แอนนา เสืองามเอี่ยม

เอ็กซ์คลูซีฟ! คุ้ยทุกแง่มุม “แอนนา เสืองามเอี่ยม” กองขยะหล่อหลอมชีวิตให้รู้คุณค่าตัวเอง

Alternative Textaccount_circle
แอนนา เสืองามเอี่ยม
แอนนา เสืองามเอี่ยม

ถึงวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ “แอนนา เสืองามเอี่ยม” ผู้คว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ (Miss Universe Thailand 2022) ที่มาพร้อมกับฉายา “นางงามที่เติบโตมาจากกองขยะ” และสตอรี่จับใจ จนจุดกระแสสังคมหลากหลายด้าน ทั้งฝั่งที่ชื่นชมยินดีกับเส้นทางการดำเนินชีวิตที่ไม่ย่อท้อ ในขณะที่อีกกระแสก็ว่าเป็นการสร้างสตอรี่ให้ดราม่าคว้ามงเก่ง

แพรว นัดพบกับ “แอนนา” เพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวหลากหลายด้านในชีวิตของเธอ ตั้งแต่วัยเยาว์ในบ้านที่พ่อแม่ทำงานเก็บขยะ การเติบโตในฐานะเด็กวัด จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ คว้าตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก่อนจะพบว่าไม่ว่าใครจะมองอย่างไร ไม่สำคัญเท่าเรามองชีวิตตัวเอง เพราะแม้ผู้หญิงคนนี้จะเติบโตมาท่ามกลางขยะ แต่ชีวิตขับเคลื่อนไปด้วยพลังของความรักที่เต็มเปี่ยม ทั้งความรักจากพ่อแม่ จากคนรอบข้าง สำคัญที่สุดความรักที่เธอมีให้ตัวเอง

เอ็กซ์คลูซีฟ! คุ้ยทุกแง่มุม “แอนนา เสืองามเอี่ยม” กองขยะหล่อหลอมชีวิตให้รู้คุณค่าตัวเอง

ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 อีกครั้งนะคะ ย้อนกลับไปความรู้สึกบนเวทีตอนที่ทราบว่าได้รับตำแหน่งเป็นอย่างไรคะ

“จำได้ว่าตอนที่จับมือลุ้นตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์กับเพื่อน ๆ นางงาม แอนนาพยายามท่องชินบัญชรในใจ แต่สติไปแล้ว คือท่องไม่จบ โอ๊ย ถึงท่อน ไหนแล้ว เพราะตื่นเต้นมาก กระทั่งตอนประกาศชื่อคือช็อกมาก ไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวอย่างไร ต้องร้องไห้หรือเปล่า ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นวันสุดท้ายของเวที มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์เลย แต่รู้สึกเหมือนเป็น Episode สุดท้ายของแคมเปญหนึ่งเท่านั้น

“กระทั่งวันรุ่งขึ้น ตอนให้สัมภาษณ์สื่อแล้วเขาให้เล่าตั้งแต่วันแรกที่ เข้าร่วมประกวดจนถึงวันที่ได้รับมงกุฎ จึงได้มานั่งทบทวนตัวเองว่าเจออะไรมาบ้าง เท่านั้นแหละ น้ำตามาเลย เข้าใจแล้วว่าการร้องไห้เพราะความสุขคืออะไร ไม่ได้ เสียน้ำตาเพราะเหนื่อย แต่รู้สึกตื้นตันใจว่ามีคนคอยให้กำลังใจและซัพพอร์ตเรา มาตลอด คือเวทีนี้ทำให้มีคนรักแอนนามากขึ้น รู้สึกว่าการสู้ด้วยตัวคนเดียว ก็ส่วนหนึ่ง แต่การเดินทางที่มีคนคอยซัพพอร์ตเราขนาดนี้มีความหมายมาก ทั้งทีมพี่เลี้ยงและแฟนนางงาม พอคิดถึงตรงนี้ก็เลยเข้าใจฟีลลิ่งของนางงามตอน รับมง (กุฎ) แล้วว่าต้องรู้สึกอย่างไร จากแต่ก่อนที่เคยสงสัยว่าเขาร้องไห้กันทำไม วันนั้นคือเข้าใจแล้วว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ”

ทราบว่าก่อนหน้านี้เคยแอบซ้อมรับตำแหน่งมาบ้าง

“ใช่ค่ะ แอนนาชอบจินตนาการ แล้วก็เชื่อเรื่องกฎแรงดึงดูดมาก ๆ จึง จินตนาการตั้งแต่เริ่มประกวดเลยว่าเวทีเป็นแบบนี้นะ เรากำลังทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอเห็นชุดราตรี เห็นมงกุฎของจริง ก็ค่อย ๆ เติมเข้าไปในจินตนาการให้ภาพชัด และสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ ถือเป็นการเสริมกำลังใจให้ตัวเอง แล้วพอช่วงใกล้วัน ประกวดรอบท้าย ๆ แอนนาซ้อมเดินและซ้อมจับมือกับโค้ชตลอด โดยจินตนาการ ความรู้สึกตอนรับตำแหน่งเลยว่าเป็นอย่างไร เห็นภาพเวที เห็นตัวเอง เห็น ทุกอย่าง แล้วทุกครั้งที่ซ้อมก็ขนลุกตลอด หรือเรามีสัมผัสพิเศษก็ไม่รู้ (หัวเราะ) หรืออาจจะเพราะแอนนาอินและตั้งใจอยากมายืนอยู่ตรงนี้ให้ได้จริงๆ

“แล้วพอวันที่ได้รับตำแหน่งและมงกุฎจริงๆ เชื่อไหมคะ เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับตอนซ้อมเลย นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่แน่ใจว่านี่ใช่เรื่องจริงไหม ซ้อมอยู่หรือเปล่า แอนนาว่าสุดท้ายแล้วการที่เราคิดเรื่องดีก็เป็นเหมือนกำลังใจ ให้ตัวเอง และเสริมให้สิ่งที่หวังเกิดขึ้นจริง หรือการที่เจอแต่เรื่องแย่ อาจเป็น เพราะเราคิดไม่ดีกับตัวเองก็ได้นะ เพราะฉะนั้นคิดบวกไว้ก่อนดีกว่า”

แอนนา เสืองามเอี่ยม

ย้อนกลับไป แอนนาคิดว่าอะไรที่ทำให้ชนะใจกรรมการจนครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2022 ได้สำเร็จคะ

“ความเป็นตัวเองค่ะ เวทีนี้สอนเยอะมาก โดยเฉพาะการรู้คุณค่าของตัวเอง ความจริงแอนนาเคยประกวดมาหลายเวที ก่อนหน้านี้เคยกดดันตัวเองมามาก พยายามทำอะไรก็ได้ให้คนอื่นชอบเรา จะพูดหรือทำอะไรก็จะคิดตลอดว่าถ้าพูด แบบนี้เขาจะโอเคไหม ถ้าทำแบบนี้เขาจะชอบเรามากกว่าหรือเปล่า เขาจะรัก เราไหม ซึ่งกลายเป็นว่าไม่เป็นตัวเองเลย เพราะนำความคิดคนอื่นมากำหนด การกระทำตลอด

“แต่ด้วยบริบทของเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ที่ต้องการผู้หญิงที่รู้คุณค่า ในตัวเองและสามารถส่งต่อคุณค่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม การเป็นตัวเอง จึงดีที่สุด ถ้าใครจะรักเรา ก็ให้เขารักในแบบที่เราเป็น พอแอนนามาประกวดเวทีนี้ จึงไม่ได้ต้องการจะ‘Impress’ หรือทำให้ใครประทับใจในแบบที่ผ่านมา แต่เรา ต้องการจะ‘Express’ แสดงความเป็นตัวตนออกมาให้คนได้เห็นว่าเราเป็นแบบนี้

“แต่กว่าจะคิดได้ก็ทำการบ้านหนักมากนะคะ ว่าคุณค่าในตัวเราคืออะไร ก่อนจะพบว่าก็คือเรื่องราวของเราเอง ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ซึ่งก็คือนางงาม ที่เติบโตจากกองขยะ เพราะพ่อแม่ทำอาชีพเก็บขยะ แม้จะไม่ได้มีพร้อมเท่าคนอื่น แต่เรามีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งพอยอมรับในตัวเองได้ ไม่ฝืนเป็นอะไรที่ไม่ได้เป็น เราจึงสนุกและเต็มที่กับทุกกิจกรรม กรรมการก็น่าจะ เห็น ทำให้เราดูน่าสนใจขึ้น อยากรู้ประวัติเรามากขึ้น ประกอบกับสตอรี่ของ แอนนาอาจจะเหมาะสมกับคอนเซ็ปต์ของปีนี้ที่เป็นTheNewBeginning หรือ การเริ่มต้นใหม่ด้วยค่ะ”

อะไรที่ทำให้กล้าเล่าเรื่องตัวเองที่อาจเป็นเรื่องน่าอายสำหรับบางคนได้อย่างไม่ปิดบังคะ

“ความจริงสมัยยังเด็ก เวลาใครถามก็เคยรู้สึกอายนะ ว่าทำไมพ่อแม่เรา ต้องทำอาชีพนี้ด้วย ซึ่งเป็นความไม่รู้ของเด็ก แต่พอเราโตขึ้น พบว่าอาชีพของ พ่อแม่ก็สุจริตและมีเกียรติ ทุกอาชีพล้วนมีคุณค่า ไม่มีใครด้อยกว่าใคร อย่าง แอนนาก็เรียนจบมาได้ด้วยอาชีพที่พ่อแม่ทำเพื่อหาเงินส่งเสียเรา แล้วทำไมเรา จะไม่ภูมิใจในตัวพ่อแม่ล่ะ แต่กว่าจะคิดได้ก็ต้องใช้เวลาสะสมและตกตะกอนทาง ความคิดพอสมควร ต้องบอกว่าการผ่านเวทีประกวดนางงามแต่ละเวทีช่วยสอน ให้แอนนาค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับตัวเอง และสอนให้รู้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาและ คนรอบตัวที่ดีกับเรามีค่าแค่ไหน

“พอเดินทางมาถึงวันนี้ แอนนาคิดว่าทุกคนมีเรื่องราวที่สามารถเล่าและ สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้หมด ชีวิตเราผ่านอะไรมาเยอะ เสียน้ำตาก็หลายครั้ง แต่ชีวิตไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าเล่าแล้วทำให้คนอื่นร้องไห้ เสียใจ ไม่เกิดประโยชน์ อะไรก็คงไม่เล่า แต่ถ้าชีวิตที่คนมองว่าลำบากนี้สามารถนำไปเล่าแล้วสร้างอิมแพ็กต์ ในทางที่ดี เป็นพลังบวกให้คนอื่นได้ ฟังแล้วฮึดสู้ ทำให้เขามีกำลังใจ ช่วยให้ เขาประสบความสำเร็จ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แอนนาก็ยินดีและ ภาคภูมิใจที่จะเล่าค่ะ ดีใจด้วยซ้ำที่เราสามารถนำชีวิตที่ผ่านมาส่งต่อคุณค่าในชีวิต ให้คนอื่นได้ ให้เขารู้ว่าแม้ชีวิตจะลำบาก แต่เราก็สามารถสร้างคุณค่าให้คนอื่นได้เช่นกัน”

ถ้าอย่างนั้นช่วยเล่าถึงวัยเด็กที่เติบโตมาจากกองขยะและวัดให้ฟังได้ไหมคะ ว่าสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมให้เป็น “แอนนา” อย่างทุกวันนี้อย่างไร

“แอนนาเติบโตมาในครอบครัวพนักงานที่ทำงานเกี่ยวกับขยะค่ะ พ่อ (สมชาย เสืองามเอี่ยม) เป็นพนักงานเก็บขยะเขตตลิ่งชัน ส่วนแม่ (สมพร ศรีบุญเรือง) เป็นพนักงานกวาดขยะ แต่ทั้งสองท่านหย่ากันตั้งแต่สมัยแอนนาอยู่ อนุบาล ตอนแรกแอนนาอยู่กับคุณพ่อก่อน แต่ความที่ท่านต้องออกไปทำงาน ตั้งแต่ตี 3 – 4 แล้วด้วยสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างอันตรายกับเด็กผู้หญิงที่ต้องอยู่ คนเดียว คุณทวดซึ่งเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดช่างเหล็ก ตลิ่งชัน จึงขอให้พ่อพาแอนนา มาอยู่กับท่านและแม่ที่วัดแทนตั้งแต่ ป.3 จนถึงมหาวิทยาลัยเลย

“ตอนอยู่วัดแอนนาอยู่กับแม่ในห้องที่เป็นผนังไม้สี่ด้านเล็ก ๆ กับหลังคา ส่วน คุณทวดอยู่อีกห้อง แล้วใช้ห้องน้ำรวมกัน เช้ามาถ้ามีเรียนทวดก็จะตื่นมาต้มไข่ ให้กินแต่เช้า แต่ถ้าวันไหนไม่มีเรียนก็จะได้กินข้าวก้นบาตรพระกับทวด ซึ่งจะมา ตอน 10 โมง กิจวัตรประจำวันหลังกินข้าวก็ล้างจาน ซักผ้า อ้อ ช่วยทวด ตำหมากด้วย เพราะสำหรับเด็กมองเป็นเรื่องสนุก เหมือนของเล่น ตำไปก็แอบ ชิมไปด้วย ฝาดมาก ไม่รู้ทวดกินได้อย่างไร (หัวเราะ) ถ้าวันไหนพ่อเก็บของเล่น จากกองขยะมาซ่อมให้เล่น ก็จะถือว่าเป็นของพิเศษหน่อย จะดีใจมาก

“เวลาเล่าเรื่องนี้ หลายคนอาจมองว่าลำบากจัง น่าสงสาร แต่แอนนา ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยนะคะ อย่างของเล่นจากขยะ เราก็มองว่าจุดประสงค์ของ การเล่นคือการทำให้เด็กสนุก ไม่ได้วัดที่มูลค่า ดีใจด้วยซ้ำที่คุณพ่อนำมาให้ หรือการกินข้าวก้นบาตรพระก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน้อยใจ เพราะการกินข้าวจะมา จากไหนไม่สำคัญ ขอแค่อิ่มก็สบายใจแล้ว ชิลมาก ส่วนการอยู่วัดก็เป็นเรื่องดี เพราะสำหรับเด็กผู้หญิงแล้ว การมีที่อยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อม ที่ปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งโชคดีว่าแอนนาอยู่วัด พอ เรารู้สึกปลอดภัยก็จะมีความสุข สบายใจ และสนุกขึ้นมาเอง แม้จะไม่ได้อยู่แบบพ่อแม่ลูกพร้อมหน้าพร้อมตา แต่พ่อแม่ ก็รักแอนนามาก ทวดก็รัก และยังมีแม่ชีท่านอื่น ๆ ที่คอยดูแล เหมือนเราเป็นลูกหลาน จึงไม่เคยรู้สึกขาดอะไรเลย โชคดี ด้วยซ้ำที่คนรอบตัวรัก เข้าใจ และเติมเต็มให้เรา อย่างทุกวันนี้ ก็มีทั้งคนรอบตัวดี ๆ มีทีมที่เอ็นดูและทำทุกอย่างให้เราโดยไม่ ต้องการสิ่งตอบแทน แอนนาว่าสิ่งสำคัญคือไม่ว่าเราจะอยู่ในมิติ ไหน ขอแค่เราเลือกมองแต่มิติที่มีความสุข เราก็จะมีความสุข”

แอนนา เสืองามเอี่ยม

จุดเริ่มต้นของการอยากเป็นนางงามเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ

“ความจริงแอนนาก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปที่รักสวยรักงาม ชอบดูของสวย ๆ งาม ๆ แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเวทีนางงาม จริง ๆ คือตอนเป็นเชียร์ลีดเดอร์สมัยเรียน ม.ปลายที่โรงเรียน มหรรณพาราม เนื่องจากพี่ที่สอนเต้นลีดฯตอนนั้นมีเพื่อนอยู่ ในทีมประกวดของมิสทีนไทยแลนด์ ซึ่งกำลังหาเด็กไปประกวด อยู่พอดี เราก็เลยคิดว่าลองไปประกวดดูดีกว่า เพราะรักสวย รักงามอยู่แล้ว เวทีนี้อาจจะทำให้สวยและมีชื่อเสียงขึ้น ตอนแรก ก็คิดว่าไปเล่น ๆ แต่ปรากฏว่าไม่เข้ารอบเลยตั้งแต่แรก จากที่ คิดว่าจะลองเล่น ๆ กลายเป็นร้องไห้หนักมาก เรียกว่าเป็นครั้งแรก ที่เผชิญกับความล้มเหลว จากนั้นก็เลิกประกวดไปพักใหญ่เลย หันไปโฟกัสเรื่องเรียนแทน กระทั่งตอนเรียนปี 2 คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาการโรงแรม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ก็ได้มีโอกาสกลับมาประกวดนางนพมาศของ มหาวิทยาลัย ซึ่งครั้งนั้นชนะอันดับ 1 ทำให้รู้ว่า อ๋อ…การจะไป ประกวดอะไร ต้องทำการบ้านศึกษาเรื่องบริบทของเวทีก่อน แต่เวทีแรกเราไปแบบไม่รู้อะไรเลย จึงตกรอบ

“หลังจากนั้นถ้ามีเวลาตรงกับเวทีไหน แอนนาก็จะลอง ประกวดดูบ้าง แต่ยังโฟกัสเรื่องเรียนเป็นหลัก ความจริงตอนแรก ตั้งใจอยากเป็นแอร์โฮสเตสด้วย เพราะสมัยเด็กไม่ค่อยได้เที่ยว เนื่องจากพ่อแม่ทำงานหนักทั้งวัน อย่างเก่งคือได้นั่งรถขยะไป กับพ่อ จึงคิดว่าถ้าเป็นแอร์ฯจะเป็นการทำงานที่ได้เงินด้วย ได้ เที่ยวด้วย แต่ปรากฏว่าพอเรียนมหาวิทยาลัยจบปุ๊บ โควิดมาจ้า จึงต้องเปลี่ยนความคิด จากแอร์ฯมาหางานประจำทำก่อน เริ่ม จากไปเป็นพนักงานที่คลินิกทันตกรรม แล้วก็มาเป็นพนักงานที่ ร้านขายขนมปัง จากนั้นได้ไปแคสต์งานกับ RS ปรากฏว่าโชคดี ได้เป็นทั้งนักแสดงและเออี (พนักงานขาย) ไปพร้อมกันเลย ซึ่ง กลายเป็นจังหวะให้ได้เข้าสู่เวทีประกวดมาเรื่อย ๆ แต่ยังไม่ ประสบความสำเร็จ (นางสาวถิ่นไทยงามและเวทีนางสาวไทย ปี 2020 ก่อนหน้านั้นก็มี Miss Mobile Thailand 2018) อาจ เพราะประสบการณ์ยังน้อย และความคิดความอ่าน มายด์เซต ยังไม่เท่าตอนนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเก็บประสบการณ์ที่ดีค่ะ”

แล้วกับเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ล่ะคะ เข้ามาประกวดได้อย่างไร เตรียมตัวหนักแค่ไหนคะ

“ความจริงแอนนาฝันไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าเส้นทางการประกวด แล้วว่าเวทีใหญ่ที่เป็นจุดหมายปลายทางที่อยากลงประกวดเป็น ที่สุดท้ายคือมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ พอรู้ตัวแล้วจึงทำการบ้านกับทีมหนักมาก เพื่อศึกษาว่าบริบทของเวทีนี้คืออะไร เขาต้องการหาผู้หญิงที่มีคุณสมบัติแบบไหน อย่างที่บอกไป กระทั่งตัดสินใจว่าจะลงประกวดตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่พี่แอนชิลี (แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส) ได้มงกุฎ

“พอตัดสินใจแล้วก็เริ่มจากการรักษารูปร่างให้สมส่วนตั้งแต่ตอนนั้น ออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วก็เริ่มติวเรื่องข่าวสารบ้านเมือง เพราะตอนนั้นแอนนา ยังทำงานเป็นนักแสดงและเออีให้กับบริษัท RS ทางช่อง 8 คือทำทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังแทบจะ 7 วันเลย วันธรรมดาทำงานเออีตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 1 ทุ่ม พอเสาร์ – อาทิตย์รับงานนักแสดง เรียกว่าทำงานตลอดจนแทบไม่รู้ข่าวสารบ้านเมืองเลย จึงต้องอัพเดตเรื่องข่าวมากหน่อย นอกจากนี้ก็มีฝึกการพูด ฝึกเพอร์ฟอร์แมนซ์ ซึ่งต้องทำทุกอย่างนี้หลังเลิกงานตอน 1 ทุ่ม กว่าจะฝึกเสร็จก็ราวเที่ยงคืน ทำ แบบนี้แทบทุกวัน ยกเว้นวันไหนเหนื่อยมากจริง ๆ ก็อาจจะขอพักบ้าง แต่ทั้งหมด ที่ทำคือสนุกนะคะ ด้วยความชอบเรียนรู้ แม้จะเหนื่อย แต่ตื่นมาก็หาย

“กระทั่งหนึ่งเดือนก่อนการประกวดจริงจะเริ่ม แอนนาก็ลาออกจากงาน ประจำทั้งเออีและนักแสดง เพราะอยากทุ่มเทให้กับการประกวดเต็มที่ ไม่ได้ อยากฝึกแค่ 4 – 5 ชั่วโมงต่อวัน แต่อยากฝึกทั้งวันไปเลย ตารางช่วงนั้นจึงแน่น หน่อย แต่ละวันจะฝึกไม่เหมือนกัน บางวันก็ถ่ายรูป ถ่ายลุคบุ๊กบ้าง ที่เน้นคือ สปีชและเพอร์ฟอร์แมนซ์ ฝึกการเดิน โพส หมุนตัว ประมาณ 4 ชั่วโมง รวมถึงการออกกำลังกายกับเน้นการสร้างคอนเทนต์ด้วยค่ะ เพราะแอนนา ต้องการสร้างฐานแฟนคลับ จะได้มีกำลังใจคอยซัพพอร์ต จากที่แต่ก่อนไม่เคย เล่นโซเชียลเลย จู่ ๆ ก็อัพไอจีรัว ๆ เพื่อน ๆ คงตกใจ (หัวเราะ) เป็นหนึ่งเดือน ที่ใช้เวลาได้คุ้มค่ามาก”

พอเข้าสู่ช่วงประกวดจริงๆ เป็นเหมือนที่คิดไว้ไหมคะ

“มีทั้งเหมือนและไม่เหมือนที่คิดไว้ค่ะ เพราะในโลกความเป็นจริงไม่มีอะไร ได้ดั่งใจไปทุกอย่าง บางเรื่องที่เราเตรียมตัวมาเยอะ ก็คาดหวังเยอะ รู้สึกว่าเรา น่าจะทำได้ดีกว่านี้ อย่าง Episode หนึ่งที่ชื่อว่า ‘Rock the Runway’ ที่ให้ผู้เข้า ประกวดเดินบนกระดานที่วางบนน้ำ แอนนาตีโจทย์ว่าเขาต้องการผู้หญิงที่เดินได้ โดยไม่ตกน้ำ แต่ความจริงคือเราจะตกหรือไม่ตกน้ำก็ได้ ขอแค่มีความมั่นใจ แต่พอเราตีโจทย์ว่าต้องไม่ตกน้ำ ทำให้การเดินดูเกร็งไปหมด ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจ เพราะกลัวตกตลอดเวลา ทำให้ไม่ได้คะแนนตามที่หวัง วันนั้นกลับมา ร้องไห้กับพี่เลี้ยงหนักมากว่า ‘ทำยังไงดี หนูตีโจทย์ผิด ได้คะแนนไม่ดีเลย’ ซึ่ง โชคดีว่าพี่เลี้ยงช่วยให้สติว่านี่เพิ่งเป็น Episode แรก ๆ จะทำพลาดไปบ้างก็ ไม่เป็นไร ดีด้วยซ้ำที่พลาดตั้งแต่แรก ๆ ต่อไปจะได้แก้ไขถูก จากนั้นแอนนาก็ ร้องไห้ออกมาหมด คือเป็นประเภทร้องแล้วต้องร้องให้เต็มที่ แล้วค่อยเริ่มใหม่ วันรุ่งขึ้นก็คิดแค่ว่าวันนี้ฉันต้องดีกว่าเมื่อวานให้ได้ ซึ่งกลายเป็นว่าเราปลดล็อก ตัวเองมาก ๆ ใน Episode ต่อมาที่เป็น Swimsuit Competition หรือชุดว่ายน้ำ คือถ้าให้วิจารณ์ตัวเอง รู้ว่าเราดีขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก เพราะพอตีโจทย์ถูก มีความมั่นใจในตัวเอง ก็พบว่าเราทำได้นี่”

แอนนา เสืองามเอี่ยม

ชุดว่ายน้ำถือเป็นชุดปราบเซียนของผู้หญิง ต่อให้สวยแซ่บแค่ไหนก็จะมีจุดที่ไม่มั่นใจในรูปร่าง แอนนามีวิธีเรียกความมั่นใจอย่างไรคะ

“จริงค่ะ ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะมีสัดส่วนดีแค่ไหน ก็คงไม่สามารถ จะมีรูปร่างตรงใจ ตรงมาตรฐานของคณะกรรมการทุกคนได้ เพราะแต่ละคนชอบ ไม่เหมือนกัน ดังนั้นแอนนาคิดว่าเวทีนี้กรรมการคงไม่ได้มองแค่รูปร่าง แต่ มองหาความมั่นใจ ซึ่งเกิดจากการยอมรับในรูปร่างและหุ่นของตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าเรารักตัวเองมากพอ และพอใจว่านี่คือทรวดทรงของฉัน ที่แม้จะไม่ได้ถูกใจ ทุกคนหรือตรงตามมาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้แย่ พอเรามั่นใจแล้ว มันจะออกมา ทางแววตา พี่อแมนด้า (อแมนด้า ออบดัม) สอนว่า ถ้าเราสามารถส่งอินเนอร์ และความมั่นใจผ่านสายตาออกไปได้ คนดูจะรู้สึกว่าเรากลมกล่อมหมดเลย แต่ถ้าเรารู้สึกไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง เขาจะไม่มองหน้า แต่จะไปมองหาว่าอะไร ที่ทำให้เราไม่มั่นใจ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เราต้องมั่นใจในตัวเองก่อน

“ซึ่งสำหรับแอนนา โมเมนต์นั้นเราเต็มที่ที่สุดแล้ว ต้องเดินต่อจาก ‘อาย – กันยารัตน์’ คือความจริงเป็นเพื่อนกันนะคะ แต่ความที่อายหุ่นสับมาก ในหัว ตอนนั้นคือต้องบอกตัวเองว่า ‘เธอสวยใช่ไหม…ได้ ฉันสวยกว่า’ (หัวเราะ) แล้วก็ เดินเลยค่ะ บอกตัวเองไปตลอดทางว่า ‘ฉันสวย มองมาที่ฉันสิ!’ ซึ่งพอเรามั่นใจ ก็รู้สึกว่าทำได้ดีเลยค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีทุกวันนะคะ แอนนาถือคติว่า พลาดแล้วก็แค่นำมาคุยกับทีมเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น ทำอย่างไรก็ได้ให้เราค่อย ๆ มั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นทุกวัน เหมือนกราฟที่ไต่ขึ้นเรื่อย ๆ”

อีกเรื่องที่แอนนาได้รับคำชมมากคือการตอบคำถามที่แสดงถึงทัศนคติที่ดี อยากรู้เคล็ดลับการตอบคำถามให้จับใจกรรมการและผู้ฟัง

“แอนนาใช้วิธีคิดว่าทุกข้อที่กรรมการถามมาเกี่ยวเนื่องกับชีวิตเราทั้งหมด ถ้าเรากลัวและคิดว่าคำถามนั้นอยู่นอกบริบทของชีวิตเรา เราจะตอบไม่ได้เลย ดังนั้นพอได้ยินคำถามปุ๊บ แอนนาจะคิดก่อนเลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องหรือสามารถ เชื่อมโยงกับชีวิตเราอย่างไรบ้าง พอรู้แล้วก็จะสามารถหาคำตอบที่มาจากชีวิตเราได้ แอนนาเชื่อว่าไม่มีใครรู้จักเราเท่าตัวเราเอง ถ้าเราพูดออกมาจากความจริงที่เกิด ในชีวิต ทุกคนจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกว่าเราจริงใจจริง ๆ

“อย่างคำถามที่แอนนาคิดว่าตัวเองตอบได้ดีและชอบมากที่สุดคือตอนที่ ให้เปรียบเทียบว่าตัวเองเป็นดอกไม้ชนิดไหน แล้วแอนนาตอบว่า ‘ดอกบัว ที่ แม้ว่าจะเกิดมาจากโคลนตม แต่สุดท้ายดอกบัวสามารถสวยสง่าบนผืนน้ำได้ อย่ายึดมั่นว่าเราเกิดมาจากอะไร แต่จงยึดมั่นว่าเราเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ด้วย พลังของเรา’ เพราะรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่สั้น กระชับ และกลมกล่อม ซึ่งเหมือน เรามีแรงบันดาลใจที่จะตอบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เนื่องจากวันที่เปิดตัวมงกุฎ แล้ว เห็นว่ามงกุฎมีสัญลักษณ์ของนกยูงกับดอกบัว ซึ่งสื่อถึงความสง่างาม ก็รู้สึกเลย ว่ามงกุฎนี้มีอะไรเชื่อมโยงกับเรามาก แล้วทีมพี่เลี้ยงก็ส่งข้อความมาให้กำลังใจ เราว่า ‘แอนนาดูนะ สัญลักษณ์ของมงกุฎนี้เหมือนตัวเธอเลย’ ก็เลยคิดว่าดอกบัว นี่แหละคือตัวเรา แม้จะมาจากโคลนตม เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือก ที่จะเป็นได้ ขอแค่มี Power of Resilience คือรู้จักปรับตัว ล้มก็ลุก ไม่ยอมแพ้ ยึดมั่นเข้าไว้ เราก็จะประสบความสำเร็จได้ ตอนที่ได้ยินคำถามนี้ก็นึกถึงคำพูด ของพี่เลี้ยงขึ้นมาเลย จึงตอบไปแบบนั้น ทำให้ทุกคนสัมผัสถึงตัวตนเราได้ และ มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย นี่ก็แอบคิดนะว่าเหมือนมงกุฎถูกสร้างมา เพื่อเราเลย” (หัวเราะ)

แอนนาพูดตลอดว่าเชื่อในเรื่องการพัฒนาตัวเอง ถ้าให้ยกตัวอย่างเรื่องที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดคือเรื่องอะไรคะ

“น่าจะเป็นเรื่องการพูดนี่แหละค่ะ เมื่อก่อนแอนนาพูดเหมือนท่องแคมเปญมาเลย ‘แอนนาคิดว่าโลกเราสมัยนี้…’ (ท่องให้ฟังเป็นตัวอย่าง) นั่นก็เพราะอย่างที่เล่าว่าเราพยายามทำให้คนอื่นชอบ แต่พอเราเรียนรู้และฝึกซ้อมมากขึ้น พัฒนาขึ้น ก็รู้ว่าจงพูดในสิ่งที่คิดและรู้สึก แล้วทุกคนจะเข้าใจว่าเราจะสื่อสารอะไร อาจจะไม่ได้เป็นคำพูดที่สวยหรู แพตเทิร์นงดงาม ภาษาทางการ หรือตรงแกรมมาร์ แต่ จุดประสงค์ในการพูดคือ หนึ่ง คนอื่นฟังแล้วเข้าใจ สอง รู้ว่าแอนนารู้สึก อย่างไร ซึ่งจะมีอิมแพ็กต์กว่ามาก แอนนาคิดว่าเรื่องนี้ตัวเองประสบความสำเร็จ ประมาณหนึ่งนะคะ เวลาที่เราตอบคำถามแล้วทุกคนรู้สึกตาม ก็เป็นพัฒนาการ ที่เกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝนมาตลอด”

โปรเจ็กต์ที่มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์คนนี้อยากทำให้เมืองไทยมากๆ คืออะไรคะ

“มีสองเรื่องค่ะ อย่างแรกเลยคือการศึกษา เพราะแอนนามีประสบการณ์ตรง อย่างที่รู้กันว่าแอนนาไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยสมบูรณ์แบบ แต่แม่บอกเสมอว่าการศึกษาจะเปลี่ยนชีวิตได้ แม่จบแค่ ป.6 ความจริงแม่รัก การเรียนมาก แต่เรียนต่อไม่ได้เพราะฐานะไม่อำนวย แต่เพื่อน ๆ ที่เรียนจบดี ๆ ได้ มีฐานะดี ชีวิตดีทุกคน แม่จึงสนับสนุนเรื่องการเรียนมาก ยอมทำงานสามที่ ต่อวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทั้งกวาดขยะ เป็นแม่บ้าน และพนักงานล้างจาน เพื่อ ส่งแอนนาเรียน ซึ่งพอถึงวันหนึ่งที่เราเรียนจบ ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา ชีวิตก็เปลี่ยนไปจริง ๆ มีโอกาสเข้ามามากมาย มีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ ได้เจอ การทำงานที่ดี และยังได้เข้าสู่เส้นทางนางงามและรับมงกุฎอย่างทุกวันนี้ ซึ่งการที่ แอนนาออกมาพูดก็เพื่อย้ำว่าการศึกษานั้นสำคัญจริง ๆ อยากให้สังคมช่วยกัน ดูแลคนข้างหลังที่ยังต้องการความช่วยเหลือและยังเผชิญความลำบากอยู่

“ซึ่งกว่าที่แอนนาจะเรียนจบได้ก็ลำบากมากจริง ๆ ทั้งที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรเป็นสิ่งที่เด็กไทยทั้งประเทศควรได้รับอย่างเท่าเทียมกัน แต่ยังมีเด็กอีกหลายคน ที่เข้าถึงการศึกษาได้ยากมาก แม้รัฐจะมีทุนการศึกษาให้ แต่กว่าจะได้ค่าเทอม จากรัฐก็ไม่ง่าย แอนนาเองต้องเสียค่าเดินทาง ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือ ต้อง เรียนให้ดี กว่าจะได้ค่าเทอมที่รัฐจัดให้ หรือทุนจากบางหน่วยงานของรัฐก็ต้อง ทำความดีแลก ต้องเก็บขวดพลาสติก บริจาคเลือด เพื่อสะสมเป็นคะแนน เป็นหน่วยกิจแต่ละเทอมจึงจะได้ทุน หรือบางทีบอกทุนเรียนฟรี แต่จบออกมา ต้องใช้ทุน แอนนาจึงรู้สึกว่าถ้าเราบอกว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ แล้วทำไมจึง ไม่มีการสนับสนุนให้เต็มที่ ให้การศึกษาโดยไม่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรมากมาย แอนนายังโชคดีที่แม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ขณะที่บางบ้านที่แย่กว่าเรา ถ้าตื่นขึ้นมา แล้วเขาต้องเลือกระหว่างหนังสือเรียนกับข้าวหนึ่งจาน เป็นใครก็ต้องเลือกข้าวก่อน ซึ่งแอนนาคิดว่ามันไม่ควรจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ถ้าการศึกษาสำคัญ เด็กควร ได้รับการศึกษาฟรีทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งค่าเดินทาง ค่าเครื่องแบบ แบบเรียน อุปกรณ์การเรียน ฯลฯ แอนนาจึงอยากใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นกระบอกเสียงให้คนได้รู้ ว่ายังมีเด็กอีกมากมายที่รอความช่วยเหลือตรงนี้อยู่”

อีกเรื่องที่อยากทำล่ะคะ

“ขยะค่ะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ทำงานเกี่ยวกับขยะ แอนนาจึงอยากพูด สองประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเด็นที่หนึ่งคือ เรื่องของอาชีพ ‘คนเก็บขยะ’ แต่ก่อน คนมักคิดว่าอาชีพเก็บขยะไม่มีเกียรติ เพราะเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรก แต่ขอถาม หน่อยว่าถ้าไม่มีอาชีพนี้แล้วโลกจะเป็นอย่างไร ใครจะทำ ความจริงไม่ใช่แค่อาชีพ พนักงานเก็บขยะเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายอาชีพที่ถูกลดทอนคุณค่า ทั้ง ๆ ที่เขา ก็ทำประโยชน์เพื่อสังคม แอนนารู้สึกว่าถ้าอาชีพสุจริตใดไม่มีประโยชน์ต่อสังคม มันก็คงไม่มีอาชีพนั้นเกิดขึ้นมา ดังนั้นตราบใดที่อาชีพนั้นยังสุจริต ก็ถือว่า มีประโยชน์ต่อสังคมและทุกคนหมด ไม่อยากให้ใครดูถูกใคร

“นี่ขนาดแอนนาได้มงกุฎ ยังมีคนมาคอมเมนต์ว่าเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ แล้วทำไมพ่อยังต้องทำงานเก็บขยะอยู่อีก ทำให้แอนนานึกสงสัยว่า อ้าว แล้วการเก็บหรือกวาดขยะไม่ดีตรงไหนคะ ทำไมยังมีคนมองว่าอาชีพนี้ด้อยกว่าอาชีพ อื่น ทั้งที่ทำประโยชน์ให้สังคมเหมือนกัน สำหรับแอนนาภูมิใจมากที่พ่อเราคือ ผู้พิทักษ์ความสะอาด (น้ำเสียงภาคภูมิใจ) แอนนาจึงอยากเป็นกำลังใจให้คนทำงาน ภูมิใจในหน้าที่ของเขา และอยากเป็นกระบอกเสียงในการรณรงค์ให้คนในสังคม ยอมรับ ให้เกียรติ และให้คุณค่ากับผู้คนที่ทำอาชีพนี้ด้วยค่ะ

“ประเด็นที่สองคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งความจริงเป็นเรื่องเบสิกมาก ทุกคนทำได้ แต่ไม่ค่อยมีใครทำ อย่างการช่วยกันคัดแยกขยะ เพื่อนำบางส่วน ไปรีไซเคิล หรือการเปลี่ยนจากถุงพลาสติกมาเป็นถุงผ้าให้มากที่สุด คือประเด็น เรื่องขยะกับสิ่งแวดล้อมนั้นอาจจะไม่ได้เห็นผลกระทบชัดเจนสั้น ๆ แต่มันจะค่อย ๆ สะสมขึ้นเรื่อย ๆ และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในอนาคตแน่นอน จึงอยาก รณรงค์ให้การเก็บขยะ คัดแยกหรือลดขยะ เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม เริ่ม จากวันนี้เลย ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่เริ่ม แรก ๆ อาจรู้สึกไม่สะดวก เพราะไม่ชิน แต่เดี๋ยวนี้ผู้คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้ามากขึ้น แอนนาคิดว่าเราค่อย ๆ ปรับตัวไป ค่อย ๆ ทำจนเป็นนิสัยให้เคยชินและติดตัวไป อนาคตก็จะช่วยเปลี่ยน โลกได้ค่ะ

“ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสเข้าพบและพูดคุยกับอาจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะ และมลพิษ ในกรุงเทพฯเหมือนกัน พวกเรามิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ทั้ง 5 คนก็อาสากับอาจารย์ ไปว่า ถ้ามีโครงการอะไรที่จะให้ช่วยรณรงค์ ขอให้แจ้งพวกเราได้เลย ยินดี ช่วยอย่างเต็มที่ อยากเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนช่วยกันค่ะ”

แอนนา เสืองามเอี่ยม

สิ่งที่มาพร้อมกับการเป็นคนของสังคมคือคำวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ แอนนามีวิธีรับมือกับคำพูดเหล่านี้อย่างไรคะ

“ความจริงแอนนารู้สึกว่าหลายคอมเมนต์แรง จนไม่รู้ว่าเรื่องไหนแรงที่สุด แต่อย่างที่บอกว่าเวทีนี้สอนให้รักตัวเอง และทำทุกอย่างโดยไม่ต้องการให้ใคร มาประทับใจหรือชอบเรา เรามาเพื่อที่จะแสดงตัวตนของเราให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็น แบบนี้ ดังนั้นถ้าใครจะชอบหรือไม่ชอบเราก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าใครติเพื่อก่อ แอนนาก็จะรับฟังแล้วนำไปพัฒนาตัวเองต่อไป แต่ถ้าติโดยไม่มีประโยชน์อะไรเลย ก็อยู่ที่เราแล้วว่าจะเลือกเก็บไว้ไหม แอนนาว่าสุดท้ายแล้วคนที่เราควรฟังมาก ที่สุดคือคนที่รักเรา ที่รู้จักเนื้อแท้ของเราจริง ๆ และตัวเราเอง ดังนั้นถ้าคำพูด ไหนเป็นทองก็เก็บไว้ คำพูดไหนเป็นหินก็โยนทิ้งไป ชีวิตยังมีดราม่าอีกเยอะ ถ้า ใส่ใจไปกับทุกคอมเมนต์ แอนนาคงเป็นไบโพลาร์แล้ว

“แต่ก็อยากฝากบอกถึงคนที่เขียนคอมเมนต์ว่าทุกคำพูดที่คุณเขียนมา คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคนฟังรู้สึกอย่างไร อยากให้กลั่นกรองความคิดก่อนพูดหรือ เขียนออกมา ว่าถ้าคุณโดนคำพูดแบบนี้บ้างจะรู้สึกอย่างไร แล้วหลาย ๆ ครั้ง บางคำพูดก็แสดงกิริยาหรือความคิดของผู้พูดเองนะคะ อยากให้ลองเอาใจเขามาใส่ ใจเรา ถ้าพูดแล้วคุณยังรู้สึก เขาก็รู้สึกได้เหมือนกัน เพราะเราก็มนุษย์เหมือนกัน”

ในฐานะมิสยูนิเวิร์ส แอนนามองว่าคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ไหน

“คุณค่าของผู้หญิงเราน่าจะมีหลายอย่างประกอบกัน แต่สำคัญที่สุด คือ การรักตัวเอง อาจพูดง่าย แต่ทำยาก แต่ถ้าเราไม่รักตัวเองจริง ๆ เราจะหลงทาง ทันที ต้องมั่นใจก่อนว่าทุกอย่างที่คุณทำ ไม่ว่าจะทำผิดหรือถูก จะมีตัวคุณเอง ที่คอยซัพพอร์ตตัวเองอยู่ จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ถ้าคิดไตร่ตรองมาดีแล้วให้ลงมือ ทำเลย เพราะต่อให้ออกมาไม่ดี คุณจะยังมีตัวคุณอยู่เคียงข้างตัวเองเสมอ แล้ว เชื่อไหม คุณจะกล้าทำอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้น ถ้ารักตัวเองได้ คุณจะมั่นใจ ในตัวเอง และไม่ว่าจะเจอกับอะไร คุณก็จะรู้ว่าตัวเองมีค่าพอ และไม่เก็บเอา เรื่องไม่เป็นเรื่องหรือเรื่องล้มเหลวมาใส่ใจ”

ขอวิธีรักตัวเองแบบที่แอนนาพูดถึงว่าต้องทำอย่างไรคะ

“ง่ายมากค่ะ สังเกตไหมคะว่าเวลาทำอะไร เรามักมีคำพูดในหัว ให้ลอง คิดว่าคำพูดนั้นเป็นเพื่อนของเรา สมมติว่าจะต้องเดินขึ้นบันได ตอนกำลัง จะก้าวขึ้น ถ้าเพื่อนบอกว่า ‘ลื่นล้มแน่นอน เธอทำไม่ได้หรอก’ คุณจะยังคบเพื่อน คนนั้นไหม ขณะเดียวกันถ้ามีเพื่อนอีกคนบอกเราว่า ‘เธอทำได้แน่นอน ลอง ก้าวขึ้นดูก่อนสิ ล้มก็ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้ เราจะต้องขึ้นไปด้วยกันจนได้’ คุณ จะคบเพื่อนแบบไหน เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณมีเพื่อนแบบไหนอยู่ในตัวเอง ถ้า ในชีวิตจริงไม่มีใครอยากคบเพื่อนร้าย ๆ แบบนั้น แล้วตัวคุณเองเป็นเพื่อนที่ดีกับ ตัวเองแค่ไหน จงใจดีกับตัวเอง เพราะต่อให้ไม่มีใคร คุณก็จะมีตัวเองคอย ซัพพอร์ตตัวเองเสมอ เพราะฉะนั้นรักตัวเองให้มาก ๆ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ค่ะ”

ไหนๆ เข้าเรื่องรักแล้ว ขออนุญาตถามว่าสวยขนาดนี้ มีคนรู้ใจแล้วหรือยังคะ

“ยังไม่มีค่ะ (ถอนหายใจ) แต่ถ้าถามว่าที่ผ่านมาฮ็อตไหม ก็นิดหนึ่งนะ (หัวเราะ) คือเคยมีคนคุยด้วยบ้างตามประสาสาว ๆ เนอะ แต่เลิกกันไปตั้งแต่ช่วง เตรียมตัวก่อนประกวด เพราะแอนนาไม่มีเวลาโฟกัสเรื่องอื่นเลย เราทุ่มเทกับ การประกวดเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทำอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้อีกไหม ขอทำ ตรงนี้ให้ดีที่สุดและทำอนาคตให้มั่นคงก่อน ส่วนความรักน่าจะเป็นสิ่งที่เราหา ได้ในระหว่างทางหรืออนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะมีใครสักคน…แต่ก่อนอาจจะมอง คนหล่อบ้าง แต่ตอนนี้แอนนามองหาคนที่เข้าใจเรา ซัพพอร์ตเรา กล้าตักเตือน เวลาเราทำผิด กล้าพูด กล้าคุย กล้าบ้าและสนุกไปด้วยกัน แลกเปลี่ยนไอเดียกัน ซึ่งหายากมากนะ หาคนที่เข้าใจนี่หายากกว่าหล่ออีก” (หัวเราะ)

งั้นกลับมาเรื่องที่น่าจะง่าย คือเคล็ดลับความสวยแบบหัวจรดเท้าในแบบแอนนา

“เริ่มจากรักตัวเองก่อนนะคะ ถ้ารักตัวเองแล้ว เราก็อยากดูแลให้ตัวเอง ดูดีขึ้นในทุก ๆ วัน อย่างน้อยก็ต้องรักความสะอาดละหนึ่ง ความจริงในวงการ นางงามมีเคล็ดลับเยอะมากจนจำไม่ไหว ให้ทำอะไรก็ทำ แต่ที่แอนนาเน้นดูแล ตัวเองคือกินวิตามินเป็นประจำ หลัก ๆ คือวิตามินซี เพื่อบำรุงผิว เวลาแต่งหน้า เครื่องสำอางจะได้ติดหน้า แล้วก็นอนให้พอค่ะ ซึ่งความจริงแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะช่วงประกวดเวลานอนน้อยมาก อาศัยนอนเก็บสะสมแต้มไป ตอนแต่งหน้า ก็งีบได้ ช่างแต่งหน้าก็แต่งไปแอบถ่ายรูปไป แกงแอนนามาก (หัวเราะ) อย่างที่ บอกค่ะ ทำทุกอย่างเต็มที่ เรื่องนอนก็เต็มที่เหมือนกัน แต่ถ้านอนน้อยมาก ๆ ก็จะมาสก์หน้าในอีเว้นต์สำคัญ ๆ บ้าง แต่ปกติแอนนาผิวมันค่ะ ถ้ามาสก์หน้า บ่อยแล้วจะแต่งหน้าไม่ติด ส่วนเวลาแต่งหน้าช่างหน้าจะเน้นตากับคิ้วของแอนนา เพราะเป็นจุดเด่นของเรา ถ้าสวยก็จบเลย

“ส่วนเรื่องฟิตหุ่นก็ทำตามตารางออกกำลังกาย แต่ละวันอาจจะไม่เหมือนกัน และส่วนตัวคิดว่าไม่ผิดที่เราจะกินของชอบบ้าง แค่ต้องรู้ลิมิตและวิธีเอาออก จะใส่ทุกอย่างลงในร่างกายไม่ได้ อย่างขนมหวาน ถ้าอยากกินมาก ๆ ก็จะตักชิม ให้รู้รสพอ ไม่ถึงกับอด ไม่งั้นจะโหยและตบะแตก ที่เหลือก็เน้นกินให้ครบห้าหมู่ ทั้งสามมื้อค่ะ แต่อาจจะเลี่ยงเนื้อสัตว์นิดหนึ่ง เพราะแอนนากินมากไม่ได้ จะท้องผูก และท้องป่อง อาศัยกินเนื้อย่อยง่ายอย่างปลาและไก่ อ้อ! มีเคล็ดลับก่อนใส่ชุด ว่ายน้ำด้วยนะ คือตอนเช้าให้กินขนมปังสองแผ่น จะโฮลวีตหรือขนมปังขาว ก็ได้ เขาบอกกันว่าจะช่วยทำให้ผิวอิ่มน้ำมากขึ้น แต่ห้ามดื่มน้ำเยอะนะคะ ใช้แค่ จิบ ๆ เดี๋ยวท้องป่อง แต่พอหลังเดินชุดว่ายน้ำเสร็จก็กินปกติได้ค่ะ”

ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ทำงาน แอนนาชอบทำอะไร

“นอนค่ะ เพราะที่ผ่านมาได้นอนน้อยมาก รู้สึกว่าการนอนจะเยียวยา ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักหนาสาหัสแค่ไหน ทุกอย่างดีขึ้นได้ด้วยการนอน พักผ่อน ตื่นขึ้นมาแล้วก็จะทำให้มีสติและเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น มีกำลังใจจะสู้ต่อ ใครที่กำลังท้อ แนะนำให้นอนก่อน (หัวเราะ) เราอาจจะแค่เหนื่อยจากการ พักผ่อนไม่เพียงพอก็ได้ค่ะ

“ปกติวันว่างแอนนาจะพยายามอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด เพราะเวลาทำงาน เราเจอคนมาเยอะแล้ว พออยู่คนเดียวก็อยากอยู่กับตัวเองมากกว่าจะออกไป ข้างนอก ส่วนใหญ่ก็ดูหนังอยู่บ้าน ชอบดูหนังแนวเลือดสาด ไซไฟ หักมุม (หัวเราะ) เพราะเร้าใจ ลุ้นระทึกดี ดูแล้วอะดรีนาลินหลั่ง ได้ปลดปล่อย ไม่ก็ กินข้าวคนเดียวค่ะ การอยู่เงียบ ๆ เหมือนได้รีแล็กซ์ ได้ใช้เวลาคุยกับตัวเอง มีสมาธิ ทบทวนตัวเอง แล้วช่วงหลังอ่านหนังสือเยอะขึ้นมากเลยค่ะ เมื่อก่อน อ่านเฉพาะหนังสือเรียน (หัวเราะ) ตั้งแต่ประกวดมานี่ อ่านหนังสือแนวจิตวิทยา ฮาวทู และมายด์เซตมากขึ้น แล้วก็ฟังพอดแคสต์แนวนี้เยอะมากเหมือนกัน ค่ะ”

แอนนา เสืองามเอี่ยม

ภารกิจในอนาคตของมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์หลังจากนี้คืออะไรคะ

“ต้องบอกว่าเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์สอนอะไรหลายอย่าง ทำให้แอนนา รู้สึกว่าชีวิตนี้คุ้มค่ามากที่ได้เกิดมา คุ้มค่ากับความพยายาม รู้สึกรักชีวิตตัวเอง มากขึ้น ชีวิตมีความหมายมากขึ้นเพราะเวทีนี้เลย พูดทีไรก็ขนลุกทุกที

“จากนี้ไปแอนนาจึงอยากพัฒนาปรับปรุงตัวเองในทุก ๆ ด้าน เป็นแอนนาที่ Better Version ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย ให้ดีที่สุดในการประกวดมิสยูนิเวิร์สบนเวทีโลก อยากคว้ามงที่สามมาให้ได้ แอนนาไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร และจะไม่กดดันตัวเองด้วย แต่ไม่อยากกลับมาเสียใจทีหลังว่าทำไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นแอนนาจะเติม ความสามารถในทุก ๆ เรื่องให้เต็มที่ ทั้งเรื่องการพูด การเดิน ภาษาอังกฤษ ต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ค่ะ แอนนาเชื่อเสมอว่าตัวเองเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว และต่อให้น้ำ มาเยอะแค่ไหน ก็พร้อมขยายขนาดแก้วให้ใหญ่ขึ้นได้เรื่อย ๆ เพื่อรองรับปริมาณ น้ำนั้น แอนนาคิดว่านี่เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มาก ชีวิตนี้จะมีเป้าหมายที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกไหมก็ไม่รู้ ต้องเต็มที่ไว้ก่อน”

ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจของแอนนาคือใครคะ

“แม่ค่ะ อย่างที่บอกว่าแม่คือคนที่ทำงานสามอาชีพต่อวันเพื่อส่งเสีย แอนนาเรียน ถ้าไม่มีแม่ แอนนาก็คงไม่มีวันนี้ แม่ทำให้แอนนาเชื่อเรื่องการศึกษา และทำให้แอนนารู้สึกว่าต่อให้เกิดมาต้นทุนน้อยแค่ไหน ถ้าพยายามมากพอ ก็สำเร็จ ที่สำคัญสิ่งที่พ่อและแม่ทำให้แอนนาคือการแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ ที่แม้จะไม่ได้บอกรักเป็นคำพูด แต่เป็นการบอกรักผ่านการกระทำ ทั้งสองท่าน ตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อให้เราเติบโตมาเป็นคนดี มีชีวิตที่ดี แม้กระทั่งทวดที่เสียไป ก็ยังยอมตื่นเช้ามาต้มไข่ให้กินก่อนไปเรียน สำหรับแอนนานั่นคือความรักที่สัมผัส ได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพูดว่ารักเลย”

ถ้าใครคนหนึ่งอยากเดินตามความฝันให้สำเร็จเหมือนแอนนา อยากบอกอะไรกับเขาคะ

“เส้นทางสู่ความสำเร็จอาจต้องอาศัยหลายอย่างประกอบกัน สูตรสำเร็จ คงไม่มี แต่เราเริ่มได้จากการรู้คุณค่าในตัวเองและรักตัวเองก่อน เมื่อเรารักตัวเอง แล้ว เราจะมองหาแต่สิ่งดี ๆ ให้ตัวเอง เราจะคิดต่อเองว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิต มีความสุขและมีอนาคตที่ดีขึ้น หากมีความฝันก็ลองดูว่าฝันนั้นจะทำให้ชีวิตคุณ ดีขึ้นไหม ถ้าใช่ก็ลงมือทำเลย ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคบ้าง ล้มบ้าง แต่ อย่าท้อ ล้มแล้วจงเรียนรู้จากมัน แล้วก้าวต่อไป อย่าหยุดค่ะ มีคำสอนหนึ่ง ของทวดที่แอนนายึดถือมาตลอด และเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยิน คือ ‘ความ พยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ นี่คือ Power of Resilience ของจริง และเป็นเรื่องจริง แอนนากล้ายืนยัน ถ้าคุณพยายามมากพอ รักตัวเองมากพอ ให้คุณค่ากับตัวเองมากพอ แม้จะล้มก็ลุกใหม่ได้ ไม่ถอดใจไปเสียก่อน ไม่ว่า เป้าหมายจะไกลแค่ไหน แอนนาเชื่อว่าทุกคนจะทำได้สำเร็จค่ะ แล้วเมื่อวันนั้น มาถึง คุณจะรู้สึกแบบเดียวกับที่แอนนารู้สึก นั่นคือคุณจะรักและภูมิใจในตัวเองมากๆ”


 ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 986

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up