อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์

สตอรี่ความหวานของคู่รักแห่งวงการกีฬา “อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ – มูนี่ เหอ”

Alternative Textaccount_circle
อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์
อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์

ในแวดวงนักกีฬาระดับโลก คู่ฮ็อตระดับอินฟลูเอนเซอร์ที่แฟนๆ ทั้งเชียร์และอิจฉาหนักมากคือ อเล็กซ์ – อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ (Alexander Albon) นักแข่งรถสูตรหนึ่ง Formula 1 (F1) ลูกครึ่งไทย – อังกฤษคนแรกที่ขึ้นโพเดียม (อันดับที่สาม) ในการแข่งขันรถ F1 รายการ ทัสกัน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามมูเจลโล ประเทศอิตาลี ปี 2020 และ ลิลี่ – มูนี่ เหอ (Lily Muni He) โปรกอล์ฟหญิงชาวจีนดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทำคะแนนได้น่าสนใจในหลากหลายการแข่งขัน ด้วยทั้งคู่เป็นหนุ่มสาวหน้าตาดีที่มีฝีไม้ลายมือโดดเด่นไม่ธรรมดา จนทั้งวงการต้องจับตามอง ครั้งนี้ทั้งคู่เดินทางมาพักผ่อนที่เมืองไทย แพรว จึงถือโอกาสนี้ชวนมาเล่าเรื่องเส้นทางสายกีฬา และอัพเดตเลิฟสตอรี่หวานๆ ที่ชวนให้อิจฉาหนักมาก

สตอรี่ความหวานของคู่รักแห่งวงการกีฬา “อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ – มูนี่ เหอ”

ยินดีที่ได้พบสองซุป’ตาร์ของวงการกีฬานะคะ ครั้งนี้มาทำอะไรที่เมืองไทย อัพเดตให้ฟังหน่อยค่ะ

อเล็กซ์ตอบก่อน “ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับ ต้องขอโทษด้วยที่ผมพูดไทยได้นิดหน่อย แม้คุณแม่ (คุณกัญญ์กมล) เป็นคนไทย แต่ผมเกิดและโตที่ประเทศอังกฤษ จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก คุณแม่คุยกับผมเป็นภาษาไทยตลอด ผมฟังออก แต่มักตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยของผม จึงเป็นแบบนี้ครับ

“ตอบคำถามก่อนว่า ครั้งนี้ผมมาเมืองไทยสั้น ๆ 4 วัน เพื่อทำเรื่องการตลาดร่วมกับสปอนเซอร์ แต่เดี๋ยวผมจะกลับมาอีกพร้อมครอบครัวและครอบครัวของลิลี่ในช่วงวันหยุดคริสต์มาส (2022) และ อยู่ยาวถึงปีใหม่ (ยิ้ม) ซึ่งเป็นอะไรที่ผมรอคอยมาก เพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้กลับมา เมืองไทยหลังจากเกิดโควิด ก่อนหน้านั้นผมมาประมาณปีละ 1 – 3 ครั้ง ทั้งทำธุระกับเจอญาติ ๆ กรุงเทพฯคือบ้านสำหรับผม รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กลับมา”

ลิลี่ตอบบ้าง “ส่วนฉัน ตอนนี้อยู่ในช่วงออฟซีซั่นค่ะ ไม่มีการแข่งขัน จึงอาศัยจังหวะนี้ ตามอเล็กซ์มาเที่ยวด้วย ฉันเคยมาเมืองไทย 3 ครั้งเพื่อแข่งขันรายการ Thailand LPGA แต่ ไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวไหนเลย อยู่แค่กรุงเทพฯกับพัทยา ฉันอยากไปภูเก็ตมาก แต่ยังไม่เคยไป จึงดีใจมากที่เดี๋ยวจะได้กลับมาพร้อมกับครอบครัวอย่างที่อเล็กซ์บอก แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วค่ะ ฉัน อยากลองสตรีตฟู้ดด้วย ฉันชอบส้มตำและกินเผ็ดได้เพราะครอบครัวก็กินเผ็ดมาก ๆ จึงรักอาหารไทย แล้วก็อยากไปวัดสวย ๆ ด้วยค่ะ”

อเล็กซ์เสริม “โชคดีที่ลิลี่กินเผ็ดได้ เพราะผมกินเผ็ด แล้วก็ชอบกินอาหารไทยด้วย ชอบสุด คือผัดกะเพรา เวลาเดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ ผมมักมีปัญหากับการหา ผัดกะเพราที่อร่อยเหมือนเมืองไทยได้ยาก ปกติผู้จัดการจะสั่งมาให้กินในห้องพัก ที่โรงแรม เพราะไม่ค่อยมีเวลา ยังดีว่าที่ลอนดอนพอมีอาหารไทยอร่อยบ้าง”

อเล็กซ์ - อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ลิลี่ - มูนี่ เหอ

ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ที่ไหนเป็นหลักคะ

อเล็กซ์ช่วยตอบแทนลิลี่ว่า “ลิลี่อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ส่วนผม อยู่ที่โมนาโกเป็นหลักครับ เพราะมีสนามแข่งกับรายการสำคัญ นักแข่งรถส่วนใหญ่ มักอยู่กันที่โมนาโก เพราะสะดวกกับการเดินทางบ่อย ๆ อีกอย่างทีมของผมอยู่ที่ ประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่ไกลกันมาก”

อยู่ไกลกันขนาดนี้ ดูแลกันอย่างไรคะ

อเล็กซ์ตอบจริงจัง “ต้องบอกว่าความสัมพันธ์ของเราเริ่มและเติบโตจากการ เป็น long distance relationship มาแต่แรก ไม่เหมือนกับคู่อื่น ๆ ที่เริ่มจากการ อยู่ด้วยกัน แล้วค่อยแยกกันไปเป็นความสัมพันธ์ระยะไกลทีหลัง ผมว่าแบบนั้น น่าจะยากกว่า คู่เราอยู่ในรูทีนแบบนี้มาตลอด เช่น พอตื่นมาผมจะเฟซไทม์โทร.หาลิลี่ ซึ่งตรงกับเวลาที่เธอกำลังจะเข้านอน พอบ่ายสามโมง ผมก็จะโทร.หาเธออีกที เพราะ รู้ว่าเวลานั้นเธอตื่นแล้ว เราพยายามทำให้ดีที่สุด ให้เหมือนว่าไม่ได้อยู่ห่างกันครับ”

ลิลี่แชร์บ้าง “ฉันคิดว่าคู่เราค่อนข้างไปกันได้ดี เพราะเราต่างต้องเดินทาง เพื่อแข่งขันเยอะ คือไม่ว่าจะคบกับใครก็ต้องเป็นความสัมพันธ์แบบทางไกลนี่แหละ นอกจากว่าอีกคนหนึ่งจะมาอยู่กับเราตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และเราทั้งคู่ก็ไม่ได้ อยากได้คนที่คอยตามติดโดยไม่ทำอะไรเลย ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้เรา ไปกันได้ดีคือการที่เราต่างทำหน้าที่และอาชีพของเราเป็นหลัก แล้วพอใครมีเวลาพัก จากการแข่งขันค่อยบินไปหาอีกฝ่ายเพื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อย่างตอนที่เขาบินมา เล่นกอล์ฟด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่ดีและพิเศษมากค่ะ”

ขออนุญาตย้อนถามกลับไปที่จุดเริ่มต้น โปรกอล์ฟสาวสุดฮ็อตกับนักแข่งรถ F1 มาเจอกันได้อย่างไรคะ

ลิลี่ยิ้มพลางตอบว่า “เรารู้จักกันทางโซเชียลมีเดียค่ะ ตอนนั้นฉันบังเอิญ ดูหนังเกี่ยวกับการแข่งรถก็เลยสนใจ ก่อนจะพบว่าอเล็กซ์เป็นนักแข่งรถ F1 ชาวเอเชีย คนเดียวในตอนนั้น จึงกดติดตามเขาไปแบบบริสุทธิ์ใจ แล้วอเล็กซ์ DM (Direct Message) มาหา ซึ่งฉันคิดว่ามันถูกวางแผนไว้แล้วเหมือนในเพลง Master Plan ของเทย์เลอร์ สวิฟต์” (หัวเราะ)

อเล็กซ์แก้ตัว “ผมก็ DM ไปแบบบริสุทธิ์ใจนะ! ความจริงต้องบอกว่าช่วงนั้น ผมเพิ่งเริ่มฝึกเล่นกอล์ฟได้ประมาณ 2 เดือนก่อนจะเจอเธอ พอรู้จักกันจึงได้เธอมา ช่วยสอนพื้นฐานกอล์ฟไปในตัว”

ลิลี่เล่าต่อ “พอเขาทักมา เราก็คุยกันแบบเพื่อนมาเรื่อย ๆ ความสัมพันธ์จึง เริ่มจากเป็นเพื่อนที่คอยผลัดกันชมผลงานของกันและกัน เวลาที่ฉันหรือเขาแข่งได้ดี เราก็จะแสดงความยินดีกับอีกฝ่าย ก่อนจะขยับมาคุยทางโทรศัพท์ถึงเรื่องราวชีวิต ประจำวันของแต่ละคน ซึ่งฉันมักจะบ่นถึงวันของฉัน โดยมีเขาคอยรับฟังอย่างเข้าใจ กระทั่งถึงวันเกิดเขาก็โทร.มาอวยพร ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกดีมากเลย”

อเล็กซ์สรุป “เราได้มาเจอกันแบบเห็นตัวจริงครั้งแรกที่แอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ครับ เรานัดไปดินเนอร์กันที่ ร้านอาหารเม็กซิกันแบบวีแกนแนวฮิปสเตอร์ เขาชอบร้านนี้ครับ แต่เขาคิดว่าผมไม่ชอบ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้แย่นะ เรายังวนกลับไปกินร้านนี้อีกรอบในวันครบรอบคบกันด้วย”

อะไรที่ทำให้ประทับใจกันและกันคะ

ลิลี่ตอบทันที “ฉันสัมผัสได้ตั้งแต่คุยกันทางโทรศัพท์ว่าอเล็กซ์ตลก สวีต และใจดี จึงชอบตั้งแต่ก่อนจะได้เจอตัวเขาจริง ๆ เสียอีก แล้วพอได้เจอ เขาก็เป็น เหมือนที่ฉันคิดไว้”

อเล็กซ์พูดบ้าง “ผมชอบที่เธอยืนหยัดบนความคิดเห็นของตัวเอง ไม่พยายาม ซ่อนตัวตนที่เธอเป็น ลิลี่เป็นตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ เป็น ผู้หญิง sassy เริด ๆ คูล ๆ” (ยิ้ม)

ในฐานะที่เป็นนักกีฬาทั้งคู่ อะไรที่คุณสองคนรู้สึกว่าเหมือนหรือแตกต่างคะ แล้วมีวิธีการปรับจูนเข้าหากันอย่างไร

ลิลี่ตอบก่อน “ฉันว่าเราทั้งคู่มี rookie year หรือการเริ่มต้นชีวิตการเป็น นักกีฬามืออาชีพในช่วงใกล้ ๆ กัน จึงมีประสบการณ์คล้ายกัน ซึ่งพอมองย้อนกลับไป ในวัยเด็กของเราก็มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง ทั้งการเติบโต รวมถึงวิธีที่เรา เผชิญหน้ากับการแข่งขันต่าง ๆ ฉันคิดว่าเรามีอะไรที่เหมือนกันมากกว่าที่คิด อย่าง เวลาแข่งขัน เราจะมีความเชื่อเรื่องโชคลางเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนกันด้วย”

อเล็กซ์เสริมว่า “จริง ๆ แล้วประเภทกีฬาที่เราสองคนเล่นค่อนข้างต่างกัน มากนะครับ กอล์ฟเป็นกีฬาที่ค่อนข้างช้า ขณะที่การแข่งรถคือความเร็ว การแชร์ ไอเดียเรื่องกีฬาจึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ในแง่ความเป็นนักกีฬา เราต่างถูกกดดัน ให้ทำผลงานอยู่ในระดับท็อปตลอดเวลา เรื่องผลงานจึงมาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิต เสมอ ซึ่งตรงนี้นักกีฬาจะเข้าใจกันดีว่ายากแค่ไหน ผมกับลิลี่จึงมีค่านิยมและ มุมมองในการทำงานที่เหมือนกัน ในแง่ที่ว่านักกีฬาต้องอุทิศตนอย่างมาก ดังนั้น แม้เราจะเล่นกีฬาคนละประเภท แต่เราสามารถแชร์ความรู้สึกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต ความทุ่มเท ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของการเป็นนักกีฬาให้อีกฝ่ายฟังได้ เพราะ เราเข้าใจกัน”

อเล็กซ์ - อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์

คุณสองคนได้แลกเปลี่ยนทักษะทางกีฬากับอีกฝ่ายไหมคะ

ลิลี่ตอบกึ่งฟ้อง “ฉันพยายามสอนเขาเล่นกอล์ฟนะคะ แต่อเล็กซ์ดื้อมาก จึงดูเหมือนว่าฉันไม่ได้สอนอะไรเขาเลย กระทั่งเขาเจอปัญหาอะไรสักอย่างแล้วกลับมา ถามแบบยอมฟังฉัน แต่ต้องยอมรับว่าทักษะการตีกอล์ฟของเขาพัฒนาขึ้นมาก นับจากครั้งแรกที่เราเจอกัน เพราะตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มเล่น ตอนนี้เราจึงเอนจอย การเล่นกอล์ฟด้วยกันมากเลย”

อเล็กซ์ตอบบ้าง “บอกเลยว่างานอดิเรกยามว่างของผมในตอนนี้คือการเล่น กอล์ฟ (ยิ้ม) โดยเฉพาะในเมืองไทย…ผมต้องลำเอียงอยู่แล้วละครับ เพราะแฟนผม เป็นโปรกอล์ฟ (หัวเราะ) แล้วสนามกอล์ฟในเมืองไทยดีมากจริง ๆ ส่วนเรื่องการขับรถ ผมก็เคยสอนลิลี่ขับรถแข่งนะ ที่บ้านผมมี simulator (รถแข่งจำลอง) ซึ่งเธอทำได้ ค่อนข้างดี ผมทั้งเซอร์ไพร้ส์และภูมิใจที่เห็นเธอขับได้ครบรอบ”

ลิลี่กระซิบว่า “อเล็กซ์เป็นครูสอนขับรถที่ดีมากเลยค่ะ”

เวลาไปไหนด้วยกัน ใครเป็นคนขับรถคะ

อเล็กซ์ตอบทันที “ต้องเป็นผมอยู่แล้ว คงจะแปลกมากถ้าผมไม่ขับรถ ให้แฟนนั่ง แต่ไม่อยากบอกเลยว่าลิลี่เป็นผู้โดยสารที่ไม่ค่อยดี เธอมักประหม่า และกังวลเวลาผมขับ ต่างจากสมัยเพิ่งเริ่มคบกัน ตอนนั้นเธอมั่นใจในการขับรถ ของผมมากเลย แต่ยิ่งใช้เวลากับผม ลิลี่ยิ่งกลัวผมขับรถ” (หัวเราะ)

ลิลี่แย้ง “ก็เขาเปิดเผยตัวตนให้ฉันเห็นเยอะไปนี่คะ ทำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่ หุ่นยนต์ เขาก็ขับรถพลาดได้เหมือนกัน จริง ๆ ฉันขับรถได้นะคะ แค่รู้สึกว่าถ้าเขา ขับให้จะเป็นธรรมชาติกว่า เพราะเขาเป็นนักแข่งรถ”

ในชีวิตจริงอเล็กซ์ขับรถเร็วไหมคะ

ลิลี่ชิงตอบก่อนเลยว่า “เร็วค่ะ! ยิ่งช่วงแรก เขาเคยขับรถเร็วมากเพื่อทำให้ ฉันประทับใจ แต่กลายเป็นว่าฉันกลัว เขาก็เลยเลิก”

อเล็กซ์หัวเราะ “ผมก็อยากจะตอบว่าไม่นะ แต่ต้องยอมรับว่าตัวเองขับรถเร็ว เพราะผมรู้สึกว่าการขับรถบนถนนที่อังกฤษค่อนข้างน่าเบื่อ จึงต้องขับรถเร็วเพื่อให้ มีอะไรน่าตื่นเต้นนิดหนึ่ง แต่ยังอยู่ภายใต้กฎจราจรนะครับ แต่กับถนนที่เมืองไทยนี่ คนละเรื่องเลย เรียกว่าท้าทายกว่าการขับรถที่อังกฤษมาก (ยิ้ม) ทั้งที่เราขับรถ ฝั่งเดียวกัน เพราะที่นี่มีมอเตอร์ไซค์เยอะ การจราจรก็คับคั่ง แล้วถนนก็มีคาแร็คเตอร์ กว่ามาก ผมว่าขับรถที่เมืองไทยสนุก ยกเว้นตอนรถติดมาก ๆ อีกอย่างกฎจราจร ของไทยก็ไม่เข้มงวดเท่าที่อังกฤษด้วย ถ้าขับรถที่อังกฤษแบบที่ขับในเมืองไทย คงโดนใบสั่งเพียบเลย” (หัวเราะ)

การเป็นคู่รักที่มีชื่อเสียง อยู่ในความสนใจของสื่อและแฟนๆ สร้างความกดดันไหมคะ

ลิลี่หยุดคิดแล้วตอบว่า “ฉันคิดว่าคู่ของเราค่อนข้างชัดเจน คุณเห็นเราใน โลกออนไลน์อย่างไร ชีวิตจริงเราก็เป็นอย่างนั้น ฉันว่าเราก็เหมือนคู่อื่น ๆ ที่ต้อง อาศัยความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้ความสัมพันธ์เวิร์ค ซึ่งสิ่งสำคัญคือ เราเป็นพวก 50/50 กันทั้งคู่ คือเท่าเทียมกันในทุก ๆ เรื่อง ทั้งในแง่ของการสนับสนุน ซึ่งกันและกัน และการใช้เวลาในการแข่งขัน ซึ่งพวกเราต่างพยายามอย่างที่สุด“ฉันไม่คิดว่าแฟน ๆ จะคาดหวังอะไรมากกับความสัมพันธ์ของเรา แต่ถ้าเป็น ผลงานการแข่งขัน ส่วนใหญ่จะเป็นความคาดหวังจากตัวเราที่กดดันตัวเองหนักที่สุด ฉันจึงไม่ได้รู้สึกถึงความกดดันอื่น ๆ อาจจะมีคอมเมนต์ทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ บ้าง แต่เมื่อเราได้คุยกัน ฉันก็จะบอกเขาว่า ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก”

อเล็กซ์พยักหน้า “ผมเห็นด้วยกับลิลี่ครับ พวกเราค่อนข้างเปิดเผยเรื่อง ความสัมพันธ์ของเราทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ จึงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร เรา ทั้งคู่โชคดีที่มีแฟน ๆ ใจดี ขณะเดียวกันเราก็ไม่ใช่ดาราดัง จึงไม่มีเรื่องให้กังวลใจ อะไรขนาดนั้น ทั้งหมดนี้ผมแค่อยากจะบอกว่าความรักระยะไกลของเรานั้นดีมาก แม้จะไม่ง่ายที่จะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ต้องอาศัยความพยายามและความเข้าใจ พอสมควร”

ขอเข้าสู่คำถามเรื่องงานบ้าง เมื่อครู่คุณลิลี่บอกว่า คุณสองคนมีจุดเริ่มต้นและเส้นทางนักกีฬาที่ค่อนข้างคล้ายกัน

ลิลี่ตอบ “ค่ะ เราทั้งคู่ต่างมีคุณพ่อเป็นจุดเริ่มต้นและคอยผลักดันให้เรา เข้าสู่เส้นทางสายกีฬาเหมือนกัน เล่าก่อนว่า ฉันเกิดที่เฉิงตู ประเทศจีน ก่อนที่ ครอบครัวจะย้ายมาอยู่ที่แคนาดาและสหรัฐอเมริกาตามลำดับ ฉันรู้จักกีฬากอล์ฟ มาจากคุณพ่อที่เป็นนักกอล์ฟ จึงพาฉันไปสนามด้วย เรียกว่าฉันโตมาในสนามและ เริ่มเล่นกอล์ฟมาตั้งแต่ 5 ขวบ ก่อนจะเริ่มเเข่งขันครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบ และ ตั้งแต่นั้นฉันก็แข่งมาตลอดทุกปีเลย (ยิ้ม)

“ซึ่งช่วงแรก ๆ ที่ฉันฝึกซ้อมกอล์ฟ คุณพ่อจะคอยอยู่เป็นเพื่อนเพื่อให้ กำลังใจและผลักดันให้ฉันซ้อมสม่ำเสมอ เพราะท่านเข้าใจว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่ ค่อนข้างโดดเดี่ยวและต้องอาศัยการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเวลานาน แม้ตอนนั้น จะเป็นเรื่องยาก แต่เพราะมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย ทำให้ฉันผ่านมาได้ ต้อง ขอบคุณท่านที่ทำให้ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ได้”

อเล็กซ์แชร์จุดเริ่มต้นที่เกิดจากคุณพ่อเหมือนกัน “ผมเหมือนลิลี่ตรงที่คุณพ่อ มีส่วนสำคัญในอาชีพ เพราะคุณพ่อเคยเป็นนักแข่งรถ แต่ท่านเริ่มแข่งช้าเกินไป ที่จะได้เป็นนักแข่งรถ F1 พอท่านเห็นแววว่าผมน่าจะชอบรถและการแข่งรถ ท่านจึง พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมและผลักดันให้ผมเริ่มได้เร็ว เท่าที่จำได้ ผมเริ่มชอบรถ และตกหลุมรัก F1 ตั้งแต่ 4 – 5 ขวบ ในห้องนอนผมมีรถของเล่นเต็มไปหมด แล้ว ผมกับคุณพ่อก็ดูรายการแข่งรถ F1 ด้วยกันตลอด รวมถึงกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งมอเตอร์ไซค์หรือเรือ

“พออายุ 7 ขวบ คุณพ่อก็ซื้อรถโกคาร์ตให้และพาผมไปแข่ง แล้วยังทำหน้าที่ เป็นทุกอย่างให้ด้วย ทั้งช่างเครื่องและวิศวกร คอยเตรียมเครื่องยนต์ เตรียมรถ ให้พร้อม เป็นโค้ชสอนขับรถ แถมยังเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยาให้ด้วย ผมจึงรู้สึก ว่าการแข่งรถเป็นเหมือนกีฬาของเราพ่อลูก สมัยนั้นพ่อเป็นเหมือนบอส ที่พูดอะไร ผมก็เชื่อทุกอย่าง เพราะผมรู้สึกว่าพ่อเป็นนักขับรถและนักแข่งรถที่ดี อย่างเวลาพ่อ แนะนำว่าโค้งนี้ควรทำแบบนี้นะ ผมก็ทำตาม ซึ่งพอเวลาผ่านไปเราก็เก่งขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งผมได้เข้าไปอยู่ในทีมใหญ่ตอนอายุ 11 ปี แล้วเริ่มแข่งในยุโรปและทั่วโลก พ่อก็เลิกสอนผม ท่านพูดแค่ว่าผมรู้ดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรอีก” (ยิ้ม)

แล้วทั้งสองคนเข้าสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพของวงการกอล์ฟและวงการแข่งรถได้อย่างไรคะ

อเล็กซ์ให้ลิลี่เล่าก่อน “ต้องบอกว่าฉันโชคดีที่รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กว่าชอบกีฬา กอล์ฟ และต้องการเติบโตไปเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ฉันจึงรู้อยู่แล้วว่าต้อง ‘เทิร์นโปร’ (นักกีฬากอล์ฟมืออาชีพ) ไม่ช้าก็เร็ว เป้าหมายของฉันจึงเป็นกอล์ฟมาตลอด ฉันคิดว่านี่คือสิ่งสำคัญที่คอยผลักดันและกระตุ้นให้มาถึงจุดนี้ แม้จะไม่รู้แน่ชัดนัก ว่าต้องทำอย่างไร แต่การมีเป้าหมายที่ชัดเจนก็ช่วยให้ฉันอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง อาจมีวันที่เหนื่อย งอแง ไม่อยากซ้อมบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพลาดช่วงเวลา วัยรุ่นเลย เพราะฉันมีเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ในแวดวงกอล์ฟ ทำให้เราเติบโตมากับ การฝึกซ้อมและเล่นไปด้วยกันเป็นเรื่องปกติ

“แล้วก็โชคดีสองเด้งที่คุณพ่อคุณแม่ก็ให้การสนับสนุน ทำให้ฉันไม่กดดันว่า ต้องเลือกระหว่างการเรียนกับการเล่นกอล์ฟ เพราะบ้านเราให้ความสำคัญชัดเจนว่า กอล์ฟเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อย่างตอนเรียนไฮสกูลเราก็ตัดสินใจ ร่วมกันว่าฉันจะเปลี่ยนมาเรียนแบบโฮมสกูลแทนการไปโรงเรียน เนื่องจากต้อง เดินทางแข่งขันบ่อยมาก ไม่สะดวกที่จะไปโรงเรียน ซึ่งฉันก็แฮ็ปปี้ แต่พอเข้าช่วง ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็เครียดและกดดันตัวเองพอสมควร เพราะ อยากเข้า University of Southern California ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในฝันให้ได้ ต้องพยายามบาลานซ์ทั้งการเรียนและการเล่นกอล์ฟ ซึ่งสุดท้ายฉันก็ทำสำเร็จ หลังจาก เข้ามหาวิทยาลัยสองเทอมและได้เล่นกอล์ฟให้มหาวิทยาลัย ฉันก็ตัดสินใจเทิร์นโปร ตอนอายุ 19 ปีในการแข่งขันที่ดูไบ เพราะการแข่งขันกอล์ฟหญิง นับวันนักกีฬา เก่ง ๆ ยิ่งอายุน้อยลงทุกที ฉันจึงคิดว่าอายุ 19 ก็สมควรแก่เวลาแล้ว”

หลังจากเทิร์นโปร โลกการแข่งขันแบบมืออาชีพเป็นอย่างไรคะ

“ต้องบอกว่ายากกว่าที่คิดไว้มาก โดยเฉพาะปีแรกที่ฉันเริ่มเล่นกอล์ฟอาชีพ เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดเลยค่ะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้สมัยแข่ง junior golf ที่มีแต่คนเก่ง ๆ จากทั่วโลกมาแข่งกันก็ว่ายากแล้ว พอชนะมาได้จึงคิดว่านั่นคือที่สุดของที่สุดละ แต่พอก้าวเข้าสู่สนามแข่งที่ใหญ่ขึ้น คือ LPGA Tour (LPGA – Ladies Professional Golf Association หรือสมาพันธ์สำหรับนักกอล์ฟอาชีพหญิงที่เก่าแก่ ที่สุดอันดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีองค์กร LPGA ของ แต่ละประเทศเช่นกัน แล้วร่วมมือจัดการแข่งขันระดับโลกที่เรียกว่า LPGA Tour ที่เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นปีของทุกปี ถือเป็นลีคกีฬากอล์ฟหญิงมืออาชีพ ที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุด) ก็ต้องยอมรับว่าช่วงแรกฉันช็อกจนไปไม่ถูกเหมือนกัน เพราะต้องแข่งกับบรรดาโปรกอล์ฟที่เป็นระดับไอดอลของฉันเลย ทำให้เครียดและ กดดันมาก หลังจากพยายามดิ้นรนอย่างยากลำบากอยู่พักใหญ่ จึงลองปรึกษา นักจิตวิทยาและเทอราปิสต์ ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้เรามีความสุขกับการออกไป แข่งกอล์ฟมากขึ้น และสามารถนำศักยภาพออกมาใช้ในการแข่งขันได้มากที่สุด ตอนนี้ฉันจึงปรึกษาทั้งกับ sport psychologist (นักจิตวิทยาทางกีฬา) สำหรับ การแข่งขันกอล์ฟ รวมถึงนักจิตวิทยาเพื่อให้คำแนะนำสำหรับชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป ด้วย ซึ่งช่วยได้เยอะเลยค่ะ แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ยังมีเรื่องดีที่ฉันได้รับ การสนับสนุนจากครอบครัวและอเล็กซ์อยู่ตลอด”

ลิลี่ - มูนี่ เหอ

อเล็กซ์ล่ะคะ จากนักแข่งโกคาร์ตที่มีคุณพ่อเป็นทุกอย่างให้ ก้าวเข้าสู่นักแข่งรถอาชีพได้อย่างไร

อเล็กซ์เล่าอย่างสบายใจ “เส้นทางสู่มืออาชีพของผมค่อนข้างสมู้ตนะครับ ต้องเล่าก่อนว่าการแข่งรถจะเริ่มจากการขับโกคาร์ต แล้วค่อย ๆ ขยับไป F4, F3, F2 และสุดท้ายจึงเป็น F1 ซึ่งเป็นสนามสำคัญที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ ผมเองเริ่มจากแข่งแบบปีต่อปี โดยมีคุณพ่อคอยดูแลมาตลอด พออายุประมาณ 12 ปี ผมก็เริ่มเข้าสู่การแข่งขัน F4 ซึ่งถ้าเทียบกับการขับโกคาร์ตแล้วคนละเรื่องเลย เพราะรถที่ใช้แข่ง F4 มีขนาดใหญ่และเร็วขึ้นมาก อีกทั้งยังใช้สนามแข่งเดียวกับ F1 ผมจึงต้องจริงจังมากขึ้น โดยตอนนั้นผมได้รับสปอนเซอร์ให้เป็นนักแข่งของทีม Red Bull พออายุ 15 ผมก็ก้าวไปอีกขั้น โดยได้เป็นนักแข่งทีม F1 ของ Red Bull อีกเช่นกัน ซึ่งเขาจะคอยดูความก้าวหน้าและผลงานของนักแข่ง เพื่อตัดสินใจว่า นักแข่งคนนั้นดีพอที่จะเป็นนักแข่ง F1 หรือไม่ แรงกดดันของผมจึงเริ่มขึ้นตอนช่วง อายุ 15 นั่นแหละครับ”

ยังจำความรู้สึกครั้งแรกที่ลงสนาม F1 ได้ไหมคะ

“จำได้ครับ แม้จะสมู้ตในช่วงแรก แต่ต้องยอมรับว่าการแข่ง F1 ครั้งแรก ค่อนข้างน่าผิดหวัง ตอนนั้นแข่งที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเปิดฤดูครับ อากาศก็หนาวมาก อุณหภูมิติดลบ 5 องศา ซึ่งครั้งนั้นรถผมมีปัญหาตอนออกมาจาก pit lane [เส้นทางวิ่งที่อยู่ระหว่างพิท (pit – จุดที่ทีมเซอร์วิสรถคอยเปลี่ยนล้อ ซ่อมเครื่องยนต์) กับแทรค (เส้นทางวิ่งในสนาม) จะเป็นทางที่วิ่งตรงไปยังทางออกพิทหรือทางเข้าแทรค] หลังจากผ่านไป 3 โค้ง รถผมก็หลุดโค้งหมุนติ้วไปหยุดอยู่ตรงบ่อกรวด (ไว้ชะลอความเร็วให้รถแข่ง ที่หลุดออกจากทางวิ่งเพื่อความปลอดภัย) ทำให้ครั้งแรกของผมในการขับรถ F1 ผมขับไปได้แค่ประมาณ 1 – 4 ของ lap (หนึ่งรอบสนาม) แล้วก็ต้องออกมา จำได้ตอนที่ กลับไปที่ pit lane มีกล้องมากมายจ่อมาที่ผม จนรู้สึกเลยว่า โอเค…นี่คือการ เริ่มต้นสู่การแข่ง F1 ของผมสินะ แต่หลังจากนั้นมา การแข่ง F1 สำหรับผมก็เป็นไป ด้วยดีครับ”

อเล็กซ์ - อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์

การแข่งขันครั้งไหนที่ท้าทายหรือทำให้คุณภูมิใจที่สุดคะ

อเล็กซ์ตอบก่อน “แน่นอนว่าการแข่งขันที่ผมภูมิใจที่สุด ณ ตอนนี้คือ การได้ที่ 3 แล้วได้ขึ้นโพเดียมครั้งแรกในฐานะตัวแทนจากประเทศไทยในการแข่งขัน ปี 2020 รายการทัสกัน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามมูเจลโล ประเทศอิตาลี ส่วนสนามแข่ง ที่ท้าทายและโหดที่สุดสำหรับผมคือที่โมนาโก ลักษณะเป็นสนามแบบ street circuit (สนามที่แข่งบนถนนจริง) แคบมาก ซึ่งความแตกต่างระหว่างนอร์มัลเซอร์กิต หรือสนามแข่งมาตรฐานสากล กับสตรีตเซอร์กิต คือ ถ้าแข่งในสนามแข่ง นอร์มัลเซอร์กิตยังพอทำพลาดได้บ้าง เพราะสนามออกแบบมาให้เหมาะกับการแข่งขัน มีความปลอดภัยสูง แต่สตรีตเซอร์กิต ถ้ามีแม้เพียงข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ก็จะชน ดังนั้นการแข่งบนถนนจริงจึงมีความยากทางด้านจิตใจ เพราะเราต้องโฟกัสแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตลอดการแข่ง 2 ชั่วโมงหลุดไม่ได้เลย ซึ่งยากมาก”

ลิลี่เล่าในส่วนของการแข่งขันกอล์ฟบ้าง “จริง ๆ แล้วฉันปฏิบัติกับทุกการ แข่งขันเหมือนกันหมดค่ะ แต่บางครั้งก็มีบางสนามที่ตัวสนามกอล์ฟหรือสภาพ อากาศท้าทายมากกว่าครั้งอื่น ๆ อย่างการมาแข่งที่ประเทศไทย เพราะอากาศร้อน และชื้นมาก แล้วฉันต้องเล่นหกวันติดต่อกัน คือซ้อม 2 วัน และแข่งจริงอีก 4 วัน ซึ่งร่างกายฉันค่อนข้างช็อกกับอากาศร้อนพอสมควร เพราะไม่คุ้น จึงต้อง เตรียมตัวโดยการดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้มีน้ำในร่างกายเพียงพอ แล้วก็พักผ่อนให้พอ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม“อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ฉันภูมิใจที่สุดคือชัยชนะครั้งแรกในการเล่น สายอาชีพที่ Prasco Charity Championship ค่ะ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเราทำได้และ สมควรจะได้อยู่ตรงนี้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในเส้นทางอาชีพนักกอล์ฟของฉันได้ เป็นอย่างดีเลย”

คุณสมบัติสำคัญที่นักกอล์ฟต้องมีคืออะไร แล้วคุณมีวิธีฝึกซ้อมเตรียมตัวแข่งอย่างไรคะ

ลิลี่ตอบว่า “กอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งร่างกาย ความสามารถ และจิตใจที่ต้องแข็งแกร่งมาก ๆ อีกอย่างเราเดินทางตลอด และต้องแข่งขันติดกันหลายสัปดาห์ อาจแข่งสี่วันก็จริง แต่ต้องซ้อมก่อนหน้าแข่งอีก 2 – 3 วัน พอ แข่งเสร็จก็บินไปอีกเมืองเพื่อแข่งต่อ ร่างกายจึงต้องพร้อมตลอดเวลา ยิ่งกับการ แข่งขัน LPGA ซึ่งมีผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกมารวมตัวกัน ยิ่งไม่ง่ายเลยที่ทำให้จบ ในอันดับที่ดีและทำเงินได้เยอะ ๆ 

“สำหรับกอล์ฟ ยิ่งนักกีฬาตัวสูงหรือตัวใหญ่เท่าไร (ลิลี่สูง 163 เซนติเมตร) ยิ่งเป็นประโยชน์เท่านั้น เพราะจะส่งผลต่อความแข็งแรงและพละกำลังในการตี ซึ่ง ต้องยอมรับว่านักแข่งรุ่นใหม่ ๆ ทุกวันนี้แข็งแรงขึ้น ตัวสูงขึ้น และตีได้ไกลขึ้น สนามกอล์ฟก็ยาวมาก ดังนั้นกอล์ฟในปัจจุบันจึงเป็นกีฬาที่ยากขึ้นมาก ๆ สำหรับ ทั้งนักกอล์ฟผู้หญิงและผู้ชาย หากเทียบกับประมาณ 3 หรือ 5 ปีที่แล้ว 

“ฉันเองก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองตีได้ไกลขึ้น โดยการเข้ายิมเพื่อสร้าง กล้ามเนื้อ และวางแผนการกินเพื่อให้สุขภาพดีและแข็งแรงที่สุด เป้าหมายของฉัน คือการเพิ่มน้ำหนักและกล้ามเนื้อ ซึ่งฉันคิดว่าช่วยได้มาก ในช่วงที่มีการแข่งขัน ฉันจะพยายามกินอาหารให้ดีและเพียงพอ แล้วก็ซ้อมทุกวัน ประมาณ 4 – 6 ชั่วโมงต่อวัน กับเข้ายิม 5 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงพรีซีซั่น แต่ในช่วงออฟซีซั่นที่ ไม่มีการแข่งขัน ฉันก็จะเบรกบ้าง เพราะช่วงที่มีการแข่งมักแข่งติด ๆ กัน บางครั้ง 7 สัปดาห์ติดกัน หลังจากนั้นพอมีช่วง 1 – 2 สัปดาห์ให้ฉันเบรกจากกอล์ฟ ฉันแทบจะไม่จับไม้กอล์ฟเลย ท้ายที่สุดแล้ว เวลาเหนื่อย ๆ การกินอาหารดี ๆ และได้นอนเล่นรีแล็กซ์บนเตียงก็ช่วยลดความกดดันได้ค่ะ” 

ลิลี่ - มูนี่ เหอ

กลับมาที่อเล็กซ์บ้าง ความยากของการแข่ง Formula 1 ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกความเร็วคืออะไรคะ 

“อย่างแรกคือ การแข่งขัน F1 มีที่นั่งสำหรับนักแข่งแค่ 20 ที่เท่านั้นครับ แต่มีคนเป็นพันอยากจะเข้าสู่สนามนี้โอกาสที่จะได้เข้าไปจึงน้อยมาก ดังนั้นนักแข่ง จึงต้องอุทิศตนให้กับกีฬาชนิดนี้และต้องโฟกัสกับการแข่งขันอย่างมาก ไม่ใช่แค่ ทักษะในการแข่งรถ แต่คุณจะต้องตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าให้ทัน ต้องมี ความเข้าใจด้านวิศวกรรมและคณิตศาสตร์ นอกจากนั้นคุณยังต้องมีความเป็น นักธุรกิจด้วย เพราะต้องเข้าใจว่าจะหาสปอนเซอร์ได้อย่างไร เนื่องจากการแข่งรถ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก นักแข่งหลายคนที่ผมเจอล้วนมาจากครอบครัวที่มีฐานะ ถ้า คุณไม่ได้มาจากครอบครัวเช่นนั้นก็ต้องหาสปอนเซอร์มาช่วย จึงต้องคิดในแง่นี้ ด้วยครับ

“ที่สำคัญการจะเป็นนักแข่ง F1 คุณต้องทำผลงานให้ดีตลอดเวลาในทุกๆ ปี ไม่สามารถพลาดได้เลยสักปีเดียว คือกีฬาอื่นหากพลาด คุณอาจจะกลับมาได้ แต่ F1 คุณมีแค่โอกาสเดียว นักแข่งจึงมีความกดดันตลอดเวลา นี่จึงเป็นกีฬาที่ ค่อนข้างยากและต้องอาศัยการเทรนหนักมากครับ ขณะเดียวกันการที่มีนักกีฬา F1 แค่ไม่กี่คน แต่มีแฟน ๆ ให้ความสนใจเยอะ นักแข่งจึงกลายเป็นศูนย์กลางของ ความสนใจอย่างช่วยไม่ได้ มีแต่คนอยากจะคุยด้วย ซึ่งก็ยากในการรับมืออีก ตอนผมเริ่มแข่ง F1 ใหม่ ๆ ผมเอนจอยกับการแข่งรถมาก แต่รู้สึกอึดอัดกับสื่อ และการอยู่ในสปอตไลต์ ต้องค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะรับมือและพยายามโฟกัสกับการ ขับรถอย่างเดียว ซึ่งแม้จะยาก แต่ก็โชคดีที่ผมมีทีมที่ดี ทั้งผู้จัดการและเทรนเนอร์ ที่อยู่ด้วยกันตลอดตั้งแต่เริ่มต้น F1 คอยให้คำแนะนำ รวมถึงครอบครัวด้วย” 

แล้วคุณเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งอย่างไรคะ 

อเล็กซ์เล่าต่อว่า “กีฬาแข่งรถต่างจากกีฬาอื่นตรงที่เราใช้จิตใจ 80 เปอร์เซ็นต์ และใช้ร่างกาย 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นผมต้องมีทั้งเทรนเนอร์ส่วนตัวที่จะเดินทาง ไปกับผมตลอด มีนักจิตวิทยา นักโภชนาการ และ sleep doctor หรือแพทย์ ที่เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ มาทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าผมจะจัดการกับ อาการเจ็ตแล็กจากการเดินทางได้ 

“หลักๆ การเทรนจะเริ่มช่วงต้นปี ประมาณเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ โดยโฟกัสที่การสร้างกล้ามเนื้อและความแข็งแรงก่อน เพราะเมื่อเริ่มฤดูกาลแข่งแล้ว ผมจะต้องเดินทางบ่อย ทำให้มีอุปสรรคในการเข้าฟิตเนส สำหรับนักแข่งแล้ว ฟิตเนส ที่ดีที่สุดของเราคือการขับรถนี่แหละครับ แต่กีฬาของเราใช้กล้ามเนื้อที่กีฬาอื่น ไม่ได้ใช้ นั่นก็คือคอ เพราะเวลาเข้าโค้งต้องใช้กล้ามเนื้อคอในการฝืนไม่ให้ศีรษะ โยกไปตามแรงโน้มถ่วง ดังนั้นเราต้องฝึกขับรถเรื่อย ๆ เพื่อที่จะสร้างความแข็งแรง ให้กล้ามเนื้อคอ ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกกล้ามเนื้อคอ จะไม่สามารถเข้าโค้งได้ เกิน 3 โค้งเลยครับ ความยากอีกอย่างของกีฬาแข่งรถคือ แต่ละสนามมีความ แตกต่างกัน และเราไม่สามารถลองสนามก่อนล่วงหน้านาน ๆ ได้ เพราะค่าใช้จ่าย สูงมาก ไม่เหมือนฟุตบอลหรือกอล์ฟที่คุณซ้อมในสนามได้ทุกวัน แต่การแข่งรถ จะซ้อมได้แค่ 3 วันก่อนการแข่งสนามแรก ก่อนหน้านั้นต้องซ้อมกับเครื่องจำลอง เหมือนขับรถในเกมน่ะครับ แต่เครื่องจำลองนี้จะแม่นยำมากและมีตัวเลขเหมือนกับ ในเซอร์กิตเลย ผมจะใช้เวลา 2 วันต่อสัปดาห์ฝึกในเครื่องจำลองนี้ เพื่อประเมินเกี่ยวกับรถและการอัพเกรดต่าง ๆ 

“ส่วนการเทรนด้านจิตใจ ผมฝึกทำ visual focus ก่อนลงแข่ง โดยอยู่ คนเดียวเงียบ ๆ และโฟกัสถึงแล็ป (Lap คือ รอบหรือครั้งในการแข่งขันเส้นทาง แข่งรถ) ที่จะขับก่อน และทำซ้ำ ๆ ในหัวหลายครั้ง จนผมได้แล็ปที่เพอร์เฟ็กต์ อยู่ในหัวก่อนที่จะลงแข่งจริง “นอกจากนี้ต้องคอยระวังไม่กินอาหารหนักจนเกินไปก่อนแข่งด้วยครับ เพราะ รถจะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา สำคัญที่สุดคือต้องควบคุมน้ำหนัก นักแข่งรถควรมี น้ำหนักตัวรวมกับชุดแข่ง หมวกกันน็อก และที่นั่งบนรถแล้วอยู่ที่ 80 กิโลกรัม แต่ผมตัวสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว (เกือบ 190 เซนติเมตร) น้ำหนักจึงมากกว่าคนอื่น ต้อง คอยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ที่ 73 กิโลกรัม ถ้ามากกว่านี้จะส่งผลกระทบ”

หนึ่งในสิ่งที่คนภายนอกมองกีฬาแข่งรถคืออันตรายจากอุบัติเหตุที่มาพร้อมความเร็ว คุณเคยผ่านประสบการณ์เฉียดมาบ้างไหม

อเล็กซ์ตอบอย่างมั่นใจ “ผมโชคดีที่ไม่เคยเจอเรื่องร้ายแรง มีแค่อุบัติเหตุ นิดหน่อย 2 – 3 ครั้ง พูดตามตรงว่าผมไม่เคยกลัวเลย นักแข่งรถจะกลัวเรื่องนี้ ไม่ได้ครับ เพราะถ้ากลัวเมื่อไรความเร็วจะลดลง และจะส่งผลต่อการแข่งขันทันที ดังนั้นทุกครั้งที่อยู่หลังพวงมาลัย ผมต้องรู้สึกมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมกล้าพูด ว่าผมรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งเวลาอยู่ในรถแข่ง แม้กระทั่งตอนที่รถกำลังจะชน หรือมีคันอื่นมาชนรถผม ผมไม่เคยคิดว่าผมจะต้องเจ็บตัวอะไรเลย แต่จะคิดว่า ช่างเครื่องต้องมาซ่อมรถอีกแล้ว!

“แต่สิ่งที่แย่กว่าอุบัติเหตุคือ ปีที่แล้วผมตื่นมาแล้วปวดท้องมาก ตอนแรก คิดว่าคงกินอะไรผิดสำแดงเข้าไป เพราะผมชอบกินเผ็ด เลยพยายามนอนต่อ แต่ อาการปวดก็เพิ่มขึ้นจนทนไม่ไหว ต้องโทร.หาเทรนเนอร์ให้มาช่วยดู สุดท้ายไปจบ ที่โรงพยาบาลและพบว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องเข้าผ่าตัดวันนั้นเลย ซึ่งเรื่องไส้ติ่ง ผ่านไปด้วยดี แต่ดันมีปัญหาที่ปอดตามมา เนื่องจากตอนวางยาสลบต้องสอดท่อ ลงไปในคอ แล้วตอนดึงท่อออก ผมหยุดหายใจไปประมาณ 1 นาทีครึ่ง ซึ่งเป็นเรื่อง ซีเรียสมาก ความจริงผมต้องกลับไปเข้าแข่งขันต่อ แต่ร่างกายไม่พร้อม เนื่องจาก มีน้ำและเลือดเข้าไปขังในปอดเยอะ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากท่อที่สอดลงไปในคอ ตอนผ่าตัด ก็เลยไม่พร้อมสำหรับการแข่งขัน ต้องถอนตัวจากการแข่งขันที่มอนซา ประเทศอิตาลี ซึ่งเสียดายมากครับ แต่หลังจากพักแล้วอาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ ร่างกายผมกลับมาดีพอที่จะเตรียมตัวแข่งต่อไปได้แล้ว อาจจะยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีเวลาพอที่จะเทรนให้ทุกอย่างกลับมาดีเหมือนเดิม แต่ก็ดีพอที่จะเข้าแข่งขัน ให้จบฤดูกาลได้”

ตอนนี้คุณย้ายจากทีม Red Bull มาอยู่ทีม Williams มีแผนในอนาคตและเป้าหมายต่อไปอย่างไรคะ

อเล็กซ์เปิดใจ “ต้องบอกว่าช่วงเวลาที่ผมได้เป็น main driver หรือนักแข่งตัวจริงของ Red Bull ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของการแข่ง F1 เป็นเรื่องทำให้ผม รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ผมรู้สึกว่าช่วงนั้นเป็นการเริ่มต้นการแข่ง F1 ที่ดีมาก ๆ แต่ โชคไม่ดีที่ปีถัดมาไม่ค่อยดีเท่าไร และในปีสุดท้ายผมถูกเปลี่ยนเป็น reserve driver (นักแข่งสำรอง) ผมจึงห่างหายจากการแข่งขันไปพักหนึ่ง แต่ปีนี้ผมเริ่มต้น ใหม่ โดยเปลี่ยนไปเซ็นสัญญาใหม่อยู่กับทีม Williams แล้ว ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นปีที่ค่อนข้างดีของผม ดังนั้นผมก็คงจะโฟกัสอยู่กับที่นี่ไปอีก 2 – 3 ปี โดยการแข่งขันครั้งต่อไปน่าจะเป็นรายการ A Bahrain Grand Prix ที่จะจัดขึ้น ช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ครับ อย่างไรก็ตาม ความฝันของผมคือการเป็นคนไทย ที่ได้ F1 World Champion ซึ่งเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่มาก คงจะรู้สึกดีมากที่ได้ ยืนอยู่บนโพเดียมโดยมีธงชาติไทยอยู่ข้างหลัง (ยิ้ม) ผมจะมุ่งมั่นต่อไปครับ”

ลิลี่ล่ะคะ มีแผนอนาคตอย่างไรบ้าง

ลิลี่เล่าถึงการแข่งขันในปีนี้ “ฉันคิดว่าการแข่งขันกอล์ฟทัวร์นาเมนต์แรก ของปี 2023 น่าจะเป็นที่ประเทศไทยช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แต่ในระยะยาวแล้ว เป้าหมายของฉันคือการชนะ LPGA Tour ฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้และจะเกิดขึ้น อย่างแน่นอน แค่ต้องมุ่งมั่นและฝึกหนักต่อไป ฉันมีความหวังมาก ๆ กับการแข่งขัน ในปี 2023 นี้ค่ะ”

ต้องบอกว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของลิลี่นอกจากฝีไม้ลายมือการเล่นกอล์ฟแล้ว ก็คือลุคที่สวยเตะตาในทุกทัวร์นาเมนต์การแข่งขันจนได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้าแห่งวงการกอล์ฟ คุณดูแลตัวเองยังไงคะ

ลิลี่เล่าอย่างสนุก “ฉันชอบแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ติดว่าชอบกอล์ฟมากกว่า ก็คงจะไปทางแฟชั่นนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) เวลาว่างฉันชอบดูแฟชั่นโชว์ออนไลน์ หรือ ดูภาพใน Pinterest เพื่อหาแรงบันดาลใจ แต่สไตล์ของฉันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตาม เวลา ถ้าเป็นลุคกีฬาฉันชอบชุดของแบรนด์ FILA golf เพราะมีสไตล์หลากหลาย ให้เลือก ความจริงไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรมาก ฉันแค่รู้ว่ากระโปรงหรือเสื้อแบบไหน ที่เข้ากับรูปร่างของฉัน และแบบไหนที่ใส่แล้วสบายและมั่นใจที่สุด ดังนั้นฉันจึง มักจะใส่อะไรเดิม ๆ อย่างหมวกและรองเท้าที่ใส่เหมือนเดิมตลอด เพราะฉันต้อง อยู่ในสนามนาน ดังนั้นต้องมั่นใจว่าสิ่งที่สวมใส่ โดยเฉพาะรองเท้านั้นใส่สบายจริง ๆ แล้วฉันก็ชอบใส่สีโมโนโครม ดำหรือขาวทั้งชุด เพราะใส่ง่ายกว่าการมิกซ์แอนด์ แมตช์ชุดหลากสี

“ส่วนเรื่องผิว ศัตรูที่สำคัญของกีฬากอล์ฟคือแสงแดด เพราะเราต้องอยู่ กลางแจ้งนาน ๆ ซึ่งฉันก็เป็นคนหนึ่งที่สมัยเด็กเคยเกลียดครีมกันแดดมาก แต่ พอโตขึ้นมาก็ตระหนักได้ว่ามันสำคัญแค่ไหน จึงกลายเป็นคลั่งครีมกันแดดไปเลย ปกติฉันจะทาครีมกันแดด 3 ชนิดก่อนลงเมคอัพ อาจจะฟังดูเกินไปหน่อย แต่ฉัน ทำจริง ๆ ส่วนเครื่องสำอาง ฉันก็จะเลือกแบบที่มีส่วนผสมของ SPF ด้วย แล้ว ระหว่างวันในช่วงมีการแข่งขัน ฉันจะทาครีมกันแดดที่ใบหน้าซ้ำ 1 – 2 ครั้งด้วย ต้องคอยเติมค่ะ ส่วนผิวกายฉันจะใช้ oil spray ฉีดผิว ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด หรือสวยที่สุดนะคะ เพราะพอใช้แล้วมักจะมีรอยแทน ๆ สีผิวเราจะไม่ค่อยเท่ากัน เท่าไร แต่ฉันชอบเพราะมันใช้ง่ายที่สุด ฉันไม่อยากมือเปื้อนน่ะค่ะ

“นอกจากนี้ฉันยังแต่งหน้าเองเวลาลงสนามทุกครั้ง เคยมีช่วงปีแรก ๆ ที่ เข้าแข่งขันกอล์ฟ ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันแต่งหน้าน้อยลง ฉันน่าจะโฟกัสกับการเล่นกอล์ฟ ได้มากขึ้น ซึ่งพอมองย้อนกลับไปจริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย สำหรับฉันการลงสนามแข่งขัน คือการออกไปเพอร์ฟอร์มรูปแบบหนึ่ง มีผู้คนจับจ้องเรามากมาย ฉันจึงต้องรู้สึกดี ที่สุดเพื่อให้ตัวเองเล่นได้ดีที่สุด ดังนั้นในทุก ๆ เช้า ไม่ว่าจะเช้าหรือรีบแค่ไหน แม้กระทั่งแค่ 5 นาทีบนรถ ก็ขอให้ได้แต่งหน้า เพราะการแต่งหน้าเป็นเหมือนการ บำบัดอย่างหนึ่งก่อนเริ่มวันค่ะ” (ยิ้ม)

อเล็กซ์ - อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์ ลิลี่ - มูนี่ เหอ

มีแฟนสวยและฮ็อตขนาดนี้ อเล็กซ์หวงบ้างไหมคะ

อเล็กซ์ยิ้มพลางตอบว่า “เคยมีช่วงแรกที่คบกัน ผมชอบแกล้งแหย่ว่าผม หึงนะ แต่จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเชื่อใจลิลี่ แล้วก็ภูมิใจในตัวเธอมาก ๆ โดยเฉพาะการเป็นนักกอล์ฟของเธอ”

สุดท้าย ในฐานะนักกีฬารุ่นใหม่ที่น่าจับตา ฝากอะไรถึงเยาวชนที่อยากตามฝันให้สำเร็จเหมือนคุณสองคนบ้าง

ลิลี่ตอบอย่างตั้งใจ “ฉันคิดว่าไม่ว่าจะมีเป้าหมายหรือทำอะไรก็ตาม เรา ต้องมุ่งมั่นและผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจ และความรู้สึกของตัวเอง รวมถึงต้องเชื่อในตัวเองด้วย ตราบใดที่คุณไปในทางที่ ถูกต้อง ทุกอย่างจะผ่านไปได้ ไม่จำเป็นต้องคิดมากกับทุก ๆ เรื่องในชีวิต แค่ เอนจอยกับชีวิตให้มากขึ้น อยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น”

อเล็กซ์ปิดท้าย “อย่างที่ผมบอกว่า F1 เป็นกีฬาที่ค่อนข้างยาก และต้อง อาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งทักษะ ความรู้ทางธุรกิจ และต้นทุนทางการเงิน ดังนั้นคุณต้องอุทิศเวลาและมุ่งมั่นกับเป้าหมาย ต้องมีทั้งความรู้ ความเข้าใจ และ ความหลงใหล แม้จะไม่ง่าย แต่ถ้าคุณสนใจกีฬานี้ ผมแนะนำให้ลองเริ่มจาก local kart circuit ก่อนเพื่อดูว่าชอบกีฬานี้จริงหรือเปล่า ถ้าชอบ…ลุยเลยครับ” 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 990

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up