นิต้า มานิตา 

เปิดตัวตน “นิต้า-มานิตา” นางสาวไทยวิถีใหม่ เรียบร้อยก็ดี สายเอนเตอร์เทนก็ได้

Alternative Textaccount_circle
นิต้า มานิตา 
นิต้า มานิตา 

“นางสาวไทยต้องเรียบร้อยไหม” เป็นคำถามที่ “นิต้า-มานิตา ดวงคำ ฟาร์เมอร์” สาวงามลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยผู้คว้ารางวัลนางสาวไทยประจำปี 2565 (คนที่ 53) ถกกับ แพรว พลางบอกว่าเป็นคำถามที่เธอได้มาจากนางสาวไทยรุ่นพี่อย่าง “บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” อีกที

ซึ่งคำตอบโดยรวมสำหรับสังคมไทยมาแต่ดั้งเดิมคงเป็นอย่างนั้น คือเรียบร้อย แต่ยุคนี้คงไม่ได้แปลว่าเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ หากหมายถึงการวางตัวเหมาะสม ถูกกาลเทศะ โดยยังสามารถสวย สนุกสนาน และมีความคิดเป็นของตัวเองได้ด้วย ถึงจุดนี้ก็ไม่แปลกใจที่มงลงที่เธอ ยังไม่ต้องเชื่อ แพรว ก็ได้…คุณผู้อ่านค่อยตัดสินอีกทีหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ

เปิดตัวตน “นิต้า-มานิตา” นางสาวไทยวิถีใหม่ เรียบร้อยก็ดี สายเอนเตอร์เทนก็ได้

ขอเริ่มที่คำถามภาคบังคับ ถ้าให้ย้อนกลับไปยังโมเมนต์ลุ้นระทึกตอนพิธีกรประกาศว่านิต้าได้ตำแหน่ง ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรคะ

“ขอเริ่มจากตอนที่เหลือแค่ 2 คนสุดท้าย ตอนนั้นต้า จับมือลุ้นอยู่กับมุก (อัญพัชร์ ปิติประจักษ์วัชร – รองอันดับ 1) จำได้ว่ามุกบอกว่าถ้าได้ตำแหน่งแล้วอย่าร้องไห้นะ ต้าตอบ มุกว่าไม่ร้องหรอก แต่ถึงร้องก็ไม่เป็นไร เพราะใช้มาสคาราของ มิสทิน ยังไงก็ไม่ไหลเยิ้ม แล้วก็ขำกันเองว่ายังอุตส่าห์ขายของ (หัวเราะ)

“กระทั่งตอนประกาศมีบางกระแสบอกว่าต้าดูไม่ค่อย ดีใจเลยบนเวที ขออาศัยบทสัมภาษณ์นี้ตอบว่า ต้องดีใจ เบอร์ไหน (หัวเราะ) ความจริงคือกำลังข่มน้ำตาไม่ให้ร้องไห้หนักมาก คือเป็นนางงามก็ต้องสวยน่ะ ยิ่งตอนที่พี่เมย์ (ณัฐพัชร พงษ์ประพันธ์ นางสาวไทยปี 2563) นำมงกุฎมาสวมให้ ตอนนั้นถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นโมเมนต์ที่รู้สึกโล่งใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอดทนทำมาตลอดนั้นส่งผลแล้ว จากนั้น พอมงลงปุ๊บ วิญญาณคนทำงานก็เข้าสิง รีบเรียกสติกลับมา คิดเลยว่าต่อไปเราต้องทำอะไรบ้าง บล็อกกิ้งต้องแม่น เดี๋ยว ต้องเดินไปตรงนั้น รับดอกไม้ รับคทา แล้วต้องหันออกมา แบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ซ้อมกันมาหนักมากว่าถ้ามงลงต้องมี สตินะ กระบวนการต่างๆ ที่ซ้อมไว้จึงกลับเข้ามาในหัวทันที”

นิต้า มานิตา 

แสดงว่ามีความมั่นใจ

“แอบมั่นใจอยู่ลึกๆ ค่ะ (ยิ้ม) อย่างที่บอกว่าต้าตั้งใจ มาประกวดเวทีนางสาวไทยมากๆ ผ่านการคุยกับพี่เลี้ยง ทีมภูเก็ตว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร คือการจะไปประกวดเวทีไหน ก็ตาม ต้องดูด้วยว่าตัวเราเหมาะกับบริบทของเวทีนั้นไหม ต้าเชื่อเรื่องจังหวะที่ ถูกที่ถูกเวลา ซึ่งพอดีว่าบริบทของการประกวดเวทีนางสาวไทยตรงกับเราที่โฟกัส เรื่องการศึกษา แล้วต้าเองเพิ่งกลับมาจากเป็นครูอาสาที่โรงเรียนวัดบางไผ่นารถ ในจังหวัดนครปฐม คือไปสอนมาตั้งแต่ก่อนประกวด ส่วนเรื่องทูตวัฒนธรรม ซึ่งเป็นอีกบริบทสำคัญของเวทีนี้ก็ตรงกับเราอีก ที่ชอบอะไรไทยๆ มาตลอด สมัยเด็กหยิบผ้าของคุณแม่มาห่มเป็นสไบ อยู่โรงเรียนก็เป็นนางรำ ยิ่งที่บ้านนี่ เหมือนพิพิธภัณฑ์ล้านนาเลย มีตู้และหีบเต็มไปหมด เพราะคุณแม่ชอบเดินงาน โอทอปและซื้อผลิตภัณฑ์ของไทยมาก ต้าเองตามคุณแม่ไปช็อปปิ้งตั้งแต่เด็ก จึงซึมซับความชอบนี้มาด้วย

“เมื่อมองว่าทุกอย่างลงตัวมากสำหรับเวทีปีนี้ จึงตัดสินใจเข้าประกวด ข้อดีคือทำให้มีเวลาไปเตรียมตัวในด้านอื่นๆ เพื่อให้เหมาะกับการเป็นนางงาม เพราะฉะนั้นเราจึงหวังมาตั้งแต่แรก พอได้ตำแหน่งมาจึงไม่ถึงกับเซอร์ไพร้ส์มาก แต่รู้สึกว่าเป็นการรับรางวัลและตำแหน่งที่เราตั้งใจมาก รู้สึกว่าตำแหน่งนี้เป็น ของฉัน เมื่อได้รางวัลมาจึงแฮ็ปปี้และโล่งใจมากค่ะ”

การจะคว้าตำแหน่งนางสาวไทยมาได้ ต้องเตรียมตัวหนักขนาดไหนคะ

“เล่าก่อนว่าก่อนจะมาประกวดเวทีนี้ ต้าเคยประกวดมาแล้ว 2 เวที เคยได้รองอันดับ 1 มิสแกรนด์ภูเก็ต 2017 และเข้ารอบ 12 คนสุดท้ายเวที มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2018 แต่ความที่ตอนนั้นยังเด็ก อาจจะยังไม่มีความรู้ ประสบการณ์ และความพร้อมมากเท่าตอนนี้ ประสบการณ์ทำให้ต้ารู้ว่าการเป็น นางงามก็เหมือนการสมัครงานที่ต้องมีวิธีวางตัว การสวัสดี การพูดจา การนั่ง ยืน เดิน ยิ้ม พูดง่ายๆ ว่าเป็นความรู้งาน อย่างก่อนหน้านี้ต้าไม่เคยเรียนการเดิน มาก่อนเลย แต่รอบนี้เตรียมตัวหนักมากว่าต้องยืนและเดินแบบไหน เอวต้องบิด ทิ้งสะโพก ฮึบหน้าท้องเข้า คอเชิด แขนและขาวางอย่างไร ขนาดนิ้วเท้ายังต้อง รู้วิธีเอียงให้ได้องศาเพื่อให้จังหวะการวางข้อเท้าสวยขึ้น

“เช่นเดียวกับเรื่องความสวย เราไม่สามารถตื่นมาแล้วสวยได้เลย ก็ต้อง ดูแลเป็นประจำ พบแพทย์บ้างนิดหน่อย เน้นเรื่องอาหารการกินและออกกำลังกาย เป็นประจำ หลายครั้งที่ภารกิจเยอะ ต้องไปฟิตติ้งทำนั่นทำนี่ กว่าจะถึงบ้าน ก็เหนื่อยมาก แต่ก็ต้องลุกมาออกกำลังกาย ไม่ไหวก็ต้องไหว ยิ่งช่วงประกวดนี่ หนักมาก ที่เห็นออกทีวีคือส่วนน้อย เบื้องหลังหนักกว่านั้นมาก ซ้อมเสร็จ อาบน้ำ นอนได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมง ต้องตื่นมาแต่งหน้าใหม่ ซึ่งหลายคนบอกว่า งานอื่นก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่งานอื่นเหนื่อยแล้วสามารถทำหน้าเหนื่อยได้ ส่วน นางงามนั้นจะขึ้นเวทีด้วยหน้าเหนื่อยๆ โทรมๆ ไม่ได้ (เน้นเสียง)

“ดังนั้นไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องข่มใจอดทนไว้ แล้วแสดงออกมาว่า แฮ็ปปี้ เอนจอย เคล็ดลับเรื่องการนอนน้อยแต่ฟื้นมาให้หน้าสวยของต้าคือ ทุกเช้าจะใช้ขวดน้ำที่แช่เย็นไว้มาประคบหน้า นอกจากจะช่วยปลุกให้ตื่นมาสดชื่น แล้ว ยังช่วยลดอาการหน้าบวมน้ำ ระหว่างแต่งหน้าก็อัดวิตามินเม็ดฟู่ และ ช่วงทำกิจกรรมต่างๆ ก็ต้องคอยทำตัวแอ๊คทีฟเข้าไว้ ไว้ค่อยกลับไปเหนื่อยทีเดียว ตอนถึงบ้าน

“สุดท้ายคือการหาข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการตอบคำถามกรรมการ เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่าจะเจอคำถามอะไร บางวันอาจเป็นคำถามง่ายๆ ว่าวันนี้ใส่ชุดอะไร แต่บางวันอาจเป็นว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรเรื่องการที่เด็กตั้งท้องโดยไม่พร้อม ถ้าไม่เตรียมไว้ก่อนก็อาจจะ ‘อะไรนะคะ’ การเก็บข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อ ให้สามารถดึงข้อมูลออกมาตอบได้ทันเวลา”

นิต้า มานิตา 

หนึ่งในสิ่งที่มาพร้อมมงกุฎคือน้ำหนักของความกดดันจากคำวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะเรื่องรูปร่างหน้าตา

“เริ่มที่เรื่องรูปร่างก่อนแล้วกันนะคะ นี่เป็นเรื่องที่ต้าต้องต่อสู้มาตลอด อย่างที่ทราบกันว่าต้าเคยหนัก 90 กิโลกรัม ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ต้าไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ซึ่งอาหารที่โน่นจานใหญ่ ปริมาณมาก น้ำหนักจึงขึ้น แต่ก็ค่อยๆ ลดลงมาจนน้ำหนักโอเค กระทั่งไปประกวดเวทีใหญ่เวทีแรก ปรากฏว่าโดนไซเบอร์บูลลี่เรื่องหุ่นหนักมาก เหมือนคนโฟกัสแต่หุ่น จนไม่เห็นความสามารถอื่นที่เราทำเลย และด้วยความที่เราโครงใหญ่ สูงกว่า 170 เซนติเมตร ใส่รองเท้าเบอร์ 43 จะให้ตัวผอมบางเท่าสาวไทยตัวเล็กๆ คงไม่ได้ ประกอบกับเป็นเวทีแรกที่เข้าประกวด ต้ายังเด็กมาก ประสบการณ์ก็ไม่มี จึงเก็บมาคิดทุกคำพูด แล้วร้องไห้ว่าเราทำผิดอะไรขนาดนั้น เคยอยู่ในจุดที่ร้องไห้ตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนเพราะเครียดมาก หลังจากนั้นก็ต้องหยุดประกวดและ เลิกเล่นโซเชียลมีเดียไปพักใหญ่ ต้าใช้เวลาปรับมายด์เซตอยู่เกือบ 2 ปีในการค่อยๆ กลับมารักและดูแลตัวเอง

“ซึ่งต้องบอกว่าพอเราให้เวลาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ประกอบกับมีช่วงหนึ่งที่สังคม ให้ความสนใจเรื่องสุขภาพจิตและหยิบยกเรื่องปัญหาไซเบอร์บูลลี่มาพูดคุยกัน มากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็เข้าไปเสพข่าว หาความรู้บ่อยๆ จนวันหนึ่งก็ตกตะกอนและคิดได้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่จำเป็น ต้องให้ค่าคำพูดแย่ๆ เหล่านั้น เพราะความจริงคนที่มาคอมเมนต์ไม่กล้าพูดแบบนี้ ต่อหน้าเราด้วยซ้ำ เคยมีคนพูดว่าให้นำคำพูดเหล่านี้มาเป็นแรงผลักดัน แต่ต้า คิดว่าถ้าเรานำคำด่ามาเป็นแรงผลักดัน นั่นเป็นการทำเพื่อคนอื่น ทำไมเรา ไม่พิสูจน์ให้เห็นด้วยการทำตามความต้องการของเราจริงๆ

“เช่น ถ้าอยากสวย เราต้องอยากสวยเพื่อตัวเอง เพราะถ้าคนอื่นบอกว่า ไม่เห็นจะสวยเลย เราก็จะดาวน์ แต่ถ้าเราทำทุกอย่างจากความพอใจของตัวเอง ว่าฉันอยากหุ่นดีเท่านี้ในแบบของฉัน โดยไม่ได้เทียบกับใคร อย่างต้ารู้ว่า โครงสร้างตัวเองใหญ่ ต่อให้ใครบอกว่าต้าสะโพกใหญ่หรือไม่ดีพอ แต่เรารู้ตัว ว่าลดกว่านี้ไม่ได้ เพราะติดกระดูกแล้ว เราก็จะแฮ็ปปี้กับตัวเอง คือเป็นฉันใน เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เปลี่ยนจากความไม่มั่นใจที่เราต้องรูปร่างเหมือนคนอื่นมาเป็น ความมั่นใจกับสิ่งที่มี และทำให้ดีที่สุดในแบบที่เราเป็น นี่คือมายด์เซตของนิต้า ในปัจจุบัน

“ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่พอโตขึ้น จิตใจเข้มแข็งขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ก็จะรับมือได้ดีขึ้น อย่างตอนสมัครประกวดนางสาวไทย ตอนแรกไม่ได้บอกคุณแม่นะคะ เพราะท่านเป็นห่วงเรื่องที่เราต้องไปรับคำพูดของ คนอื่นมาคิดมาก ตอนหลังจึงต้องบอกท่านว่าเราโอเคแล้ว เข้มแข็งขึ้นแล้ว และเราอยากทำเพื่อตัวเองจริงๆ แต่ขนาดคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วทั้งมายด์เซต และร่างกาย ก็ยังมีบางวันที่เหนื่อยมากๆ อย่างวันหนึ่งต้องหิ้วถุงชุดสำหรับใส่ ประกวด 4-5 ถุง แล้วมีคนฝากถุงให้ถืออีก คือคล้องถุงขึ้นมาเต็มแขน หนักมาก นางงามเป็นนางแบก พอเข้ามาถึงห้องตัวเองเท่านั้นแหละ ปล่อยโฮ รู้สึกว่าทำไมฉันต้องเหนื่อยขนาดนี้ นอนก็น้อย ยังต้องขนของหนักอีก จำได้ว่าโทร.หาเพื่อนแล้วงอแงอยากให้เพื่อนมาหา แต่สักพักคิดได้ว่ากว่าเพื่อนจะมาถึง ต้องรออีก 1 ชั่วโมง เวลานอนก็จะน้อยลงไปอีก เลยบอกเพื่อนว่าไม่ต้องมาแล้ว ขอนอนก่อน พอตื่นขึ้นมาปรากฏว่าหาย ไม่เศร้าแล้ว คงเพราะคืนก่อนหน้านั้นนอนน้อย ใจเลยไม่แข็งแรง” (หัวเราะ)

รู้สึกอย่างไรที่นิต้าเป็นนางสาวไทยหน้าฝรั่งคนแรก

“มีคนพูดเยอะนะคะว่านางสาวไทยควรหน้าไทย แต่เนื่องจากต้าทำการบ้านกับทีมตั้งแต่ก่อนเข้าประกวดว่าถ้าเป็นลูกครึ่ง เวทีนี้จะโอเคไหม ถ้าต้ามาประกวด เพื่อให้ได้รองอันดับ 1 ต้าก็ไม่รู้จะมาทำไม ซึ่งปรากฏว่าพอสอบถามหาข้อมูลดูแล้ว ทางวชิราวุธไม่เคยมีข้อจำกัดว่านางสาวไทยต้องเป็นไทยแท้ ไม่รับลูกครึ่ง อะไรแบบนั้น เราจึงตกลงที่จะเข้าประกวด

“ส่วนตัวเองแม้จะหน้าฝรั่งเพราะเป็นลูกครึ่ง แต่ต้าเกิดและเติบโตที่ภูเก็ต เคยเรียนนานาชาติแค่ช่วงอนุบาล แต่หลังจากนั้นก็เรียนโรงเรียนไทยมาตลอด วัฒนธรรมความเป็นไทย การพูดการจาก็รู้หมดทุกอย่าง ศัพท์ภาษาใต้ก็เข้าใจ อู้คำเมืองก็พอได้ เพราะคุณแม่มาจากเชียงราย ซึ่งเรายังกลับไปทุกช่วงสงกรานต์ โตมากับการหักขาเขียดทอดกิน จกข้าวเหนียว ข้าวซอย น้ำเงี้ยว กินได้หมด ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทยมาตลอด แค่หน้าเราไม่ไทยเท่านั้นเอง ต้าบอก ทุกคนว่าหนูไปเข้าฝันแม่ในอดีตให้แม่เลือกสามีคนไทยไม่ได้ (หัวเราะ) เป็น อย่างเดียวที่ต้าเลือกเองไม่ได้จริงๆ อย่างเมื่อก่อนคนเห็นหน้าเราก็พูดภาษาอังกฤษใส่ก่อนเลย ต้าก็ได้แต่บอกว่าพูดไทยได้ค่ะ เป็นคนไทย

“แต่ยอมรับว่าก่อนเข้าประกวดยังพูดภาษาไทยไม่ชัด ไม่ใช่ว่าติดสำเนียง ฝรั่งนะคะ แต่ติดสำเนียงทองแดงแบบใต้ (หัวเราะ) คืออาจจะไม่ได้พูดภาษาใต้ คล่องขนาดนั้น แต่ติดสำเนียงที่ไม่ใช่ภาคกลาง ปรากฏว่าพอเข้าประกวดแล้ว ใครๆ ก็ชอบให้พูดภาษาใต้ให้ฟัง จึงต้องฝึกจนพูดได้คล่อง แล้วความที่ เราเป็นเด็ก ‘ตจว.’ เพิ่งเข้ามาเรียนกรุงเทพฯช่วงมหาวิทยาลัย บางทีก็ไม่รู้ว่า คำศัพท์ที่เราใช้พูดอยู่ไม่ใช่ภาษากลาง ก็จะเผลอพูดคำท้องถิ่นออกมาให้คนงง เช่น วันนี้รู้สึก ‘ยม’ มาก เป็นภาษาเหนือ แปลว่า เหนื่อย หรือเคยบอกเพื่อน ในกองประกวดว่าเติมหน้าหน่อยนะ ตอนนี้หน้า ‘แวว’ หรือหน้ามันแล้ว เรา ไม่รู้ว่าคนกรุงเทพฯไม่ใช้คำพวกนี้” (หัวเราะ)

ถ้าอย่างนั้นเล่าหน่อยว่าเด็กไทยหน้าฝรั่งคนนี้เติบโตมาอย่างไรคะ

“ต้าเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย คุณพ่อคุณแม่เจอกันที่สิงคโปร์ แล้วมาปักหลักสร้างครอบครัวกันที่ภูเก็ต แต่ความที่คุณพ่อเป็นวิศวกรปิโตรเลียมที่ดูแล แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน ต้องไปอยู่ทะเลทีละหลายๆ เดือน ดังนั้นต้าจึงโตมากับคุณแม่ ซึ่งเป็นแม่บ้านและดูแลบ้านเช่า จึงซึมซับความเป็นไทยมาเยอะอย่างที่บอก แล้วก็เรียนโรงเรียนไทยมาตลอด เพราะคุณแม่กลัวลูกพูดภาษาไทยไม่ได้

“สมัยเรียนต้าเป็นทั้งเด็กเรียนและกิจกรรม แต่ไม่ใช่เด็กเรียนจ๋า เพราะ ไม่ชอบอ่านหนังสือ ทำข้อสอบไม่เก่ง แต่พรีเซ้นต์เก่งมาก ยิ่งตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่ บุญหัวที่มีเพื่อนชอบทำรายงาน ส่วนเราพรีเซนต์แบบเล่นใหญ่ตระการตา ชอบ แสดงออกมาตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นลูกคนเดียว คุณพ่อก็ไม่ค่อยอยู่ คุณแม่ ก็ไม่เล่นด้วย เพราะอายุห่างกันเยอะ (ห่างกัน 36 ปี) เราจึงต้องเป็นเด็กที่เอนเตอร์เทนตัวเองได้ (ยิ้ม) เด็ดดอกไม้ ระบายสี ดูละครจักรๆ วงศ์ๆ เล่น แอ๊คติ้งตาม หรือไม่ก็ดูนักร้องเพลงลูกทุ่งแล้วก็มาร้องเพลงอยู่คนเดียวในห้อง (หัวเราะ)

“แล้วที่ชอบมากอีกอย่างคือดูประกวดนางงามกับคุณแม่ ชี้ชวนกันดูว่าคนนั้นสวย คนนี้สวย แล้วคุณแม่ก็อยู่ในยุคที่นางสาวไทยเฟื่องฟูมาก สมัยก่อนชอบจับต้าดัดขาไม่ให้โก่งแล้วร้องเป็นเพลงว่า ‘ขาตรงๆ และเป็นนางสาวไทย’ เราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงเหมือนกับถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนนั้น และถ้าประกอบเข้ากับที่ต้าชอบหยิบผ้าแม่มาห่มเป็นสไบถ่ายรูป…ก็ใช่เลยแหละ

“พอโตขึ้น ที่เริ่มเข้าประกวดเป็นปีแรก (มิสแกรนด์ภูเก็ต 2017) ก็เพราะได้ดูพี่อแมนด้าเข้าประกวดกับทีมภูเก็ต (ชื่อทีมพี่เลี้ยงนักปั้นนางงาม) แล้วรู้สึกว่าทีมนี้ดูแลนางงามดีจัง อยากมีทีมดีๆ คอยซัพพอร์ตแบบนี้บ้าง จึงเริ่มหาช่องทางดู จนได้เข้ามาอยู่ในทีมภูเก็ต ก็ยอมรับเลยว่าที่เข้าประกวดปีแรกเพราะเชื่อมั่นในทีม แต่ยังไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในด้านอื่นว่าต้องดูบริบทของเวทีนั้นด้วยนะ หรือต้องฝึกซ้อมอะไรมาด้วย เหมือนเข้าไปเก็บประสบการณ์มากกว่า แม้จะไม่ถึงฝัน แต่ก็โอเคค่ะ”

อะไรทำให้นิต้าเดินหน้าต่อ

“ต้ายังเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองว่าไม่ได้มีแค่นี้ ฉันยังปล่อยพลัง ออกมาได้อีก ช่วงที่ยังไม่ได้เข้าประกวดเวทีไหน ต้าก็ยังไปดูการประกวดที่เวทีอื่นอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไปรู้สึกเหมือนได้เติมถ่านให้มีประกายไฟเล็กๆ ปะทุขึ้นมา รู้สึกสนุกและคิดตลอดว่าถ้าฉันได้ไปเต้นตรงนี้นะ…หรือถ้าฉันได้เดินไปพร้อมเพลงนี้นะ แล้วก็คอยลุ้นไปกับคำตอบของนางงามเวลาตอบคำถาม รู้สึกว่าการอยู่ บนเวทีทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย ดีต่อใจมากๆ จึงยังอยากไปประกวดอยู่ แม้จะยังไม่ได้ตำแหน่งที่ต้องการ แต่ทุกครั้งที่ได้ขึ้นเวทีเหมือนเราได้มอบความสุขให้คนดู โดยที่เราก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่ากำลังประกวดหรือแข่งขันกับใคร แต่ เป็นความสุขที่ได้ยืนบนเวทีนี้ และฉันก็ส่งความสุขนี้ออกไปให้คนดู

“อีกอย่างที่ต้าประทับใจในการประกวดนางงามคือมิตรภาพที่ดี คนภายนอกมักมองว่าเวทีนางงามคือสงคราม ต้องร้าย ต้องต่อสู้แย่งชิง ความจริงคือเราไม่ได้แข่งกันทุกวัน แต่ทุกคนพยายามช่วยเหลือกันมาก คอยบอกว่าลิปติดฟันนะ ผมวันนี้ยังไม่ดี ใครมีกาวติดขนตาไหม ขาดเหลืออะไรเราจะช่วยเหลือกัน แม้อาจจะมีผิดหวังบ้างถ้าไม่ได้เข้ารอบต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่เราก็ดีต่อกัน”

มีบทเรียนไหนที่ได้เรียนรู้จากเวทีนางงามไหม

“การรับมือกับคำวิจารณ์และคำชมค่ะ อย่างที่บอกว่าเราเปรียบเหมือนสปอตไลท์ที่อยู่ตรงกลาง ถ้าเราเลือกฟังแต่เสียงด้านไม่ดีก็จะบั่นทอนจิตใจมาก กำลังใจจากคนรอบข้างจึงสำคัญ แต่ขณะเดียวกันหากเราไม่ระวังหรือไม่รู้วิธี รับมือให้ดี กำลังใจและคำชมจากคนรอบข้างก็อาจเป็นแรงกดดันเราได้เหมือนกัน

“อย่างการประกวดรอบนี้ต้องบอกว่านิต้ามาด้วยความพร้อมหลายด้าน แล้ว คนจึงเล็งเห็นเรามากขึ้น มีแม่ๆ แฟนคลับที่ตามกันมานานพิมพ์มาว่าดีใจ มากเลยที่มีคนเห็นและรักนิต้ามากขึ้น มีคนสนใจและเห็นศักยภาพในตัวเรา มากขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นกำลังใจ แต่ต้าก็ต้องระวังที่จะไม่นำคำพูดหรือความ คาดหวังจากความรักนี้มาเป็นแรงกดดันตัวเอง เราจะรับความคาดหวังนี้มา ด้วยความขอบคุณ แล้ววางไว้ข้างๆ เรา ไม่นำมาใส่ตัว เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น เราทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใคร”

นิต้า มานิตา 

ในฐานะนางสาวไทย มีภารกิจไหนที่ตั้งใจอยากทำให้ได้

“อย่างแรกเลยคือการศึกษา อย่างที่บอกว่าเพราะเรามีประสบการณ์ตรงจากการไปเป็นครูอาสามา แล้วพบว่าหลักสูตรการศึกษาของไทยค่อนข้างล้าสมัยเกินไป ต้าเคยคุยกับ Bitkub ที่เป็นสปอนเซอร์นางสาวไทย เขาอยากให้มีวิชาการเงินสอนในโรงเรียน ซึ่งต้าเห็นด้วย เพราะส่วนตัวไม่เก่งเรื่องตัวเลขเลย ดูหุ้นก็ไม่รู้เรื่อง โรงเรียนสอนอย่างมากแค่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ถ้าจะมีวิชาสอนด้านการเงินหรือเรื่องหุ้นตั้งแต่เด็กคงเป็นเรื่องดี ต้าเองเคยได้ทุน AFS ไปเรียนที่อเมริกา 1 ปี แล้วพบว่าหลักสูตรของเรากับเขาต่างกันมาก ที่นั่นนักเรียนสามารถเลือกวิชาเรียนเองได้ จะร้องเพลง ทำเครื่องปั้นดินเผา วิทยาศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ อวกาศ ดาราศาสตร์ หรือวิชาคณิตศาสตร์ก็เลือกเลเวลได้ว่าอยากเรียนแค่ไหน เอาแค่หาค่า X หรือ Y ก็พอ ไม่ต้องลอการิทึม (Logarithm – การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่เป็นฟังก์ชันผกผันของฟังก์ชันเลขชี้กำลัง) ก็ได้ไหม ถ้าเราไม่ได้คิดจะใช้ในชีวิตประจำวัน คือต้าเข้าใจว่าเมืองไทยไม่ได้มีทุนพอจะทำอะไรขนาดนั้นได้ แต่ก็อยากให้เพิ่มทางเลือกและปรับหลักสูตรให้ทันสมัย หรือตามโลกนิดหนึ่ง อย่างเครื่องคิดเลข ทำไมถึงห้ามใช้ในห้องเรียนและห้องสอบ ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงเราก็กดเครื่องคิดเลขจากมือถือกัน

“หรือวิชาภาษาอังกฤษ คนไทยชอบสอนแบบเน้นแกรมม่า บังคับให้ท่องจำคำศัพท์ บอกเลยว่าในฐานะครูอาสาที่เข้าไปสอนภาษาอังกฤษ ณ จุดนี้ แกรมม่าเราก็ไม่คล่อง (หัวเราะ) ต้าว่าภาษาเป็นเรื่องของการใช้งานเพื่อสื่อสาร เวลาสอนนักเรียน ต้าจะพูดภาษาอังกฤษทั้งสำเนียงอเมริกันและสำเนียงไทย และบอกให้เขาพูดสำเนียงไหนก็ได้ ไม่ผิด ขอแค่ให้สื่อถึงคนฟังรู้เรื่องก็ใช้ได้แล้ว แม่ต้าอยู่กับพ่อมา 30 ปี สำเนียงภาษาอังกฤษของแม่คือชวนปวดหัวมาก แต่พ่อก็ยังเข้าใจที่แม่พูด ขอแค่ให้นักเรียนได้ฟังเยอะๆ และมีโอกาสได้พูดจริงๆ ได้ใช้งานจริง ไม่ใช่มัวแต่กลัวเลยไม่ได้พูดสักที”

เล่าประสบการณ์การเป็นครูอาสาให้ฟังหน่อยสิคะว่าไปทำอะไรมาบ้าง

“ต้าไปเป็นครูอาสาในฐานะครูพิเศษภาษาอังกฤษที่โรงเรียนวัดบางไผ่นารถ จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นพื้นที่ขาดแคลน ตอนที่ไปเป็นช่วงโควิดระบาดจริงๆ โรงเรียนเปลี่ยนไปสอนออนไลน์แล้ว แต่ครูต้องเข้าไปเซ็นเอกสารว่าสอนออนไลน์ ก่อนตามระบบราชการ ซึ่งครูใหญ่บอกให้ต้าเข้าไปวันเดียวก็ได้ แต่ไหนๆ ไปแล้ว ก็เลยกะว่าอยู่สัก 1 เดือนแล้วกัน แต่กลายเป็นอยู่ยาวเกือบ 4 เดือน เพราะ ประทับใจบรรยากาศและความน่ารักของคุณครูที่นั่น

“โดยตลอด 4 เดือนนั้น ต้าพักอยู่กับคุณครูในบ้านพักซึ่งอยู่บริเวณ เดียวกับโรงเรียน ครูนอนบนเตียง ต้าปูผ้าห่มแทนฟูกนอนกับพื้น หมอน 1 ใบ พัดลม 1 ตัว ตื่นเช้ามาก็ดื่มกาแฟพลางฟังเสียงไก่บ้านข้างๆ ขัน ถ้าวันพระ ความที่โรงเรียนอยู่ติดกับวัด ลำโพงจากวัดจะหันเข้ามาในโรงเรียน หลวงพี่จะสวดมนต์ตั้งแต่ 7 โมงเช้า วันไหนฝนตก หลังโรงเรียนจะมีบรรดากบมาร้องเพลงให้ฟังอย่างเต็มที่ ส่วนการเรียนการสอน อย่างที่บอกว่าเป็นออนไลน์ แม้ครูยังต้องเข้าไปสอนในห้องเรียน แต่นักเรียนจะเรียนจากที่บ้าน ต้าไปสอน วันแรกตื่นเต้นมาก รีบออนไลน์รอ ปรากฏว่าไม่มีใครมาเลย! เพราะน้องๆ นักเรียนไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต บางบ้าน อยู่กัน 4 คนมีมือถือเครื่องเดียว นั่นเป็นครั้งแรกที่ต้าตระหนักว่าการเรียนออนไลน์ จะไม่มีประสิทธิภาพถ้าเด็กไทยยังเข้าไม่ถึงเครื่องมือและอินเทอร์เน็ตจริงๆ

“อีกอย่างที่พบคือสมัยนี้ครูหลายคนมีความพยายามที่จะพัฒนาการเรียน การสอนให้ความรู้ที่ดีขึ้น บางคนก็ทำคลิปสอนลง TikTok บ้าง บางคนก็ทำคลิปให้ความรู้ง่ายๆ ลงยูทูบบ้าง แต่การพัฒนาสภาพชีวิตครูก็ยังไม่ไปตามกัน อย่าง บ้านพักครูในโรงเรียนที่ต้าไปอยู่ เชื่อไหมว่าผนังในห้องนี่พิงไม่ได้นะ ยุบ…เพราะปลวกกินไปหมดแล้ว ต้าถามว่าทำผนังใหม่จากไม้เป็นปูนได้ไหม เขาบอกว่าได้ แต่ต้องไปทำเรื่องเอกสารสั่งรื้อถอนก่อนตามกฎของกระทรวง งงเลย แล้วครู งานเอกสารเยอะมาก ต้าโชคดีที่ทำแค่ใบงาน แต่ครูคนอื่นต้องมีแผนเตรียม การสอน ธุรการ พัสดุ บูรณะโรงเรียน ฯลฯ ใบอะไรไม่รู้เต็มไปหมด แล้ว ช่วงโควิดมีการสั่งทาสีโรงเรียน ห้องน้ำก็ต้องล้าง บ่อปลาก็ต้องขัด บ้านพักครู ก็ต้องเฝ้า ทั้งหมดนี้ครูทำหมดเลย แต่ต้าก็เต็มใจทำด้วย เพราะคุณครูที่นั่น น่ารักมากจริงๆ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ต้าอยากช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของครูให้ดีขึ้น เดี๋ยวคงต้องดูว่าจะทำอะไรได้บ้างค่ะ ส่วนอีกเรื่องที่อยากพัฒนาคือ การท่องเที่ยวไทยค่ะ”

นิต้า มานิตา 

ในแง่มุมไหนคะ

“อยากโฟกัสเรื่องสถานที่มากขึ้น เนื่องจากต้าไม่มีรถ จึงพบว่าการเดินทาง ข้ามจังหวัดหรือแม้กระทั่งเดินทางในตัวจังหวัดของแต่ละที่ไม่ได้สะดวกสบาย คือต้องมีรถถึงจะขับไปไหนมาไหนได้ ระบบขนส่งมวลชนไม่ค่อยมี สมมติง่ายๆ อย่างเชียงใหม่มีรถสองแถวแดงนั่งไปไหนมาไหนได้ แล้วสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะอยู่ติดๆ กัน ในขณะที่เชียงรายที่ท่องเที่ยวอยู่ห่างกันมาก จากตัวเมือง ไปแม่สายก็เป็นชั่วโมง ไม่มีรถสองแถวให้นั่งด้วย นิต้าคิดว่าถ้าเราสามารถทำให้ ระบบการคมนาคมดีขึ้น การท่องเที่ยวก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้ และช่วยกระจาย ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ปัญหาทรัพยากร ของการท่องเที่ยวก็จะลดลง

“อีกเรื่องคือวิถีชีวิต เราโตมากับการเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ไปไหนก็ได้รับ การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากญาติๆ และคนในท้องถิ่น จึงมองว่าการท่องเที่ยว ที่ได้สัมผัสกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ดีและน่ารักมากๆ สามารถรีชาร์จพลังให้เราได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีชาวบ้านหลายคนพัฒนาธุรกิจขึ้นมา โดยต่อยอดจากการเกษตรมาเป็นโฮมสเตย์บ้าง แต่ปัญหาคือเขาไม่มีความรู้ ด้านธุรกิจ คนแห่ไปเที่ยวกันแป๊บๆ แล้วก็หายไป ซึ่งต้าคิดว่าต้องมีการให้ความรู้ พื้นฐานกับชาวบ้านจากผู้ใหญ่บ้านหรือ อบต. เพื่อให้เขามีความรู้ในการต่อยอด เพิ่มมูลค่าทั้งอาชีพและธุรกิจของเขา

“เรื่องนี้รวมไปถึงพวกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของชาวบ้านด้วยนะคะ อย่างที่รู้กัน ว่าเรื่องฝีมือชาวบ้านเราเก่งอยู่แล้ว และสมัยนี้ก็มีเด็กรุ่นใหม่หรือแบรนด์ใหม่ๆ เข้าไปพัฒนาต่อยอดงานดีไซน์ให้ผลิตภัณฑ์ชาวบ้านดูทันสมัยขึ้นเยอะ ทั้งเรื่อง การให้สี งานดีไซน์ แพ็คเกจจิ้ง แต่ต้าว่าเรายังมีช่องว่างทางการตลาดอยู่ คือ งานฝีมือถ้าไม่ติดยี่ห้อแบรนด์ขายคนในเมืองจนแพงไปเลย ก็จะเป็นของชาวบ้าน ที่ราคาถูกไปเลย เพราะเขาขายในละแวกนั้น ถ้าแพงไปคนแถวนั้นก็ไม่ซื้อ มัน ขาดแก๊ปตรงกลาง ราคาที่กลุ่มลูกค้าคนทำงานสามารถเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถเพิ่มมูลค่าของเหล่านี้ ปรับราคาและเพิ่มแพลตฟอร์ม ที่ลูกค้าระดับกลางเข้าถึงได้ ก็จะช่วยขยายฐานสินค้าให้คนเข้าถึงมากขึ้น แล้ว ถ้าอยากซื้อราคาถูกจริงๆ ค่อยไปซื้อกับชาวบ้าน ซึ่งพอไปแล้วเขาก็ต้องไปกิน และท่องเที่ยวในย่านนั้น ก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชนไปอีก”

ไหนๆ ก็เข้าเรื่องจริงจังแล้ว นิต้าว่าคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ไหน

“ความพอใจในตัวเองและสิ่งที่ตัวเองมีค่ะ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรา รู้จักตัวเองให้มากพอ ต้าเคยอยู่ในจุดที่รู้จักตัวเองไม่มากพออย่างที่บอก อย่างเรื่องหุ่นที่พอโดนวิจารณ์ก็ทำให้ทุกข์ใจ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งก็อยากจะบอกว่า อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ถ้าคุณเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่นางงาม ก็ไม่ต้องผอมให้เหมือนนางงาม ให้อยู่ในจุดที่ตัวเองพอใจและไม่กระทบสุขภาพ ส่วนต้า เป็นนางงาม แน่นอนว่าต้องมีคนคาดหวังให้เราสวยเท่านั้นเท่านี้ แต่เรายังต้อง กลับมาคิดอีกทีว่าเราอยากทำจริงๆ ไหม อย่างต้าเคยทำหน้าอกและลดเหนียงมา ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้อยากทำหน้าอก แต่ความที่สะโพกใหญ่ หมอบอกว่าถ้าเอว กับสะโพกเราเท่านี้ การมีหน้าอกขึ้นมาหน่อยจะช่วยบาลานซ์รูปร่างได้ ก็เลยทำ ขึ้นมาแบบน้อยมากๆ พอน่ารัก ขณะที่บางคนอาจขอใหญ่ๆ ไปเลย ก็แล้วแต่คน จะทำอะไรก็ตาม ขอให้มีความสุขกับมัน เพราะคุณจะต้องทนความเจ็บให้ได้ จะฉีดโบท็อกซ์ เลเซอร์ ไฮฟู่ อัลเทอร่า ถามว่าเจ็บไหม ก็มีจิกเบาะนะ แต่ถ้า ผลออกมาสวยแล้วเราชอบและทนได้ก็แฮ็ปปี้

“แต่กว่าจะตกผลึกได้ก็ต้องใช้ทั้งเวลาและประสบการณ์นะคะ ต้องมีวันที่ คุณลองผิดลองถูก ผิดหวัง ผิดพลาด แต่ให้พยายามเก็บสิ่งนั้นมาเป็นคลังข้อมูล เพื่อทำความรู้จักตัวเองให้ได้มากที่สุด รู้ว่าทำสิ่งนี้เราโอเคไหม ไม่ใช่เอาความผิด มาตอกย้ำตัวเอง ให้ทำความรู้จักตัวเองเหมือนว่ากำลังพยายามทำความรู้จัก ใครสักคน ซึ่งสำคัญนะคะ การรู้จักตัวเองจะทำให้เรารู้ทิศทางและเป้าหมาย ของชีวิต ไม่อย่างนั้นเราจะล่องลอยและถูกชักจูงไปในทางที่เราไม่ได้ต้องการ เหมือนตอนนั้นที่ต้ามัวแต่ไปฟังคนอื่นว่าฉันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่พอเรา รู้จักตัวเองแล้ว เราจะคอยเช็กตัวเองตลอดว่าโอเคอยู่ไหม คือพูดน่ะง่าย แต่ ตอนทำน่ะยาก เพราะฉะนั้นต้องให้เวลาตัวเองเยอะๆ ในการเรียนรู้ไป ทุกวันนี้ต้าก็ยังเรียนรู้อยู่ทุกวัน ค่อยๆ ใช้เวลาเติบโตไปกับมันค่ะ” (ยิ้ม)

ถ้าอย่างนั้นขอเคล็ดลับดูแลตัวเองอย่างสุขภาพจิตดีในแบบนิต้าหน่อยค่ะ

“ขอเริ่มที่เรื่องน้ำหนักตัวก่อน ถ้าใครอยากลดความอ้วน เทคนิคคือ อย่าหักโหม การลดน้ำหนักไม่ใช่สิ่งที่จะทำแล้วได้เลย มันจะโยโย่ เหนื่อย เพลีย สมองเบลอ ต้าผ่านการลดน้ำหนักมาทั้งวิธีที่ผิดและถูก เคยทั้งอดอาหาร ออกกำลังกายหนักชนิดสิงอยู่ในฟิตเนสทั้งวัน หรือกินคลีนสุดๆ มาแล้ว แต่ รอบนี้เรารู้แล้วว่าเดี๋ยวประกวดจะต้องเครียด มีเรื่องให้คิดเยอะและต้องทำอะไรมากมาย จึงจ้างเทรนเนอร์มาดูแล ซึ่งทำให้รู้ว่าที่เคยอัดออกกำลังกายทั้งวันนั้น ไม่จำเป็น แค่ออกกำลังกายขา 3 ท่า แขนหรือท้อง 2 ท่าพอ กินอะไรก็ได้ แค่เลือกหน่อย ไม่ใช่ลูกชิ้นทอด 3 มื้อต่อวัน เพราะเวลาประกวดเราเลือกอาหาร ไม่ได้ บางทีเจออาหารสปอนเซอร์ก็ต้องกิน แต่อาจจะลดข้าวลงหน่อย และใน กระเป๋าถือจะมีกล้วย 2 ลูกกับน้ำเต้าหู้ 1 ขวดติดไว้เสมอ (หัวเราะ) เผื่อหิวฉุกเฉิน เพราะนางงามต้องใช้สมอง ถ้าไม่กินอาจเบลอ จะได้มีพลังงานไปคิดต่อด้วย

“ส่วนความสวยงามทั่วไปต้องบอกว่าผมกับผิวนี่เป็นบุญกุศลที่ได้เส้นผม และสีผมมาจากคุณพ่อ และได้ผิวดีมาจากคุณแม่ จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ทำ บ่อยทุกวันคือประคบหน้าอย่างที่บอก กับมีโรลหยกไว้นวดคลึงหน้า จริงๆ แล้ววิธีการไม่สำคัญเท่ากับมีวินัย คือทำให้ได้ทุกวัน ไม่ใช่ซื้อมาวางเก็บไว้ ส่วนเวลา แต่งหน้าต้ามีปัญหาจุดเดียวเลยคือใต้ตาที่ค่อนข้างคล้ำ เพราะเป็นภูมิแพ้ ปกติ คอนซีลเลอร์จะเอาไม่อยู่ ได้แค่แป๊บเดียวรอยดำก็จะทะลุกลับมาใหม่ เทคนิคคือ ใช้คอนซีลเลอร์ลงบริเวณหัวตา แล้วค่อยๆ แตะเกลี่ยให้ซึมเข้าผิว แล้วลงแป้งฝุ่นทับ จากนั้นแต่งหน้าที่เหลือให้เสร็จ แล้วกลับมาลงแป้งผสมรองพื้นโบกเข้าไปใต้ตาอีกรอบ ฉ่ำ สวย อยู่ทน ส่วนขนตาก็ใช้เซรั่มบำรุงขนตาหน่อยก็จะดีค่ะ

“สุดท้ายต้าเชื่อว่าต่อให้สวยแค่ไหนก็จะมีวันที่ผู้หญิงเรารู้สึกอึดอัดกับ ตัวเอง รู้สึกว่าวันนี้ไม่สวยเลย แต่งอะไรก็ไม่สวย เพราะฮอร์โมนในร่างกายเรา บางทีก็ไม่น่ารัก มีขึ้นมีลง บางวันก็กระซิบให้เรารู้สึกแย่เก่งมาก แต่เราอย่าปล่อย ไปตามนั้น ต้องพยายามลุกขึ้นมาแต่งสวย โฟกัสเรื่องดีๆ ของตัวเอง ต้าจะบอกว่าจริงๆ แล้วคนที่ใจร้ายกับเราที่สุดคือตัวเอง ต้องคอยตั้งสติ อย่างประกวด รอบนี้ตอนเดินโชว์ในชุดว่ายน้ำ ต้ารู้ตัวว่าไม่ค่อยพร้อม เพราะไม่มีเวลาเล่นเวต ฟิตหุ่น ตอนเดินรู้เลยว่าขาฉันสั่นกระเพื่อมสะเทือนหัวใจเว่อร์ จึงเตือนตัวเองว่าถ้ามัวแต่โฟกัสจุดที่ขาด เราจะไม่มั่นใจ ทุกอย่างอยู่ที่อินเนอร์ อย่าใจร้ายกับตัวเอง พอคิดได้ ต้าก็พลิกความคิดมาโฟกัสที่ฉันต้องสวย หน้าต้องมั่น ดูหน้าฉันนี่ ดูความมั่นใจของฉัน ก็ทำให้ความมั่นใจดีขึ้น”

สวยและมั่นใจขนาดนี้ มีแฟนหรือยังคะ

“มีแล้วค่ะ เขาเป็นนักรักบี้ บังเอิญเนอะ เพราะกีฬาประจำโรงเรียนวชิราวุธ คือรักบี้ แต่ต้าเจอกับเขาตั้งแต่ตอนประกวดครั้งก่อนโน้น ถ้าถามว่าเจอกันได้ ยังไง…บอกก่อนเลยว่าต้าเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่สวย แต่ผู้ชายไม่กล้าจีบเพราะ กลัว แฟนทุกคนที่ผ่านมาคือเป็นฝ่ายจีบเองตลอด (หัวเราะ) ต้าคิดว่าเรื่อง ความรักถ้าอยากได้คนแบบไหน เราต้องกล้าเข้าไปเลือก เหมือนเวลาเราไป ช็อปปิ้ง เราก็ต้องเข้าไปลองดูลองถือ ถ้ามัวแต่ไม่กล้า เราก็จะได้ในสิ่งที่เรา ไม่อยากได้มาแทน

“ส่วนคนนี้ถ้าเล่าแล้วเขาอาจจะเขินนะ คือปกติเวลาคุยกับใครเราจะ เคยเจอตัวเห็นหน้ากันมาบ้างแล้ว แต่กับคนนี้ไม่เคยเจอกันมาก่อน ตอนแรกเขา แอดเฟรนด์มา แล้วตามกดไลค์รูปเราอยู่ 3 เดือน คือกดให้รู้ว่ากด ซึ่งต้าเห็น แล้วแหละ ก็รู้สึกว่าหน้าตาเขาตรงสเป็คประมาณหนึ่ง คือเราชอบผู้ชายหน้าเข้มๆ แบบผู้บ่าวไทย (หัวเราะ) ชอบแบบนี้ แต่เขาไม่คุยสักทีไง วันหนึ่งก็รู้สึกว่า อยากรู้จักแล้ว ก็เลยทักไปว่า ‘จะส่องอีกนานไหมคะ’ แล้วเราก็ดีลเองหมดเลย ชื่ออะไร อยากเจอกันไหม ก็สรุปว่าได้เจอกัน มารู้ทีหลังว่าพอทักไป เขาโทร.ไปหารุ่นพี่แบบตื่นเต้นมาก ทำตัวไม่ถูก”

นิต้า มานิตา 

นักกีฬากับนางงามไปกันได้ดีไหมคะ มีอะไรต้องปรับเข้าหากันบ้าง

“ต่างกันเยอะอยู่นะ ความที่เขาเป็นนักรักบี้แมนๆ ช่วงแรกจะไม่เข้าใจโลกนางงาม คิดว่าแค่สวยๆ ง่ายๆ สบายๆ แต่พอเขาได้มาดูเบื้องหลังว่านางงามต้องทำอะไรบ้าง เขาบอกว่าเหนื่อยกว่านักรักบี้อีก ที่เหลือก็อาจจะเป็นเรื่องภาษา เวลาคุยกัน เขาจะไม่เข้าใจศัพท์กะเทยหรือภาษาท้องถิ่นที่เราใช้ เพราะเขาเป็น คนภาคกลาง ต้าเคยคุยกับเขาอยู่แล้วบอกว่า ‘เดี๋ยวค่อยคุยกัน ตอนนี้ไฟไหม้’ เขาตกใจใหญ่เลย เป็นอะไร ไฟไหม้ที่ไหน ต้องเรียกรถดับเพลิงไหม โอ๊ย… (หัวเราะ) แต่ความที่เรารู้ว่าเขาอาจจะไม่เข้าใจโลกของเราเต็มที่ เวลาเราไปหา เพื่อนของเรา เราก็จะคอยเช็กกับเขาว่าโอเคไหม หรือถามก่อนเลยว่าอยากไป ด้วยไหม ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร ไม่โกรธ เช่นเดียวกันกับเวลาไปดูเขาแข่งกีฬา ต้าก็ปล่อยให้เขาไปนั่งคุยกับแก๊งเพื่อนผู้ชายของเขา ฉันนั่งอยู่ตรงนี้แหละ เราโอเค คุณก็คุยไป แต่ครั้งแรกที่ต้าไปเชียร์เขาที่สนามนะ ตลกมาก ด้วย ความที่แฟนนักรักบี้ส่วนใหญ่จะหน้าหมวยๆ ส่วนเราเป็นนางงาม แถมยังหน้าฝรั่ง อีก คนจึงหันมามองทั้งสนามเลย ถึงขั้นกรรมการในสนามชี้ขึ้นมาที่เราแล้วก็เมาท์ ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากเดินไปถือไมค์แล้วยกมือขึ้นสวัสดี ขอแนะนำตัว อย่างเป็นทางการให้ทุกท่านที่กำลังนินทาดิฉันอยู่ ณ ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรนะ ผ่านไปแบบขำๆ

“หลักๆ ต้าว่าอยู่ที่การสื่อสารเลยค่ะ คู่ต้าเองก็เคยมีช่วงที่ระหองระแหง คือแม้ต้าจะเป็นสาวสตรอง ทำทุกอย่างเองได้ สามารถเดินสำเพ็งแล้วแบกถุงใหญ่ๆ ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ แถมยังติดนิสัยแม่ศรีเรือนมาจากคุณแม่ มั่นใจว่าทำกับข้าวอร่อย ทำได้ทั้งอาหารไทย อาหารใต้ อาหารเหนือ และอาหารฝรั่ง เราดูแลเขาเต็มที่เหมือนคุณแม่ดูแลคุณพ่อ จนเขาน้ำหนักขึ้นสุด (หัวเราะ) ซึ่งเรา ก็มีความสุขที่ได้ทำให้เขา แต่เราก็ต้องการคนดูแลเอาใจใส่เหมือนกัน จนต้า ต้องคุยกับเขาว่าเราเป็นผู้ให้อย่างเดียวตลอดไม่ได้นะ มันจะมีวันที่ฉันแบตหมด เพราะฉะนั้นคุณต้องให้เรากลับด้วย ถ้าเราต่างคนต่างทำให้กัน ก็จะยิ่งมีความ กระชุ่มกระชวยในหัวใจเพิ่ม แล้วเราก็จะไปต่อได้ ซึ่งเขาก็ทำให้ค่ะ คอยซื้อข้าว ซื้อน้ำ ถือของให้ ยิ่งตอนประกวดนี้ยังมาช่วยเอาผ้าไปซักให้เลย เพราะเรายุ่ง มาก หรือบางทีเราอยากได้คำชมจากเขา แต่เขาจะมาแค่วันนี้สวยนะ เราก็จะ บอกเขาว่าไม่ ฉันต้องการอินเนอร์ที่สตรองกว่านี้ เขาก็น่ารักนะ พอฟังเสร็จ เขาก็ส่งข้อความเสียงกลับมาว่า ‘โอ้โฮ วันนี้เธอเดินสับแบบปั๊วะ แซ่บมาก’ (หัวเราะสนุก)

“กลับกันเขาเคยเจอแต่ผู้หญิงที่ใช่แปลว่่าไม่ ไม่แปลว่าใช่ ไม่เป็นไร แปลว่าเป็น แต่เราเป็นผู้หญิงแมนๆ ไม่เป็นไรคือไม่เป็นไร ซึ่งมีช่วงที่เขา คิดว่าเราเป็น แล้วก็พยายามมาคุยถามต่อ จนเราต้องหยุดเขาแล้วบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ ฉันต้องการเวลาส่วนตัว แล้วเราก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องโทร. รายงานละเอียดทุกอย่าง เพราะรู้ว่าเขาต้องซ้อมกีฬาเยอะ บางทีเราขอแค่ ซ้อมเสร็จแล้วโทร.มาบอกหน่อยว่าเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน แค่นี้ก็พอแล้ว หรือเวลาไปนั่งคาเฟ่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันตลอดเวลา อาจจะจิบกาแฟ แป๊บหนึ่ง แล้วต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองก็ได้ ซึ่งพอเราพูดคุย สื่อสารกันได้เข้าใจ ทุกอย่างก็ค่อยๆ โอเคขึ้นมา ตอนนี้ก็คบกันมาเกือบ 3 ปี แล้วค่ะ”

เล่าเรื่องคุณพ่อคุณแม่บ้างนะคะ ท่านภูมิใจแค่ไหนกับลูกสาวคนนี้

“ภูมิใจนะคะ แต่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ขี้เขินมาก ไม่ค่อยชอบพูด ถ้าเจอคนที่ ไม่รู้จักกันท่านจะไม่พูด คุณแม่เคยไปดูต้าประกวดครั้งหนึ่ง แล้วพอมีนักข่าวมา สัมภาษณ์ต้า คุณแม่หายไปหลบอยู่ในมุม พอประกวดนางสาวไทยรอบนี้ คุณแม่ จึงไม่ยอมมาดูหน้าเวที เพราะไม่อยากออกสื่อ ขอดูทีวีที่บ้าน ต้ายังโทร.ไปแซวคุณแม่ก่อนขึ้นเวทีเลยว่าอยู่บ้านคนเดียว ถ้าจะดีใจก็เบาๆ นะ ค่อยๆ หายใจนะ (ยิ้ม) ซึ่งต้าโอเคนะ เรารู้ว่าเขารักและตื่นเต้นไปกับเรา แต่เขาอยากอยู่ในที่ที่ แสดงออกได้เต็มที่มากกว่า

“ส่วนคุณพ่อย้ายกลับไปอยู่ที่อเมริกาได้ 4-5 ปีแล้วค่ะ เพราะปัญหาสุขภาพ ท่านต้องกลับไปใช้สวัสดิการที่นั่น นี่ต้ายังไม่ได้โทร.ไปหาเลย เพราะภารกิจแน่นมาก แล้วเวลาที่โน่นกับเมืองไทยก็ห่างกัน 12 ชั่วโมง อินเทอร์เน็ตเมืองที่คุณพ่ออยู่ก็ดี๊ดี ภาษาใต้เรียกว่าอยู่ใน ‘หมง’ แปลว่าบ้านนอกไกลๆ อเมริกาไม่ได้มีแค่นิวยอร์กนะ (หัวเราะ) แต่คิดว่าท่านรู้แล้วว่าเราได้ตำแหน่ง เพราะคุณแม่ส่งวิดีโอ ไปให้ ก็คงดีใจ”

แรงบันดาลใจของนิต้ามาจากไหน

“ต้าไม่มีใครเป็นแรงบันดาลใจเฉพาะเจาะจง คนชอบถามว่าต้ามีนางงามคนไหนเป็นไอดอลในดวงใจไหม ต้าเลือกมองจุดเด่นของแต่ละคนแล้วดึงมาใช้เป็นเรื่องๆ ไปมากกว่า อย่างวิธีการทำงานอาจจะเป็นคนนี้ ชอบการวางสตอรี่ของคนนั้น ชอบการพูดการจาของคนนี้ ชอบการเดินของอีกคน อย่างเรื่องวางลุคต้าชอบของ แคท-แคทรีโอนา เกรย์ (มิสยูนิเวิร์ส 2018) ตอนที่มาไทย เสื้อผ้าเขามีกลิ่นอายความเป็นฟิลิปปินส์ เราก็เก็บของแต่ละคนมารวมๆ กันให้เป็นตัวเรามากกว่าค่ะ”

สิ่งที่อยากบอกคนรุ่นต่อไปที่กำลังเดินตามความฝัน

“ทำในสิ่งที่อยากทำและสนใจจริงๆ เพราะถ้าทำแล้วฝืน คุณก็จะไปต่อได้ ไม่สุด อย่างถ้าให้ต้าไปพูดเรื่องคณิตศาสตร์ เราคงทำไม่ได้ แต่ถ้าให้พูดขายของ ยังไงให้ขายได้ ก็พูดได้ไม่หยุด เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจและทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ขอให้เกิดจากความสนใจและความตั้งใจของเราจริงๆ ซึ่งความสนใจนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามประสบการณ์ที่เราเจอ วันนี้คุณอาจจะสนใจเรื่องหนึ่ง เวลาผ่านไปอาจจะเปลี่ยนไปสนใจอีกอย่างก็ได้ อนาคตอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ขอแค่ให้รู้จักตัวเอง แล้วค่อยๆ เติบโตไปกับมันค่ะ”

อยากให้คนจดจำนิต้าในแง่ไหน

“อยากให้เห็นความตั้งใจค่ะ อยากให้รู้ว่าเราตั้งใจกับทุกกิจกรรมจริงๆ คิดว่านางสาวไทยแต่ละคนก็มีบุคลิกไม่ซ้ำกันอยู่แล้ว ถ้าคนไม่รู้จักต้าจะคิดว่าเรานิ่ง เงียบ ดุ เข้าถึงยาก แต่พอรู้จักแล้วจะบอกว่าเหนือความคาดหมาย ไม่คิดว่าเราจะพูดเยอะขนาดนี้ (หัวเราะ)

“คนภายนอกอาจจะคิดว่านางงามต้องเรียบร้อย อ่อนน้อม สดใส ร่าเริง แต่ตัวตนของต้าจะมีหลายเวอร์ชั่น บางทีอาจจะหัวเราะเอิ๊กอ๊าก อีกวันอาจจะดูขรึม ซีเรียส แต่ความจริงเป็นคนสบายๆ แค่ตั้งใจเต็มที่กับทุกอย่าง ถ้ากิจกรรมไหนต้องสนุก เราก็ตั้งใจให้สนุก ถ้าต้องนิ่ง เราก็ตั้งใจฟังตามนั้น เราวางตัวเองให้ตรงกับทุกกิจกรรม แต่ไม่ได้เฟค แค่ตั้งใจและมีความสุขกับทุกกิจกรรมที่ทำ เราอยากให้คนภายนอกเห็นว่าเราไม่ได้มาประกวดแค่เพื่อมงกุฎหรือรางวัล แต่ อยากทำทุกอย่างให้ดี ให้สมกับตำแหน่งนางสาวไทยจริงๆ อย่างที่ต้าเคยพูดไว้ ตอนประกวดว่า ถ้าหากพี่ๆ ต้องการหานางงามที่พร้อมจะทำงานให้เวทีนางสาวไทย ต้าพร้อมที่จะเป็นตัวเลือกนั้น ก็หวังว่าตลอด 1 ปีในตำแหน่งนางสาวไทย คงจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ ได้ลองทำอะไรที่แปลกใหม่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นนางสาวไทยเดี่ยวไมโครโฟนก็ได้นะ” (ยิ้ม) 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 980

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up