ถึง โรคเบาหวาน จะไม่ใช่โรคใหม่ แต่อ้างอิงสถิติสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ ณ ปี 2563 พบว่ามีผู้ป่วยเบาหวานราวๆ 5 ล้านคน 95% ของผู้ป่วยเบาหวานในปัจจุบันเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมาจากพฤติกรรม ในขณะที่เราต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่าการกินน้ำตาลมากๆ นั้นไม่ดี เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรับรู้ของสังคมเกี่ยวกับโรคนี้อาจจะมีมุมที่ยังคลาดเคลื่อนและจำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องเพื่อการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
5 ข้อที่ทำให้เข้าใจ “โรคเบาหวาน” มากขึ้น
1. ไม่ใช่แค่พันธุกรรมแต่เป็นพฤติกรรม
แพทย์หญิงธนพร พุทธานุภาพ ได้ให้ความรู้ในกรณีการส่งต่อโรคเบาหวานทางพันธุกรรมไว้ว่า นอกจากพันธุกรรมจะเพิ่มความเสี่ยงแล้ว พฤติกรรมก็สำคัญไม่แพ้กัน
“ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ควรเฝ้าระวังตั้งแต่แรก ยิ่งถ้ามีคนในครอบครัวสายตรงเป็นเบาหวานหลายๆ คน เนื่องจากมีเบาหวานบางชนิดที่ส่งต่อทางพันธุกรรมได้ ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบบ่อย ก็มีส่วนจากพันธุกรรมบ้างแต่มักเกิดร่วมกับการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารมากเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือการที่มีน้ำหนักเกิน ซึ่งถ้าในครอบครัวมีพฤติกรรมเหล่านี้เหมือนๆ กัน ก็สามารถเป็นเบาหวานกันทั้งบ้านได้”
2. ไม่ใช่แค่ของหวานที่กินแล้วเป็นเบาหวาน
“ต่อให้ไม่ชอบของหวานแต่ชอบรับประทานข้าว แป้ง ขนมปัง เมื่อผ่านระบบการย่อยก็จะกลายเป็นน้ำตาลได้และทำให้น้ำตาลขึ้นสูงหลังกินได้มาก จึงเป็นสาเหตุของโรคอ้วนและเบาหวานได้ ส่วนอาหารไขมันสูงก็ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินและมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะในช่องท้อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มซอส น้ำจิ้ม น้ำสลัด อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอกบางชนิด พวกนี้ก็มีส่วนทำให้เราได้รับพลังงานเยอะโดยไม่รู้ตัวได้ และก็อาจเป็นสาเหตุของเบาหวานได้เช่นกัน”
3. ไม่ใช่แค่อาหาร แต่พฤติกรรมการกินก็มีผล
“หนึ่งคือทำให้เรากินอาหารเยอะโดยไม่รู้ตัว สองการกินไม่ตรงเวลา การข้ามมื้ออาหาร อาจทำให้เราหิวมากขึ้นและไปกินอาหารที่พลังงานสูงๆ ทดแทน เพราะเรากินไม่ตรงเวลาจนรบกวนการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลินที่ทำหน้าที่ลดน้ำตาลซึ่งออกฤทธิ์ดีในช่วงเช้า ส่วนการกินจุบจิบ การกินบุฟเฟต์ พวกนี้ก็ทำให้เราได้รับพลังานเยอะเกินความจำเป็นได้ค่ะ ในส่วนการทำ IF ถ้าคุมแคลอรี่และเลือกชนิดอาหารที่เหมาะสมควบคู่กันไปด้วย จริงๆ แล้วช่วยป้องกันโรคเบาหวานนะคะ แต่ในรายที่เป็นเบาหวานแล้ว หากต้องการทำ IF ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และข้อควรระวังในการลดน้ำหนักทุกวิธี ก็คือเวลาน้ำหนักลดลง การเผาผลาญพลังงานของร่างกายจะลดลง ฮอร์โมนที่ทำให้อิ่มก็จะลดลงด้วย ดังนั้น ถ้าจะทำต้องแข็งใจแล้วทำให้ได้ต่อเนื่องค่ะ”
4. กิจวัตรประจำวัน ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ
“กิจวัตรที่ขยับน้อยเช่น การ work from home ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน หรือนอนดูซีรีส์ทั้งวัน ไม่ออกกำลังกาย พวกนี้ก็ทำให้ร่างกายใช้พลังงานและน้ำตาลน้อยลง ส่วนการนอนหลับไม่เป็นเวลา การทำงานเป็นกะ ไม่มีเวลานอนที่ชัดเจนหรือการนอนน้อย พวกนี้ก็มีส่วนต่อการเกิดเบาหวานและโรคอ้วนได้บ้างจากหลายๆ สาเหตุร่วมกัน โดยเฉพาะฮอร์โมนในร่างกายที่ออกฤทธิ์สัมพันธ์กับเวลาก็อาจจะแปรปรวน และส่งผลต่อการเผาผลาญต่างๆ ได้”
5. ปรับอีกนิดให้ชีวิตยังสุขใจและไกลโรค
“พยายามเลี่ยงอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่หวานจัดเป็นประจำ อาหารพลังงานสูง เน้นอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบตามธรรมชาติ ใครเป็นคนที่ติดหวาน ก็ค่อยๆ ปรับรสชาติของอาหาร รวมถึงต้องพยายามให้มีการขยับตัวบ้างในแต่ละวัน อาจมีการตั้งนาฬิกาให้มีการขยับตัวทุก 1-2 ชม. ถ้าบ้านมีหลายชั้นก็เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ ลดการซื้ออาหาร ขนม หรือน้ำหวาน มาตุนไว้ พยายามออกไปซื้ออาหารหรือทำอาหารทานเอง และอย่าลืมการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ด้วยนะคะ ”
ถึงแม้จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน แต่หากเกิดความตระหนักได้ทันเวลา ลองปรับพฤติกรรมในกิจวัตรประจำวันดูนะคะ
ขอบคุณข้อมูล : แพทย์หญิงธนพร พุทธานุภาพ จากศูนย์โรคเบาหวาน โรงพยาบาลวิมุต
ภาพ : Pexels
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
“โพรไบโอติกส์” ตัวช่วยสุขภาพสุดเจ๋งแบบองค์รวม ทั้งระบบการย่อย ภูมิคุ้มกัน ผิวพรรณ ฯลฯ
8 วิธี “ลดน้ำหนัก” ขณะนอนหลับ ที่ผู้เชี่ยวชาญการันตีว่าได้ผลจริง ไม่เสียสุขภาพ
7 เคล็ดลับกิน “ขนมปัง” แบบสาวญี่ปุ่น อร่อยฟิน และน้ำหนักต้องไม่พุ่ง!!