ต่อ ธนภพ

10 ปี กับเส้นชัยในวงการบันเทิง “ต่อ – ธนภพ” จากพระเอกวัยว้าวุ่นสู่นักแสดงคุณภาพ

Alternative Textaccount_circle
ต่อ ธนภพ
ต่อ ธนภพ

กว่า 10 ปีในวงการบันเทิง ชื่อของ “ต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร” เป็นที่พูดถึงในเรื่องของฝีมือ ความสามารถ กระทั่งมีคำว่า “นักแสดงคุณภาพ” ต่อท้ายชื่อของเขาเสมอ แต่เบื้องหลังรอยยิ้มและผลงานที่เราได้เห็นกัน แลกมาด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนัก การขับเคี่ยวกับตัวเอง และรอยแผลในจิตใจ เพื่อไปให้ถึงเส้นชัยกับคำว่า “ชัดเจนในความเป็นนักแสดง”

10 ปี กับเส้นชัยในวงการบันเทิง “ต่อ – ธนภพ” จากพระเอกวัยว้าวุ่นสู่นักแสดงคุณภาพ

จากนักแสดงในสังกัด (นาดาว) เปลี่ยนมาเป็นนักแสดงอิสระ การทำงานเปลี่ยนไปไหมคะ

“ผมคิดว่าต้องเรียนรู้ครับ คำว่านักแสดงอิสระหรือฟรีแลนซ์ สำหรับผม ณ วันนี้ก็ยังพูดได้เต็มปากว่าผมยังคงปรับตัว เพราะผ่านมายังไม่ถึงปีเลย สภาวะทุกวันนี้ จึงยังพูดได้ไม่ชัดนัก จากที่เคยอยู่ในรูปแบบค่ายมาเกือบ 10 ปี คงเป็นเรื่องยากที่จะชินทันที

“แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ใช่การปรับตัวด้วยความยากลำบาก แค่ต้องใช้เวลาสักหน่อย อย่างเมื่อก่อนรายละเอียดบางอย่างในการทำงานหลังบ้านที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้…รู้ไว้ก็ดี หรือบางอย่างก็จำเป็นต้องรู้ หรือการทำงานหลังบ้าน ก่อนจะมีผลงานหนึ่งออกมา ต้องผ่านกี่กระบวนการ ก็ต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น ต้องพาตัวเองเข้าไปสัมผัสกับงานมากขึ้น ซึ่งผมแฮ็ปปี้นะ (ยิ้ม) เพราะพอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ ก็คิดไว้แล้วว่าอยากสัมผัส อยากเรียนรู้งานตั้งแต่เริ่มต้น

“การเปลี่ยนแปลงนี้จึงมีทั้งส่วนที่ง่ายและยากขึ้นในเวลาเดียวกันครับ ที่ง่ายขึ้นคือเราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าอยากทำอะไร อยากไปทางไหน แต่ที่ยากคือไม่มีใครรับประกันว่าเราจะมีงานตลอด

“ขณะเดียวกันผมก็มีเวลาโฟกัสตัวเองมากขึ้น อาจจะเพราะวัยด้วยมั้งครับ รู้สึกว่าพอดีกันไปหมด”

ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นด้วยใช่ไหมคะ

“ใช่ครับ จริงๆ ผมชัดตั้งแต่หลังจบโปรเจ็กต์ 9 × 9 (ไนน์บายนาย) ที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยากทำงานแบบไหน อันนี้ชัดมาก เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงทำเพลงท้ายๆ ของอัลบั้ม 9 × 9 แล้วมีวันที่เราอัดเสียงกันดึกมาก จู่ๆ วันหนึ่งผมก็คิดว่าเราทำอะไรอยู่ที่ห้องนี้

“คือผมคิดถึงบรรยากาศตอนถ่ายละคร แล้วเกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราไม่ออกไปนั่งตากยุงเหมือนเวลาอยู่กอง ซึ่งพอมีคำถามนี้ขึ้นมา มัน Hint ตัวเอง คือ…ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะ เราก็เอนจอยกับงานนี้ด้วย แต่หมายถึงว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลือก เราคงเลือกการแสดง บวกกับร่างกายก็เรียกร้องเองเลย จึงเป็นสาเหตุทำให้ผมตอบตัวเองได้

“แต่ถามตอนนี้ ผมก็ตอบได้เต็มปากนะว่าผมเอนจอยกับการขึ้นคอนเสิร์ตมาก เพราะได้ Release อารมณ์ ได้ Interact บางอย่างกับคนดู ที่ไม่มีทางเจออะไรซ้ำกันเลยในแต่ละโชว์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราโยนความรู้สึกอันมหึมาของเราออกไป ผมรู้สึกว่าสนุกกับบรรยากาศตรงนั้น (ยิ้ม) แต่เวลาใครถามว่าทำไมไม่ลองทำเพลง ผมก็พูดแบบไม่อายเลยว่าผมกลัว…คือไม่ได้เกี่ยวกับเพลงนะ แต่ผมกลัวความเป็นนักแสดงของผมจะไม่ชัด ซึ่งสิ่งนี้ผมพูดกับ แพรว เป็นที่แรกเลย

“ที่จริงผมก็ได้รับคำชวนให้ทำเพลงนะครับ ซึ่งผมคิดว่าวันหนึ่งอาจจะทำ เพราะเป็นสิ่งที่ชอบเหมือนกัน ยิ่งตอนคอนเสิร์ตสุดท้ายของ 9 × 9 ท่อนแร็พนั้น ผมเขียนเอง มันมีความอินอะไรบางอย่างอยู่แหละ แต่แค่ ณ วันนี้ผมรู้สึกว่า เราไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนั้นในฐานะนักแสดง แล้วผมไม่อยากเหยียบหลายขา ถ้าวันหนึ่งผมสตรองในฐานะนักแสดงได้จริงๆ ผมอาจจะทำสิ่งนี้เป็นงานอดิเรกก็ได้” (ยิ้ม)

ต่อ ธนภพ

แม้จะผ่านการทำงานมาเยอะ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเล็กอยู่?

“ใช่ครับ ผมว่าเวลาไม่ได้ช่วย ใช้เวลาเยอะไม่ได้แปลว่าประสบการณ์เยอะ ยิ่งวันนี้ผมออกมาเจอโลกกว้าง ยิ่งรู้ว่าของจริงมันยิ่งกว่า…ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบที่เราเข้าใจเสมอไป มีเรื่องใหม่ให้เรียนรู้อยู่ตลอด

“ผลงานของผมที่ทุกคนได้ดู คิดว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าผมเห็นตัวเองตลอด ผมรู้ว่าผมพลาดตรงไหนบ้าง และผมพยายามเป็นตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ เวอร์ชั่น ทั้งเพื่อตอบแทนตัวเอง ตอบแทนแฟนๆ และคนที่เสพงานเรา ผม Concern เรื่องนี้เป็นหลัก”

ภาพนักแสดงที่ชัดเจนในมุมมองของต่อเป็นแบบไหนคะ

“บางครั้ง…ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเส้นไหนที่เรียกว่าชัด แต่ผมยังยืนยันคำเดิมว่าผมไม่สามารถพูดเป้าหมายของตัวเองในการเป็นนักแสดงออกมาได้ เพราะเขิน (ยิ้ม) ผมกล้าพูดว่าผมมีเป้า และวันนี้ผมไล่ตามอยู่ตลอด มันไม่เคยหายไปไหน แต่ก็ยังไม่ใกล้ จึงไม่กล้าพูด”

อะไรจะทำให้รู้สึกว่าฉันพอใจแล้ว ฉันเป็นนักแสดงจริงๆ แล้ว

“ผมคิดว่า…มันจะมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง ถ้าทุกคนเห็นผมเลิกเป็นนักแสดงเมื่อไร แปลว่ามันถึงวันนั้นแล้วครับ แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกอยากทำงานใหม่ๆ อยากใส่ให้เต็มที่เสมอ

“เพราะผมรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งผมไม่ต้องรู้เพิ่มเติม หรือไม่มีอะไรให้ทำแล้ว นั่นคือความเบื่อแล้วนะ แบบว่าทำงานอยู่ใน Safe Mode หรือ Autopilot แล้ว อะไรคือการเคารพคนดูว่าเขาจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ผมเชื่อเสมอว่าไม่ว่าใครจะดูออกหรือไม่ แต่น่าจะสัมผัสได้ว่านี่คือการทำงานแบบเซฟๆ ไม่เต็มที่หรือเปล่า ซึ่งสำหรับใครที่ติดตามผมมาคงรู้ว่าผมไม่เคยเปิดโหมด Autopilot เลย”

ใส่เต็มที่ทุกงานใช่ไหมคะ

“ใช่ ผมรู้สึกว่าการที่ใครเสียเวลาดูงานเรา นั่นคือเขาให้เกียรติ เราจงให้เกียรติเขากลับ อย่าเล่นง่าย อย่าทำแค่ให้มันเสร็จๆ ไป สำหรับผมไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ”

หลายคนมักพูดถึงต่อว่า “นักแสดงคุณภาพ” คิดอย่างไรกับคำนี้

“เป็นกำลังใจครับ ผมดีใจนะ ผมชอบอ่านมาก ชอบเห็นคนอินกับสิ่งที่เราทำตั้งแต่เริ่ม การที่ผมปลุกปั้นตัวละครหนึ่งขึ้นมา มันเหมือนเลี้ยงลูกน่ะ แล้ววันหนึ่งมีใครชมลูกเรา จึงเป็นความภูมิใจครับ

“ผมรู้สึกว่าดีจังเลยเวลามีใครเก็ตในสิ่งที่เราพยายามเล่าหรือสิ่งที่แสดงออกมา แต่ผมไม่ได้นำคำชมเหล่านั้นเก็บไว้ในใจ ไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งนี้คือความกดดัน เพราะทุกวันนี้ผมยังหามาสเตอร์พีซของตัวเองไม่ได้เลย ทุกคาแร็คเตอร์มักมีบาดแผลเสมอ ซึ่งคำว่ามาสเตอร์พีซสำหรับศิลปินต้องไม่มีรอย แต่สำหรับผม งานทุกชิ้นยังมีรอย แม้จะมีคำพูดว่าทุกอย่างบนโลกไม่มีทางเพอร์เฟ็กต์ แต่ลึกๆ ผมก็แสวงหาอยู่ว่าเมื่อไรมันจะไม่มีรอยวะ (หัวเราะ)

“นี่แหละความเป็นมนุษย์ ชอบมีอะไรขัดแย้งกันเองแบบนี้ เช่น เราแสวงหาความเพอร์เฟ็กต์ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มี ขณะเดียวกันการที่ผมคิดแบบนั้นก็ทำให้ผมเดินหน้าต่อไป”

ต่อ ธนภพ

บาดแผลที่บอก เคยถึงขั้นเป็นรอยแผลเป็นไหมคะ

“ไม่ครับ เป็นแผลที่ผมรู้สึกว่าเห็นแล้วอยากราดด้วยเบตาดีน (หัวเราะ) คืออยากแก้ไขทันที ซึ่งแผลเหล่านั้นจะถูกแก้ไขในงานต่อๆ ไป

“แต่ถ้าแผลลึกมาก ก็มีบ้างที่ฝังใจ ทำให้รู้สึกกลัวว่าจะเป็นอีก แต่สังเกตไหมว่าสุดท้ายคนเราจะลืมแผลเป็นเมื่อผ่านไปนานมากพอ อย่างผมมีแผลตอนรถคว่ำและลืมมันไปแล้ว แม้ทุกครั้งที่เห็นก็จะนึกขึ้นได้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ใช่ความกลัวแล้ว”

ที่ผ่านมามีแผลเยอะขนาดไหนคะ

“เยอะครับ! เส้นทางนักแสดงของผมไม่ได้สบายหรือสวยหรู ผมกล้าพูดด้วยซ้ำว่าผมถูกเลี้ยงมาแบบโขกสับ เหมือนโค้ชเลี้ยงนักกีฬา ไม่มีอะไรง่าย ทุกอย่างแลกมาด้วยความเหนื่อย มันคือสิ่งที่เราได้รับมาแบบสะบักสะบอม

“แต่สิ่งที่อุ้มผมอยู่คือคนรอบตัวกับแฟนคลับ ซึ่งสำคัญที่สุด และผมไม่มีทางทิ้งพวกเขาที่เป็นเหมือนกับเสื้อโค้ตบุนวมให้ผม ในเวลาที่ผมสะบักสะบอมจะมีพวกเขาช่วยล้อมไว้ ทำให้ผมอุ่นใจ มั่นใจ” (ยิ้ม)

รางวัลต่างๆ ที่ได้รับถือเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือหรือทำให้มั่นใจขึ้นไหม

“ระดับหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ผมไม่ได้รู้สึกว่าการได้รางวัลเท่ากับว่าเราเก่ง แต่รางวัลช่วยบอกว่าเรามาถูกทาง ผลงานได้รับการยอมรับและไปถึงคนดูนะ แต่ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ชัดเจน

“และอย่าลืมว่ารางวัลแตกสาขามากมาย ผลงานที่ได้รางวัลเกิดจากงานหลายฝ่าย ทุกครั้งผมจึงไม่เคยขอบคุณตัวเองคนเดียว แต่จะขอบคุณคนรอบข้างเสมอ ขอบคุณทีมงาน ขอบคุณแฟนๆ ซึ่งในการทำงานผมคุมได้แค่หน้าที่ตัวเอง ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะได้เจอกับทีมงานที่แมตช์กันไหม หรือไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า”

ในการรับงาน ต่อตัดสินใจจากองค์ประกอบอะไรบ้าง

“ส่วนใหญ่คือความตื่นเต้นครับ อะไรที่ทำให้ตื่นเต้นผมจะอยากทำ ซึ่งไม่จำเป็นต้องยากนะ บางอย่างง่ายๆ ก็ตื่นเต้นได้ ผมชอบอะไรที่เสี่ยงหน่อย ไม่ค่อยชอบทำอะไรเซฟๆ จึงชอบลองงานใหม่ไปเรื่อยๆ แม้จะผวาทุกครั้ง เหมือนการที่ต้องเดินข้ามอะไรบ้างก็ไม่รู้ จะเอาอยู่ไหม (หัวเราะ) แต่ถ้าผมเลือกที่จะเล่นแล้ว ทีมงานจะรู้ว่าผมใส่เต็มตัวแน่นอน

“และถ้าเล่นไปแล้ว ผมจะไม่บอกว่าหลุด ไม่ดี หรือขอใหม่อีกรอบ ผมคิดว่าตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่นักแสดง แต่ผมจะเสนอความคิดหรือไอเดียกับผู้กำกับ ถ้าเขาซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร คือผมมีสิทธิ์เสนอได้ แต่ผมไม่มีสิทธิ์รื้อ ผมไม่ใช่คนดื้อน่ะ เราทำงานเป็นทีม หน้าที่ของผมคือเช็กตัวเองอยู่เสมอ ถ้ามีโอกาสก็แก้ แต่ถ้าอันไหนผมพลาดแล้วปล่อยไม่ได้จริงๆ ผมจะพูดที่มอนิเตอร์ทันทีว่า พี่…ผมพลาด ไม่รู้ว่าใครเห็นไหม แต่ผมพลาดละ แล้วให้เขาประเมินกันว่าในมุมของเขาจะตัดตรงนี้ทิ้งไหม

“ฉะนั้นถ้าถามว่าผม Concern งานตัวเองไหม โคตรๆ ครับ แต่สุดท้ายผมจะไม่ดื้อนอกเหนือหน้าที่ตัวเอง อันนี้เหมือนเป็นการสารภาพบาปนะ เพราะในอดีตผมเคยดื้อในแบบที่เกินหน้าที่ตัวเอง ห่วงงานจนถึงขั้นไม่สนอะไรเลย สุดท้ายรู้ว่ามันไม่ดี เหมือนที่ทุกคนบอกว่าไม่มีอะไรที่มากไปแล้วดี คือเรารักงานเรามากก็จริง แต่สุดท้ายเราต้องแคร์เพื่อนร่วมงานด้วย”

ถ้ามองย้อนกลับไป ตั้งแต่เป็นไผ่ ฮอร์โมนส์ มาถึงตอนนี้ คิดว่าการเดินทางบนถนนเส้นนี้เป็นอย่างไร

“เหมือนผมกำลังเดินขึ้นบันไดที่ชันมากๆ แบบขึ้นไปไหว้พระใหญ่เลยครับ เวลาเดินแบบนั้นเราจะเงยหน้ามองตรงไม่ได้ ต้องก้มหน้า คือไม่รู้เลยว่าเมื่อไรจะถึง…รู้แต่ว่ากำลังเดินขึ้นไปอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะมองนะ รู้สึกว่าต้องโฟกัสทางที่เดิน เพราะเดี๋ยวล้ม เป็นแบบนั้นครับ”

ต่อ ธนภพ

ถ้าต้องนิยาม 10 ปีในการทำงาน คิดว่าเป็นคำว่าอะไร

“โชคดี หนึ่งคือผมโชคดีที่ได้มาอยู่บ้านที่ดี สองคือโชคดีที่ผมได้คนที่เลี้ยงผมให้โตขึ้นมาในแบบที่ดี สามคือผมโชคดี๊โชคดีที่ผมมักได้อยู่กับทีมงานที่ดี และโชคดีที่ ณ วันนี้ผมยังอยู่ครับ (ยิ้ม)

“ผมเพิ่งกล้าพูดคำว่าโชคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีหลังๆ คำว่าโชคช่วย นี่ผมเชื่อมากเลยนะ เพราะผมรู้สึกว่าการที่เราเต็มที่เป็นแค่ส่วนเดียว แต่ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเต็มที่เท่ากับประสบความสำเร็จ ไม่มีทางเลย

“บางครั้งเราเต็มที่ แต่ก็ไม่ Success คือเจ๋งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเฮงด้วย ผมไม่ได้กำลังพูดเรื่องดวงนะ แต่ในความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น เช่น ละคร เรื่องไหนจะดังหรือไม่ดัง ถามว่าเราจะรู้เหรอ ไม่รู้เลย ยิ่งยุคนี้ยิ่งไม่รู้ ละครแนวนี้ออนตอนนี้จะดีไหม หรือสมมติว่าตอนที่ทำโปรเจ็กต์คิดว่าคนดูชอบแน่ แต่โลกหมุนเร็วมาก ตอนที่ออนแอร์มันอาจจะไม่ใช่แล้ว ไม่มีใครรู้เลยครับ

“เพราะฉะนั้นถ้าบังเอิญจังหวะตรงพอดี ก็คือความโชคดีของเรา แต่การทำทุกอย่างเต็มที่ทำให้เราไม่ต้องเสียใจภายหลัง ถ้าอะไรไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ไม่ต้องมาพูดว่ารู้อย่างนี้น่าจะเต็มที่กว่านี้…”

ถ้าเป้าหมายเรื่องงานอาจยังไม่กล้าพูดชัด เป้าหมายชีวิตล่ะคะ

“มีครับ (ตอบทันที) ครอบครัว ที่อาจจะดูเป็นภาพง่ายๆ คือคิดน่ะง่าย แต่ความจริงยากนะ มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

“ทุกคนอาจมีครอบครัวในอุดมคติแบบที่อยากมี อย่างผมมีภาพต้นแบบจากครอบครัวของอา หรือใครก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราอยากได้ความอบอุ่นแบบนี้ อยากมีพื้นที่แบบนี้ มีบ้านแบบนี้ อยากเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีครอบครัวที่มีความสุข ดูแลบุพการีได้โดยไม่ต้องแคร์อะไร อยากมีชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีข้อแม้

“เพราะถ้าถามถึงเป้าหมายชีวิต ก็ต้องมองเป็นภาพนั้นแล้วครับ ผมอยู่ในวัย 20 ปลายแล้ว ผมเชื่อว่าใครที่อายุเท่านี้ก็ต้องคิดเรื่องนี้บ้างแหละ แม้ในความเป็นจริงจะไม่ง่าย เพราะข้อจำกัดของโลกนี้มีเยอะ”

อยากแต่งงานตอนอายุเท่าไรคะ

“ไม่พูด เดี๋ยวไม่ได้ตามนั้น (หัวเราะ) แต่มีคิดไว้แล้ว ก็อีกไกลประมาณหนึ่งเลย”

ในวัย 20 ปลาย “ต่อ – ธนภพ” มีอะไรที่เปลี่ยนไปจาก 20 ต้น บ้างคะ

“มุมมองครับ อาจเพราะภาพสังคมที่เราเห็นก็เปลี่ยนเราไปเรื่อยๆ อย่างล่าสุดเลย…เมื่อก่อนเวลาผมทำงานจะทำสุดตัวมากๆ ข้อไม่ดีคือทุกครั้งที่ผมทำงานแบบนี้ วันถัดไปแม้ใจผมจะอยากลุกไปทำงานต่อ แต่ร่างกายไม่อยากตื่น ไม่อยากลุก ซึ่งมันแย่มาก

“ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปากดี บอกว่าสบายมาก ไหว แต่เอาเข้าจริงทำแบบนั้นทุกวัน เอาอะไรมาไหว (หัวเราะ) ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมพยายามเปลี่ยนตัวเอง ให้ใจกับร่างกายสัมพันธ์กันหน่อย”

หมายถึงเซฟร่างกายบ้าง?

“เปล่าครับ หมายถึงต้องลุกขึ้นมาให้ได้ (หัวเราะ) เพราะ ณ วันนี้ผมยังไม่คิดจะแตะเบรกเลยแม้แต่น้อย แต่ผมรู้นะว่าผมจะแตะตอนไหน ซึ่งยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ”

ต่อ ธนภพ

แรงขนาดนี้ เหยียบคันเร่งเท่าไรคะ

“ถ้าในแง่การทำงานก็น่าจะเกินกฎหมายกำหนดนะ แต่ก็ไม่ถึงขนาด 200 อะไรแบบนั้น เพราะผมก็ระมัดระวังอยู่”

แบ่งเวลาทำงานกับเวลาส่วนตัวอย่างไรคะ

“พูดความจริงเลย แบ่งไม่ได้ครับ แต่ถ้าวันหยุดก็มีอยู่แล้ว ผมเคยผ่านยุคที่ทำงานทุกวันด้วยความรู้สึกว่า เฮ้ย อย่าหยุด! หยุดมันไม่เวิร์ค แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต้องหยุดบ้าง ก็อายุด้วยแหละ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ๆ GDH เคยแซวว่าทำงานเป็นหุ่นยนต์อย่างนี้ เดี๋ยวรอดูนะ วันหนึ่งจะไม่ไหว แล้วไม่ใช่แค่คนเดียวที่พูดกับผมอย่างนี้ แล้ววันนี้จุดนั้นก็มาถึงจริงๆ (หัวเราะ)

“จากเมื่อก่อนทำงาน 36 ชั่วโมงแบบไม่นอนเลยก็ยังได้ แต่ตอนนี้ขอ 12 ชั่วโมงแรกให้รอดก่อน ก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าเราใช้ร่างกายเยอะเกิน ดึงอนาคตมาใช้ไปแล้ว”

แล้วมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรคะ

“ถ้าพูดแบบไม่โลกสวย ก็ดูแลเท่าที่ได้เลยครับ แต่ถามว่ายิ่งอายุมากขึ้น การดูแลตัวเองต้องเพิ่มขึ้นใช่ไหม ใช่ครับ แต่ผมคงเป็นแนวไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา สมัยเด็กจึงไม่แคร์อะไรเลย พังก็พัง แต่พอถึงจุดหนึ่ง อุ้ย ทำยังไงดี อยากกลับไปเหมือนเดิม

“ตอนนี้ถ้ามีเวลาก็จะออกกำลังกายครับ ส่วนใหญ่เป็น Body Workout ใช้น้ำหนักร่างกาย อย่างบาร์หลายประเภท บาร์เดี่ยว บาร์คู่ บาร์ตัวงอบ้าง เพราะผมชอบรูปร่างของคนที่เล่นประเภทนี้ และที่ทำให้ติดใจก็คือไม่ใช่การเล่นเพื่อกล้าม แต่เล่นเพื่อความสตรอง เพราะผมว่านักแสดงอย่างเราต้องการสิ่งนี้แหละ อย่างวันนี้จู่ๆ พี่ทีมงานให้ผมอุ้มพีพี ก็ต้องใช้ความแข็งแรงนะ”

แล้วในแง่จิตใจดูแลอย่างไรคะ

“ก็มีหนีไปทะเลบ้าง ผมชอบทะเล ชอบมองธรรมชาติ แต่ชอบมองนิ่งๆ นั่งเฉย ๆ หรือเดินชายหาดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่รู้สึกว่า Comfortable แล้ว ก็นั่งพักตรงนั้น แค่นั้นเลย มันคือช่วงเวลาที่ได้ปล่อยใจ บางครั้งสิ่งที่เราทำ คาแร็คเตอร์ที่เราแบกไว้ มันแบกตลอดไม่ได้ ก็ต้องมีช่วงที่เอาออกบ้าง เดี๋ยวเริ่มใหม่”

ถ้า “ต่อ – ธนภพ” ในวัย 28 ปี นั่งไทม์แมชีนกลับไปเจอตัวเองตอนอายุ 20 อยากบอกอะไรคะ

“อยากบอกตัวเองว่าดีแล้ว หมายถึงว่าสิ่งที่นายทำมาดีมากแล้ว ขอบคุณที่เหนื่อยมาขนาดนี้ เพราะการที่นายเหนื่อยขนาดนั้นในวันนั้นน่ะ ทำให้มีเราวันนี้ แล้วก็อยากให้ตัวเองตอนวัย 20 คอยให้กำลังใจเราในวัยนี้ต่อไป อวยพรให้มีคนรักไปนานๆ ครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 990

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up