวต อี โซลิส เคานต์แห่งโอซอร์โน เป็นบุตรชายของ ดยุกแห่งอัลบา และเป็นน้องชายของ ดยุกแห่ง Huéscar ที่ได้เข้าพิธีวิวาห์อันหวานชื่นกับ Sofia Palazuelo ที่ พระราชวัง Liria เมื่อปี 2018

ทั้งนี้คุณย่าของเขา ดัชเชสแห่งอัลบา มีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.2 พันล้านปอนด์ เป็นหนึ่งในขุนนางที่ร่ำรวยที่สุดของยุโรป ซึ่งเธอเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน ปี 2557 ณ พระราชวังดูเอนาส ในเซวิญ่า ประเทศสเปน

ทายาทมหาเศรษฐี

ด้านว่าที่เจ้าสาวของเขา Belén Corsini เป็นหลานสาวของ Carlos Corsini Senespleda วิศวกรและผู้ก่อตั้งบริษัท Corsan ซึ่งบริษัทแห่งนี้ถูกขายไปในราคา 3.25 พันล้านยูโรในปี 2004 ขณะที่พ่อของเธอคือ  Juan Carlos Corsini Muñoz de Rivera เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดของสเปน จากการทำฟาร์มและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ Belén เรียนจบก็ได้ทำงานเพื่อขยายธุรกิจของครอบครัวและตอนนี้ก็ได้เป็น ‘มือขวา’ ของพ่อเธอนั่นเอง


ที่มา : www.dailymail.co.uk

ราวกับเทพนิยาย พิธีเสกสมรสสมาชิก ราชวงศ์สเปน ดยุกแห่ง Huéscar และ Sofia Palazuelo

 

 

เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag

เหตุผลที่ เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag

เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag
เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag

เผยความจริงที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ เจ้าหญิงไดอาน่า และเทรนด์อันโด่งดัง Cleavage Bag ที่พระองค์จะทรงทำแบบนี้เมื่อก้าวลงจากรถเสมอ

เจ้าหญิงไดอาน่าถือเป็น “ผู้หญิงที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในโลก” พระองค์ทรงรู้วิธีโพสต์ท่าอย่างเป็นธรรมชาติและไม่มองไปที่กล้อง ซึ่งหนึ่งในคลังภาพที่มีชื่อเสียงคือการถือกระเป๋าคลัทช์ใบเล็กๆ เอาไว้และนำมาปิดระหว่างหน้าอก ขณะกำลังก้าวลงจากรถ โดยนักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลังคลัทช์เหล่านี้คือ Anya Hindmarch เธอเผยว่า “เจ้าหญิงไดอาน่าทรงเป็นลูกค้าประจำ พระองค์จะมาหาเราโดยไม่มีบอดี้การ์ดหรือความจุกจิกใดๆ”

Cleavage Bag ซึ่งเป็นคำนิยามของกระเป๋าเหล่านั้นเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าถือมันขึ้นมา ได้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจ และต่างตั้งข้อสันนิษฐานกันว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อความสุภาพเรียบร้อย แม้ฉลองพระองค์จะมีความเซ็กซี่มากหรือน้อย แต่การปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชนและต้องก้มต่ำเมื่อลงจากรถ ก็ควรเซฟตัวเองจากเหล่าปาปารัสซี่ด้วยเช่นกัน รวมถึงการเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์อังกฤษในขณะนั้น การวางพระองค์อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงเป็นสิ่งแรก

Cleavage Bag เจ้าหญิงไดอาน่า

นี่เป็นวิธีที่สาวๆ สามารถทำตามได้ หากคุณใส่ชุดที่คอกว้างและไม่มั่นใจเมื่อต้องก้มลงต่ำ ไม่ว่าจะใช้คลัทช์หรือมือปิดไว้ก็ช่วยให้ดูสุภาพขึ้น และที่เจ้าหญิงไดอาน่าทรงเลือกใช้คลัทช์นับว่าไหวพริบของพระองค์ดีเยี่ยม ทั้งยังสื่อถึงความเป็นแฟชั่นไอคอนได้อย่างชัดเจน เพราะผู้หญิงในยุคนั้นต่างตามล่าหาคลัทช์จาก Anya Hindmarch กันเป็นแถว

เหตุผลที่ เจ้าหญิงไดอาน่า ใช้กระเป๋าปิดหน้าอก จนกลายเป็นเทรนด์ Cleavage Bag

Cleavage Bag Cleavage Bag เจ้าหญิงไดอาน่า กระเป๋า Cleavage Bag เจ้าหญิงไดอาน่า กระเป๋า Cleavage Bag เจ้าหญิงไดอาน่า Cleavage Bag


ภาพและที่มา : www.goodhousekeeping.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

ควีนเอลิซาเบธ ทรงมีรับสั่งให้ ดัชเชสเคท ปรับการแต่งตัว เมื่อต้องออกงาน

คุณอาจไม่เคยรู้ ราชวงศ์อังกฤษไม่สวมชุดที่ออกแบบจาก ผ้าลินิน

 

สวยจนลบภาพจำ 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว แก้หนังตาตก

สวยจนลบภาพจำ ‘อิน บูโดกัน’ หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว แก้หนังตาตก

Alternative Textaccount_circle
สวยจนลบภาพจำ 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว แก้หนังตาตก
สวยจนลบภาพจำ 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว แก้หนังตาตก

นักร้องเสียงดี “อิน บูโดกัน หรือ อิน-ณัฐรินภรณ์ ยืนยง” วัย 46 ปี ต้องขอซูฮกเลยว่าปัจจุบันดููสาวกว่าอายุจริงๆ เธอเคยสร้างความฮือฮาเมื่อปี 2019 (มีวินัยจึงสำเร็จ “อิน บูโดกัน” ขยันฟิตหุ่น 2 เดือน น้ำหนักฮวบลง 10 โล และยังสู้ต่อ) เป็นครั้งแรกที่เริ่มหันมาลดหุ่นใหม่ๆ จนดูผอมเพรียวแปลกตาไปจากภาพจำเดิมๆ ของแฟนคลับ ที่ชินตากับภาพนักร้องสาวเสียงดีลุคห้าวๆ มีรูปร่างอวบอ้วน โดยครั้งนั้นเธอสร้างปรากฏการณ์ฟิตหุ่นเพียง 2 เดือน น้ำหนักลดฮวบลงถึง 10 กิโลกรัม จากเดิมหนักถึง 74 กิโลกรัม ลดลงเหลือ 64 กิโลกรัม ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือ ลดน้ำหนักให้อยู่ที่ 55 กิโลกรัม

แม้ล่าสุดจะไม่ทราบว่าอินลดน้ำหนักได้ตัวเลขสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือเปล่านั้น แต่ที่แน่ๆ หากใครได้ติดตามอินสตาแกรม @inbudokan ของอินตลอด จะเห็นได้ว่าเธอยังคงมีรูปร่างดีต่อเนื่องตั้งแต่ครั้งที่เธอเริ่มลดน้ำหนัก เพราะเธอยังมีวินัยในการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมอาหารทานของที่มีประโยชน์

'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว

นอกจากรูปร่างจะเป๊ะปังขึ้น อีกสิ่งที่เห็นชัดขึ้นคือความสวยใสปิ๊งของใบหน้า ซึ่งอินได้เข้าคอร์สดูแลผิวพรรณตลอด ไม่ว่าจะเป็น การดริปวิตามิน ทรีทเมนต์ฟื้นฟูผิวหน้า จัดการริ้วรอย ยกกระชับเพื่อชะลอวัยเล็กน้อยในบางจุด พร้อมเพิ่มความสาวในวัย 46 ปี ด้วยการศัลยกรรม Fix คิ้ว เพื่อไม่ให้หนังตาตก และที่สำคัญนอกจากการออกกำลังกายและออกกำลังกายสม่ำเสมอ อินยังมีตัวช่วยเสริม นั่นคือการปั้นหุ่นเฟิร์มด้วยโปรแกรม Body Reshaping Program

สำหรับการศัลยกรรม Fix คิ้ว เพื่อไม่ให้หนังตาตก เป็นเทคนิค Subbrow Lift by SLC Hospital แก้หนังตาตก เพื่อให้ดวงตาดูกลมโต ชั้นตาชัดอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยเทคนิคซ่อนรอยแผลใต้ท้องคิ้ว จบปัญหาหนังตาตก ชั้นตาไม่ชัด ฟิกซ์กล้ามเนื้อตาให้กระชับขึ้น โดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากประสบการณ์

ศัลยกรรม Fix คิ้ว เหมาะสำหรับคนที่มีชั้นตาอยู่แล้ว แต่ชั้นตาหลบใน คนที่เปลือกตาบนเริ่มตก หรือคนที่เห็นชั้นตาไม่ชัด ยังไม่มีหนังตาตกหย่อนลงมามากนัก ยังไม่จำเป็นที่จะต้องตัดหนังตาออก รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาหางตาตก สามารถฟิกซ์คิ้วเพื่อยกชั้นตาให้ชัดขึ้น ดวงตาดูกลมโตเห็นลูกตาดำชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสแลดูอ่อนเยาว์ ในผู้สูงวัยที่หนังตาตก บดบังการมองเห็น จะทำให้วิสัยทัศน์การมองดีขึ้นอีกด้วย มิน่าล่ะ อิน บูโดกัน ในวัย 46 ปี ถึงยังดูสาวอยู่เลย

'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว 'อิน บูโดกัน' หุ่นใหม่สุดปัง พร้อมศัลยกรรม Fix คิ้ว


เรื่อง : Primphy_praewnista
ข้อมูลประกอบ : facebook.com/SLCclinic
ภาพ IG : inbudokan

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แผนการกินแบบ ‘Sirtfood Diet’ สูตรลดน้ำหนักที่ Adele กินควบคู่ฟิตหุ่นแล้วได้ผล

สวยฟาดคูณ100! นักแสดงเกาหลี ‘อีเซยอง’ ศัลยกรรมอัพหน้าใหม่ หลังโดนบูลลี่

สาวสวยสายเฮลตี้ ‘อาทิมา หิมะทองคำ’ เผยทริคลดน้ำหนักจากไซซ์ XL สู่ไซซ์ XS

 

Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก

แต่งตัวกระชากวัย! ส่องลุค Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก ในช่วงอายุ 72 ปี

Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก
Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก

แฟชั่นอยู่ในสายเลือด! Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก แม้จะอายุ 72 ปี แต่สามารถแต่งตัวโกงอายุให้ดูเด็กลงได้ สวยเป๊ะแบบไม่ต้องประโคมเยอะ

หากพูดถึงนักออกแบบที่โด่งดังด้านชุดแต่งงาน ชื่อของ Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก ต้องติดโผอย่างแน่นอน เพราะคนดังทั่วโลกต่างเป็นลูกค้าที่ไว้วางใจให้แบรนด์และดีไซเนอร์อย่าง Vera Wang ดูแลชุดเจ้าสาวในวันสำคัญ ไม่ว่าจะ Victoria Beckham , Jennifer Lopez , Mariah Carey,  Avril Lavigne และอีกมากมาย ทำให้เธอขึ้นแท่นเป็นเจ้าแม่แห่งวงการชุดแต่งงาน

โดยก่อนที่เธอจะเข้าวงการดีไซเนอร์เต็มตัวก็ได้เป็นบรรณาธิการให้กับนิตยสารแฟชั่นชื่อดังมานานถึง 16 ปี และที่ เวรา แวง ตัดสินใจมาออกแบบชุดแต่งงาน เพราะชุดแต่งงานที่มีอยู่ตามท้องตลาดไม่ถูกใจเธอ ในปี 1990 เวรา แวง จึงเปิดตัวชุดแต่งงานคอลเล็คชั่นแรกออกมา

Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก

เวรา แวง มีเชื้อสายจีน แต่เธอเกิดและเติบโตในอเมริกา ปัจจุบันอายุ 72 ปี บอกตัวเลขแบบนี้หลายคนคงคิดว่าอายุ 72 สำหรับดีไซเนอร์คงใกล้หมดไฟหรือกลายเป็นคุณยายมาดดุไปแล้วหรือเปล่า แต่ในทางกลับกันแบรนด์ Vera Wang ยังผงาดอยู่ในวงการชุดแต่งงาน และได้รับความนิยมอย่างเนื่อง เพราะดีไซเนอร์ Vera Wang ยังคงเป็นเสาหลักในการออกแบบเช่นเดิม รวมถึงสไตล์การแต่งตัวของดีไซเนอร์รุ่นเดอะที่ดูเด็กลงอย่างน่าทึ่ง หากบอกว่านี่คือผู้หญิงอายุ 72 ปี คงไม่มีใครอยากจะเชื่อ เพราะเธอดูอ่อนกว่าวัย 10 ถึง 20 ปีเลยทีเดียว

แต่งตัวกระชากวัย! ส่องลุค Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก ในช่วงอายุ 72 ปี

ซึ่งทริคในการแต่งตัวให้ดูเด็กแบบ Vera Wang ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่เน้นการประโคมทุกสิ่งอย่างเข้าไป แต่จะเป็นการเลือกไอเท็มชิ้นที่เข้ากันมาแมตช์ให้เหมาะกับตัวเอง เช่น เสื้อกับกางเกงยีนส์ ไอเท็มฮิตตลอดกาลที่ใครใส่ก็ช่วยลดอายุได้ หรือแม้แต่ชุดที่มีความสปอร์ตหน่อยๆ อย่างกางเกงวอร์มหรือกางเกงของแบรนด์กีฬาก็สามารถช่วยให้ลุคดูทะมัดทะแมงขึ้น

ถ้าเป็นลุคที่ต้องออกงานและมีความเป็นทางการ ก็จะเน้นสีที่มีความเรียบหรู ดีไซน์มีความเท่ดูเป็นสาวเวิร์คกิ้งวูแมน หรือไม่ก็เปลี่ยนลุคเป็นสาวเซ็กซี่ไปเลย ส่วนในวันสบายๆ จะหยิบเดรสมาใส่ก็ได้ลุคน่ารักไปอีกแบบ หรือจะเน้นเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสก็ดูเข้าท่า เรียกได้ว่าโลกของแฟชั่นไม่มีกฎเกณฑ์หรืออายุมาเป็นตัวกำหนดสไตล์จริงๆ

   

นอกจากจะแต่งตัวเก่ง รู้ว่าตัวเองเหมาะกับสไตล์ไหนแล้ว การดูแลรูปร่างก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หน้าท้องที่แบนราบ ผิวพรรณที่ยังดูผุดผ่องในช่วงอายุ 72 ปี ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้

ซึ่ง Vera Wang เน้นการออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เธอจะดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น และไม่ดื่มน้ำอัดลม ที่สำคัญเธอไม่เคยพลาดมื้ออาหาร อาหารที่กินส่วนมากจะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไก่นึ่ง , ข้าวกล้อง , สลัด หรือผลไม้ โดยในครัวมีตู้แช่ไอศกรีมและตู้เย็นเพื่อสุขภาพแยกกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้รูปร่างของเธอยังสวยและเฟิร์ม การแต่งตัวโกงอายุจึงเป๊ะไม่เปลี่ยนเช่นกัน ส่วนผิวพรรณเธอมักจะทาเบบี้ออยล์ลงบนผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหลังจากอาบน้ำ

Vera Wang ดีไซเนอร์ระดับโลก


ภาพ : IG@verawanggang

เรื่อง : ฮานะ_แพรวนิสต้า

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สวยสง่าดุจเจ้าหญิง ‘ตี๋ลี่เร่อปา’ สวมกระโปรง Poem แบบเดียวกับ ญาญ่า

สวยสะพรั่งสดใส ‘เลดี้คิตตี้’ ในทริปฮันนีมูน จัดเต็มชุดลายดอกเกือบแสน!

ทำไมต้องใส่ 2 เส้น! ความหมายของ สร้อยคอ ‘เมแกน’ ในวันเกิดครบ 40 ปี

 

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด
ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

ทรงอิทธิพลด้านแฟชั่นไปไม่น้อยกว่า ดัชเชสเคท เมื่อ ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ในพระฉายาลักษณ์ที่ถูกปล่อยออกมาในวันคล้ายวันประสูติพระชันษา 6 ปี สามารถขายหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ 

ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ทางอินสตาแกรมออฟฟิเชียล thedukeandduchess_ofcambridge ได้เผยแพร่พระฉายาลักษณ์ของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติพระชันษา 6 ปี ซึ่งพระสไตล์ที่เต็มไปด้วยความสดใสของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ถูกถ่ายโดยฝีพระหัตถ์ของดัชเชสเคท ผู้เป็นพระมารดา

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 25 ปี ขายหมดเร็วที่สุด

หลังจากพระฉายาลักษณ์นี้ถูกปล่อยออกมาไม่นาน แฟนๆ ของราชวงศ์ก็ชื่นชอบชุดเดรสลายดอกไม้กันอย่างมาก ซึ่งเป็นของนักออกแบบเสื้อผ้าเด็กคนดัง Rachel Riley ทั้งนี้ชุดเดรสลายดอกไม้มีแขนพองเล็กน้อย แต่งกระดุมหน้าสีชมพู มาในราคาเพียง 59 ปอนด์ หรือประมาณ 2,600 บาท และพิสูจน์แล้วว่าเป็นสินค้าที่ขายเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ 25 ปีของแบรนด์

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์
Rachel Riley

Rachel Riley นักออกแบบชื่อดังเผยว่า “ฉันไม่รู้ว่าเจ้าหญิงชาร์ลอตต์จะทรงสวมเดรสของฉัน มันเป็นอะไรที่ดูดี และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก ฉันไม่ได้คาดหวังเลยและตอนนั้นฉันกำลังทำสวน! ฉันเพิ่งเห็นภาพตอนเพื่อนๆ และครอบครัวเริ่มส่งข้อความมา และถามว่าชุดนั้นเป็นหนึ่งในผลงานของฉันใช่ไหม”

ซึ่งชุดเดรสลายดอกไม้แสนน่ารักนี้ได้รับความสนใจอย่างมากตั้งแต่มีการเผยแพร่ภาพ เพราะขายหมดภายใน 12 ชั่วโมง! และยังขายชุดอื่นๆ ที่มีมูลค่าเท่ารายได้ 6 เดือนในเวลาเพียง 3 วันอีกด้วย Rachel เล่าว่า “เรามีข้อความมากมายจากลูกค้าที่ถามว่าพวกเขายังสามารถสั่งซื้อได้หรือไม่ ดังนั้นเราจึงตั้งระบบพรีออเดอร์และสินค้าจะกลับมาในสต็อกในอีกไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งเป็นสินค้าที่สมาชิกราชวงศ์ใส่แล้วขายได้เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหญิงพระองค์น้อยทรงสวมฉลองพระองค์จาก Rachel Riley ย้อนกลับไปในปี 2019 เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ทรงสวมฉลองพระองค์เดรสลายดอกไม้ที่คล้ายกัน เสด็จฯ ร่วมงาน Chelsea Flower Show โดยชุดนั้นมีชื่อรุ่นว่า ‘Ditsy Floral Button Front Dress’ ราคา 65 ปอนด์ หรือประมาณ 2,900 บาท และนี่คือชุดเดรสที่มียอดขายสูงสุดเป็นอันดับสองของแบรนด์

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

ชุดวันเกิด เจ้าหญิงชาร์ลอตต์

Rachel Riley กล่าวเพิ่มเติมว่า “ฉันคาดว่าเจ้าหญิงชาร์ลอตต์จะทรงกลายเป็นไอคอนสไตล์เหมือนกับพระมารดา และฉันหวังว่าจะได้เห็นพระสไตล์ของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์พัฒนาขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ต่อไป”


ภาพ : IG@thedukeandduchess_ofcambridge , Rachel Riley

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกคุณหนูก็ใช้! กระเป๋า CHARLES & KEITH ‘คาลิสต้า คูอาการ์’ ทายาทเศรษฐีสิงคโปร์

ควีนเอลิซาเบธ ทรงมีรับสั่งให้ ดัชเชสเคท ปรับการแต่งตัว เมื่อต้องออกงาน

คุณค่าที่แม่คู่ควร! ซงฮเยคโย สวยแพงทั้งลุค ตั้งแต่ชุดยันเครื่องประดับ

 

อแมนด้า ออบดัม

ปังไม่ไหว แดมเมจแรงขั้นสุด!! อแมนด้า ออบดัม ในลุคโก้หรู เผยผิวสีแทนสวย

account_circle
อแมนด้า ออบดัม
อแมนด้า ออบดัม

ปังไม่ไหวอะแม่ๆ ปั๊วะขั้นสุด นับวันยิ่งฉายแสงว่าที่ มิสยูนิเวิร์สคนที่ 3 ของประเทศไทยสำหรับ อแมนด้า ออบดัม เพราะไม่ว่าเธอจะมาไหนลุคไหนก็เอาอยู่หมด ทุกลุคบ่งบอกความเป็นตัวด้าได้ดีที่สุด โดยไม่ต้องพยายาม

ปังไม่ไหว แดมเมจแรงขั้นสุด!! อแมนด้า ออบดัม ในลุคโก้หรู เผยผิวสีแทนสวย

อแมนด้า ออบดัม

​หลังจากปล่อยแฟชั่นลุคสุดเริ่ดมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่เริ่มเก็บตัวในการประกวด “มิสยูนิเวิร์ส ครั้งที่ 69” (Miss Universe 2020) ที่โรงแรมฮาร์ดร็อกไลฟ์ ภายในเซมิโนลฮาร์ดร็อกโฮเท็ลแอนด์คาสิโน ฮอลลีวูดฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา อแมนด้า – ชาลิสา ออบดัม ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ซึ่งแต่ละลุคนั้นสาวอแมนด้าจัดหนักจัดเต็มสวยเจิดทุกลุค

อแมนด้า ออบดัม

​สำหรับลุคล่าสุด สาวอแมนด้า ได้แมทช์ ชุดว่ายน้ำวันพีชสายคล้องคอ สีดำสุดร้องแรง เผยความเซ็กซี่ด้วยคอวีแหวกลึก ประดับเลื่อมสีทองสุดหรูสั่งทำพิเศษจากอิตาลีของแบรนด์ AB. Angelys Balek Fall/Winter 2020 collection มาสวมใส่เป็นบอดี้สูท มิกซ์แอนด์แมทช์กับชุดสูทสีดำดีไซน์โก้จากแบรนด์ Milin คอมพรีทลุคด้วยต่างหูห่วงกลม และ mini bag จาก Prada เรียกว่าเป็นลุคที่ สวย โก้ หรู แซ่บ ครบรสในลุคเดียว

อยากได้ลุคเก๋ๆ แบบสาวอแมนด้าไม่อยากเพียงแมทช์ชุดว่ายน้ำกับแฟชั่นอื่นๆ ก็จะได้ลุคสุดเริ่ดฉีกกฎแฟชั่นแบบเดิมๆ และสามารถไปตามติดแฟชั่นสวยๆ ได้ที่ Instagram: @angelysbalek, @angelysbalekth และ https://www.angelysbalekshop.com/ หรือ ชั้น G ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอร์รี่


ภาพ : Miss Universe Thailand, @nicky_phimtacha, @amanda.obdam

สวยสับฉบับตัวแม่! ชุดโพเอม ‘อแมนด้า’ สีขาวโชว์เอวเอส เช็คอินฮอลลีวู้ด

อแมนด้า สวยสง่าใน “ชุดไทยจิตรลดาประยุกต์” สมตำแหน่งว่าที่นางงามจักรวาลคนที่ 3

BeNice

บีไนซ์ ส่งเจลอาบน้ำใหม่ “พีชเลิฟซีรีส์” ผสานคุณค่าจากธรรมชาติ รวมกับนวัตกรรมใหม่เพื่อผิวสวยแบบสัมผัสได้

BeNice
BeNice

บีไนซ์ ส่งเจลอาบน้ำใหม่ “พีชเลิฟซีรีส์” ผสานคุณค่าจากธรรมชาติ รวมกับนวัตกรรมใหม่เพื่อผิวสวยแบบสัมผัสได้ ผลลัพท์ของผิวสวยออร่า เด้งกระชับ กระจ่างใส  พร้อม 3 กลิ่นหอมที่ “เบลล่า” คัดสรรเพื่อคนรักผิวตัวจริง

ซัมเมอร์นี้ต่อให้แดดแรงแผดเผาขนาดไหน แต่ผิวของเราต้องสวยใสกว่าใคร บีไนซ์ (BeNice) ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวกาย หนึ่งในแบรนด์สินค้าในเครือบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด บริษัทชั้นนำด้านสินค้าอุปโภคสัญชาติไทย ชวนสาว ๆ มาปรนนิบัติผิวให้เนียนนุ่ม ฉ่ำน้ำวิ้งออร่า ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงอาบน้ำด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “พีชเลิฟซีรีส์”  ที่นอกจากจะเป็นการพัฒนาแนวกลิ่นร่วมกันระหว่างบีไนซ์ และพรีเซนเตอร์สาว “เบลล่า” ราณี แคมเปน แล้ว ยังอัพเลเวลขึ้นอีกขั้น ด้วยสูตรเด็ดจากสารสกัดจากธรรมชาติผสานเข้ากับนวัตกรรมใหม่ เพื่อผิวใสเปล่งประกายออร่า เด้งกระชับแบบฉบับสาวบีไนซ์ รวมถึงออกแบบแพ็กเกจจิ้งใหม่ ที่มาพร้อมสีสันสุดละมุนสะดุดตากว่าใคร

เท่านั้นยังไม่พอ! แบรนด์บีไนซ์ยังครองแชมป์ในเรื่องของความหอม และคุณสมบัติช่วยให้ผิวเด้งกระชับมาอย่างยาวนาน รวมทั้งมีสารสกัดเด่น ๆ อย่างฟรุตเอสเซนส์ ที่ทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ในใจของใครหลายคน และบีไนซ์ ก็ยังคงพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ เพื่อเฟ้นหาสารสกัดที่ดีต่อผิว ตลอดจนคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง

“พีชเลิฟซีรีส์”  ผลิตภัณฑ์อาบน้ำใหม่ล่าสุด ที่จะมอบผิวสวยเด้งกระชับ เพิ่มดีกรีความฮอตในหน้าร้อนนี้ ด้วยส่วนผสมใหม่ที่เป็นเคล็ดลับพิเศษสุดจากบีไนซ์ อย่างนวัตกรรมคอลลาเจน 9 คอมเพล็กซ์ การรวมตัวกันของคอลลาเจนที่มีประโยชน์ต่อผิวถึง 9 ชนิด ในโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยบำรุงผิวลึกล้ำขณะอาบน้ำ ให้ผิวเนียนนุ่มเด้ง ไม่แห้งตึงหลังการอาบน้ำ ทั้งยังมีส่วนผสมของสารสกัดจากพีชที่มีวิตามินซีสูง ช่วยเผยผิวกระจ่างใส ลดความหมองคล้ำ มาพร้อมแพ็กเกจจิ้งใหม่ ดีไซน์สวยน่ารัก โดดเด่นด้วยขวดใสสีหวานละมุน

สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพร้อมบำรุงผิวสูตรใหม่จาก “พีชเลิฟซีรีส์” ถือเป็นอีกก้าวของบีไนซ์สู่ความเป็นสกินแคร์แบรนด์อย่างเต็มตัว ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าให้เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด แต่สามารถบำรุงและตอบโจทย์ความต้องการของผิวได้จริง เพื่อผิวสวยขึ้นจนสัมผัสได้ เห็นได้จากความสำเร็จของ “พีชเลิฟซีรีส์” ที่สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสินค้าขายดีในกลุ่มพรีเมียมแมสในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งยังได้การตอบรับที่ดีมากจากผู้ใช้จริง จนกลายเป็นกระแสติดเทรนด์ของดีบอกต่อในทวิตเตอร์เลยทีเดียว

“พีชเลิฟซีรีส์” โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมละมุนน่ารักของพีชที่ผสมผสานกับดอกไม้ได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งคุณประโยชน์จากสารสกัดธรรมชาติทั้งจากพีชและดอกไม้อีก 3 ชนิด ที่มีคุณสมบัติในการดูแลผิวพรรณที่มีความต่างกัน รวมกับนวัตกรรมคอลลาเจนเปปไทด์ ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นผิว พร้อมเผยผิวใสออร่า เด้งกระชับ มีให้เลือก 3 กลิ่นหอม ขนาด 450 มล. ราคา 139 บาท และขนาดเล็ก 200 มล. ราคา 65 บาท มีจำหน่ายที่   7-Eleven ได้แก่

BeNice

  • บีไนซ์พีชเลิฟโรซี่ แนวกลิ่นหอมของพีชกับดอกกุหลาบบัลแกเรีย ที่มีความหรูหราหอมแพงที่สุด เป็นกลิ่นกุหลาบที่ทันสมัย ทั้งหอมทั้งละมุนผิว ดีต่อใจ แถมเพิ่มความนวลเนียนให้ผิวกระจ่างใสเปล่งประกาย
  • บีไนซ์พีชเลิฟพีโอนี่ แนวกลิ่นหอมของพีชกับดอกพีโอนี ยืนหนึ่งเรื่องความหอมลูกคุณหนูถึงขนาดฮอตฮิตติดเทรนด์เป็นกระแสไวรัลมาแล้ว ใครได้ลองเป็นต้องเลิฟกับแนวกลิ่นน่ารักละมุนละไม และความหอมระดับน้ำหอมเคาน์เตอร์แบรนด์ พร้อมสารสกัดจากดอกพีโอนี ช่วยบำรุงผิวให้นุ่ม ฉ่ำน้ำ  แวววาว แลดูสุขภาพดีอีกด้วย
  • บีไนซ์พีชเลิฟซากุระ เป็นกลิ่นที่สาวกพีชจ๋า ๆ จะต้องคลั่งไคล้สุด ๆ เมื่อความหอมของกลิ่นพีชผสมผสานเข้ากับกลิ่นดอกซากุระ ความลงตัวที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปยืนสวย ๆ อยู่กลางสวนพีชที่ญี่ปุ่นก็ว่าได้ ความหอมฉ่ำชื่นใจที่มาพร้อมสารสกัดจากดอกซากุระ ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม แลดูอ่อนเยาว์

เพิ่มสัมผัสผิวฉ่ำน้ำ เด้งกระชับ กระจ่างใส ด้วยผลิตภัณฑ์อาบน้ำใหม่ล่าสุด  พีชเลิฟซีรีส์ ได้แล้ววันนี้ที่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าทั่วประเทศใกล้บ้าน และติดตามกิจกรรมเพื่อผิวสวยสัมผัสได้ทาง www.facebook.com/BeNiceThailand

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

Life Mission ล้ม-ลุก-เรียนรู้ วิถีผู้กล้าของ ‘ดร.สันติธาร เสถียรไทย’

Alternative Textaccount_circle
ดร.สันติธาร เสถียรไทย
ดร.สันติธาร เสถียรไทย

“ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน” ประโยคสุดคลาสสิกที่แม้ได้ยินมาตลอด แต่ก็ยังทำให้หลายคนหวั่นใจ เพราะลึกๆ แล้ว มนุษย์ล้วนกลัวการเปลี่ยนแปลง หรือการออกจากคอมฟอร์ตโซนที่ตัวเองไม่รู้จัก ไม่มั่นใจ

แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ ‘ต้นสน-ดร. สันติธาร เสถียรไทย’ ประธานนักเศรษฐศาสตร์และกรรมการผู้จัดการ (Group Chief Economist) ของ Sea Limited บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของอาเซียน ที่ให้บริการเกม RoV, แพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์สอย่าง Shopee และ AirPay ที่ข้ามสายงานมาจากการเป็นผู้บริหารสูงสุดทีมเศรษฐกิจเอเชียดูแล 10 เศรษฐกิจในภูมิภาคของธนาคารเครดิตสวิส แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จู่ๆ นักเศรษฐศาสตร์การเงินจะก้าวเข้ามาทำงานในวงการเทคโนโลยี แต่ดร. ต้นสนยืนยันว่า ไม่ยากเกินพยายาม ขอแค่กล้าที่จะเปลี่ยนและเรียนรู้ เพราะมันเป็นทักษะแห่งการเอาตัวรอดในอนาคต

และนี่คือเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตของ ดร. ต้นสน ลูกชายของดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย และ ดร.ท่านผู้หญิงสุธาวัลย์ (ลดาวัลย์ ณ อยุธยา) ที่จะทำให้คุณสนุกไปกับการเปลี่ยนแปลงและอาจมองความไม่แน่นอนในแง่มุมที่เปลี่ยนไป

Life Mission ล้ม-ลุก-เรียนรู้ วิถีผู้กล้าของ ‘ดร.สันติธาร เสถียรไทย’

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

ชีวิตในวัยเด็กของดร. ต้นสน เป็นอย่างไรคะ

“ผมเกิดที่เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะคุณพ่อเรียนอยู่ที่นั่นครับ พอ 3 ขวบ จึงย้ายกลับมาเมืองไทย สมัยเด็กผมอยู่กับคุณปู่คุณย่าเยอะ เพราะคุณพ่อคุณแม่งานยุ่ง  ซึ่งการที่เกิดมาใต้เงาของคุณพ่อคุณแม่ที่เก่งมากๆ ก็มีความกดดันจากภายนอกพอสมควรนะครับ แต่โชคดีที่ท่านไม่ค่อยกดดันให้ผมต้องเรียนดี หรือต้องเป็นอะไรมากมาย เพราะท่านเข้าใจว่า ผมคงกดดันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณปู่คุณย่าและคุณพ่อผมให้ความสำคัญมาก คือการกตัญญูและการไม่ลืมตัว ทำให้เราไม่หลงตัวเองเกินไป ส่วนคุณแม่จะเน้นสอนให้ผมอดทน ไม่ยอมแพ้ ปกติคุณแม่จะใจดี แต่ถ้าเมื่อไรที่ผมทำท่าจะเลิกทำอะไรสักอย่าง คุณแม่จะทำเป็นเรื่องใหญ่ ท่านพูดเสมอว่า อย่าเป็นคนใจไม่สู้ อย่างตอนเรียนจบจากอังกฤษแล้วกลับมาบวชอยู่ที่วัดป่าในหนองคาย ซึ่งโหดเหมือนกัน ช่วงแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าจะไหวไหม แต่คุณแม่บอกว่า ต้องไหวนะ ต้องสู้ อย่ายอมแพ้ นี่น่าจะมีส่วนทำให้ผมเป็นนักสู้อยู่พอสมควร”

ชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนไหนคะ

“หลังจบ ม. 2 ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ผมต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนบางกอกพัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนอินเตอร์ กลายเป็นคัลเจอร์ช็อค ทั้งภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยได้ เพื่อนฝูงก็ต่าง รวมถึงวัฒนธรรมของโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกันคนละอย่าง อะไรที่เคยเก่งจากโรงเรียนเก่า พอมาที่ใหม่ต้องเริ่มใหม่หมด จึงอยู่ที่โหล่รั้งท้ายทั้งเรื่องเรียนและกีฬา จนอาจารย์ถึงกับขอว่า ผลการเรียนไปให้ถึงเกรด C บ้างได้ไหม แล้วตอนนั้นผมอยากเรียนที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) ที่ดังด้านเศรษฐศาสตร์มากๆ อาจารย์บอกว่าอย่าหวังเลย ไกลเกินไป เลือกมหาวิทยาลัยที่พอเข้าได้ดีกว่า แต่พอผ่านไปสองปี ผมเริ่มปรับตัวได้ ผลการเรียนออกมาดีขึ้น ปรากฏต้องย้ายโรงเรียนอีก

คราวนี้ย้ายไปไหนคะ

“ไปเรียนโรงเรียนประจำที่อังกฤษครับ สมัยนั้นทั้งโรงเรียนมีเด็กเอเชียไม่ถึง 10 คน คราวนี้ยิ่งต้องเปลี่ยนตัวเองหนักเลย (หัวเราะ) ไหนจะสังคมอังกฤษที่ตอนนั้นยังมีการเหยียดผิวนิดๆ บูลลี่หน่อยๆ ผมจึงต้องเล่นกีฬาให้เก่ง เพราะฝรั่งให้ความสำคัญกับกีฬามาก ผมเล่นบาสเก็ตบอลจนได้เป็นรองกัปตันทีม และเรียนเทควันโด้ ส่วนสภาพจิตใจช่วงแรกก็แย่ คิดถึงบ้านและเพื่อนๆ มาก ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น แม้จะเรียนอินเตอร์มาก็ตาม คือหลายอย่างประดังประเดมาก ช่วงแรกการเรียนจึงค่อนข้างแย่ ผมต้องพยายามหนักกว่าคนอื่น จนเริ่มมีเกรด A โผล่มาบ้าง และสุดท้ายก็ได้ A หมดทุกวิชา ช่วงว่างมีเล่นดนตรี กีต้าร์คลาสสิกกับร็อคแก้เหงาแก้เบื่อได้ เพราะโรงเรียนไม่ได้อยู่ในเมือง ก็ต้องหากิจกรรมทำ

ดร. คิดว่าการเปลี่ยนโรงเรียนบ่อย ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันอย่างไรคะ

“ผมคิดว่า ทำให้ผมรู้จักทั้งการเป็นผู้แพ้และผู้ชนะ คือเราอาจเคยเป็นคนเก่งในสังคมหนึ่ง แต่พอสังคมเปลี่ยน จากคนที่เคยขึ้นชื่อว่าเก่ง อาจกลายเป็นที่โหล่รั้งท้ายในอีกสังคมหนึ่ง แล้วจากผู้แพ้ เราก็สามารถไต่กลับมาเป็นผู้ชนะได้เช่นกันถ้าพยายาม มันทำให้ผมเห็นสัจธรรมเรื่องความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันก็ฝึกให้ใจสู้ หนังหนากับความล้มเหลวและอดทนต่อการดูถูก ซึ่งผมก็ได้มาช่วงเรียนไฮสคูลนี่แหละ คือพอรู้สึกว่าเป็นเอเชียนและคนไทยแค่ไม่กี่คน เราก็ไม่อยากแพ้ให้เสียชื่อประเทศ คือคิดเอาเองน่ะ ถ้าเก่งสู้เขาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องพากเพียร กัดฟันสู้ทุกทาง ไม่ให้แพ้ใคร เรียนต้องดี กีฬาต้องเด่น ดนตรีต้องเก่ง เพื่อนต้องยอมรับ เราต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง เอาตัวให้รอด

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

แล้วอะไรที่ทำให้เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งสนใจด้านเศรษฐศาสตร์ จนถึงกับอยากเรียนต่อด้านนี้คะ

“ตอนที่ผมเรียน ม. ปลายอยู่ที่อังกฤษ เป็นช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ผมเห็นเหตุการณ์หลายอย่างที่พลิกชีวิตคนไปเลย เช่น พ่อของเพื่อนที่ประสบความสำเร็จอยู่ดีๆ ก็มีหนี้สินล้นตัว บางคนล้มละลาย เดือดร้อนกันไปหมด เพื่อนหลายคนต้องกลับเมืองไทย เพราะที่บ้านส่งเรียนต่อไม่ได้แล้ว ส่วนประเทศไทยเองจากที่คนมองว่าจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย ก็กลายเป็นศูนย์กลางของปัญหา ทำให้ผมสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอยากลองเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ เผื่อจะเข้าใจและหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก จึงเลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่สมัยม. ปลาย พอเรียนแล้วชอบจึงตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัย LSE เพื่อเรียนสาขานี้ต่อ

การเรียนที่มหาวิทยาลัยระดับโลกด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นอย่างไรคะ

“ผิดหวังนิดหน่อย เพราะเรียนเลขเยอะ ต้องแก้สูตรสมการ เจอตัวอักษรกรีกอะไรไม่รู้เต็มไปหมด คือผมทำได้นะ แต่ไม่ชอบ จึงเรียนจบมาแบบไม่ได้คำตอบเรื่องวิกฤติต้มยำกุ้งที่สงสัยเท่าไร มัวแต่ไปทำเลขซะเยอะ (หัวเราะ) ผมเลือกต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง เพราะรู้แล้วว่าไม่รุ่งด้านการเงินและตัวเลข ส่วนเศรษฐศาสตร์การเมืองเรียนเพื่อดูว่า การเมืองมีผลต่อการขยับนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อจะได้วางนโยบายทางการเมืองให้ได้ตามหลักเศรษฐศาสตร์

“แต่พอกลับมาเมืองไทย ก็มาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่กระทรวงการคลัง อยู่ในหน่วยพิเศษที่ชื่อว่า สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ทำงานคล้ายกับเป็นที่ปรึกษา ทำโปรเจ็คต์ให้กับหลายส่วนของรัฐ ทั้งกระทรวงคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร ฯลฯ ที่ย้อนแย้งคือ ทุกโปรเจ็คท์เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบการเงิน (Finance) หมดเลย ทำให้จากที่ผมคิดว่าตัวเองไม่ถนัดด้านการเงินมาตลอด กลายเป็นสนุกขึ้นมาได้ เพราะเป็นการแก้ปัญหาเชิงนโยบายการเงินจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากหาคำตอบมาตลอด อย่างเรื่องมาตรการลดความเสี่ยงการเกิดวิกฤติที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในเอเชียไปจนถึงอเมริกา ช่วงนั้นไทยกำลังเจรจาเรื่องการเปิดเสรีการเงินกับ FTA – Free Trade Area (เขตการค้าเสรี) และอเมริกาด้วย ผมก็ต้องเข้าไปดูว่ามีประเด็นอะไรบ้างที่ทำให้อเมริกาอยากจะมาเปิดกับเรา ผมจึงได้ทำงานหลายอย่างที่ทำให้เข้าใจภาคการเงินมากขึ้น

ทำอยู่นานไหมคะ

“ทำได้สองปีก็ลาออกไปเรียนต่อครับ ความจริงก่อนมาทำงานที่กระทรวงการคลัง ผมสมัครเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไว้ แต่ไม่ได้ จึงมาทำงานก่อน ระหว่างนั้นก็ลองสมัครเรียนไปหลายที่ มีบางที่ตอบรับมาบ้าง แต่ยังไม่ตรงใจเสียทีเดียว แล้วเป็นจังหวะที่ผมกำลังสนุกกับงานอยู่จึงทำไปก่อน ปรากฏว่าวันหนึ่งฮาร์วาร์ดตอบรับมา แต่เป็นการเรียนปริญญาโท ผมจบจากอังกฤษ คิดว่าเรียนโทอีกใบที่อเมริกาก็ได้เพราะระบบไม่เหมือนกัน ประกอบกับเป็นฮาร์วาร์ดที่อยากเข้ามาแต่แรกและเคยผิดหวังมาแล้ว จึงตัดสินใจไป กับลึกๆ แล้วผมว่า ผมคงอยากไปเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับที่คุณพ่อเคยจบปริญญาเอก ยังมีรูปที่คุณพ่อใส่ชุดครุยอุ้มผมอยู่เลย (ยิ้ม)

ประสบการณ์การเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่างฮาร์วาร์ด เป็นอย่างไรบ้างคะ

“ความจริงก่อนไปเรียน มีคนเตือนผมเยอะว่า การแข่งขันสูงมากนะ ผู้คนก็หยิ่ง อาจารย์ก็ไม่ให้เวลา หลายคนไปเรียนแล้วไม่ชอบเลย ผมจึงเผื่อใจไว้เยอะ แต่พอได้เรียนจริงๆ แล้วกลายเป็นคลิกมาก ผมเรียนด้านรัฐประศาสนศาสตร์ด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากเรียนจริงๆ คือเน้นโจทย์เรื่องการพัฒนาประเทศเลยว่า เราจะช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร มีนักเรียนมาจากหลายประเทศทั่วโลก ได้เจอเพื่อนดีๆ เยอะเลย จากเดิมที่ผมเคยเรียนกลางๆ สมัยอยู่อังกฤษ แต่พอมาเรียนที่นี่กลายเป็นผมเก่งมากขึ้นมาเลย อาจเพราะมีประสบการณ์การทำงานมาบ้างแล้ว พอเราแฮปปี้ การเรียนจึงดีไปด้วย

“ผมว่าข้อดีของตอนที่ผมอยู่ฮาร์วาร์ด อย่างแรกเลยคือเพื่อน ผมกล้าพูดว่าผมได้เรียนรู้จากเพื่อนไม่แพ้การเรียนรู้จากอาจารย์ คือที่นั่นเน้นทำงานเป็นกลุ่ม แล้วเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ผมอยู่ หลายคนเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาในบริษัทใหญ่ๆ ระดับโลก มีผมคนเดียวที่เป็นที่ปรึกษาในภาครัฐ ผมจึงมีมุมมองไม่เหมือนคนอื่น เราจึงสนุกที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน แล้วเพื่อนก็สอนผมเยอะ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานอย่างการใช้โปรแกรม Excel อย่างไรให้ดี ไปจนถึงเรื่องแนวความคิดและการใช้ชีวิต เพื่อนคนหนึ่งเรียนโทมาด้วยกัน แล้วยังมาต่อปริญญาเอกด้วยกัน เขาคอยแนะนำตลอดว่าควรทำวิทยานิพนธ์หัวข้ออะไร ไปจนถึงเวลาทำงานว่าถ้ามีปัญหากับเจ้านายควรทำอย่างไร เรียกว่าช่วยชีวิตผมเหมือนพี่น้องเลย ปัจจุบันเขาเป็นรัฐมนตรีคลังของประเทศจอร์แดน

“อย่างที่สองคือ แม้เพื่อนจะดี การแข่งขันที่ฮาร์วาร์ดก็สูงจริง แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่า คนเราสามารถร่วมมือกันและแข่งกันไปด้วยได้ การแข่งกันไม่ได้แปลว่า ต้องเกลียดกัน เราช่วยเหลือกันได้ แต่ต้องหาจุดแตกต่างของตัวเองให้เจอด้วย

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

คิดว่าอะไรคือจุดเด่นที่ทำให้ ดร. ได้เข้าเรียนต่อปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดคะ

“ผมว่าจุดแข็งของผมคือ mindset แบบผู้ท้าชิง ซึ่งผมได้มาตั้งแต่สมัยเปลี่ยนโรงเรียนบ่อยๆ ในวัยเด็ก ทำให้ไม่ค่อยกลัวความล้มเหลว กล้าลอง กล้าเสี่ยง แล้วผมก็เชื่อในคำพูดที่ว่า Luck is when opportunities meet preparation คือความโชคดี เกิดขึ้นเมื่อโอกาสมาเจอกับการเตรียมพร้อม แปลว่า เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ ช่วงตอนเรียนปริญญาโท ผมทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยในการวิจัยของอาจารย์หลายๆ ท่านไปด้วย เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จากอาจารย์แต่ละท่าน

“ครั้งสำคัญที่สุดคือ ผมมีโอกาสได้เป็นผู้ช่วยวิจัยของอาจารย์ โจเซฟ สติกลิทซ์ (Joseph Stiglitz) ศาสตราจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ที่ได้รางวัลโนเบล ผู้เขียนตำราเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียน และเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่คอยช่วยประเทศกำลังพัฒนาด้วย ตอนแรกผมตื่นเต้นมากที่ได้เป็นผู้ช่วยท่าน แต่พอได้ทำงานจริง กลายเป็นว่าท่านยุ่งมากจนไม่ได้เจอกันเลย โดยท่านมอบหมายงานชิ้นหนึ่งไว้ให้ เล่าคร่าวๆ ว่า เป็นการใช้วิธีทางเศรษฐมิติแล้วนำมาทดสอบทฤษฎีนโยบายทางการเงินของท่านชุดหนึ่งกับข้อมูลจริง ซึ่งระหว่างทำงานชิ้นนั้น ผมเกิดคำถามมากมายว่า เรามาถูกทางหรือเปล่า จะปรึกษาท่านก็ไม่ได้เพราะท่านยุ่งมาก

“เพื่อนๆ บอกว่า ทำเท่าที่อาจารย์สั่งมาก็พอแล้ว ถ้าไปทำอะไรเพิ่มโดยอาจารย์ไม่ได้สั่ง จะกลายเป็นนอกลู่นอกทาง รอพบอาจารย์แล้วค่อยทำเพิ่มก็ได้ แต่ผมคิดแล้วไม่สบายใจ พอทำงานที่อาจารย์สั่งไว้เสร็จ จึงตั้งอีกโปรเจ็ทค์ขึ้นมาเอง เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลนอกเหนือจากที่อาจารย์มอบหมาย ต้องศึกษาหาข้อมูลหนักมาก เพราะหลายเรื่องผมไม่คุ้นเคย ลองผิดลองถูกเอาเอง ไม่ก็ไปขอความรู้จากอาจารย์ดังๆ ในมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายท่าน ผมทำไปโดยไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่อยากลองทำดูก่อน

ผลเป็นอย่างไรคะ 

“พอใกล้ถึงวันเดตไลน์ที่ต้องจบการทำงาน บังเอิญอาจารย์สติกลิทซ์ว่างจึงนัดผมไปพบที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ผมเครียดมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน รีบมาที่ร้านแต่เช้า ยังหยิบเกลือใส่กาแฟแทนน้ำตาล (หัวเราะ) เลยต้องพรีเซนต์งานให้อาจารย์ฟังโดยไม่ได้ดื่มกาแฟ ซึ่งผลก็คือ งานที่สั่งให้ผมทำไว้ไม่ได้ออกมาดีอย่างที่คิด ท่านฟังแล้วก็เฉยๆ ตอนนั้นผมรู้สึกเลยว่า หมดแล้วชีวิต อุตส่าห์ทำแทบตาย กระทั่งอาจารย์ถามกลับมาว่า “มีอะไรอีกไหมที่ไปลองทำมา”

“ผมจึงหยิบแฟ้มอีกโปรเจ็คท์ที่ลองทำไว้ขึ้นมาเปิด ปรากฏว่าท่านชอบมาก บอกว่าที่ยูคิดมาดีกว่าที่สั่งไว้อีก และนั่นทำให้สิ่งที่อยู่ในแฟ้มนั้นกลายมาเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของผม ในหัวข้อการเปิดเสรีทางการเงินจะช่วยให้ระบบธนาคารเรามั่นคงขึ้น หรือเปราะบางลง และวิทยานิพนธ์ชิ้นนั้นก็ได้รับรางวัลชนะเลิศวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยมของคณะที่ผมเรียนในฮาร์วาร์ด (Harvard Kennedy School) แล้วผมก็ใช้หัวข้อวิทยานิพนธ์นี้ในการสมัครปริญญาเอกต่อเลย กลายเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เรียนปริญญาเอกที่ Kennedy School ของฮาร์วาร์ดพร้อมกับได้ทุนเต็มอีก 2 ทุน จากมหาวิทยาลัย เรียกว่างานชิ้นเดียวได้ใช้ยาวเลย ตั้งแต่ปริญญาโทไปจนถึงปริญญาเอก คุ้มมาก (ยิ้ม)

“สุดท้ายผมก็คว้าปริญญาเอกด้านนโยบายเศรษฐกิจมาได้ จำได้ว่าวันรับปริญญา คุณพ่อใส่ครุยที่เคยได้รับปริญญาเอกเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว มาถ่ายรูปคู่กับผมที่ใส่ชุดครุยของฮาร์วาร์ดเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ผมภูมิใจมากมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ (ยิ้ม) เรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักว่า แม้หลายครั้งสิ่งที่เราพยายามทำไปจะดูเหมือนเหนื่อยเปล่าและใช้เวลายาวนาน แต่ในวันที่โอกาสมาถึง สิ่งที่เราทำไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทักษะ ความพยายาม ความอดทน การไม่ยอมแพ้ ทุกอย่างจะมารวมกัน ขึ้นอยู่กับว่าวันที่โอกาสเข้ามา เราพร้อมหรือเปล่า ถ้าเราพร้อม ความโชคดีก็จะเกิดขึ้น

เส้นทางการทำงานหลังเรียนจบปริญญาเอกจากรั้วฮาร์วาร์ดสดใสไหมคะ  

“ในกรณีผมคือตรงกันข้ามเลยครับ ผมคิดว่าบางครั้งพอเราเริ่มสมหวังหลายเรื่องติดๆ กัน ไม่เจอความล้มเหลว เราจะเริ่มยึดติดอยู่กับชัยชนะ และ comfort zone ของตัวเอง ตอนสมัครงานก็ไม่ตั้งใจ 100% สมัครไปหลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนเรียกไปสัมภาษณ์เลย ส่วนหนึ่งเพราะผมไม่ได้สมัครทำงานที่องค์กรระหว่างประเทศอย่างที่คนจบปริญญาเอกส่วนใหญ่ชอบทำกัน แต่ผมเลือกงานภาคการเงินของเอกชน แบงค์ต่างชาติ ที่เขาไม่ได้ให้น้ำหนักกับปริญญาเอกที่จบมามากนัก

“การถูกปฏิเสธ จึงเหมือนการปลุกให้ผมตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงว่า ไม่ใช่ว่าจบจากฮาร์วาร์ดแล้วทุกอย่างจะสวยงามอย่างที่ใครพูดกัน พอตั้งสติได้ ผมก็รีบกลับไปเป็นผู้ท้าชิงคนเก่า คราวนี้ผมตั้งเป้าเลยว่า ผมจะสมัครไปทุกที่ที่ผมสนใจโดยไม่แคร์ว่าจะโดนปฏิเสธ จำได้ว่าสมัครไป 30 กว่าที่ ถูกปฏิเสธอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ผมไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาสมัครไป ทำให้การถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมดา ทำไปจนหน้าด้านหน้าชา ไม่เขิน ไม่อาย ไม่เสียเซลฟ์อะไรทั้งนั้น

“กระทั่งธนาคารเครดิตสวิส ที่สิงคโปร์ เรียกผมไปสัมภาษณ์ แล้วก็หายไป ซึ่งแปลว่าไม่ได้งาน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นอยู่ในโหมดหน้าด้านเต็มที่ (หัวเราะ) ผมจึงเขียนอีเมลไปหาคนที่สัมภาษณ์ผมว่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ แต่ช่วยตอบหน่อยว่าผลเป็นอย่างไร กลายเป็นเขาตอบกลับมาว่า ยูผ่านเข้าสัมภาษณ์รอบต่อไปนะ แต่เขาย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว เหมือนมีความผิดพลาดในการส่งต่อเรื่องของผมให้คนที่ทำต่อ เขาจึงช่วยประสานต่อให้จนมีการเรียกให้ผมไปสัมภาษณ์อีก 4 ครั้ง ในที่สุดก็ได้งานที่ธนาคารเครดิตสวิส

ทำงานที่ธนาคารเครดิตสวิส มีความท้าทายอะไรรออยู่บ้างคะ

“ผมเริ่มต้นจากการเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับจูเนียร์ ดูแลเศรษฐกิจไทยกับเวียดนาม จากนั้นผมก็ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็น Chief Economist ผู้บริหารทีมที่ดูทั้งอาเซียน อินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวันและฮ่องกง ช่วงแรกของการทำงานที่นี่ ความท้าทายอยู่ที่เป็นการเปลี่ยนสายอาชีพของผม จากเดิมที่เคยทำงานภาครัฐ พอย้ายมาทำการเงินภาคเอกชนซึ่งต้องใช้ความเร็ว ประกอบกับภาคการเงินระหว่างประเทศจากแตกต่างจากไทยตรงที่มีการแข่งขันแก่งแย่งกันสูง เรียกว่าโหดพอสมควร ต้องปรับตัวเยอะ แต่ผมก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเหมือนกัน

“อย่างช่วงแรก ผมมีปัญหาเรื่องการนำเสนอ อาจเพราะผมติดอยู่กับวิชาการและตำรามากไป ทำให้ต้องกลับมาคิดว่า ทำอย่างไรให้คนฟังเรา ต้องขายไอเดียให้ได้ ทำอย่างไรจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ค่อยๆ ปรับไปจนดีขึ้น ถัดมาคือ การวิเคราะห์และทำนายเศรษฐกิจและตลาดการเงินว่าจะไปทิศทางไหน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่มาคู่กับการพยากรณ์คือความผิดพลาด ผมเองก็เคยพลาด คือในวงการจะล้อกันว่า นักเศรษฐศาสตร์พยากรณ์ทำให้นักพยากรณ์อากาศดูดีไปเลย (หัวเราะ) เพราะเราผิดกันเป็นประจำ ขนาดตัวเลข GDP ในอดีตยังผิดเลย จะเอาอะไรกับการพยากรณ์อนาคต แต่ผิดแล้วทำอย่างไรให้ลุกขึ้นมาใหม่ได้ ก็คือต้องไม่ยึดติดกับสิ่งที่ผิด อย่าดื้อ ต้องรับฟังคนอื่นแล้วเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนให้เร็ว จะได้ข้ามมาฝั่งที่ถูกได้เร็วขึ้น

“แล้วด้วยความที่ หน้าที่ผมในการทำงานตลอดเกือบ 10 ปีคือการมองเทรนด์ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร อะไรจะมา อะไรจะไป จะเก็บข้อมูลแบบไหน ทำให้ผมรู้จักมองต่าง หลายครั้งที่ผมมองเป็นคนละโลกกับคนอื่นเลย อย่างครั้งหนึ่งผมแข่งกับนักเศรษฐศาสตร์ระดับท็อปของอินโดนีเซีย ในการทำนายเศรษฐกิจของประเทศเขา ซึ่งความจริง ผมไม่มีทางรู้จักเศรษฐกิจของอินโดนีเซียดีไปกว่าคนประเทศเขาหรอก แต่เพราะมองจากภายนอก ทำให้ผมมีความเห็นแตกต่างและเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ประกอบกับผมมองอย่างไม่มีอคติ กลายเป็นว่าผมทายตลาดถูกอยู่คนเดียว จนกลายเป็นเอเชียคนเดียวที่ได้รางวัลพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมของโลกของ Consensus Economics ติดกัน 3 ปีซ้อน

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

ตอนนั้น ดร. ทำนายเรื่องอะไรคะ

“ช่วงนั้น โจโค วิโดโด เพิ่งเข้ามาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย ผมฟันธงว่า เมื่อเขามาปุ๊บ เขาจะขึ้นราคาน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย แต่ทุกคนบอกเป็นไปไม่ได้ ที่ประธานาธิบดีที่เพิ่งเข้ามาได้เดือนสองเดือนแรกจะขึ้นราคาน้ำมันให้โดนด่า ประชาชนจะต้องโกรธมาก แต่ผมมองว่านั่นเป็นจังหวะทองเลย ที่เขาจะทำอะไรแบบนี้ได้ แล้วสุดท้ายเขาก็ขึ้นราคาน้ำมันจริงๆ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียทั้งหมด รวมทั้ง GDP และเงินเฟ้อด้วย คือรางวัลนี้จะมอบให้กับคนที่ทาย GDP กับเงินเฟ้อถูกต้องมากที่สุดตลอดปี ซึ่งผมทายถูกอยู่คนเดียว

งานที่เครดิตสวิสไปได้ดี แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ดร. ย้ายสายงานมาสู่ภาคเทคโนโลยีอย่างในปัจจุบันคะ

“มีหลายเหตุผลครับ จริงๆ ที่เราคุยกันมาตั้งแต่ต้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมองเทรนด์อนาคตที่ผมทำมาตลอด ในฐานะนักวิเคราะห์ ผมเห็นแล้วว่าเทรนด์ที่มาแรงแน่ๆ คือดิจิทัล อย่างในอเมริกาก็มีบริษัทเทคโนโลยีเกิดขึ้นมากมาย ฝั่งจีนก็เริ่มมี Alibaba กับ Tencent แล้ว ผมมองว่าอีกไม่นานเทรนด์นี้จะต้องมาแรงในอาเซียนแน่นอน เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก นักลงทุนทุกคนรู้ดี เราคุยกันมานานแล้ว ผมจึงหาทางทำความรู้จักกับเทรนด์ดิจิทัลและเทคโนโลยีต่างๆ ให้มากขึ้น โดยการคุยกับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ของอาเซียน รวมถึง Sea ด้วย บังเอิญคุยกันถูกคอ ผมจึงแกล้งถามเขาว่า มีตำแหน่งนักเศรษฐศาสตร์ไหม เขาบอกว่าไม่มี แต่ถ้ายูสนใจ ทำไมไม่ลองเขียน Job Description ว่ามีหน้าที่อะไร ทำอะไรบ้าง ผมใช้เวลาอยู่ 2-3 สัปดาห์ในการเขียนรายละเอียดของตำแหน่งนี้ขึ้นมา ปรากฏเขาสนใจจึงให้ไปสัมภาษณ์ จนได้งานเป็น Group Chief Economist บริษัท Sea Limited ตำแหน่งที่ผมสร้างขึ้นมาเอง

การกระโดดจากภาคการเงิน ไปสู่ภาคเทคโนโลยีที่ทั้งใหม่และไม่คุ้นเคยนั้น ดร. ต้องถามและตอบอะไรตัวเองบ้าง จึงมั่นใจว่าตัดสินใจถูก

“ตอบตามตรงว่า ช่วงแรกผมก็ลังเล ถือเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดเลย เพราะตอนนั้นงานเก่าก็กำลังไปได้ดี แถมสามปีที่แล้ว ภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะในอาเซียนก็ยังไม่โดดเด่นเท่าตอนนี้ หลายคนไม่เข้าใจว่า ผมจะย้ายจากภาคการเงิน ที่ได้ออก CNN, CNBC และ Bloomberg อยู่เป็นประจำ ไปทำบริษัทเกมทำไม คือยุคนั้น Sea ยังผลิตแค่เกม (ชื่อเดิมคือบริษัทการีน่า) ขนาดคุณปู่ผมที่ทำงานภาคการธนาคารมาก่อนก็ยังถาม คือท่านงงสุดๆ (หัวเราะ)

“แต่คำถามที่ทำให้ผมได้คำตอบในการตัดสินใจครั้งนั้น มาจากการดู Ted Talk มีใครคนหนึ่งพูดว่า เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต อย่าคิดว่า ถูก หรือผิด แต่ต้องตอบให้ได้ว่า “คุณอยากเป็นคนแบบไหน” บังเอิญช่วงนั้น ผมเขียนหนังสือเรื่อง ‘Futuration เปลี่ยนปัจจุบัน ทันอนาคต’ เป็นหนังสือที่ผมในฐานะพ่อเขียนถึงลูกในอนาคตว่า โลกภายหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วจะทำอย่างไรให้ปรับตัวได้ในโลกอนาคต สิ่งหนึ่งที่ผมเขียนในหนังสือคือ คนเราต้องกล้าเปลี่ยนแปลงจึงจะอยู่รอดได้ ผมจึงตั้งคำถามว่า หากผมต้องเขียนเรื่องราวชีวิตตัวเอง ผมอยากเป็นคนแบบไหน คำตอบคือ ผมอยากบอกลูกว่า ผมได้เดินตามสิ่งที่ผมเขียน คือคนเราต้องกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าท้าทายความสามารถตัวเองและทำในสิ่งที่เรากระหาย สงสัยและพัฒนาตัวเอง และหากมองย้อนกลับไปในชีวิตที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ผมผ่านการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้ว แค่ว่าครั้งก่อนๆ ยังไม่เท่าหนนี้ แต่ด้วยวัยสามสิบกว่า ผมยังพอลองและเสี่ยงได้ จึงอยากกล้าในสิ่งที่ตัวเองเชื่อและลองดู ซึ่งพอได้เข้ามาทำจริงๆ แล้ว ต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่งเลยครับ”

ความยากในการทำงานสายเทคโนโลยีคืออะไรคะ

“ที่ผมต้องปรับมากที่สุดคือเรื่ององค์ความรู้ เพราะพื้นฐานความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์การเงินที่ผมมีนั้นแทบไม่ได้ใช้เลย แต่ต้องมาเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีมากๆ ซึ่งยอมรับว่าก่อนนี้ ผมไม่ใช่สายเทคโนโลยี แต่ผมมองว่าความรู้นั้นหาเพิ่มเติมได้ ก่อนเข้ามาผมก็ทำการบ้านเต็มที่ และคอยเรียนรู้อยู่ตลอด แต่สิ่งที่ยากกว่าการหาความรู้ คือระบบการทำงานและการบริหารที่แตกต่าง ขนาดผมทำงานภาคการเงินที่เปลี่ยนแปลงเร็วแล้ว พอมาเจอความเร็วในภาคเทคโนโลยี มันเร็วสุดๆ จริงๆ ทั้งระบบ ทั้งการเติบโต อย่างก่อนเข้ามา ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าธุรกิจดิจิทัลในอาเซียนจะเติบโต แต่ที่คิดไปไม่ถึงคือ มันโตเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ ผมไม่คิดว่า Sea จะขยายตัวได้ก้าวกระโดดภายในเวลาแค่ 2-3 ปี จากวันแรกที่ผมมา Sea มีแค่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับไต้หวัน แต่วันนี้กลายเป็นระดับโลกไปแล้ว ขยายตัวไปในทั้งละตินอเมริกา อินเดีย และอีกหลายที่ ช่วงที่เข้ามาใหม่ๆ ผมจึงเหนื่อยมาก ทำงานจนล้าไปเลย

“อีกเรื่องที่ยากหน่อยคือ ตำแหน่งของผม ไม่เคยมีมาก่อนในบริษัท จะหาตัวอย่างก็ไม่มีอีก ความที่เป็นตำแหน่งที่ผมเขียนขึ้นมาเอง  ผมจึงต้องกำหนดกรอบเองว่า เราจะทำอะไร มีประโยชน์อะไรกับบริษัท จะเลือกคนแบบไหนมาทำงานด้วย จะขยายตัวอย่างไร ทำงานไปก็เก็บไปคิดตลอดเวลาว่า เราทำได้มากกว่านี้ไหม”

ถ้าต้องอธิบายกรอบการทำงานของ Group Chief Economist ล่ะคะ

“เป็นงานผู้บริหารจึงมีความหลากหลาย เวลาทำงานจะเป็นโปรเจ็ทค์เบส คือ ขึ้นอยู่กับว่ามีโปรเจ็คท์อะไรที่ต้องการให้ผมเข้าไปช่วยบ้าง บทบาทหลักๆ คือ หนึ่ง ทำวิจัยสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อให้คนเข้าใจวงการเศรษฐกิจดิจิทัล สตาร์ทอัพ และเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะวงการนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่คนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร  สองคือเป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคนโยบายเข้าด้วยกัน เพราะทุกคนสำคัญหมด วิชาการก็สำคัญเพราะสร้างความเข้าใจและองค์ความรู้ เอกชนเป็นคนลงมือทำและผลักดันวงการให้เกิดขึ้น ภาคนโยบายเป็นคนวางกรอบและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ดังนั้นต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

“ตัวอย่างงานที่ผมทำก็เช่น งานวิจัยแบบซีรีส์ที่ทำร่วมกับ World Economic Forum ซึ่งเป็นเจ้าในเรื่องอนาคตของอาชีพ ทักษะ 4.0 ว่าต้องมีอะไรบ้าง อาชีพอะไรจะหายไป อะไรที่ยังอยู่ โดยผมจะนำโจทย์เหล่านี้มาดูในอาเซียน รวมถึงเมืองไทยด้วย แล้วทำเป็นรายงานออกมาว่า คนไทยยังขาดทักษะด้านไหน เด่นด้านใดอยากทำอาชีพอะไร อนาคตของการเรียนรู้ควรเป็นอย่างไร แล้วปรับเรื่องเหล่านี้ให้เข้ากับของอาเซียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมสนใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาและการพัฒนาทักษะของคน พัฒนาให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีดิติทัลให้มากที่สุดและให้คนเตรียมพร้อมกับโลกที่จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและมากที่สุด

“ซึ่งสิ่งที่ผมทำนั้นอาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับผลกำไรของบริษัทในระยะสั้น แต่ผมเชื่อว่า หากเราทำให้ธุรกิจดิจิทัลขยายตัวได้ สุดท้ายก็จะกลับไปสู่ผลกำไรของบริษัท ความที่ Sea เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีดิจิทัลในอาเชียน คู่แข่งของเราจึงไม่ใช่บริษัทอื่น แต่เป็นปัญหาที่ว่า ยังมีคนกลุ่มใหญ่ที่ยังเข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต ใช้ดิจิทัลไม่เป็น ขาดความเข้าใจ คนที่เก่งด้านนี้ไม่มากพอทำ AI หรือ big data ได้ กฎกติกาต่างๆ ยังไม่เอื้อกับการเติบโต ดังนั้น ถ้าเราแก้ปัญหาพวกนี้ให้อุตสาหกรรมดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวมได้ ก็แปลว่าเราสามารถสร้างระบบนิเวศน์ที่ดีขึ้น ก็จะทำให้บริษัทเติบโตไปกับอุตสาหกรรมไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่ผมทำจึงเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

ในภาพรวม เมืองไทยอยู่ตรงไหนของเศรษฐกิจดิจิทัลคะ

“ถ้าพูดเรื่องนี้ น่าจะต้องทำอีกคอลัมน์หนึ่งนะครับ (หัวเราะ) ประเทศเรามีทั้งจุดดีและจุดด้อย จุดดีคือเศรษฐกิจดิจิทัลของเราอย่าง อีคอมเมิร์ส ฟินเทค ธุรกิจจัดส่งดิลิเวอรี่ โลจิสติกส์ ฯลฯ โตเร็วมาก และยังมีแนวโน้มโตได้อีกมหาศาล โดยหากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เรามีรายได้ต่อหัวสูงระดับหนึ่ง คือไม่สูงเท่าสิงคโปร์ แต่สูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ดังนั้นเราจึงมีกำลังซื้อดีกว่า โครงสร้างพื้นฐานเราก็ดีกว่าเพราะประเทศเราเป็นที่ราบต่อกันไป ขณะที่อินโดฯ และฟิลิปปินส์มีเกาะเป็นหมื่นๆ สัญญาณอินเตอร์เน็ตเราก็ดีกว่า ขนาดของประเทศและประชากรของเราก็ไม่แย่ คือใหญ่กว่ามาเลย์และสิงคโปร์ นี่คือพื้นฐานที่ทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลเราโตได้ดี

“ในทางกลับกัน ความที่เราดีกลางๆ จึงกลายเป็นข้อเสียที่ทำให้เราดีไม่สุด หลายคนมีคำถามว่า ว่าในขณะที่ประเทศต่างๆ ในอาเซียน มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น (มีมูลค่ามากกว่าพันล้านเหรียญ) กันหมดแล้ว ทำไมไทยจึงเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่มี ผมว่ายังไม่มีใครรู้คำตอบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าอิงจากข้อมูลที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดคือ เพราะไทยอยู่ตรงกลางนี่แหละ

“ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย มียูนิคอร์นหลายตัวเพราะประเทศใหญ่มาก มีประชากรกว่า 200 ล้านคน เวลาที่คิดจะทำแอ็พลิเคชั่นอะไร เขาต้องทำให้ตอบโจทย์ตลาดขนาดใหญ่ มูลค่าที่ออกมาจึงเป็นยูนิคอร์นได้ไม่ยาก หันมาดูสิงคโปร์ ซึ่งเป็นสุดซอยอีกด้าน คือประเทศเล็กมาก ถ้าทำในตลาดสิงคโปร์อย่างเดียวคงไปไม่รอด สตาร์ทอัพของเขาจึงต้องทำอย่างน้อยในระดับภูมิภาค หรือระดับโลกไปเลย โดยเขาไม่สนใจว่าสตาร์ทอัพในสิงคโปร์จะเป็นสัญชาติอะไร  ไม่ต้องเป็นคนสิงคโปร์ก็ได้ คือเขาตั้งใจเป็นผืนดินที่ดีที่สุด แล้วดึงต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ให้มาปลูกในพื้นที่ โดยสร้างระบบนิเวศน์ที่ดีที่สุดเพื่อให้ต้นไม้นั้นงอกงาม พอต่างชาติมาตั้งสตาร์ทอัพในสิงคโปร์ ไม่นานสตาร์ทอัพเหล่านั้นก็กลายเป็นบริษัทเทคฯ ขนาดใหญ่ บริษัทพวกนี้ก็จะจ้างคนสิงคโปร์เก่งๆ ให้ไปทำงานด้วย คนเหล่านั้นจึงได้เรียนรู้อะไรมากมาย สุดท้ายคนสิงคโปร์กลุ่มนี้ก็ออกไปทำสตาร์ทอัพของตัวเองต่อ กลายเป็นสตาร์ทอัพรุ่น 2-3-4 ต่อไป นี่คือโมเดลของสิงคโปร์ ที่ประสบความสำเร็จมากในการสร้างเทคฯ โดยใช้เวลาแค่ 5 ปี

“หันกลับมาดูสตาร์ทอัพของไทยที่อยู่ตรงกลาง ตลาดเราไม่ได้เล็กจนถูกบีบให้คิดเหมือนสิงคโปร์ เราจึงคิดว่า 60 กว่าล้านคนก็พออยู่ได้แล้ว ขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดอินโดนีเซีย ชนิดทำทีเดียวก็ใหญ่เลย เราจึงไปไม่ถึงระดับโกลบอล หลายครั้งที่มีนักลงทุนมาบ่นให้ผมฟังว่า สตาร์ทอัพคนไทยเก่งมากเลย แต่ไม่ยอมออกไปนอกประเทศ คิดว่าจะขยายในประเทศให้ดีก่อนแล้วค่อยคิดถึงต่างประเทศ แต่นักลงทุนบอกว่า ไม่ได้ ยูต้องคิดถึงต่างประเทศตั้งแต่วันแรก ต้องให้ขนาดตลาดใหญ่พอ อย่างน้อยต้องในอาเซียน เพราะฉะนั้นเราขาด global mindset ของสิงคโปร์ และไม่ได้มีตลาดใหญ่กว่าอินโดฯ จึงยังอยู่ตรงกลาง ไม่แย่ แต่ยังไปไม่ถึงจุดที่ดี ผมก็หวังว่าวันหนึ่งเราจะไปถึง

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่ชนะรางวัลพยากรณ์เศรษฐกิจยอดเยี่ยมระดับโลก 3 ปีซ้อน ดร. มองว่า ธีมใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคตคืออะไรคะ

“คงเป็นธีม 5D ที่ผมขอย้ำว่าสำคัญมาก D แรก คือ Dept หรือหนี้ทั่วโลกซึ่งสูงขึ้นมากหลังโควิด และจะมีผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างมหาศาล ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วและในเอเชียมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ต้องแก้ต่อไปอีก, D ที่สองคือ Divided หรือความเหลื่อมล้ำ ต้องบอกว่าวิกฤติโควิดต่างจากวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ผ่านๆ มาตรงที่ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มคนที่เปราะบาง สายป่านสั้น อย่างบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่หาเช้ากินค่ำ คนที่ไม่ได้อยู่ในประกันสังคม คนขับแท็กซี่-มอเตอร์ไซค์ กลุ่มที่เป็นคนหมู่มากของประเทศจะโดนหนัก คนจะจมหนี้ ไม่มีรายได้ การท่องเที่ยวก็ตก SME เปราะบางมีปัญหา ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากกว่าเดิม

D ที่สามคือ Divergence หมายถึงขั้วเศรษฐกิจตะวันตกกับตะวันออกจะฉีกออกจากกัน เราอยู่ในยุคที่อำนาจเศรษฐกิจทางตะวันตกเสื่อมลง แต่เศรษฐกิจฝั่งเอเชียกำลังผงาด ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย รวมถึงอาเซียนที่มาแรงมาก สิ่งนี้จะเปลี่ยนทั้งโลกเลย ต่อไปเราจะไม่ส่งลูกไปเรียนอเมริกาแล้ว แต่จะส่งไปเรียนในเอเชียแทน ผู้คนจะอยากมาทำงานในเอเชีย, D ที่สี่คือ Digitalization คนจะใช้ดิจิทัลมากขึ้น เพราะโควิดผลักให้คนใช้ และจะแรงมากขึ้นอีกหลังโควิด ดิจิทัลจะอยู่กับเราไปตลอด แล้วเปลี่ยนการทำธุรกิจ การเรียนและทุกอย่างไปเลย อีกหน่อยออนไลน์จะอยู่ในทุกส่วนของชีวิตคน, D สุดท้ายคือ Degradation การเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม โลกและธุรกิจใหม่ๆ กำลังให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในอนาคตจะมี Green Economy มากขึ้น ธีมเหล่านี้คืออนาคตที่โยงกันอยู่และจะอยู่กับเราไปอีกนานครับ

แล้วทักษะสำคัญที่ต้องมีเพื่อปรับตัวให้รอดในโลกอนาคตคืออะไรบ้างคะ

“ต้องยอมรับว่าอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง อาชีพอะไรที่คิดว่าจะฮ็อตแน่ๆ อีก 5 ปี ข้างหน้า อาจจะไม่ฮ็อตแล้วก็ได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าอย่าโฟกัสที่อาชีพ หรืออุตสาหกรรม เพราะเก็งยาก ที่พอเก็งได้คือทักษะ 4 กลุ่มที่ควรมีในอนาคต กลุ่มแรกคือ ทักษะดิจิทัล เพราะกระแสมาแรงมาก เราจำเป็นต้องใช้ดิจิทัลให้เป็น ไม่ว่าจะขายของ e-commerce, การเงินออนไลน์, การสอน หรือเรียนออนไลน์ เหล่านี้คือทักษะพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้อยู่รอด ยิ่งถ้าทำพวก Big Data, AI หรือโค้ดดิ้ง (การเขียนโค้ดสั่งงานคอมพิวเตอร์) ได้ จะเป็นที่ต้องการมาก ค่าตัวสูง คนแย่งกันเยอะ

“สองคือ ทักษะความเป็นมนุษย์ที่เทคโนโลยีมาแทนที่ได้ยาก เช่น ความเข้าอกเข้าใจ ความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ นวัตกรรม หรือ soft skill ที่ปัญญาประดิษฐ์คิดแทนเราไม่ได้ง่ายๆ สาม คือ growth mindset หมายถึง การที่เราล้มแล้วลุกและเรียนรู้ต่อไปเพื่อทำให้ดีขึ้นได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากในอนาคต เพราะไม่ว่าเราจะเจอความผิดหวัง ผิดพลาดหรือล้มเหลวในรูปแบบไหน จะต้องเปลี่ยนสายงานหรือได้ที่โหล่จากการทำอะไร เราจะไม่เป็นไร แต่พร้อมจะทำใหม่ให้ดีกว่าเดิมต่อไป

“สุดท้ายคือ ความเป็นผู้นำ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่ว่าจะเราจะมีทัศนคติที่ดี มีความคิดสร้างสรรค์หรือทักษะทางดิจิทัลแค่ไหน สังคมไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเราคนเดียว อย่างที่ผมเล่าว่า ผมเก่งเพราะมีเพื่อนอยู่ด้วย เพื่อนผมสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้เราคุยกันได้ เสริมกันได้ ความเป็นผู้นำคือสามารถดึงคนทั้งกลุ่มให้เก่งไปด้วยกัน ซึ่งดีกว่าเก่งคนเดียว ทักษะนี้จึงสำคัญมากในการทำงานเป็นทีมและนำพาสังคมให้รอดไปด้วยกัน

ถ้าในแง่การทำงาน คุณสมบัติอะไรที่ ดร. ต้นสนมองหาในผู้ร่วมงานคะ

“คนที่มีครบทั้งธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนฮวงจุ้ยครับ (หัวเราะ) คำอธิบายคือ ลม เหมือนความรู้ที่อยู่รอบตัวเรา ผมชอบคนที่มีความอยากรู้อยากเห็น กระหายที่จะเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ส่วน ไฟ หมายถึง มีไฟในการทำงาน คอยหาไอเดียและหางานมาเสนอได้โดยไม่ต้องรอให้สั่ง สามคือ น้ำ หรือความสามารถในการปรับตัวเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตัวผมเองก็เป็นแบบนั้น แป๊บๆ เดี๋ยวผมก็เปลี่ยนใหม่แล้ว ดังนั้นคนที่จะมาทำงานกับผมต้องเปลี่ยนและปรับตัวได้เร็ว สุดท้าย ดิน หมายถึงติดดิน ซึ่งเป็น core value ของบริษัท และผมเองก็เป็น คือต้องรู้จักถ่อมตัว ติดดิน ไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ทำให้เราเปิดรับความรู้ใหม่ๆ เมื่อถึงเวลาผิดพลาดก็จะรู้ตัวเร็วมาก

เวลาทำงาน ดร. เป็นผู้นำแบบไหนคะ

“ผมทำงานเร็ว และชอบทำงานแบบทีมเวิร์ค อย่างที่บอกว่า ถ้ามีทีมดี เคารพกันและพูดกันตรงๆ ได้ งานจะไปได้ดีมาก และการทำงานแบบทีมจะมีประสิทธิภาพกว่าการทำงานคนเดียว ผมจึงให้ความสำคัญกับการลงทุนสร้างทีมค่อนข้างมาก ซึ่งยากเหมือนกันนะ กว่าจะดึงความสามารถของแต่ละคนออกมาได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร

“โดยผมจะบริหารทีมแบบสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย”ให้คนในทีม คือ ลูกน้องสามารถแย้งและสอนผมได้ตลอด ผมเปิดรับหมด ทุกคนสามารถเสนอความคิดได้ บางทีก็คุยกันเรื่อง ทิศทางของทีม เพราะผมอยากให้ทุกคนในทีมเติบโตไปด้วยกันจึงอยากให้เขามีส่วนร่วม ผมชอบให้มีความคิดเห็นแตกต่างกันในทีม บางครั้งเถียงกันจนไม่ยอมลงให้กันก็มี แต่ถ้าตัดสินใจแล้วผมก็จะทำงานเร็วเลย แต่ยืดหยุ่น ถ้างานเสร็จคือจบ จะอยู่ออฟฟิศดึก หรือจะกลับเร็วก็ได้ ผมไม่สนใจรูปแบบการทำงานเท่าไร แค่ต้องทำได้ตามเป้า

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับดร. คืออะไรคะ

“ผมว่าการลงทุนในตัวคนสำคัญที่สุด อย่างแรกคือการลงทุนเพื่อพัฒนาตัวเอง อย่างที่ผมบอกว่า สำคัญที่สุดคือ growth mindset เพราะไม่ใช่ทักษะที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่สามารถสร้างได้ เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องฝึก โดยต้องตั้งใจและใช้เวลาพอสมควรในการสร้าง อย่างที่เล่าว่าตอนจบปริญญาเอกมาใหม่ๆ แล้วโดนปฏิเสธงาน พอไม่ได้ผิดหวังบ่อยๆ กล้ามเนื้อส่วน Growth mindset ก็เริ่มอ่อนแอ จึงต้องพาตัวเองออกนอกคอมฟอร์ตโซน ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำเพื่อให้ล้มเหลวบ้าง จะช่วยฝึกวิธีคิดในการรับมือกับความผิดหวังได้

“สองคือ การลงทุนกับคนรอบตัว ผมคิดว่าคนเราประสบความสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งมาจากการมีครอบครัวและคนรอบตัวที่ดี คอยช่วยเหลือเป็นกระจกสะท้อนให้เราคิดได้ ถ้ามีเพื่อนที่ชมอย่างเดียว เราจะพลาดง่าย เพราะจะยึดติดกับความสำเร็จและดีที่สุดตลอด แต่ถ้ามีเพื่อนหรือคนรอบตัวที่พูดความจริงว่า ทำแบบนี้ไม่ใช่แล้ว ก็จะคอยเตือนสติไม่ให้เราผิดไปไกล หรือเวลาเราล้ม เขาจะคอยอยู่ช่วยเหลือเรา

ดร.สันติธาร เสถียรไทย

พูดถึงครอบครัว ขอถามถึงภรรยาบ้างนะคะ

“ปัจจุบันภรรยาและลูกย้ายมาอยู่สิงคโปร์ด้วยกันหมด ผมเจอภรรยา (คุณเอย-ชนาทิพ เสถียรไทย) ที่บอสตัน ตอนผมเรียนปริญญาเอกอยู่ ส่วนเขาเรียนที่ Boston University ได้เจอกันตอนที่ผมเล่นดนตรีในงานหนึ่ง พอดีผมเป็นเพื่อนของเพื่อนเขาจึงได้คุยกันและคบกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ถึงได้บอกว่าเป็นปริญญาเอกที่ผมแฮปปี้มาก เพราะได้ทั้งปริญญาและเจอภรรยาด้วย (หัวเราะ) พอเรียนจบ ผมก็ย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์ก่อน ส่วนเขายังอยู่ต่อที่อเมริกา กระทั่งเขาย้ายกลับมาเมืองไทย จึงค่อยใกล้กันหน่อย แล้วจึงได้แต่งงานกัน

“เราเป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา มีอิสระและโลกส่วนตัวพอสมควร มีกลุ่มเพื่อนของตัวเอง มีเวลาทำอะไรของตัวเอง แต่เขามีความอบอุ่นและให้กำลังใจผมได้ดี ไม่เคยกดดันว่าผมต้องทำแบบนั้นแบบนี้ อย่างตอนที่ผมกำลังจะตัดสินใจย้ายมาทำงานที่ Sea ช่วงนั้นผมแต่งงานมีลูกแล้ว และมีภาระค่าใช้จ่ายพอสมควร ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ารถและค่าเล่าเรียนลูกที่สิงคโปร์ ผมก็เครียดว่า ถ้าเปลี่ยนงานแล้วไม่เวิร์คจะทำอย่างไร เขาบอกว่าไม่เป็นไร ย้ายบ้านให้ค่าเช่าถูกลงก็ได้ จะขายรถก็ได้ ขอให้ผมเลือกในสิ่งที่ใช่เถอะ อย่างอื่นค่อยมาปรับแต่งกัน ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก

“ส่วนเรื่องลูกและเรื่องภายในบ้าน ภรรยาผมจะดูแลเป็นหลัก เขาเป็นแม่บ้าน แต่จะช่วยกันดูถ้าเป็นเรื่องการตัดสินใจใหญ่ๆ เช่น โรงเรียนลูก ผมว่าข้อดีของผมกับภรรยาคือ เราคิดต่างกันมาก คือผมจะคิดอะไรเป็นระบบ ส่วนภรรยาจะคิดโดยสัญชาตญาณระดับหนึ่ง เลยกลายเป็นว่าเราช่วยเสริมกันและกันได้ดี

บ้านนี้มีแนวทางในการเลี้ยงลูกอย่างไรคะ

“บ้านเราเชื่อว่า ไม่มีสูตรสำเร็จในการเลี้ยงลูกครับ เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ลูกชายสองคน คือต้นไม้ (สิฑา เสถียรไทย) และ ต้นหม่อน (สิฬา เสถียรไทย) ไม่เหมือนกันเลย อะไรที่เคยใช้กับคนหนึ่งได้ ไม่สามารถนำมาใช้กับอีกคน  ผมจึงระวังมากที่จะไม่ตีตรา หรือใส่ยี่ห้อให้ลูกเร็วเกินไป เช่น เห็นลูกเป็นแบบนี้ ต้องชอบหรือเก่งด้านนี้ โตขึ้นมาเป็นทนายแน่ๆ ผมและภรรยาพยายามจะไม่ทำแบบนั้น ซึ่งยากสำหรับพ่อแม่นะ ต้องคอยเตือนตัวเองตลอดว่าอย่าเผลอเข้าไปยุ่ง ผมมองว่า เด็กยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แค่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนนิดหน่อยก็ดึงศักยภาพใหม่ๆ ออกมาได้แล้ว เราจึงไม่ควรไปเขียนแผนที่ให้เขา ผมเลี้ยงลูกเหมือนบริหารบริษัท คือดูและทำไปตามข้อมูลที่เห็นแล้วเสริมให้ดีที่สุดในแบบของเขา ถ้าทำแล้วไม่เวิร์คก็เปลี่ยนวิธี สุดท้ายแล้ว ผมอยากให้ลูกผมมีแค่ 3 อย่าง คือ เอาตัวรอดได้ จะอยู่ที่ไหน ประเทศอะไร สถานะไหน ก็เข้มแข็งและปรับตัวได้ สองคือ อยากให้เขาเป็นคนดี ไม่เอาเปรียบใครหรือทำให้ใครเดือดร้อน  สามคือ อยากให้เขามีความสุข แค่นี้แหละ ส่วนเขาอยากจะเป็นอะไรก็ตามใจ

สุดท้าย แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของดร. คืออะไรคะ และหากมีคนรุ่นใหม่มาขอสูตรความสำเร็จรอบด้านแบบ ดร. สันติธาร จะแนะนำว่าอย่างไร

“ผมว่าแรงบันดาลใจเป็นเรื่องที่หาได้จากคนรอบตัว ไม่จำเป็นต้องเป็นคนประสบความสำเร็จหรือคนดังเท่านั้น แน่นอนว่า ผมมีทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่ คุณย่า เป็นแรงบันดาลใจ ในขณะเดียวกัน เพื่อนๆ ลูกน้อง หรือเรื่องราวจาก Ted Talk ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้เหมือนกัน เพราะแต่ละเรื่องล้วนมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน สำหรับผมแรงบันดาลใจจึงหาได้จากทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา

“ส่วนสูตรสำเร็จนั้น ผมคงไม่มีให้ แต่ผมคิดว่าทักษะทั้งหมดที่ผมพูดถึงนั้นสำคัญมาก ผมดีใจและคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้เดินทางผ่านช่วงเวลาที่ได้สร้างทักษะด้าน growth mindset ให้ตัวเอง มองตัวเองเป็นผู้ท้าชิงตลอดเวลา ทำให้ไม่กลัวความล้มเหลว กล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้ได้เรียนรู้และคอยปรับตัวไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด การมี growth mindset จะเป็นประโยชน์กับตัวเรา แต่อย่าลืมลงทุนในคนรอบข้างของเราด้วย ต้องรู้จักหาและสร้างเพื่อนที่ดี ครอบครัวที่ดี และสังคมที่ดีด้วย ส่วนจะสร้างอย่างไร แต่ละคนคงต้องหาวิธีเอาเอง”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 969

keyboard_arrow_up