มิน พีชญา

ไม่ใช่ลูกคุณหนู! ชีวิตอีกมุม “มิน พีชญา” นักลงทุน นักธุรกิจ ล้มลุกคลุกคลานกว่าจะมีวันนี้    

Alternative Textaccount_circle
มิน พีชญา
มิน พีชญา

กว่า 10 ปีในเส้นทางบันเทิงที่ชื่อ “มิน – พีชญา วัฒนามนตรี” เป็นที่ยอมรับในแง่นักแสดงมากความสามารถ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเธอยังมีอีกบทบาทที่กำลังทุ่มเทเพื่อเตรียมสานต่อกิจการของครอบครัว เป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์

ไม่ใช่ลูกคุณหนู! ชีวิตอีกมุม “มิน พีชญา” นักลงทุน นักธุรกิจ ล้มลุกคลุกคลานกว่าจะมีวันนี้ 

จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเข้าวงการตั้งแต่วัยรุ่นคืออะไรคะ

“ต้องย้อนเล่าถึงการปลูกฝังของที่บ้านก่อนค่ะ สมัยเด็กช่วงปิดเทอมมินไม่ค่อยได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป เพราะที่บ้านทำธุรกิจก่อสร้างที่ขอนแก่น ท่านต้องการให้ลูกใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์ จึงจ้างให้ทำงานตามแผนกต่างๆ โดยให้ค่าจ้างวันละ 10 บาท ตอนนั้นไม่เต็มใจหรอก เพราะขี้เกียจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำงาน คุณพ่อคุณแม่ก็ดุมากจนนั่งร้องไห้งอแง แต่ก็ยอมทำนะคะ นอกจากถูกฝึกให้ทำงานแล้ว ยังได้รับการฝึกเรื่องวินัยเยอะมาก เช่น ตื่นเช้า เก็บที่นอน ทำงานบ้าน

“พอโตขึ้นจึงเข้าใจว่าท่านต้องการสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน ให้รู้ว่าเงินหายาก คุณพ่อบอกเสมอว่า ‘ถ้าไม่เคยลำบาก จะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เรามีคือสิ่งที่ดี และได้มายังไง’ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะขัดกับภาพที่ทุกคจินตนาการว่ามินคงถูกสปอยล์ เป็นคุณหนู ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย

“จุดพลิกที่ทำให้มินคิดถึงเรื่องเงินเร็วกว่าเด็กวัยเดียวกันคือตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอนอายุ 15 เป็นเวลา 1 ปี ได้เห็นเด็กต่างประเทศรู้จักหาเงินกันเร็วมาก อายุ 17 ก็ไม่ขอเงินพ่อแม่แล้ว จึงเปลี่ยนมายด์เซตตั้งแต่นั้นว่า ไม่ต้องรอให้เรียนจบก็หาเงินเองได้ เป็นที่มาของการเข้าวงการบันเทิงค่ะ”

มิน พีชญา

หมายถึงมีความชอบหรือสนใจงานในวงการบันเทิงเหรอคะ

“สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นยังไม่รู้หรอกค่ะว่าชอบอะไร แต่ถือว่าเป็นการหาประสบการณ์ ลองไปหลายๆ แบบ และปรากฏว่ามาถูกทาง กลายเป็นงานที่รักจนถึงวันนี้ (ยิ้ม) เริ่มจากมินมีโอกาสประกวดรายการมิสทีนไทยแลนด์เมื่อปี 2006 ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้เงินก้อนแรกมา 3 แสนบาท ดีใจมาก ก็คิดถึงเรื่องการลงทุน เพราะอยากเห็นเงินเติบโต จึงร่วมลงขันซื้อที่ดินกับคุณพ่อ ปัจจุบันที่ดินตรงนั้นขายและได้กำไรมาแล้วเรียบร้อย” (ยิ้ม)

อะไรที่ทำให้อยากลงทุนตั้งแต่ตอนนั้นคะ

“ต้องยกเครดิตให้คุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจและชอบการลงทุน จึงฝึกและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ภาพจำของมินคือคุณพ่อจะตื่นตั้งแต่ตี 4 ดูข่าว ติดตามสถานการณ์โลก ทั้งเรื่องสงคราม ราคาทองคำ แล้วก็วิเคราะห์ บางสถานการณ์ท่านก็สามารถบอกได้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อมินมาก เพราะบางครั้งเราทำงานจนลืมดูข่าว ก็ได้คุณพ่อช่วยย่อยประเด็นให้เรียบร้อย

“ครั้งหนึ่งท่านเตือนว่าเตรียมเงินสดไว้นะ เดี๋ยวจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆ มินคิดว่าท่านอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจขึ้นและลงมาตลอดชีวิต จนพอจับทางได้ว่าทุก 10 ปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และคุณพ่อไม่เคยหยุดเรียนรู้ หากสนใจเรื่องไหนจะเรียนเพิ่มเติมจากยูทูบ ยิ่งถ้าเจอเด็กวัยรุ่นจะชอบถามก่อนเลยว่าเก่งเรื่องอะไร แล้วรับฟังเขา คุณพ่อปรับตัวไว ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก ท่านสอนเสมอว่าการทำธุรกิจมีสองสิ่งที่สำคัญ คือต้องรู้จักปรับตัวตามยุคสมัย เราไม่สามารถยึดติดสิ่งเดิมๆ ได้ตลอด อย่างที่สองคือต้องมีกระแสเงินสดสำหรับหมุนเวียนและลงทุน

“สำหรับคุณแม่เก่งเรื่องการจัดการ จึงเหมือนหยินหยาง คือคุณพ่อชอบก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุด ส่วนคุณแม่อยู่หลังบ้านคอยเก็บรายละเอียด ดูแลทีม สร้างความเรียบร้อยและมั่นคงให้องค์กร”

ถ้าพูดถึงการลงทุน ตอนนี้มินสนใจด้านไหนคะ

“หลายอย่างค่ะ ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ หุ้น ที่ดิน ฯลฯ ซึ่งการทำธุรกิจ การลงทุนถือว่าสำคัญมาก มินเรียกว่าเป็นเรื่องหลังบ้าน เพื่อให้เรามีเงินไปต่อยอดในอนาคต เป็นวิธีให้เงินทำงานและงอกเงย ซึ่งเรื่องยากคือจุดเริ่มต้นว่าเราจะลงทุนอะไร ต้องรู้เป้าหมายก่อน ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเราต้องการอะไรจากการลงทุน ซึ่งกว่ามินจะพบคำตอบก็ผ่านการบาดเจ็บมาเยอะเหมือนกัน”

เล่าให้ฟังหน่อยสิคะ

“มินชอบเรียนรู้ อยากทำหลายอย่าง และกล้าเสี่ยง ซึ่งบางครั้งถ้ามากเกินไปจะเป็นความกล้าที่ผิด จึงเสียเงินกับหุ้นเยอะ เพราะยังไม่รู้จริง แต่มั่นใจมาก เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคืออย่าทุ่มเงินให้กับอะไรที่เราไม่มีความรู้หรือไม่เข้าใจ ไม่อย่างนั้นจะเป็นทุกข์จากความคาดหวังว่าจะต้องได้เงินคืนกลับมา เช่น ลงทุนในที่ดินผืนหนึ่งแล้วอยากได้เงินคืนมาภายใน 1 ปี ซึ่งยากมาก เพราะการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เหมาะกับการทิ้งไว้ระยะยาว ไม่ใช่จะได้เงินคืนปุบปับ ซึ่งถ้าคุณใจร้อน รีบอยากได้เงิน ก็จะเป็นทุกข์

“ก่อนลงทุนกับหุ้นจึงมีการให้ทำแบบฝึกหัดทดสอบความเข้าใจก่อนว่า เรารับมือกับความเสี่ยงหรือจัดการอารมณ์ได้ดีไหม เช่น ถ้าหุ้นตกลงมา 20 เปอร์เซ็นต์ เดือดเนื้อร้อนใจแค่ไหน คือบางคนถึงขั้นเครียดจนนอนไม่หลับหรือโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น การลงทุนแบบนี้คงไม่เหมาะ”

มินตั้งเป้าหมายการลงทุนไว้อย่างไรคะ

“ยังค่ะ ข้อเสียของมินตอนนั้นคือไม่รู้เป้าหมายว่าลงทุนเพื่ออะไร เน้นทำงานหนักเพื่อให้มีเงินต่อยอดไปลงทุน ยังไม่รู้จักคำว่าบาลานซ์ชีวิต แค่ตั้งเป้าว่าฉันอยากประสบความสำเร็จ ต้องทำงานเยอะๆ มีเงินเยอะๆ มินเคยทำงานต่อกัน 18 ชั่วโมง อดนอน 3 วัน บวกกับช่วงนั้นเรียนมหาวิทยาลัยที่เอแบคด้วย สุดท้ายป่วยเข้าโรงพยาบาล พอหมอฉีดยาเสร็จก็ทำงานต่อ ซึ่งหมอก็เคยเตือนว่าต้องพักแล้วนะ แต่โมเมนต์นั้นมินไม่ฟัง คิดว่าการพักไม่ใช่เป้าหมาย สุดท้ายคือร่างพังและเครียดมาก

“เป็นเรื่องแปลกนะคะ ยิ่งเราทำงานหนัก ได้เงินเยอะ เราก็ยิ่งใช้เงินเยอะ มินมองว่าเป็นเรื่องของการเอาคืน โดยเฉพาะผู้หญิงน่าจะเข้าใจว่าเวลาเครียดเราอยากปลดปล่อยไปกับอะไรบางอย่าง เราอยากช็อป อยากได้ของเพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เราใช้เงินแบบไม่คิดเหมือนกัน แต่ก่อนจึงช็อปหนักมาก ซึ่งถ้ามองในเรื่องของเงินและการลงทุน มันผิดนะ เพราะที่ว่ามาคือใช้เงินไปกับอารมณ์และจิตใจล้วนๆ

“มินมีโอกาสอ่านหนังสือปรัชญาเกี่ยวกับ ‘อิคิไก’ ของประเทศญี่ปุ่น เพราะได้ยินเพื่อนพูดถึงกันเยอะ พออ่านก็ชอบ มันสอนให้เราทำในสิ่งที่รัก รู้ว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ โดยไม่ต้องมองคนอื่น อยู่กับความสุขของตัวเอง ชีวิตมินเปลี่ยนตั้งแต่นั้น เพราะก่อนหน้านี้ถ้าเห็นใครทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จก็อยากจะโดดไปทำบ้าง โดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นใช่ตัวเราจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าไปอิจฉาคนอื่น ให้รู้ว่าศักยภาพเราเด่นเรื่องไหนแล้วมุ่งไปทางนั้น

“อีกอย่างมินพบคำตอบว่าต่อให้ทำงานหนักขนาดไหน ได้เงินมาเยอะเท่าไร แต่ถ้าชีวิตเครียดจนใช้เงินแบบผิดๆ ก็จะเปล่าประโยชน์ ตอนนั้นมินซื้อหนังสือที่สอนการลงทุนมาอ่านหลายเล่ม เจอประโยคว่า ‘คนที่ไม่สามารถเก็บเงินได้ คือคนที่ใช้อารมณ์เก็บเงิน’ อ่านแล้วแทงใจมาก นี่คือฉันเลย เริ่มสำรวจตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น พบว่าเราหาเงินเก่งก็จริง แต่พอเครียดก็ใช้เก่งด้วย เป็นจุดพลิกที่ต้องหาสมดุลชีวิตให้ตัวเอง คำถามคือเราหาเงินไปทำไม เพื่ออะไร”

แล้วพบคำตอบหรือยังคะ

“ที่สุดมินพบว่าชีวิตต้องมีครบทุกด้าน ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์ ความรัก เช่น คุณอาจจะเก่งเรื่องงานมาก แต่ถ้าไม่มีเวลาให้แฟน สุดท้ายแฟนก็จะจากไป เพราะฉะนั้นเวลาคือสิ่งสำคัญมากค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่เพิ่มไม่ได้ เรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่จัดสรรและบริหารเวลาไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะใช้ไปกับเรื่องที่ไม่ตรงกับเป้าหมายชีวิตเลยก็ได้ แต่ถ้าโฟกัสถูกจุด อะไรที่ไม่สำคัญสำหรับเราจะค่อยๆ หายไปเอง

“เป้าหมายหลักของมินวันนี้คือคุณพ่อคุณแม่ เพราะท่านอายุมากแล้ว มินชอบเห็นตัวเองเป็นมู่หลาน (ยิ้ม) คือ Family First ครอบครัวต้องมาก่อนเสมอ ทุกวันนี้รู้แล้วว่าที่ทำงานมาทั้งชีวิตก็เพื่อครอบครัว มีภาพหนึ่งที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก คือคุณพ่อคุณแม่ทำงานตลอดเวลา มินอยากให้ชีวิตท่านเบาสบาย ทุกวันนี้จึงขึ้นมาเป็นกำลังหลัก ให้ท่านไปพักผ่อน ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปตีกอล์ฟ ซึ่งทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ก็เอนจอยมาก หากมีเรื่องที่ต้องเข้าประชุม ท่านก็จะส่งลูกสาวเป็นตัวแทนแล้วถอยไปเป็นที่ปรึกษา

“เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากมีเวลา มีความมั่นคงให้ครอบครัว ก็ต้องให้เงินทำงานแทน จะได้ไม่ต้องใช้แรงทำงานหนักไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการวางแผน มินไม่เชื่อคำว่าเกษียณ ไม่เชื่อเรื่องการหยุดทำงานไปตลอดชีวิต เพราะรู้สึกว่าคนเราแม้จะอายุเยอะแล้วก็ยังทำอะไรได้มากมาย ชีวิตยังมีคุณค่า การลงทุนและการวางแผนการเงินในระยะยาวจึงจำเป็นมาก

“เพราะฉะนั้นการลงทุนของมินเน้นหลักสองข้อ คือต้องเห็นผลระยะยาวและยั่งยืน เพราะมินอยากเป็นรากฐานที่ให้คนรุ่นหลังต่อยอดได้ เมื่อวันหนึ่งเราจากไป เราอาจจะเอาอะไรไปไม่ได้ แต่สิ่งที่สร้างไว้สามารถส่งต่อให้คนรุ่นถัดไปได้ มินคิดว่าการลงทุนทุกอย่างไม่มีจุดจบ ไม่มีเส้นชัย มีแต่ว่าคุณตั้งเป้าแล้วคุณไปถึงเป้านั้นแล้วหรือยัง และมันจะมีเป้าต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางคุณจะได้เรียนรู้ด้วยว่าอะไรควรลงทุนหรือไม่ควร ไม่มีหลักสูตรตายตัว เราแค่ต้องลองและรู้เป้าหมายของตัวเอง”

การลงทุนในระยะยาวที่ได้ผลสำหรับมินคืออะไรคะ

“มินชอบการลงทุนกับที่ดินค่ะ ซึ่งต้องเริ่มจากการศึกษาดูที่ให้เป็น หากได้ที่ตาบอดหรืออยู่ลึกเกินไปก็อาจจะขายไม่ออก เช่นเดียวกับอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่น การปล่อยเช่าคอนโด ก็ต้องศึกษาว่ามีการบริหารจัดการยังไง ทั้งเรื่องผู้เช่ากับเรื่องอื่นๆ เช่น เราซื้อขายโดยมีเอเย่นต์กลางหรือเปล่า เขาหักเปอร์เซ็นต์ที่เท่าไร ค่าธรรมเนียมส่วนกลางปีละกี่บาท แล้วค่าแม่บ้านล่ะ ไปจนถึงเรื่องจิปาถะ อย่างท่อแตกต้องแก้ปัญหายังไง ดูภาพรวมทั้งหมดแล้วคำนวณความคุ้มทุน”

แล้วการลงทุนในหุ้นล่ะคะ

“ตอนเริ่มยากมากค่ะ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เพราะมีโปรดักต์ให้เลือกหลายตัว แต่สำคัญสุดคือต้องย้อนไปที่เป้าหมายก่อนว่าเราต้องการอะไร เช่น บางคนอยากได้เงินปันผลเยอะ ก็อาจจะไปดูหุ้นที่มีเงินปันผลให้ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ก็ต้องดูว่าเงินเยอะที่ว่านั้นสม่ำเสมอหรือเปล่า ต้องศึกษาเรื่องกระแสเงินสดและนโยบายของบริษัทนั้นๆ ด้วย บางเจ้าเป็นบริษัทใหญ่ มีเงินปันผลให้ตลอดเพราะเก๋าเกมแล้ว บางเจ้าอาจให้น้อย แต่ให้สม่ำเสมอ ไม่ขาดทุน สำหรับมินคิดว่าควรมีทั้งสองอย่าง บวกกับศึกษาเทรนด์ อย่างตอนนี้นิยมลงทุนกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า เทเลคอม และอินเทอร์เน็ต

“สำคัญสุดคือการลงทุนอะไรก็ตาม คุณต้องมีเงินเย็นด้วยนะคะ และควรหักลบค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่ลงทุนไป เพื่อให้รู้ว่าขาดทุนหรือได้กำไรค่ะ”

มิน พีชญา

มาถึงพาร์ตนักธุรกิจบบ้าง ทราบว่าตอนนี้ทำธุรกิจบ้านจัดสรรเองด้วย

“ที่จริงมินทำมาหลายธุรกิจตั้งแต่อายุ 20 แล้วนะคะ บอกได้เลยว่าล้มมาเยอะ ก่อนหน้านี้เคยทำจิเวลรี่ เป็นแนวซื้อมาขายไป ก็ล้มลุกคลุกคลานจนต้องปิดตัว แต่ไม่เคยเสียใจ ถือว่าเป็นค่าหน่วยกิตของการเรียนรู้ อย่างธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรก็พยายามเรียนรู้มากๆ ตอนนี้เฟสสองขายหมดแล้วค่ะ กำลังจะขึ้นเฟสสาม (ยิ้ม) ผลตอบรับก็ถือว่าดีเลย”

กับธุรกิจนี้มินมองว่ายังไง

“มินเชื่อว่าในชีวิตของคนเราคงมีบ้านไม่กี่หลัง บ้านที่อยู่ควรมีคุณภาพ สำหรับหมู่บ้านในโครงการของมินคือไม่ว่าคุณจะอยู่บ้านระดับไหนก็ตาม ทุกหลังต้องมีความแข็งแรง ส่งต่อให้กับลูกหลานได้ หมู่บ้านเรามีสโลแกนว่า ‘สินค้าคุณภาพ มิตรภาพจากใจ’ (ยิ้ม) คือได้คุณภาพมาตรฐาน บ้านทุกหลังเราใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพดี แข็งแรงคงทนแน่นอน นอกจากนี้เรายังมีมิตรภาพจากใจ ไม่ใช่ว่าพอขายบ้านได้แล้วก็ลืมลูกบ้าน เรายังดูแลอย่างดี จึงทำให้ขายดีมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่ได้โฆษณาโปรโมตจริงจัง แต่เกิดจากการพูดปากต่อปากของลูกบ้าน

“ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เรื่องท้าทายก็เยอะค่ะ ที่ยากสุดคือเรื่องต้นทุนและความไวในการซื้อที่ดิน เพราะไม่ใช่ว่าเราอยากได้ตรงไหนแล้วซื้อได้เลย ขึ้นอยู่กับจังหวะด้วย เช่น ช่วงนั้นกระแสเงินสดพร้อมไหม ถ้าเจอที่สวยแต่ไม่มีเงินก็หมดหวัง หากจะรอก็อาจจะมีใครซื้อไปก่อนแล้ว

“นอกจากนี้หลักการบริหารงานก็สำคัญ มินว่าไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นเราเปลี่ยนไป เรื่องของเวลามาทำงานก็คุมยาก สำหรับมินหากตื่นสายไม่ว่านะ แต่งานต้องเสร็จ มินดูที่ผลงานเป็นหลัก”

พอมาบริหารเอง การทำธุรกิจเปลี่ยนจากรุ่นคุณพ่อยังไงบ้าง

“เรามีการต่อยอดทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจ เป็นหน้าที่เราที่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าช่องทางออนไลน์มีประโยชน์ยังไง เช่น ช่วยทั้งหาลูกค้าใหม่ รักษาฐานลูกค้าเก่า และทำให้เราใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นด้วย”

พอทำธุรกิจจริงจังแล้ว แบ่งเวลากับงานบันเทิงยังไงคะ

“แบ่งอย่างละครึ่งเลยค่ะ ถ้าคิวงานบันเทิงที่ต้องใช้เวลานานก็ขอไม่รับ แจ้งผู้ใหญ่ว่ามินยังไม่สะดวกนะคะ โชคดีมากที่ผู้ใหญ่เข้าใจ ยังเมตตาเราเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นงานที่ไม่ใช้เวลามาก มินใช้วิธีบินไปกลับกรุงเทพฯ – ขอนแก่น เฉลี่ยตอนนี้หนึ่งเดือนบินไปกลับประมาณ 10 ครั้ง ใช้พลังงานเยอะเหมือนกัน แต่ไม่เหนื่อยค่ะ เพราะเป็นช่วงที่เราลงมาทำธุรกิจเต็มตัว ก็ต้องดูแลเต็มที่”

ทราบว่ามินชอบลงทุนในเครื่องประดับด้วย

“ใช่ค่ะ มินชอบซื้อไฮจิเวลรี่ ถือว่าเป็น Treasure Investment การลงทุนที่ทำให้เรามีความสุขทันที ไม่มีค่าเสื่อม และไม่ต้องเสียพื้นที่ใหญ่โตในการเก็บรักษา บางชิ้นอาจเป็นเครื่องประดับเม็ดเล็กๆ แต่ทรงพลังและมีคุณค่ามาก นอกจากความสวยความงาม ได้คุณค่าทางจิตใจแล้ว เราไม่ต้องเสียค่าบำรุงด้วยค่ะ อย่างนาฬิกาเรายังต้องจ่ายซ่อมบำรุงบ้าง แต่จิเวลรี่ให้ที่ร้านช่วยจัดการได้เลย ที่สำคัญคือไม่ขาดทุน

“เมื่อก่อนมินคลั่งกระเป๋าแบรนด์เนมเหมือนกัน เพราะช็อปจากความเครียดอย่างที่เล่า คือกระเป๋าก็ดีนะ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันเปื่อยได้ บางครั้งหนังถลอก จึงอยากลงทุนสิ่งที่อยู่ได้ในระยะยาว เป็นที่มาของจิเวลรี่ มินศึกษาหลายแบรนด์ แต่สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่น้องงูจากแบรนด์บุลการี (หัวเราะ)

“เหตุผลหนึ่งเพราะมินเกิดปีมะเส็งหรือปีงูเล็ก ชอบงูที่หน้าไม่ดุ ดูน่ารัก พอเริ่มซื้อก็ศึกษาแบรนด์มาเรื่อยๆ ถึงรู้ว่าบุลการีก่อตั้งมายาวนานและเก่งมากในเรื่องช่างเงิน และทุกวันนี้เขาก็เก่งมากในเรื่องของ Color Gemstone อย่างเพชร พลอย มรกต แต่ละเม็ดอลังการ จึงทำให้แบรนด์ไฮเอนด์ระดับนี้ได้รับความนิยม ซึ่งเขาจะปรับราคาขึ้นปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกชิ้นที่มินซื้อราคาขึ้นตลอด แต่มินไม่ได้ซื้อเพื่อขายต่อ อยากเก็บไว้ระยะยาว เพราะถือว่าเป็นของรัก ซึ่งคุณค่าและมูลค่าของมันสามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้”

ในมุมผู้หญิงมีวิธีจัดการอารมณ์เวลาอยากช้อปปิ้งยังไงคะ “ต้องมีจุดลิมิตให้ตัวเองค่ะ ใช้วิธีแบ่งเงินเป็นเปอร์เซ็นต์จะง่ายที่สุด เช่น ก้อนนี้ใช้สำหรับกินอยู่ ก้อนนี้สำหรับช้อปปิ้ง ก้อนนี้สำหรับลงทุน ก้อนนี้เก็บออม วิธีนี้เวิร์คมาก คือถ้ามินแบ่งเงินไว้ทำอะไรก็จะใช้หมดเลยนะ เช่น ถ้าแบ่งไว้ช้อปก็ช้อปเลย ไม่คิดเยอะ เพราะเราคำนวณงบไว้แล้ว เป็นการซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง คล้ายกับเวลาไดเอตเลยค่ะ คืออย่าหักดิบ การกินคลีนที่ถูกต้องจะต้องมีชีตเดย์ คือกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานบ้าง ถ้าหากกินแต่อาหารคลีน ร่างกายจะเริ่มกักเก็บไขมันที่ทำให้อ้วน การเงินก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช้เลยก็กลายเป็นกักเก็บความเครียด ให้เริ่มจากวินัยทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ สั่งสมไปค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 993

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up