หยิ่น อานันท์ ว่อง

ชีวิตที่เติบโตขึ้นทุกมิติของ “หยิ่น – อานันท์ ว่อง” ทุ่มเททำงานปลดหนี้ให้ครอบครัว

Alternative Textaccount_circle
หยิ่น อานันท์ ว่อง
หยิ่น อานันท์ ว่อง

“ผมค่อนข้างมีแผนชัดเจน” ‘หยิ่น – อานันท์ ว่อง’ อธิบายถึงความเป็นตัวเองให้ แพรว ได้รู้จักเขามากขึ้น และครั้งนี้เขาได้แชร์การทำงานในบทบาทที่เติบโตขึ้น เส้นทางในวงการบันเทิง เป้าหมาย และมุมมองการใช้ชีวิตที่โตขึ้นจากเดิม พร้อมทั้งมุมโรแมนติกของ ‘ผู้ชายมีฟอร์ม’ คนนี้

ชีวิตที่เติบโตขึ้นทุกมิติของ “หยิ่น – อานันท์ ว่อง” ทุ่มเททำงานปลดหนี้ให้ครอบครัว

จากจุดเริ่มต้นของกระแส #หยิ่นวอร์ จนถึงวันนี้ ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

“สำหรับผมมองว่าโตขึ้นทุกอย่างเลยครับ ถ้าเรื่องชีวิต นิสัย ก็โตขึ้นตามอายุ ตามประสบการณ์ที่เจอ งานแสดงก็โตขึ้น ทั้งในแง่ฝีมือพัฒนาการต่างๆ สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้มากขึ้น เพราะถ้าย้อนกลับไปช่วงแรก ตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจบทหรือตัวละครมากนัก

“พอมาภาคนี้ผมรู้สึกว่าเราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตอนแรกมาแล้ว จึงได้นำเทคนิคที่เรียนรู้มาใช้ในการแสดงมากขึ้น อย่างก่อนหน้านี้มีแสดงภาพยนตร์ ก็ได้เทคนิคการแสดงจากผู้กำกับและแอ๊คติ้งโค้ช เพราะแต่ละคนก็จะมีเทคนิคที่ต่างกัน เวลาเราไปเจอใคร ได้ทำงานกับใคร เราก็ได้รับความรู้ เทคนิคมาปรับใช้

“รวมถึงผมมีโอกาสทำงานที่หลากหลายมากขึ้น อย่างแสดงภาพยนตร์ เล่นมิวสิควิดีโอ ถ่ายแบบ งานโฆษณาต่างๆ รวมถึงได้ฝึกร้องเพลงด้วย” (หัวเราะ)

หยิ่น อานันท์ ว่อง

จากที่ไม่มีพื้นฐานเรื่องร้องเพลงเลย ตอนนี้มั่นใจขึ้นหรือยังคะ

“ใช่ครับ ผมเพิ่งเริ่มหัดร้องเพลงตอนเป็นนักแสดง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีภาพตัวเองยืนร้องเพลงบนเวทีเลยนะ แต่พอเราเริ่มทำงาน ต้องไปออกงานอีเว้นต์ จึงต้องหัดร้องเพลงเพื่อไว้โชว์บนเวที ให้งานดูมีสีสันมากขึ้น เพลงเก่งประจำตัวตอนนี้คือเพลง อ้อนไม่เก่ง ครับ” (ยิ้ม)

จากที่ได้ทำงานหลายๆ อย่าง คิดว่าถนัดงานอะไรที่สุดคะ

“ร้องเพลง…ขอยกไปไว้ก่อนครับ (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่ถนัดนะ แต่ผมรู้สึกว่ายังทำได้ไม่สุด คือยังไม่ถึงขนาดเป็นนักร้องมืออาชีพที่มีสไตล์การร้องเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการร้องเพลงอาจจะไม่ใช่ทางของเราเท่าไร

“งานที่ผมชอบที่สุดตอนนี้คือการแสดงครับ อยากจะพัฒนาฝีมือ ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่เราอยู่ตรงนี้ พอมีชื่อเสียง มีคนรู้จักในระดับหนึ่ง มีแฟนๆ ที่พร้อมจะซัพพอร์ต ให้กำลังใจเราในทุกๆ เรื่อง อย่างเวลาที่ได้รับคำชม ผมดีใจมากนะ เขินด้วย (ยิ้ม) แล้วก็อยากทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม อยากแสดงบทใหม่ๆ ที่ได้โชว์ศักยภาพของเราให้แฟนๆ ได้เห็น

“อย่างเรื่อง กลรักรุ่นพี่ เวลาเห็นคอมเมนต์จากแฟนๆ ดีใจมากครับ เพราะเราทุกคนทำกันเต็มที่จริงๆ ส่วนงานพิธีกรผมก็ชอบนะ แต่ไม่ใช่พิธีกรจริงจัง แบบรันทั้งงาน เป็นประมาณพูดแนะนำใน Vlog หรือรายการไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวเอง อย่างในยูทูบที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก สามารถโยงเข้าสปอนเซอร์ได้แบบสนุกๆ ไม่น่าเบื่อ ชอบแบบนั้นครับ”

คิดว่าตัวเองเป็นยูทูบเบอร์เต็มตัวหรือยัง

“ไม่ขนาดนั้นครับ (ส่ายหน้า) ผมมองว่ายูทูบเบอร์มืออาชีพคือนักคิดคอนเทนต์ ครีเอตรูปแบบรายการให้น่าสนใจ น่าติดตาม อย่างเราอาจจะเคยคิดเล่นๆ พาคนมา 100 คน ใครอดข้าวได้นานสุดเอาเงินไปเลย แต่ยูทูบเบอร์สามารถทำความคิดเหล่านั้นให้เป็นจริงได้

“แต่ความที่เราเป็นนักแสดง ก็ต้องทำอะไรที่เหมาะกับคนดูช่องเราด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแฟนๆ และคนทั่วไป ผมจึงรู้สึกว่าเราไม่ใช่ยูทูบเบอร์จ๋าขนาดนั้น”

ในการทำงาน หยิ่น วอร์ และพร้อม ซัพพอร์ตกันอย่างไรบ้าง

“เราช่วยเหลือกันเรื่องงานเป็นปกติ แต่ถ้าเรื่องปรึกษา…ผมไม่ค่อยปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับใครเท่าไร เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวผมมักจะตัดสินใจและแก้ปัญหาเอง ไม่ว่าจะเรื่องตัวเอง เรื่องครอบครัว หรือเรื่องงาน แต่อาจจะมีเล่าให้ฟังบ้างหลังจากที่ผมผ่านเรื่องเครียดๆ มาแล้ว

“เรื่องที่เรา 3 คนซัพพอร์ตกันจึงเป็นเรื่องการทำงาน การวางตัว อย่างเราเจอเรื่องแบบนี้จะทำไงดี มีใครโดนแบบนี้บ้าง คือเป็นฟีลคุยกันแบบให้กำลังใจมากกว่าครับ” 

ชีวิตตอนนี้ถือว่าลงตัวไหม

“ก็ไม่ค่อยมีเรื่องให้เครียดนะครับ เพราะเราผ่านมาแล้ว ช่วงนี้จึงถือว่าลงตัว ทำงานทุกวัน ตื่นเช้าไปทำงาน กลับบ้านนอน แล้วก็ตื่นเช้าออกไปใหม่”

ถ้าให้สำรวจตัวเอง คิดว่าหยิ่นในวัย 23 ปีมีอะไรที่ต่างไปจากเดิมบ้างคะ

“อืม…อาจจะไม่ใช่มุมที่ดีขึ้นนะ (หัวเราะ) อย่างนิสัยผมชอบกินมาก เวลาไปต่างประเทศ หลายคนต้องการไปเที่ยว ไปช็อปปิ้ง แต่จุดประสงค์หลักของผมคืออยากไปกินอาหารอร่อยๆ

“และยิ่งพอเราทำงานใหม่ๆ หาเงินเองได้ ก็อาจจะใช้จ่ายในเรื่องกินสุรุ่ยสุร่ายเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้เราเข้าใจมุมนี้มากขึ้น ประมาณว่าบางครั้งกินข้าวราคา 500 บาท กับ 50 บาท ก็อิ่มเหมือนกันนะ คือเราไม่จำเป็นต้องเติมความสุขให้ตัวเองด้วยอาหารแพงๆ ทุกวัน

“ส่วนเรื่องนิสัยก็มีที่เปลี่ยนไปนะ เมื่อก่อนขี้งก (หัวเราะ) อย่างช่วงแรกที่เริ่มทำงานหรือไปมหาวิทยาลัยผมจะไม่ขึ้นทางด่วนเลย เพราะอยากประหยัด แม้ว่าจะต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นก็ยอมเพื่อประหยัดเงิน แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่าเวลามีค่ามากกว่า เพราะเวลาซื้อไม่ได้ ตอนนี้ก็เลยยอมจ่ายค่าทางด่วนแล้วครับ (หัวเราะ) 

“ส่วนเรื่องมุมมองต่างๆ ก็ยังเหมือนเดิม อย่างเวลาทำงานผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นจุดสำคัญมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม เราจะประมาณว่า ‘ได้เลยครับ ไม่เป็นไรพี่’ แบบนี้มาตลอดตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นมองอย่างไร แต่ผมยังรู้สึกว่าเวลาทำงานเรายังตัวเล็กอยู่เสมอ”

แล้วเป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนด้วยไหม จากตอนแรกที่ทำงานเพื่อปลดหนี้ให้ครอบครัว

“ก็ยังไม่เปลี่ยนนะครับ เพราะผมเพิ่งรู้ว่ามีหนี้อีกก้อนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ตอนนี้ ก็พยายามทำงานเก็บเงิน และอยากพาป๊า (อยู่ที่ฮ่องกง) กลับมาอยู่เมืองไทยด้วยกันครับ

“ฉะนั้นหลักๆ ผมยังคงทำงานเพื่อครอบครัวอยู่ แต่ที่เปลี่ยนไปอาจจะเป็นมุมมองที่โตขึ้น อย่างเมื่อก่อนทำงานอาจจะมีบ่นบ้างว่า โอ๊ย เหนื่อยจัง งอแงนิดหน่อย ช่วงหลังแม้จะยังมีงอแงอยู่บ้าง แต่ผมมีวิธีฮีลตัวเอง คือบอกตัวเองว่า ‘จงทำงานให้เหมือนวันสุดท้าย’ (ยิ้ม)

“และเป็นคำที่เราใช้คุยกันกับเพื่อนๆ ด้วย คือจงทำงานให้เหมือนวันสุดท้าย เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะยังมีชื่อเสียงอยู่ไหม ยังมีคนชอบอยู่หรือเปล่า ฉะนั้นจงตั้งใจทำงาน ให้ทุกคนที่เลือกเรา ไม่ว่าจะทีมงาน ลูกค้า รู้สึกว่าคุ้มค่าที่เลือกเรามาทำงานนี้” 

นอกจากวิธีคิด มีอะไรที่ช่วยเติมพลังได้อีก

“อืม…น่าจะเป็นการรอวันหยุดยาวไปเที่ยว เก็บบรรยากาศที่ต่างจังหวัด (หัวเราะ) ชาร์จแบตอยู่กับธรรมชาติให้เต็มที่กับกินของอร่อย อย่างไปทะเล ก็จะต้องเป็นหอยนางรมตัวใหญ่ ชอบมากครับ แม้ว่ากินทีไรท้องเสียตลอด (ทำหน้าเศร้า) ส่วนถ้าไปภูเขาก็ต้องสเต๊กเนื้อ ผมชอบเนื้อมาก เหมือนเป็นการชาร์จแบตอย่างหนึ่ง เพื่อให้มีแรงกลับมาทำงาน (ยิ้ม)

“หรือถ้ามีเวลาว่างแป๊บเดียวก็เล่นเกมอยู่บ้าน ดูหนัง เล่นกับหมา แล้วก็ดูว่าช่วงนั้นอยากทำอะไร อย่างถ้าอยากไปยิงปืนก็ยอมตื่นเช้าหน่อย เพราะสนามอยู่ไกล แต่ส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาวันเดียวก็อยู่บ้านพักผ่อนครับ

“พอผ่านช่วงสถานการณ์ที่หยุดงานยาวนาน ผมกลับชอบตัวเองตอนที่ทำงานยุ่งๆ มากกว่า พอว่างนานๆ แล้วเคว้งคว้างไปหน่อยครับ รู้สึกตัวเองไร้คุณค่า ซึ่งผมคิดว่าหลายคนเป็นนะ เคยทำงานหนักแล้วจู่ๆ ต้องหยุดหลายวัน จะรู้สึกแปลกๆ ไม่ชิน และทำให้รู้เลยว่าเวลาทำงานเรามีความสุขขนาดไหน” (ยิ้ม)

หยิ่น อานันท์ ว่อง

มองเป้าของการทำงานไว้แบบไหนคะ

“ความสุขครับ…เป้าหมายของผมคืออยากทำงานโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องเงิน อยากทำงานด้วยความสุขและแพสชั่นจริงๆ ซึ่งตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ราบรื่นนัก อยู่ในช่วงกำลังปูรากฐาน เพิ่งเทปูน แต่ถ้าวันหนึ่งมันกลายเป็นตึกที่แข็งแรง ผมก็ไม่ต้องไปดูแลหรือกังวลกับมันแล้ว ฉะนั้นเป้าหมายคืออยากทำงาน อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขครับ” 

มีแพลนจะทำธุรกิจของตัวเองไหม

“ตอนนี้ทำแบรนด์เสื้อผ้าครับ แต่ผมไม่อยากทำแบบพรีออร์เดอร์ ผมไม่อยากให้ลูกค้าต้องรอ 2 – 3 เดือนกว่าจะได้ของ แต่ข้อเสียคือเราต้องลงทุนไปก่อน และไม่รู้ว่าจะขายหมดหรือเปล่า ซึ่งผมก็ยอมรับความเสี่ยงนั้นไว้ เพราะอยากให้คนซื้อแฮ็ปปี้ ตอนนี้จึงวางแบบล่วงหน้าไว้แล้ว 2 – 3 คอลเล็คชั่น เพื่อเตรียมผลิตและเปิดขายเร็วๆ นี้ครับ

“อีกอย่างก็คืออยากทำขนมจีนขายครับ เป็นสูตรของครอบครัว อร่อยมากๆ (ยิ้ม) ก่อนหน้านี้เวลาทำกินเราไม่เคยจดสูตรเป็นเรื่องเป็นราว ปรุงตามรสมือ รสชาติจึงไม่เสถียร (หัวเราะ) ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นตอนจดสูตรว่าปรุงแบบไหนให้รสชาติถูกปากที่สุด ผมคิดว่าจะเริ่มจากเล็กๆ ก่อน ถ้าพอขายได้ก็อาจจะเปิดขายออนไลน์และเดลิเวอรี่ ตอนนี้จึงเป็นช่วงเตรียม 2 ธุรกิจนี้อยู่ครับ ซึ่งแบรนด์เสื้อผ้ามีทีมหลังบ้านช่วยทำ กำลังรันไปเรื่อยๆ ซึ่งเวลาทำงานผมก็โหดอยู่นะ”

บอสหยิ่นโหดขนาดไหนคะ

“ก็ประมาณหนึ่งครับ (หัวเราะ) อย่างถ้าคุยกันแล้วว่าได้งานวันนี้ แต่พอถึงเวลาแล้วไม่ได้ ผมก็ต้องถามว่าเพราะอะไรถึงไม่ได้ เราไม่ได้ทำกันเล่นๆ นะ คือเวลาทำงานผมค่อนข้างจริงจัง เพราะไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาด แล้วพอจบงานก็เข้าสู่โหมดปกติ”

เรียกว่าเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ได้ไหม

“ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าเรื่องบันเทิง อย่างเล่นดนตรีไม่ถูกโน้ตบ้าง เล่นกีตาร์ผิดบ้าง อันนั้นไม่เป็นไรครับ โดยรวมยังเป็นเพลงอยู่ แต่ถ้าเป็นการทำของขาย เสื้อผ้า ทำสร้อย แล้วคุณภาพไม่ได้ ผมจะซีเรียสทันที ถ้าในส่วนนี้ก็ค่อนข้างเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ครับ ต้องการวางแผนชัดเจน มีขั้นตอน”

แล้วตารางชีวิตในแต่ละวันต้องวางแผนชัดเจนด้วยไหม

“เป็นแบบคร่าวๆ ครับ อย่างถ้าพรุ่งนี้ว่างก็คิดไว้ว่าอยากทำอะไรบ้าง เช่น พรุ่งนี้ผมตั้งใจจะไปซื้อของอย่างหนึ่ง แล้วจู่ๆ ตอนเช้าที่บ้านบอกว่าให้พาไปธุระหน่อย ก็อาจจะแอบเซ็งนิดนึงว่าทำไมไม่บอกก่อน แต่ถ้าเป็นครอบครัว ผมก็ยอมตลอด เพราะถ้าเราทำเหมือนไม่อยากไป เดี๋ยวเขางอน ฉะนั้นถ้าคุณยายให้พาไปทำบุญ พาคุณแม่ไปกินข้าว ซื้อของ ผมยอมหมดครับ” (หัวเราะ)

ช่วงนี้มีกิจกรรมอะไรที่อินเป็นพิเศษบ้าง

“จริงๆ เป็นสิ่งที่ผมชอบมาตลอด คือการออกกำลังกาย แต่บางช่วงทำงานหนักติดกันจึงไม่มีเวลาที่ชัดเจน บางวันกลับมาบ้านก็หมดแรงแล้ว ซึ่งการออกกำลังกายต้องทำสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลและได้ประโยชน์

“การออกกำลังกายเป็นงานอดิเรกที่ผมชอบมากเลยนะ (ยิ้ม) เหมือนเราขยับร่างกายเต็มที่ รู้สึกเฮลตี้ สุขภาพดี อารมณ์ดี (ยิ้ม) ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเริ่มงานสัก 10 โมงเช้า จะได้มีเวลาไปเข้ายิมก่อน แต่บางครั้งเราเลือกไม่ได้ ก็ต้องเลือกงานก่อนครับ” (หัวเราะ)

แชร์เคล็ดลับฟิตหุ่นในแบบหยิ่นหน่อยค่ะ

“โอ้…หลักๆ ก็เน้นเข้าฟิตเนสเพื่อเล่นเป็นส่วนๆ เช่น วันนี้เล่นกล้ามเนื้ออกกับหลังแขน ต่อไปเล่นช่วงไหล่ บวกกล้ามขาเล็กน้อย วันต่อไปเน้นเล่นบริเวณหน้าแขนกับหลังแขน วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าช่วงไหนไม่มีเวลา ขาดไปบางส่วน ก็ต้องพักแล้วเริ่มใหม่ อย่างตอนนี้ผมเสียค่าสมาชิกฟิตเนสฟรีไป 4 เดือนแล้ว ยังไม่ได้เข้าเลยครับ” (หัวเราะ)

มีเทคนิคปั้นซิกซ์แพ็คไหม

“ส่วนตัวผมไม่มีนะครับ แต่จากการอ่านข้อมูลมา เขาบอกว่าต้องควบคุมอาหาร งดน้ำอัดลม น้ำตาล ไขมัน กินอาหารที่มีประโยชน์ แต่ผมก็ไม่ได้คุมอาหารจริงจังมาก อาจจะเพราะว่าเราพอมีอยู่แล้วบ้าง แค่ฟิตเพิ่มนิดหน่อย มันเลยมาเอง” (ยิ้ม)

ช่วงไหนที่รู้สึกว่าหล่อที่สุด

“ผมว่า…ช่วงที่ถ่ายซีรี่ส์ กลรักรุ่นพี่ นี่แหละครับ (ยิ้ม) ทั้งหน้าตา รูปร่าง น่าจะเป็นช่วงที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุดแล้ว เพราะในเรื่องต้องมีฉากถอดเสื้อ ก็พยายามดูแลรูปร่างให้ดีที่สุด เพื่อเวลาแสดงตัวเองจะได้มั่นใจด้วย แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ไม่แล้วนะครับ” (หัวเราะ)

หยิ่น อานันท์ ว่อง

อยากให้ลองนิยามความเป็นหยิ่นให้ฟังหน่อย

“ผม…มีระเบียบ ค่อนข้างทำตามแผนที่วางไว้ ชอบความเป็นระบบ ซึ่งน่าจะซึมซับมาจากคุณพ่อ ท่านค่อนข้างมีระบบ มีแผนชัดเจน สมมติว่า 8 โมง ต้องถึงที่นัดหมาย เขาจะไปถึง 7 โมง เพื่อรอคนอื่น 1 ชั่วโมง เขาจะเป๊ะมาก แต่ผมไม่ขนาดนั้น ชอบทำตามแผน แต่ก็หย่อนได้”

หยิ่นตลกไหมคะ

“ถ้าสนิทก็ตลกนะครับ แต่ผมไม่ใช่สายยิงมุกโบ๊ะบ๊ะ ส่วนใหญ่จังหวะจะมาเองมากกว่า” (หัวเราะ)

หยิ่นเคยเล่าว่าตัวเองโรแมนติก แต่มีฟอร์ม ตอนนี้ยังเหมือนเดิมไหมคะ

(หยุดคิด) “อาจจะโรแมนติกแบบตลกด้วย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลอง จึงไม่รู้ ผมน่าจะเป็นคนขี้เขินด้วยแหละ เคยนึกภาพว่าถ้ามีแฟนแล้วถึงวันครบรอบ 1 ปี เราต้องเซอร์ไพร้ส์มอบดอกไม้ เราจะทำได้เหรอ (หัวเราะ) อาจจะต้องดูหน้างานอีกทีครับ

“แต่ผมใส่ใจวันพิเศษมากๆ อย่างวันครบรอบวันเกิด วันวาเลนไทน์ วันปีใหม่ ผมมีของให้ตลอด เพียงแต่ไม่ใช่สายพูดคำซึ้งๆ แบบ ‘รักเธอนะ’…แบบนี้เรียกโรแมนติกไหมครับ” (ยิ้ม)

เวลาจะจีบใคร ประมาณไหนคะ

“โห…ปัดฝุ่นก่อน เขินเลย (หัวเราะ) ยุคนี้เขาจีบกันยังไงแล้วครับ แต่ผมจะไม่เริ่มจากความเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปแบบพรวดพราด จะทำให้เขารู้ว่าเราไม่ได้เข้ามาแบบเพื่อนนะ ซึ่งถ้าเขารู้แล้วยังโอเค ก็ค่อยลุยต่อ

“เพราะถ้าเริ่มจากเพื่อน แล้วสุดท้ายเขาบอกว่า ‘คิดกับเธอแค่เพื่อน’ คงร้องไห้เลยนะ (หัวเราะ) ไม่ได้ๆ โนเฟรนด์โซนครับ เราต้องส่งสัญญาณให้เขารู้ชัดเจน เพราะถ้าเขาไม่โอเค เราก็เดินออกได้เลย”

สเป็คแบบไหนที่ทำให้หยิ่นอยากเข้าไปทำความรู้จักคะ

“ผมชอบคนที่เข้าถึงยาก สมมติว่าไปกับเพื่อน 5 คน แล้วคนนั้นคุยกับทุกคนเหมือนกันหมด ผมจะไม่รู้สึกพิเศษ แต่ถ้าเขาคุยกับเพื่อน 4 คน ยกเว้นผม ผมจะรู้สึกว่าพิเศษ อยากคุยกับเขา (หัวเราะ)

“แต่พอเริ่มคุยกันแล้ว ผมแพ้คนเทคแคร์ เพราะส่วนตัวผมชอบดูแลคนอื่น จึงไม่ค่อยมีโมเมนต์ถูกดูแลเท่าไหร่ สมมติว่าผมไม่สบาย ก็อยากให้เขาถามว่ากินยาหรือยัง เดี๋ยวจัดยาให้นะ อะไรแบบนั้นครับ

“ซึ่งถ้าผมมีแฟน สามารถใช้คำว่าปรนนิบัติได้เลยนะ (ยิ้ม) ผมจะทำให้เต็มที่ ดูแลเขาเท่าที่ผมทำได้ แต่ขณะเดียวกันผมชอบคนแกร่ง แบบที่ดูแลตัวเองได้ ไม่ได้ต้องการการดูแลมาก ดูย้อนแย้งใช่มั้ย (หัวเราะ) เช่น ถ้าผมไปรับ เขาอาจจะบอกว่ามารับทำไม ไปเองได้ แต่ผมก็จะดื้อไปรับจนได้แหละ (ยิ้ม) ประมาณว่าทั้งผมและเขาดูแลตัวเองได้ทั้งคู่ แต่เวลาอยู่ด้วยกัน ก็ช่วยดูแลกันและกันครับ” (ยิ้ม) 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 985

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up