ต้น ธนษิต

ต้น ธนษิต กับวันนี้ที่กล้า Come out พร้อมเป้าหมายว่า ฉันต้องมีคอนเสิร์ตของตัวเอง

account_circle
ต้น ธนษิต
ต้น ธนษิต

ต้น ธนษิต… จากเด็ก 7 ขวบที่ร้องเพลงในห้องน้ำ กับวันนี้ที่กล้า Come out พร้อมเป้าหมายว่า ฉันต้องมีคอนเสิร์ตของตัวเอง

The New Era ของต้น ธนษิต … ยุคใหม่ของ ต้น ธนษิต เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ต้น ในวัย 33 บอกเราว่า ทั้งชีวิต เขาไม่อยากมีเพลงฮิตแค่เพลงเดียว “ขนาดบริทนีย์ยังมีเพลงฮิตตั้งมาก เราก็อยากเป็นศิลปินที่มีเพลงฮิต มากกว่าแค่เพลง “รู้ยัง”ขาไม่อยากมีเพลงฮิตแค่เพลงเดียว

กลับมาครั้งนี้ต้นเปิดตัวในฐานะศิลปินของค่าย LoveIS พร้อมกับตัว ตนที่กล้า Come out เป็นตัวเองมากที่สุดในชีวิต ก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า ถึงแม้คนทั่วไปจะรู้ว่าต้นไม่ใช่ผู้ชาย แต่เขาก็ใช้ชีวิตอย่างอึดอัด และกลัว การตัดสินของสังคม
เพราะฉะนั้น การกลับมาครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนนึงในชีวิตก็ว่าได้ ต้น โฟกัสกับชีวิตที่อยากใช้ และทำในสิ่งที่อยากทำ นั่นคือการเป็นนักร้อง ซึ่ง เป็นฝันที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขา 7 ขวบ ณ วันนั้นต้นจัดคอนเสิร์ตด้วยการร้อง เพลงในห้องน้ำ แต่วันนี้ เขาอยากทำฝันให้เป็นจริง ด้วยการมีเพลงฮิต เยอะๆ และมีคอนเสิร์ตในฮอลล์จริงๆ สักที

การกลับมาครั้งนี้เปลี่ยนลุคโดยสิ้นเชิง ได้รับฟีดแบคจากแฟนๆ เป็นยังไงบ้าง
“แฟนๆ ชอบ เขาเห็นในเอ็มวีก็บอกเสื้อผ้าแซ่บมาก เมื่อก่อนเราใส่ แต่สูท กลับมาครั้งนี้จึงเป็นตัวเองมากที่สุด แต่งเปรี้ยวได้แล้ว ดีใจที่แฟชั่น ยุคนี้ไม่จำกัดว่า ใครต้องใส่อะไร ผู้ชายใส่ส้นสูงได้ และไม่ต้องเป็นเกย์ ด้วย แฟชั่นมันไม่มีเพศแล้ว”

กว่าจะกล้าลุกขึ้นมาแต่ง ยากไหม

“ต้นเริ่มแต่งหลังจากที่เรา come out ต้นว่า ทุกคนรู้ว่าเราเป็นเกย์ แต่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราลงรูปกับแฟนคนปัจจุบันในไอจี ซึ่งคบกันมา 4 ปี เป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอะไรดลใจให้ลงก็ไม่รู้ คิดว่า ไม่เป็นข่าวหรอกเพราะเราก็ไม่ได้ดังขนาดมีคนสนใจ ปรากฏว่า ผิด คาด ข่าวลงเยอะมาก มากกว่าข่าวผลงานเพลงของต้นตลอด 10 ปี (หัวเราะ)

“กลับมาที่เรื่องชุด เพราะฉะนั้นพอคนรู้ เราเปิดตัวแล้ว เราก็เป็นตัว เองได้เต็มที่ อยากจะแต่งอะไรก็แต่ง”

แปลว่า เมื่อก่อนต้องมีช่วงที่ต้นไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นตัวเองเลย (หัวเราะ) ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว สังคมยังไม่เปิดรับเรื่องเพศเท่าวันนี้ ตอนนั้นแข่งรายการ AF ซีซั่น 6 อยู่ในรายการเรียลิตี้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากจะระวังคำหยาบคายใน บ้านแล้ว ก็ต้องระวังกริยา ไม่ถึงขั้นพยายามดูแมน แต่ก็ต้องไม่หลุดสาว เกินไป เพราะสมัยก่อน เวลาใครดูสาว เหมือนมีตราบาปในชีวิต ไม่เหมือน สมัยนี้ จะสาวก็สาวไปเลย ตอนนั้นสาวแล้วจะถูกบูลี่ ทำให้เรากลัวว่า ถ้า สาวมากคนจะไม่ชอบ จึงต้องสงบอาการ

“กระทั่งชนะ ได้เป็นแชมป์ ผู้ใหญ่ก็เตือนว่า อย่าสาวนะ อย่าทำมือ สาว หรือเดินสาวไป เดี๋ยวงานน้อย ไม่มีแฟนคลับ แต่พอต้นลองคิดย้อน คนที่เชียร์ต้นเขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็น เพราะต้นอยู่ในบ้าน 3 เดือน ถ้าแอ๊บ แมนได้เก่งขนาดนั้น คงได้รางวัลออสการ์แล้ว

“แน่นอนว่า เวลาโดนผู้ใหญ่ปรามจะอึดอัด เราไม่รู้ว่า การเป็นสาว มันผิดตรงไหน ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจ”

ตกผลึกได้ตอนไหนว่า การเป็นตัวเองไม่ใช่เรื่องที่ผิด

“หนึ่งด้วยสังคมตอนนี้เปิดกว้างขึ้น รู้สึกว่า จะกลัวการเป็นตัวเองไป ทำไม ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย พอตอนนี้ทุกอย่างเปิดกว้าง รู้สึกว่าดี ดีใจแทน น้องๆ ยุคนี้ที่สามารถเป็นอะไรก็ได้ ในยุคเรามีไม่กี่คนที่กล้า เราเองก็ไม่ กล้าด้วยซ้ำ แต่พอเราตกผลึกได้ว่า ทำไมต้องกลัวที่จะเป็นตัวเอง จึงเริ่ม เป็นตัวเองมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ออกมาประกาศว่า เป็นเกย์ พูดไปก็จะตลก เพราะคนรู้อยู่แล้วว่าเป็น แค่ไม่ได้พูด (หัวเราะ)

“งานเพลงครั้งนี้เราเป็นตัวเองมากขึ้น อย่างในเอ็มวีก็ได้จับมือกับ ผู้ชาย มันเป็นนิมิตหมายอันดีนะ เพราะต้นก็อยากให้มีพื้นที่สำหรับนักร้อง LGBT บ้าง และการกลับมาครั้งนี้ก็เป็นยุคใหม่ของเราด้วย”

ขอถามถึงงานเพลงบ้าง เพราะอะไรต้นถึงทำตัดสินใจย้ายมาอยู่ LoveIS

“เพื่อนๆ อยู่ที่เลิฟอิสเยอะ อย่างวง Mean เราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมหาลัย เขาก็ชวนมาอยู่ค่ายนี้ ต้นรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ของเราเรา เหมือนได้อยู่กับครอบครัว อบอุ่น เป็น กันเอง”

เพลง ‘ขอบคุณที่เคยใจร้ายกับฉัน’ อะไรคือแรงบันดาลใจของเพลงนี้

“เป็นชีวิตของเราเลยที่เล่าเรื่องราวของความรัก จุดประสงค์แรกคือ อยากทำเพลงที่มีความหมายดี สนุกสนาน ส่วนเนื้อหาก็คือเรื่องราวของเรา จริงๆ ก่อนจะเจอแฟนคนปัจจุบัน ต้นเคยเจอคนใจร้ายมาก่อน เราเขียน เรื่องราวของเรา เป็นบทความเลยนะว่าเจออะไรมาบ้าง ยื่นกระดาษให้คน แต่งเพลง แล้วเขาก็เขียนเพลงนี้ขึ้นมา”

เรื่องไหนที่คนใจร้ายกับต้นมากที่สุด

“เพื่อนชอบแซวว่า ต้นโดนดาวเมียน้อยโคจรรึเปล่า เพราะที่ผ่านมา มักเจอคนที่มีแฟนแล้วมายุ่ง ไม่ได้เจอแค่เคสเดียวแต่หลายเคส เช่น ผู้ชาย คนนั้นเขามีแฟนอยู่แล้ว แต่ยังไม่เลิกกันดี อารมณ์ทะเลาะกันอยู่ แต่เขา บอกว่า เลิกแล้ว เราก็ตกเป็นมือที่ 3 โดยไม่รู้ตัว แล้ววันนึงแฟนเขารู้เรื่อง ก็โทรมาต่อว่าเรา อันนี้ก็คืองง พอรู้ต้นก็เลิกเลย เพราะถ้ารู้ว่า ใครยังอยู่ ในความสัมพันธ์ที่ดี เราไม่ยุ่งอยู่แล้วเพราะ ไม่ชอบดราม่า

“เวลาเจอเรื่องรักร้ายๆ อย่างนี้ ต้นอดทนนะ เพราะเชื่อว่า ยังมีความ รักดีๆ รออยู่ แล้วเราก็ไม่ได้ทำตัวแย่ ไม่เคยไปแย่งใคร เราเรียนรู้ที่จะ อดทนรอคนที่ดี ดีใจที่ไม่ถอดใจไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เจอกับแฟน คนนี้ ซึ่งกว่าจะเจอเขา ต้นโสดเต็มๆ ประมาณ 4 ปี”

เคยคิดเรื่องแต่งงานมั้ย

“มีครับ ถ้าแต่งได้ก็อยากจะแต่ง ไม่ได้พูดในแง่จัดงานหรูหรานะ เรา อยากถึงขั้นจดทะเบียน ถ้ากฎหมายเอื้อ เพราะรู้สึกว่า ถ้าอยู่กับใคร แล้ว ได้สิทธิ์ทางกฏหมายที่เท่าเทียมก็คงดี”

นอกจากความรักในแง่ความสัมพันธ์แล้ว อีกสิ่งที่ต้นรักมากๆ ก็คือเสียง เพลง ต้นชอบการร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตั้งแต่เด็กๆ เลย ต้นจำได้ว่า ยุคนั้นเป็นยุคของ mtv กับ chanel v ระหว่างรอรถตู้มารับไปโรงเรียน เราฟัง Crazy in love ของบียอนเซ่ รู้สึก ชอบจัง อยากร้องเพลงแบบนี้ อยากเล่นเอ็มวี มีครั้งนึง ที่นั่งฟังเพลง My heart will go on ในรถ ยังคิดเลยว่า ทำไมคนเราถึงสามารถร้องเพลงได้ เพราะขนาดนี้ นั่นเป็นที่มา ที่ทำให้ต้นในวัย 7 ขวบ ลุกขึ้นมาร้องเพลงหน้า กระจกในห้องน้ำ เพื่อนบ้านเคยบอกแม่ว่า ลูกร้องเพลงเสียงดังมากเลย แม่ก็กลัวเขาว่าเลย รีบขอโทษ แต่เขากลับบอกว่า ‘ไม่เป็นไร เพราะดี’ เรา รู้สึกว่า เห้ย เสียงเราก็ไม่แย่นะ โอเค ร้องเพลงต่อไป” (ยิ้ม)

เคยมีโอกาสเรียนร้องเพลงจริงจังไหม

“เคยลองเรียนคอร์สสั้นๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนจริงๆ คือตอนที่ต้นไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาตอนอยู่ม.6 มีโอกาสอยู่ในชมรม ร้อง ประสานเสียง ได้ร้องในโบสถ์ด้วย รู้สึกเก๋มาก ซึ่งการร้องพลงที่นั่นทุก คนจริงจังชนิดที่สามารถกางโน้ตแล้วร้องเพลงได้ เราก็งง เพราะไม่เคย เรียนดนตรีมาก่อน อาศัยจำเมโลดี้ให้ได้

“ส่วนเรื่องชีวิต ที่นั่นสอนอะไรต้นหลายอย่าง คนอเมริกันตรงมาก เรา เป็นคนไทยก็ขี้เกรงใจ โฮสต์เคยทำอาหารให้กินแล้วไม่ชอบ แต่กลับบอก เขาว่า ชอบ เพราะอยากรักษาน้ำใจ แต่เราก็กินได้น้อย จนเขาถามว่า ไม่ ชอบอาหารเหรอ จุดนั้นถึงกล้าบอกว่าไม่ชอบ เขาก็สอนว่า ทีหลังถ้าไม่ ชอบก็ต้องบอกสิ จะได้ทำอย่างอื่นให้ เราก็ถึงรู้ว่า เออ ชีวิตมันก็แค่นั้น แหละ ไม่ชอบอะไรก็บอก”

พอกลับมาเมืองไทย ต้นเริ่มประกวดรายการ AF เลยใช่มั้ย

 “ใช่ครับ ตอนนั้นตรงกับซีซั่น 6 ตอนแข่งก็เครียดนะ เพราะว่า อยาก อยู่ในรอบ 12 คนที่ได้เซ็นสัญญา จะได้มีงาน พอเข้ารอบเราก็โล่ง แต่ก็ เครียดอีก เพราะไม่อยากถูกคัดออกตั้งแต่อาทิตย์แรก เราก็พยายามมาก จนได้เข้าถึงรอบสุดท้าย มันเป็นความเครียดและสนุกไปในตัว เพราะเรา ได้โจทย์ใหม่ๆ เช่น ให้ร้องเพลงหมอลำก็เครียดมาก เพราะไม่ถนัด แต่ สุดท้ายก็ชนะจนได้

ตอนที่เราได้รางวัล รู้สึกเข้าใกล้คำว่า ประสบความสำเร็จแล้วยัง

“ต้นรู้สึกว่า สิ่งที่ต้นทำมาตลอด 3 เดือนที่แข่งขัน มันเริ่ดนะ ชนะด้วย แต่ชีวิตหลังจากนั้นคือ การเริ่มต้นใหม่ เราไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองประสบ ความสำเร็จแล้ว มันเป็นแค่การแข่งขันในรายการ ก็แค่ชนะในรายการ พอ จบแล้ว ก็ต้องสู้ต่อในชีวิตจริง ซึ่งคือการแข่งขันที่แท้จริงมากกว่า เพราะ ฉะนั้นชีวิตจะประสบความสำเร็จมั้ย ต้องดูหลังจากรายการจบแล้ว”
ชีวิตของต้นหลังจากรายการจบเป็นยังไง

“เป็นชีวิตที่เว่อร์มาก มีแฟนคลับตามเยอะไปหมด อย่างที่เห็นแฟน คลับสายวายมีคนตามเยอะๆ อย่างยุคนี้ เมื่อก่อนก็เคยมีคนตามเราอย่าง นั้น มีคนซื้อของ ซื้อเสื้อผ้าให้ ได้ไปออกรายการ ออกคอนเสิร์ต ออกเพลง เหมือนความฝันเป็นจริงนะ แต่มาถึงวันนี้ ชีวิตก็เปลี่ยนเหมือนกัน”

ยังไงบ้าง

“ต้นได้เรียนรู้ว่า วงการบันเทิง ไม่มั่นคงมากๆ คนเข้ามาเยอะ แต่ก็ จากไปเยอะ อย่างแฟนคลับแต่ก่อนต้นก็มีเยอะนะ ตอนนี้ก็หายๆ กันไปบ้าง ทำให้เรามองเห็นสัจธรรม เห็นธรรมชาติ ต้องไม่ยึดติด ไม่งั้นจะปวดหัว มาก

แปลว่า เมื่อก่อนเคยยึดติด

“เคย จนปวดหัวและเครียด ทำไมแฟนคลับน้อยลง ทำไมเพลงไม่ดัง หรือถ้าไปทำงานบางที คนรู้จักเพลงเรา ก็จะเฮฮามาก ในขณะบางที่ เขา ไม่รู้ว่าเราคือใคร ก็จะสงสัยว่า ใครอ่ะ คือถ้าเราซีเรียสกับตรงนี้จะประสาทเสียมาก ต้องทำใจยอมรับว่า มีทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักเรานะ เรา ต้องจิตใจต้องเข้มแข็ง”

อยากรู้ว่า เวลาไปร้องเพลงในที่ที่ไม่มีใครรู้จักต้นเลย ทำอย่างไร

“ก็ไม่เป็นไร ร้องเพลงให้ดี เดี๋ยวเขาก็รู้จักเอง (ยิ้ม) คิดในแง่นั้น อย่างทุกวันนี้ก็รู้สึกว่า ยังไม่ดัง ยังหาหนทาง ยังสู้อยู่ หวังว่าสักวันจะถึงจุด ของเรา ก็ต้องสู้กันไป”

แต่หนทางในวงการนี้ โหดมากเลยนะ

“ยากมาก เราไม่ได้เล่นซีรีส์ ไม่ได้มีแฟนคลับ เราร้องเพลงละคร รู้เลย ว่า ยาก แต่เราก็ยังอยากมีเพลงฮิตเยอะๆ จนถึงขั้นมีคอนเสิร์ตเป็นของตัว เอง ต้นว่า นักร้องทุกคนมีความฝันนี้ แค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมี”

เคยคิดว่า ไม่อยากทำงานในวงการนี้บ้างมั้ย

“เคย มีบางวูบที่เหนื่อยจัง ยอดวิวคนดูเท่านี้เอง จิตตกบ้างจนคิดว่า ทำอย่างอื่นดีไหม แต่สุดท้ายก็ตกตะกอนความคิดว่า ร้องเพลงมาครึ่งค่อน ชีวิตแล้ว คือร้องเพลงตั้งแต่เรียนปี 3 และไม่เคยทำงานอย่างอื่นเลย ถ้าไม่ ร้องเพลง จะทำอะไรวะ? คิดไม่ออกนะ สุดท้ายได้แค่ฟุ้งซ่านแปบเดียว หลังจากนั้นก็ สู้ต่อไปสิวะ ร้องไปก่อน เรามีค่ายที่คอยสนับสนุนเราอยู่ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ทุกวันนี้แรงแสวงหาความดังคือ ยังเท่าเดิมนะ แต่ เครียดน้อยลงกว่าเดิมมาก”

ถ้าอยากประสบความสำเร็จในวงการนี้ ต้องทำอย่างไร

ไม่มีหลักการอะไรตายตัว ที่ต้นรู้คือ มันขึ้นกับ 3 องค์ประกอบได้แก่ ดวง จังหวะ โอกาส ต่อให้เก่ง แต่ดวงไม่ดี ไม่มีโอกาส ก็ไม่มีประโยชน์ ขณะที่บางคนไม่เก่งขนาดนั้น แต่ดวงดี โอกาสดี คนมักจะสงสัยว่า ทำยังไง ให้เพลงดัง คำตอบคือ ไม่มีใครรู้จริงๆ” อะไรคือแรงผลักดันให้ต้นลุกขึ้นมาร้องเพลงในทุกๆ วัน

“ต้นมีเพลงฮิตมากๆ แค่เพลงเดียว คือ ‘รู้ยัง’ ก็ยังรู้สึกว่า ไม่ ฉันไม่ อยากเป็นนักร้องที่ฮิตแค่เพลงเดียว ฉันอยากมีอีก มันยังไม่พอ ต้องทำให้ได้ อันนี้เป็นแรงขับที่ทำให้เราสู้ อย่าง บริทนีย์ ยังมีเพลงฮิตหลายเพลง เรา ทำไมเราต้องมีเพลงเดียว ต้องมีมากกว่านั้นสิ ซึ่งทุกวันนี้คนก็ยังพูดถึง ‘รู้ยัง’ อยู่ มันเป็นเป้าหมายในชีวิตเลยนะที่ต้องมีเพลงฮิตหลายเพลง ทุก วันนี้ฉันมีเพลงใหม่แล้ว ฟังเพลงใหม่กันก่อน อีกอย่างคือ ต้นอยากมี คอนเสิร์ตของตัวเองให้ได้ เมื่อถึงวันนั้นน่าจะเข้าใกล้คำว่า ประสบความ สำเร็จแล้ว”


เรื่อง : ฝ้าย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up