ถ้านับตัวเลขในวงการบันเทิงของ “เจษ – เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์” เวลา 10 กว่าปี คงเปรียบได้กับวัยทำงานที่มีความชัดเจนในตัวเอง ส่วนชีวิตจริงที่เข้าวัย 30 ปี ก็ถือเป็นอีกช่วงวัย ที่จะก้าวไปอย่างมั่นคง รวมถึงชีวิตรักในปีที่ 3 กับภาพอนาคตที่ชัดเจน
10 กว่าปี ในวงการบันเทิงของเจษ
“ถ้านับในมุมผมคงจะประมาณ 10 ปีครับ นับจากงานละครเรื่องแรกที่เล่นแบบเต็มตัวครับ (เรือนเสน่หา) และเป็นการเลือกเดินบนอาชีพนักแสดงอย่างจริงจัง
“ผมเป็นคนไม่ชอบยอมแพ้ครับ ตอนเด็กๆ ที่ผ่านมาเวลาเราทำอะไร ส่วนใหญ่ก็จะทำได้นะ อย่างเรื่องเรียน กีฬา หรือดนตรี แต่พอเริ่มทำงานแสดงหรืองานในวงการ ผมรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ และผมไม่อยากรู้สึกว่าแบบนั้น จึงพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ทำงานนี้มา 10 ปีแล้วครับ
“กลับกัน ถ้าอะไรที่ทำแล้ว รู้ตัวว่าไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด ผมก็จะไม่ทำเลยนะ อย่างเรื่องเต้น ถ้าให้ผมเต้น ผมรู้ตัวว่า เราไม่ถนัดจริงๆ ผมก็จะไม่พยายามไปเรียน เพื่อให้เต้นเก่งนะ
“แต่การแสดง ผมรู้สึกว่าเรายังพัฒนาได้อีกเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่ามันอาชีพนี้มีเสน่ห์ และให้อะไรหลายๆ อย่างกับเรามาก ๆ ทั้งความภูมิใจในตัวเราเอง ความภูมิใจของพ่อแม่ การเข้าใจมุมมองชีวิตคนหลายๆ แบบ เพราะเวลาที่จะต้องแสดงในแต่ละบทบาท เราต้องศึกษาตัวละครอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจความคิด ความรู้สึก ของตัวละครนั้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งการแสดงทำให้ ผมโตขึ้น เป็นคนที่ดีขึ้น และมองภาพได้กว้างขึ้นด้วย”
ช่วงปีไหนของการทำงานที่รู้สึกว่า “เราทำได้แล้ว”
“ยังไม่มีเลยครับ เพราะเวลาเราดูงานตัวเอง ผมยังมีความรู้สึกว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ แต่ว่าตอนที่เราทำงานอยู่ เราก็ทำเต็มที่สุดๆ แล้ว จึงคิดว่า เราอาจะต้องมีสติให้มากขึ้น ต้องทำให้ดีขึ้นอีกในผลงานต่อๆ ไป ยังไม่เคยรู้สึกว่าเพอร์เฟค หรืองานนี้เป็นงาน masterpiece ที่เราทำได้ดีทุกฉาก แต่จะรู้สึกว่าต้องพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ
“แต่มองอีกมุม น่าจะเป็นสถานะมั้งครับ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราพัฒนนาขึ้น เราทำได้ เพราะว่าผมไม่ได้เริ่มจากบทพระเอก สิ่งที่เห็นก็คือ เรามีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าการเป็นพระเอกคือ จุดสูงสุดของตัวละคร”
ใช้คำว่า “หลงรัก” ในอาชีพนี้ได้ไหม
“ได้ครับ แต่ผมไม่ได้รักอาชีพนี้ เพราะว่าชื่อเสียง หรือเงิน แต่ที่ผมรักอาชีพนี้ เพราะผมรู้สึกว่าอาชีพนี้ทำให้ผมโตขึ้นเร็วกว่าอายุ ได้เจอคนหลากหลายแบบ หลากหลายอาชีพ ซึ่งมันทำให้เราได้เรียนรู้ และเข้าใจคนในหลากหลายมุม รวมถึงการแสดง เราต้องศึกษาตัวละคร ต้องรู้ทุกแง่มุมของคนๆ นั้น ที่เป็นตัวละคร จึงทำให้ผมเข้าใจในความคิดความอ่านของคนอีกแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้โตมาเหมือนเรา
“ฉะนั้นยิ่งพอเล่นละครหลายๆ เรื่อง จึงทำให้เราโตขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวมั้ง ทำให้ปัจจุบัน ชีวิตผมค่อนข้างปล่อยวาง และเข้าใจคนที่แตกต่างกัน ผมจึงไม่ค่อยโกรธอะไรเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นตอนเด็กๆ เราอาจจะมีอารมณ์ว่า ทำไมเขาทำแบบนี้ เพราะว่าเราก็โตมาแบบนึง เขาก็โตมาอีกแบบนึง คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดตัวเอง แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะ”
อะไรบ้างที่เมื่อก่อน เด็กชายเจษ เคยเป็น แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว
“สิ่งนั้นเลยครับ เมื่อก่อนผมคนอารมณ์ร้อน และค่อนข้างเป็นคน self-center อะไรที่เราคิดว่ามันไม่ถูก มันก็ต้องไม่ถูก แต่ตอนนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้ว ผมจะพยายามคิดก่อนว่า ทำไมเขาจึงทำแบบนี้ อาจะเพราะว่าเขาเจออะไรมา หรือเขาต้องการอะไร ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างเข้าใจคนหลายแบบ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าผิดนะครับ”
รู้สึกอย่างเวลามีคนบอกว่าชีวิตของ “เจษ เพอร์เฟค”
“เวลาหลายๆ คน รู้ว่าครอบครัวผมเป็นเจ้าของตลาด มักจะคิดว่าผมต้องเป็นคุณหนูอยู่สบายแน่ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้พยายามอธิบายให้คนอื่นเข้าใจนะ ว่าจริงๆ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงมาแบบให้เรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีการสปอยล์อะไรเลย
“ผมรู้ตัวเองนะ รู้อยู่แก่ใจครับว่า ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น น่าจะเป็นคนที่เอาตัวรอดเก่งมั้งครับ อย่างเรื่องการเรียน ผมไม่ได้เก่งทุกวิชา หรือต้องได้เกียรตินิยม เพียงแต่ผมรู้ว่า ต้องทำอย่างไรถึงจะได้มันมา รู้ลิมิต และรู้ ความสามารถของตัวเอง อาจจะเรียกว่า รู้เท่าทันตัวเองครับ
“ซึ่งเรื่องการเรียนคุณแม่คุณพ่อก็ไม่ได้กำหนดนะครับว่าต้องได้เกรดเท่านี้ เพียงแต่ผมอยากทำให้ดี เพราะผมรู้ว่าถ้าเกรดเราดี ท่านก็จะดีใจ แบบว่าอยากได้เกรดว่าโชว์พ่อแม่เท่านั้นเองครับ” (ยิ้ม)
ที่ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท เพราะอยากให้คุณพ่อคุณแม่ดีใจด้วยไหมคะ
“เหตุผลมีหลายข้อมากเลยครับ ข้อแรกคือ พี่ชายทั้ง 2 คน เรียนจบปริญญาโท ผมก็คิดแทนพ่อแม่ว่าเขาอาจจะอยากให้เราเรียนเหมือนกัน บวกกับช่วงแรกๆ ท่านเคยบอกว่า ถ้าอาชีพยังไม่มั่นคงก็ควรเรียนต่อนะ แต่ว่าพองานของผมดีขึ้น เราดูแลตัวเองได้ ท่านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ใจลึกๆ ผมยังคิดว่า ท่านน่าจะอยากให้เรียน
“และอีกข้อก็คือ มีช่วงหนึ่งผมเคยเจอบางคน ที่มองว่า ดาราเป็นคนที่ไม่มีความรู้ ผมจึงอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และดาราไม่มีความรู้ หรือไม่เรียนหนังสือ อย่างที่เขาคิด จึงตัดสินใจเรียนต่อ ปริญญาโท (คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการเงินประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)”
ตอนนี้มีความฝันหรืออะไรที่อยากทำอีกไหม
“คงเป็นการทำงานในวงการแหละครับ เพียงแต่ผมฝันว่าอยากจะทำให้กว้างขึ้น อย่างในส่วนของเนื้อหา และบทบาทที่ได้รับ ที่หลากหลายมากขึ้น กว้างขึ้นจากเดิม”
แล้วเรื่องความรัก เพิ่งครบรอบ 3 ปี เป็นอย่างไรบ้างคะ
“ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ (ยิ้ม) เราได้เรียนรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องปกติของทุกคู่นะ เพราะเราโตมากไม่เหมือนกัน ความต้องการ ความคิดก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พอมาเจอกันก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป และโชคดีที่ ต่างคนต่างยอมและเจอกันตรงกลาง จึงเข้าใจกันครับ”
เจษ เคยเล่าว่าตัวเองเป็นแฟนที่ไม่โรแมนติกเลย ตอนนี้ขยับเลเวลขึ้นบ้างไหมคะ
“ไม่เลยครับ (ส่ายหน้า) ผมก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ อาจจะมีหวานบ้างในวันสำคัญ อย่างวันเกิด วันวาเลนไทน์ แค่นั้นครับ”
คิดว่าตัวเองเป็นแฟนแบบไหนคะ
“ผมมีความเป็นผู้ชายยยย มากๆ มั้งครับ ผมจะสนใจแต่เรื่องใหญ่ๆ ทำให้บางครั้งอาจจะมองข้ามเรื่องเล็กๆ หรือรายละเอียดไปบ้าง และผมเป็นคนที่ค่อนข้างไว้ใจแฟนครับ รู้สึกว่าการงอน โกรธ หรือทะเลาะกัน เป็นเรื่องที่ทำไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อ่ะ อย่างสมมุติว่าคนจะนอกใจ แต่แฟนขี้หึงมาก เขาก็ยังนอกใจได้อยู่ดี ผมก็เลยเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างนิ่งๆ หน่อย แต่กลับกัน วิว ก็มีความเป็นผู้หญิ….ง มากๆ จำรายละเอียดทุกอย่างได้ครบถ้วน” (หัวเราะ)
เคยลืมวันเกิดหรือวันสำคัญบ้างไหม
“มีครับ บ่อยเลย…อธิบายก่อนว่า ถ้าวันสำคัญจริงๆ ผมไม่ลืมนะ แต่ติดตรงที่ว่า วันสำคัญของเขาเยอะกว่าวันสำคัญของผม
“อย่างเขาจะจำวันครบรอบทุกเดือน ซึ่งผมจำไม่ค่อยได้ บางเดือนก็ลืมบ้าง พอว่างไม่ตรงกัน ก็อาจจะมีงอนกันบ้าง ผมก็เลยตกลงกันว่านับเป็นปีดีกว่านะ เป็นเดือนมันถี่ไป”
คิดว่าเพราะอะไรที่ทำให้ เจษและวิว จูงมือกันมาถึงปีที่ 3
“น่าจะเพราะต่างคนต่างรู้สึกว่า อีกฝ่ายเป็นคนดีและคิดดีมั้งครับและครอบครัวของเราก็น่ารักทั้งคู่รวมถึงวิถีชีวิต การใช้ชีวิตต่างๆ ของเรา ที่ไปในทางทิศเดียวกัน ไม่ได้เป็นคนหวือหวา ไม่ได้เป็นใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เหมือนกัน ฉะนั้นเราจึงไม่รู้สึกอึดอัดเวลาไปไหนด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญนะ และไม่ง่ายเลยที่ เราจะได้เจอคนที่เหมือนกัน”
มองอนาคตไว้อย่างไรคะ
“มีคิดไว้ครับ แต่ยังไม่ได้แพลนว่าเมื่อไหร่นะ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่เราต้องคุยกันนะว่า อยากแต่งงานหรือเปล่า อยากมีลูกไหม อยากจดทะเบียนสมรสไหม เพราะถ้าสมมุติว่าคบกันไปแล้ว ถึงวันหนึ่งที่ตัดสินใจจะแต่งงาน แต่เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากแต่ง ก็ทำให้บางคู่เลิกกันได้เลยนะ
“ฉะนั้นเราจะคุยกันตั้งแต่แรก อย่างผมอยากมีลูกนะ (ยิ้ม) ผมอยากเป็นคุณพ่อที่เข้าใจลูก อยากให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างถ้ามีคนมาบอกว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก บางทีเขาจะไม่เชื่อก็ได้ ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเลี้ยงลูกให้เหมือนที่พ่อแม่เลี้ยงผมมา ถ้าเจออะไรที่ไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยมาปรึกษา หาทางแก้กัน
“ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งที่เรามีลูก แล้วจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะพยายามเต็มที่ครับ”
เรื่อง : Minim
ภาพ : วรสันต์ ทวีวรรธนะ
เสื้อผ้า : Ferragamo และ Fendi
สถานที่ : โรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok