North ฉลองเปิดร้านอย่างเต็มรูป นำเสนออาหารล้านนาในสถานประกอบการอาหารรสเลิศซึ่งยังไม่มีในกรุงเทพฯ ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าของที่เป็นคนภาคเหนือ ร้านอาหารตั้งอยู่ในวิลล่าไม้สไตล์โคโลเนียลซึ่งสร้างขึ้นเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้วเพื่อเป็นที่พำนักของหม่อมหลวงนวม สนิทวงศ์ สถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะอย่างสมบูรณ์สู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตด้วยการตกแต่งภายในที่มีสัญลักษณ์และงานฝีมือซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือในสไตล์ที่ทันสมัย ร้านอาหารนอร์ธได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ลูกค้าของเราได้สัมผัสกับวัฒนธรรมล้านนาและการทำอาหารในใจกลางกรุงเทพฯ เราคัดสรรวัตถุดิบสำคัญจากภาคเหนือของประเทศไทย และเชฟของเรามาจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมล้านนาดั้งเดิม พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับเจ้าของร้านซึ่งก็คือการนำเสนออาหารล้านนาและภูมิปัญญาการทำอาหารในรูปแบบใหม่ในขณะที่ยังคงรักษารสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

เปิดสำรับหากินยาก “North” อาหารเหนือรสชาติแบบเหนือแท้ๆ ในรูปแบบใหม่

North มาพร้อมเซ็ตเมนูอาหารกลางวันที่ชูโรงด้วยคอลเลคชั่นข้าวซอยโบราณที่ใช้วัตถุดิบพรีเมียม เช่น ไก่ออแกนิค เนื้อวากิว A5 และกุ้งแม่น้ำ โดยใช้สูตรข้าวซอยดั้งเดิมที่มีน้ำซุปเข้มข้นปรุงรสโดยใช้ชะโกและขิงแทนผงกะหรี่หรือเครื่องแกงเผ็ดที่นิยมใช้ในปัจจุบันปิดท้ายด้วยขนมหวานเมืองเหนือและกาแฟคั่วพิเศษ

สำหรับมื้อค่ำทางร้าน North ยกระดับการบริการและบรรยากาศสุดแสนพิเศษ (Fine Dining) ด้วยความพิถีพิถันและสร้างสรรค์ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดสรรค์วัตถุดิบตลอดจนการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและเทคนิคการปรุงอาหารที่ทันสมัย แต่ยังคงรักษารสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารตามแบบฉบับล้านนา โดยการนำเสนอ “ข้าวแลง” (2,488++ บาท) คอร์สเมนูสุดพิเศษ

เริ่มต้นกันด้วยเมนูไลต์ ๆ ‘หนุนนำลาภลอย’ (Amuse Bouche) มูสแกงขนุนเสริฟ์บนแป้งทาร์ตใบชะพลู ลาบปลาตองซอสมะแขว่นดอยฮาง ต่อด้วย ‘ข้าวส้มไทใหญ่ราดซอสฮอลันเดซอ่องปูห่อข้าวเกรียบสาหร่ายแม่น้ำโขง’ (Tai Yai Tomato Rice, Ong-Poo Crab Paste with Hollandaise Sauce) หรือจะเลือกทานเป็นเมนู ‘ส้าจิ้นทาทาร์เนื้อวากิว A5’ (Spicy Wagyu A5 Tartar) เสิร์ฟคู่กับอะโวคาโด ซัลซ่ามะเขือเทศราชินี ‘อกเป็ดฝรังเศสรมควันชาเฟลอร์ดูนอร์ธซอสน้ำพริกข่า เห็ดรวมนึ่งดอกเกลือน่าน เจลลี่มะเกี๋ยง’ (Fleur Du Nord Tea Smoked Duck Breast with Galangal Chilli Sauce) และ ‘กุ้งแม่น้ำย่าง พาสต้าแองเจิลแฮร์ข้าวซอยเชียงรายและซอสสมุนไพร 3 ชนิด’

เตรียมตัวให้พร้อมลิ้มรสชาติความอร่อยด้วย ‘ซอร์เบทสับประรดภูแล’ (Phulae Pineapple Sorbet) ข้าวแต๋นงาขี้ม่อน โรยหน้าด้วยคาเวียร์น้ำผึ้งจากเกสรดอกลำไย

ร้าน North ขออนุรักษ์และสืบทอดอาหารเหนือแบบโบราญที่ได้นับการถ่ายทอดกันมา ‘ขันโตกนอร์ธ’ (Khan-toke North) ประกอบด้วย แกงฮังเลเครื่องหอม ผัดผักเชียงดาใส่ไข่และกระเทียมดำลำพูน น้ำพริกอ่องไก่บ้าน ไส้อั่วหมูคุโรบุตะ แคบหมู ข้าวหอมมะลิเชียงราย & ข้าวเหนียวหลากหลายสายพันธุ์

ปิดท้ายด้วยของหวาน ‘มูสครีมแตงไทยใบเตยหอม’ (Musk Melon Cream Mousse, Pandan Touille, Green Bean Jelly, Chiang Mai Strawberry Sorbet) เสริฟพร้อมกับวุ้นโยคังถั่วเขียว และซอร์เบทสตรอเบอรี่เชียงใหม่

ใครที่หลงใหลในอาหารเหนือรสชาติดั้งเดิม สามารถไปได้ที่ร้าน North ตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 33 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการ Lunch (A la Carte Menu) 11:30-14:30 และ Dinner (8 Course Tasting Menu) 18:00-23:00 สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ 061-426-2642 หรือ Line ID : @northbkk8

“ทองถนิม” เปิดตัวหอศิลปะเครื่องทองไทย “สิปปาลัยทองถนิม” พร้อมรังสรรค์อุณาโลมทองคำสุดวิจิตรถวายพระพุทธปฏิมานับเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่

ด้วยฝีมืออันประณีตผนวกเข้ากับศิลปะการทำเครื่องทองไทยที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ทำให้เครื่องประดับไทยแต่ละชิ้นของทองถนิม มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์ และมีเรื่องราว ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หลายต่อหลายคน

ล่าสุด “ทองถนิม” เปิดตัว “อาคารสิปปาลัยทองถนิม” หอศิลป์จัดแสดงศิลปะเครื่องทองไทย สถานที่อันซีนแห่งใหม่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อสืบทอดศิลปะการทำเครื่องประดับไทยแบบฉบับช่างทองหลวง ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณให้ยังคงไม่สูญหาย 

โดยคุณสิทธิศักดิ์ คูหาวิไล และ คุณนิกร จันทร์ต๊ะตา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ทองถนิมกล่าวว่า “เจตนารมณ์ของการก่อตั้งสิปปาลัยทองถนิม เพื่อเป็นจัดแสดงงานประณีตศิลป์ชั้นสูง ที่ปัจจุบันหาดูยากยิ่ง ให้ยังปรากฎสู่สายตาของชนรุ่นหลัง และเป็นสถานที่สืบสานงานช่างทองหลวง พร้อมกับเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะไทยสำหรับเยาวชนและคนทั่วไป เราจะมีกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรักและผูกพันในศิลปวัฒนธรรมไทย ควบคู่ไปกับกิจกรรมเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา”

โดยภารกิจแรกในอาคารสิปปาลัยทองถนิม เป็นพิธีถวายอุณาโลมทองคำเพื่ออัญเชิญประดิษฐานบนพระนลาฏของพระประธานในศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าธรรมคีรี โดยมอบถวายแด่พระอาจารย์คม อภิวโร และได้รับเกียรติจาก คุณอรุณี ภิรมย์ภักดี มาเป็นประธานในพิธีมอบถวาย พร้อมกันนี้พระอาจารย์คม อภิวโร ยังได้โปรดเมตตาแสดงปาฐกถาธรรมพิเศษเพื่อเป็นสิริมงคลแก่เหล่าสาธุชน

พระอุณาโลมทองคำชิ้นนี้ ได้ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยใช้กรรมวิธีสลักดุนโบราณ ออกแบบเป็นลวดลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ประดับด้วยอัญมณีนพรัตน์ตามตำราโบราณ 

อาคารสิปปาลัยทองถนิม ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ธำรงค์รักษามรดกของแผ่นดินไทย…แต่ยังเป็นสถานที่สืบทอดพระพุทธศาสนา

สิปปาลัยทองถนิม เปิดให้เยี่ยมชมกรณีการนัดหมายล่วงหน้า โทร 095-254-2939

 ติดตาม “ทองถนิม” ผ่านช่องทางเฟสบุค www.facebook.com/tongthanim

ไลน์ไอดี  @tongthanim

โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เชิญทุกท่านมาร่วมเปิดประสบการณ์กับคอร์สเมนูมังสวิรัติ ที่ห้องอาหาร อิกนีฟ แบงคอก (มิชลิน 1 ดาว) ในรูปแบบไฟน์ไดน์นิ่งสไตล์ แชร์ริ่ง ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน – 3 ตุลาคม 2565

อิกนีฟ แบงคอก (IGNIV Bangkok) เอาใจคนรักสุขภาพด้วยเมนูมังสวิรัติ โดยเชฟรับเชิญสุดพิเศษ จาก Oz By Andreas Caminada ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เป็นการร่วมมือกันระหว่าง หัวหน้าเชฟจาก อิกนีฟ แบงคอก “เชฟเดวิด ฮาร์ดวิก” กับ “เชฟทีโม่ ฟรีสท์เชอร์” หัวหน้าเชฟจาก Oz By Andreas Caminada ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา

ห้องอาหาร Oz By Andreas Caminada ตั้งอยู่ในพื้นที่ของปราสาทเป็นบริเวณเดียวกับห้องอาหาร Schloss Schauenstein (มิชลิน 3 ดาว) ของเชฟแอนเดรียส คามินาดา ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นเวลา 2 ปีที่เชฟทีโม่ได้ร่วมงานกับเชฟแอนเดรียสในห้องอาหารมิชลิน 3 ดาวนี้ จนได้รับความไว้วางใจให้ดูแล Oz ห้องอาหารที่ใช้วัตถุดิบหลักเป็นพืชผักที่ได้จากการปลูกบริเวณรอบๆปราสาทกว่า 700 ชนิด

ในช่วงการมาเยือนของเชฟทีโม่ เชฟทีโม่และเชฟเดวิดได้ร่วมกันคิดค้นคอร์สอาหารมังสวิรัติจากผลผลิตท้องถิ่น และผักสดตามฤดูกาล โดยเลือกเทคนิคในการปรุงอาหารที่ดึงความอร่อยของผักแต่ละชนิดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

คอร์สอาหารมังสวิรัติ ในรูปแบบไฟน์ไดน์นิ่งสไตล์แชร์ริ่ง ณ ห้องอาหาร อิกนีฟ แบงคอก ได้ผสมผสานเมนูของทั้ง 2 ห้องอาหารเข้ากันได้อย่างลงตัว อาทิ ซันโช้ก หอมแดงดอง มาในรูปแบบมาการอง, แครอท บีทรูด และโฮมเมดครีมเฟรเช่ส์, แรดิชชิโอ ผักตระกูลผักกาดหอมสีม่วง บัตเตอร์นัทสควอช ตามด้วยซอสฮอแลนเดซ, โหระพา พริกจาลาปิโน นำมายำสไตล์เซวิชเช่, บรอกโคลี มะเขือเทศ เพิ่มรสชาติด้วยเกรโมลาตา ปิดท้ายด้วยของหวานที่มีส่วนผสมหลักเป็นแตงกวา

ก่อนกลับบ้านทุกท่านจะพบกับสเตชั่น “Candy Store” มุมของหวานที่ท่านสามารถเลือกขนมชิ้นโปรดได้ตามใจชอบ อาทิ โฮมเมดมาการอง และเยลลี่ผลไม้

ร่วมสัมผัสคอร์สอาหารมังสวิรัติ แบบไฟน์ไดน์นิ่งที่ห้องอาหาร อิกนีฟ แบงคอก ได้ทั้งมื้อกลางวัน และมื้อเย็น วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน – วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม 2565 ราคา 4,000 บาท++ ต่อท่าน สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่โทร 02 207 7822 หรืออีเมล [email protected]

อิกนีฟ แบงคอก ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดีถึงวันจันทร์ มื้อกลางวัน 12.00–15.00 น. (ออร์เดอร์สุดท้าย 13.30 น.) และมื้อเย็น 17.00–23.00 น. (ออร์เดอร์สุดท้าย 20.00 น.)

ติดต่อเราผ่านช่องทาง

เว็บไซต์ :       www.ignivbangkok.com , www.stregisbangkok.com 

เฟซบุ๊ก :        www.facebook.com/IGNIVBangkok , www.facebook.com/TheStRegisBangkok

ไลน์ :            @ignivbangkok , @stregisbangkok

สิ่งที่นักวางผังเมืองทั่วโลกวิตกกังวลมากที่สุด คือ การเติบโตของเมืองอย่างก้าวกระโดด จนแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามไม่ทันความต้องการของเอกชน และประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่ใจกลางเมืองจนเกินความควบคุมเหมือนเช่น มหานครกัวดาลาจารา (Guadalajara) ประเทศเม็กซิโก มหานครแห่งนี้ประสบปัญหาการเติบโตของเมืองอย่างก้าวกระโดด ถึง 381.5 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 – 2553

มหานครกัวดาลาจารา กับการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย TOD

หากเทียบกับการเติบโตของประชากรในเมืองใหญ่ทั่วโลกในช่วงเวลาเดียวกัน จะมีอัตราการเติบโตอยู่ระหว่าง 40 – 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้กระทรวงการเกษตรและการพัฒนาที่ดินผังเมือง ต้องนำแนวทางของ TOD (Transit Oriented Development) เข้ามาแก้ไขปัญหาของมหานครกัวดาลาจารา จนพบว่าเมืองแห่งนี้มีปัญหาที่ต้องแก้ไข 4 มิติ คือ 
1. ความกระจัดกระจาย (Dispersed) เพราะการพัฒนาแต่ละพื้นที่กระจายไปคนละทิศละทาง ไม่เกาะกลุ่มขยายตัวออกไป
2. ความห่างไกล (Distant) การพัฒนาในแต่ละพื้นที่อยู่ห่างไกล ไม่เกาะกลุ่มร่วมกันพัฒนา
3. ขาดการเชื่อมต่อ (Disconnected) พื้นที่ที่เอกชนเข้าไปพัฒนานั้นอยู่นอกเส้นทางรถไฟ และพื้นที่ถนนก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโต
4. ความไม่สม่ำเสมอ (Uneven) การพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ผุดขึ้นอย่างไม่มีแผนพัฒนาที่ชัดเจน เช่นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของเมืองในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นต่ำ กลับตั้งอยู่ศูนย์กลางของเมืองเป็นต้น 
ซึ่งปัญหาทั้ง 4 มิตินี้ถูกแก้ไขด้วย 3 วิธีดังต่อไปนี้ คือ

1.ดึงขอบเขตการขยายตัวของเมือง ด้วยการสร้างเส้นทางรถไฟรางเบา

ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2523 เมืองกัวดาลาจารา มีการกระจุกตัวหนาแน่นในบริเวณใจกลางเมือง ระดับประชากร 300 – 400 คนต่อพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ก่อนจะเริ่มขยายตัวไปพื้นที่รอบนอกอย่างไร้ทิศทาง (Urban Sprawl) จนกระทั่งปี พ.ศ. 2553 พบว่ามีพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นในจุดรอบนอกใกล้ขอบเขตพื้นที่เมือง ทั้งที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหรือระบบขนส่งสาธารณะยังไปไม่ถึง

ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการปล่อยปะละเลย ให้ภาคเอกชนเข้าไปพัฒนาพื้นที่โดยที่ภาครัฐเองยังไม่ได้กำหนดว่าพื้นที่ใดควรได้รับการพัฒนาแบบไหน เพื่อให้เมืองเติบโตขึ้นอย่างเป็นระบบที่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาของนักวางผังเมืองกัวดาลาจารา ได้ริเริ่มโครงการสร้างเส้นทางรถไฟรางเบาขึ้นมา 3 สายไปสู่พื้นที่ชุมชนที่กระจายอยู่รอบนอก พร้อมกำหนดแนวทางในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟตามแนวทาง TOD

เส้นทางรถไฟ 3 สายนี้เป็นเสมือนโครงสร้างหลักของเมือง ที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองด้านอื่นๆ ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาหลังจากการพัฒนาเส้นทางรถไฟรางเบาทั้ง 3 สายเสร็จสิ้น คือการที่ภาคเอกชนยึดเส้นทางรถไฟรางเบาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการใหม่ ทำให้การพัฒนาที่ดินอยู่ในเส้นทางที่กำหนด ไม่กระจายตัวไปอยู่ในจุดที่ไม่คาดคิด หรือจุดที่โครงสร้างพื้นฐานยังพัฒนาไปไม่ถึงเหมือนช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

วิธีนี้ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่อง ความกระจัดกระจาย ความห่างไกล และขาดการเชื่อมต่อ ที่มีอยู่ของเมืองแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

2.สร้างโครงข่ายทางเดินเท้า และเส้นทางจักรยานโดยเฉพาะเพื่อลดมลพิษ

แม้ว่ามหานครกัวดาลาจารา จะเติบโตอย่างกระจัดกระจายในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเติบโตของเมืองที่ไม่ได้อยู่ในแผนการพัฒนา จะไม่สามารถแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้นได้

หลังการพัฒนาเส้นทางรถไฟรางเบา 3 สายเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งที่พวกเขาทำต่อมาคือการตั้งเป้าให้มหานครกัวดาลาจาราเป็นเมืองปลอดมลพิษ ด้วยการพัฒนาโครงข่ายทางเดินเท้า และเส้นทางจักรยาน เชื่อมต่อพื้นที่ต่างๆ ให้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะให้ง่ายขึ้น 

ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในมิติของความห่างไกลและขาดการเชื่อมต่อในแต่ละพื้นที่ให้เข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น จูงใจให้ประชาชนหันมาเดินเท้า รวมทั้งปั่นจักรยานมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โดยประชาชนไม่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้พวกเขาต้องปรับตัวมากนัก และยังรู้สึกได้ถึงความเจริญด้านการคมนาคมที่เข้าถึงพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน

ด้วยแนวทางนี้เองทำให้มหานครกัวดาลาจารา สามารถดึงดูดประชาชนให้หันมาใช้ระบบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละวันลงจากเดิมถึง 7.5 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลปี พ.ศ. 2558) เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าการพัฒนาตามแนวทาง TOD

3.เปลี่ยนระเบียบข้อบังคับในการพัฒนาเมือง และวางแผนพัฒนาระยะยาว

การพัฒนาเมืองจะมีจุดที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนาที่พบบ่อยมากที่สุด คือ ปัญหาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา และแรงต้านจากประชาชน แต่สำหรับมหานครกัวดาลาจารา ภาครัฐเป็นผู้กำหนดทิศทางในการพัฒนา จนเกิดการผลักดันให้มีการร่างข้อบังคับในการพัฒนาพื้นที่มหานครกัวดาลาจารา อย่างยั่งยืนตามแนวทาง TOD ได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว

แต่เรื่องแรงต้านจากประชาชนในการกำหนดพื้นที่พัฒนาใหม่ ไม่สามารถทำได้ง่ายดายนักเพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ที่มีอยู่เดิมเอามาพัฒนาเป็นพื้นที่ใหม่ตามต้องการ หากฝืนทำเช่นนั้นหน่วยงานรัฐจะเผชิญกับแรงต้าน จากประชาชนที่ลงทุนในที่ดินอยู่ก่อนแล้ว

จึงกำหนดแนวทางการพัฒนาและออกระเบียบข้อบังคับอย่างเข้มงวด ว่าแต่ละพื้นที่ที่เหลือควรได้รับการพัฒนาไปในทิศทางใดให้สอดคล้องกัน เพื่อแก้ปัญหาในมิติของ ความกระจัดกระจาย และความสม่ำเสมอ โดยการพัฒนาทั้งหมดอยู่ในกรอบของการเป็นเมืองปลอดมลภาวะ ส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

อีกทั้งยังเลือกวิธีการพัฒนาด้วยวิธีการขยายเส้นทางรถไฟฟ้ารางเบา ที่ก่อสร้างเสร็จในเวลาอันสั้น ร่วมกับการสร้างโครงข่ายทางเดินเท้า และเส้นทางจักรยานก็ช่วยลดแรงต้านจากการเวนคืนที่ดิน ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า แม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะในระยะ 600-1,000 เมตร แต่พวกเขาก็สามารถเลือกการเดินทางด้วยการเดินหรือปั่นจักรยานได้ด้วยเส้นทางที่ดีและปลอดภัยกับการใช้งาน

ด้วยแนวทางการแก้ไขทั้ง 3 วิธีการ ส่งผลให้ตัวเลขการเดินทางของประชาชนในปี พ.ศ. 2561 ในแต่ละวัน มีการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะราว 32.75 เปอร์เซ็นต์  มีการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลต่ำกว่า 23.75 เปอร์เซ็นต์ และ 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเดินเท้าและปั่นจักรยาน ขณะที่เมืองยังคงมีประสิทธิภาพในการรองรับการเติบโตของประชากรได้เป็นอย่างดี ตามแผนการพัฒนาพื้นที่ที่ได้จัดสรรไว้  ความสำเร็จดังกล่าวทำให้แนวทางการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งสาธารณะ TOD ในมหานครกัวดาลาจารา  ได้ถูกนำไปใช้เป็นโมเดลในการพัฒนาเมืองอื่นๆ ในประเทศเม็กซิโก เพราะเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง แม้ว่าเมืองนั้นๆ จะเป็นเมืองที่เติบโตอย่างไร้ทิศทางมาก่อนก็ตาม