ติ๊ก เจษฎาภรณ์

อัพเดตชีวิตทุกมิติ “ติ๊ก – เจษฎาภรณ์” ในรอบ 25 ปี กับบทบาทใหม่ในวงการบันเทิง

Alternative Textaccount_circle
ติ๊ก เจษฎาภรณ์
ติ๊ก เจษฎาภรณ์

เมื่อพูดถึงชื่อของ “ติ๊ก – เจษฎาภรณ์ ผลดี” ภาพที่มาคู่กันคือพระเอกสุดหล่อ อบอุ่น มีเสน่ห์ และแม้ช่วงที่ผ่านมาอาจหายหน้าหายตาไปบ้าง แต่บอกเลยว่าปีนี้หายคิดถึงแน่นอน เพราะมีโปรเจ็กต์ใหม่ๆ มาให้ติดตามเพียบแพรว ชวนเขามาพูดคุยถึงชีวิตในบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะแดดดี้ สามี ผู้บริหาร พี่ชาย ช่างภาพ ช่างทำบ้าน ที่เขานิยามตัวเองว่า “เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว”

อัพเดตชีวิตทุกมิติ “ติ๊ก – เจษฎาภรณ์” ในรอบ 25 ปี กับบทบาทใหม่ในวงการบันเทิง

เล่าถึงการทำค่ายเพลงน้องใหม่ bROTHERS Music (บราเธอร์ มิวสิก) หน่อยค่ะ

“งานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความฝันของผมนะ เคยคิดว่าสักวันหนึ่ง เราก็ต้องปลดระวางจากงานบางประเภท เช่น การเป็นพระเอก (ยิ้ม) เพราะคงไม่มีใครเป็นพระเอกไปตลอด…ถูกไหมครับ หรือวันหนึ่งเรา อาจจะไม่สามารถเล่นละคร เล่นหนัง แล้วต้องไปทำอย่างอื่น ซึ่งเรา ก็คิดอยู่ตลอดว่าจะทำอะไร อาจเป็นการทำงานเบื้องหลังโน่นนี่นั่น ซึ่ง จริง ๆ มีหลายอย่างที่อยากทำนะ แต่อาจยังไม่มีโอกาสได้ทำ

“วันหนึ่งได้คุยกับคุณต้อม (จิรัฐ บวรวัฒนะ) ผู้บริหารบริษัท iAM ที่ดูแลศิลปิน BNK48 ไอดอลผู้หญิง ซึ่งพอได้แลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกันก็เกิดไอเดียว่าอยากทำไอดอลผู้ชาย ซึ่งพอเป็นศิลปินผู้ชาย ผมมองว่าตัวเองก็มีความถนัดอยู่นะ น่าจะทำได้ (ยิ้ม)

“ตอนนั้นไอเดียคืออยากทำไอดอลผู้ชายที่เป็นมากกว่าไอดอล ทั่วไป นั่นคือการเสริมทักษะด้านต่าง ๆ ให้น้อง ๆ ทั้งจากประสบการณ์ ของเราเองและจากโค้ชคนอื่นด้วย จึงเป็นที่มาของการทำโปรเจ็กต์นี้ ที่เราต้องไปรวบรวมเหล่าจอมยุทธ์ คือ นิชคุณ อนันดา มาริโอ้ และ ตัวติ๊กเอง เพื่อนำประสบการณ์ของแต่ละคนมาถ่ายทอดให้กับน้อง ๆ

“ตั้งใจว่าพอออดิชั่นน้อง ๆ เข้ามาในรายการ The Brothers Thailand แล้ว ไม่อยากให้รู้สึกว่าเป็นการประกวดหรือถ้าแพ้แล้ว คัดออก แต่อยากฝึกฝนและเทรนทุกคน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ ของแต่ละคนว่าถนัดหรือโดดเด่นด้านไหน”

ตั้งใจตั้งแต่แรกเลยไหมคะว่าพอจบรายการจะเปิดตัวบอยแบนด์

“ใช่ครับ เป็นการต่อยอดมาจากการทำโปรเจ็กต์หาน้อง ๆ ที่มี ความสามารถ เพื่อมาฝึกฝนและกรูมมิ่งเป็นศิลปิน ซึ่งเราก็ได้เห็น ศักยภาพของแต่ละคน แล้วช่วยผลักดันและส่งเสริมให้เขาได้ทำในสิ่ง ที่เหมาะกับเขาหรือที่เรามองว่าเขาน่าจะทำได้ดี ไม่ว่าปลายทางของเขา จะเป็นนักแสดง เป็นศิลปินบอยแบนด์ ร้องเพลง เต้น หรือจะเติบโต ไปทางใดก็ตาม

“โดยศิลปินกลุ่มแรกที่ได้เดบิวต์คือ PROXIE (พร็อกซี) มี สมาชิก 6 คน (กัน, คิม, โชกุน, กร, อองรี และวิคเตอร์) ปล่อย ซิงเกิ้ลแรกเพลง Crazy Love (รักบ้าบอ) นอกจากนั้นยังมีน้อง ๆ อีก จำนวนหนึ่งที่กำลังฝึกฝนอยู่ อย่างบางคนที่ถนัดในเรื่องการแสดง เราก็ จะเน้นทางนั้นด้วย อย่างตอนนี้ ‘อ๊อตโต้’ ก็ได้เล่นซีรี่ส์แล้วด้วยครับ”

บอสติ๊กแชร์ประสบการณ์อะไรกับน้อง ๆ บ้างคะ

“มีหลายเรื่องเลยครับ อย่างแรกการตอบคำถาม เพราะเราเคยผ่านมาก่อน ก็ช่วยไกด์ว่าเขาจะเจออะไรบ้าง ถ้าเจอคำถามแบบนี้ ควรตอบหรือ แบ่งกันตอบยังไง รวมถึงการวางตัว ติ๊กบอกพวกเขาเสมอว่าการเป็นไอดอล ไม่ใช่แค่ร้องเพลงได้ เต้นเก่ง เพราะอย่างไรสังคมก็ยังต้องการสัมมาคารวะ การ นอบน้อมถ่อมตน และเรื่องของการพูดจาต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนใบเบิกทางของเขา

“และสิ่งที่ติ๊กให้เขาเพิ่มก็คือความมีระเบียบ เวลาไปทำงาน ไปใช้สถานที่ ต่าง ๆ ไปใช้โต๊ะ ใช้เก้าอี้ของใครต้องระวัง หรือเวลาดื่มน้ำ ทุกครั้งต้องไม่ลืม หยิบขยะไปทิ้ง ชิ้นไหนที่รีไซเคิลได้แล้วมีถังแยกไว้ให้ก็ต้องใส่ใจ แยกให้ถูกต้อง ขวดพลาสติก กระป๋องอะลูมิเนียม กล่องกระดาษ ที่เป็นมูลค่านำไปขายต่อได้ นอกนั้นพวกขยะที่ต้องนำไปทำลายก็แยกเป็นอีกส่วน

“เราพยายามอุดช่องโหว่ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะอยากให้เขาพิเศษ ไม่เหมือนใคร ความสามารถทางการร้องเพลงและการเต้นอาจใกล้เคียงกัน แต่ สิ่งที่จะทำให้คุณไม่เหมือนใครก็คือเรื่องพวกนี้ อยากให้เวลาใครได้เจอ PROXIE แล้วจะต้องรัก นี่คือสิ่งที่ติ๊กบอกเขา

“อีกอย่างคือการอยู่กับโซเชียลต่าง ๆ เวลาเข้าไปดูยอดไลค์ คอมเมนต์ หรือฟีดแบ็กต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี ก็ให้เขาปล่อยวางบางเรื่องบ้าง ให้มุ่งมั่น ในสิ่งที่ตัวเองฝัน พยายามฝึกซ้อมให้เต็มที่ เพราะถ้าเขาทำดี มันคือดี”

จำได้ว่าการเป็นศิลปินหรือนักดนตรีก็เป็นหนึ่งในความฝันด้วยใช่ไหมคะ

“ใช่ครับ (ยิ้ม) ติ๊กเล่นดนตรีตั้งแต่ ป.6 เริ่มจากกีตาร์คลาสสิก ก็เรียนมา เรื่อย ๆ จนถึงประมาณช่วงปี 1 ที่เห็นว่าเรียนหลายปีเนี่ย เพราะเรียนแบบเรื่อย ๆ ขี้เกียจซ้อมบ้าง (หัวเราะ) จากนั้นเจอเพื่อนที่มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่ สมัยอนุบาล ต่างคนต่างเล่นกีตาร์กันทั้งคู่ จึงคุยกันว่าน่าจะทำวงดนตรีนะ จึง เริ่มหาสมาชิกคนอื่น ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันและตั้งเป็นวงขึ้นมา

“โดยติ๊กรับตำแหน่งมือกีตาร์ ซึ่งจริง ๆ เราถนัดกีตาร์คลาสสิก จึงต้องเริ่ม หัดเล่นกีตาร์ไฟฟ้า ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องใหม่เหมือนกัน ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากเล่น ดนตรีจริงจัง พยายามซ้อม เพราะอยากจะประกวดเวทีต่าง ๆ”

ถือเป็นฝันใหญ่เลยไหมคะ

“จัดว่าใหญ่เลยละ ซึ่งตอนนั้นเด็กผู้ชายส่วนใหญ่พอจบ ม.6 แล้วก็อยาก ไว้ผมยาว แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในนั้น (ยิ้ม) แต่สุดท้ายก็ต้องตัด เพราะ รับบทแดง ไบเล่ ในภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง ” (ฉายปี 2540)

แล้วมันค่อยๆ จางไปตอนไหนคะ

“จริง ๆ ก็ยังอยู่นะ แต่ด้วยช่วงที่ทำงานแสดงบวกกับเรียนไปด้วย ทำให้ งานดนตรีลดน้อยลง เพราะด้วยเวลาบวกกับสมาชิกในวงบางคนหลุดออกจาก รั้วการศึกษา คือโดนรีไทร์

“เราก็เริ่มว้าเหว่ แต่ฝันที่อยากเป็นนักดนตรีก็ยังมี อยากจะโลดแล่นบน เวที จำได้ว่าครั้งหนึ่งติ๊กเคยไปเดินพันทิปเพื่อซื้อกีตาร์ แล้วบังเอิญเจอโปรดิวเซอร์ คนทำเพลง เขาชวนว่าลองไปแคสต์ดูไหม ซึ่งตอนนั้นก็เคยไปคุยเกี่ยวกับเรื่องทำวง ที่ค่ายเพลงค่ายหนึ่งด้วยนะ เพียงแต่ไม่สำเร็จ งานดนตรีกลายเป็นงานอดิเรก คือ เล่นกีตาร์บ้างเวลาอยู่บ้าน” (ยิ้ม)

ติ๊ก เจษฎาภรณ์

พอตอนนี้ได้ทำค่ายเพลงของตัวเอง ถือเป็นการเติมเต็มความฝันวัยเด็กอีกครั้งไหม

“แน่นอนครับ (ยิ้ม) เป็นการเติมเต็มความฝันของเรา เหมือนกับว่าสิ่งที่เคย คิดฝันเอาไว้แล้วไม่สามารถทำให้สำเร็จ ตอนนี้เราสามารถเป็นเบื้องหลังความฝัน นั้นได้ ซึ่งน้อง ๆ ที่เข้ามาออดิชั่นทุกคนล้วนมีความฝัน ซึ่งเราเข้าใจว่าฝันของ แต่ละคนมีความสำคัญ จึงอยากทำให้ฝันของเขาบวกกับฝันของเราเป็นจริง” (ยิ้ม)

ยังจำช่วงแรกที่เริ่มงานบันเทิงได้ไหมคะ

“จริง ๆ งานแรกของติ๊กเริ่มตั้งแต่ ป.3 เลยนะ ถ่ายโฆษณาถุงเท้านักเรียน แบรนด์หนึ่ง คือมีคนมาแคสต์ที่โรงเรียน แล้วก็ดึงเด็กคนนั้นคนนี้ไปเป็นเอกซ์ตร้า (นักแสดงประกอบ) ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

“จากนั้นก็เว้นช่วงยาวไปจน ม.ปลายได้เป็นเอกซ์ตร้าอีกครั้ง มีโมเดลลิ่ง เดินมาเจอแล้วขอถ่ายรูป ขอเบอร์โทร. ถามส่วนสูง น้ำหนัก จากนั้นก็เรียกไป แคสต์งาน ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง พอปี 2 ก็ได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง 2499 อันธพาล ครองเมือง

เส้นทางชีวิตการทำงานเป็นอย่างไรคะ

“สำหรับติ๊ก ชีวิตไม่ค่อยหวือหวา เพื่อนไม่เยอะ จำนวนชิ้นงานก็ไม่มาก ถ้าเทียบกับสถิติของคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานหนังหรือละคร มีช่วงหนึ่งที่ หายไปนานเลย 4 ปีเล่นละคร 1 เรื่อง เพราะทำรายการ เนวิเกเตอร์ ซึ่งเราอิน กับตรงนั้นมาก ๆ อยากทำให้ดี“ดังนั้นผมจะมีชีวิตอยู่ทั้งในเมืองในฐานะนักแสดง การเป็นขวัญใจประชาชน สามารถอยู่ในสถานที่หรู ๆ อยู่ในสังคมที่มีคนเยอะ ๆ แต่พอกลับมาบ้านเราก็ เรียบง่าย และเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับสิ่งที่เจอ รวมถึงสิ่งที่ได้รับ

“ทำให้เรามีประสบการณ์ในเรื่องของความอดทน การต่อสู้กับสภาพแวดล้อม อุปสรรคต่าง ๆ และการที่เราเข้าป่าก็ทำให้ได้เจอสภาพสังคมทุกรูปแบบ ทั้งสังคม เมืองหรูหรา และสังคมในพื้นที่ธรรมชาติ นอนกับพื้นดิน คือมีตั้งแต่ระดับ 0 จนถึง 1 ล้าน เราเห็นทุกเลเวล”

เรียกว่าอยู่ได้ในทุกสภาพแวดล้อม

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ (ยิ้ม) เราสามารถนั่งและนอนได้ทุกสภาพแวดล้อม”

ช่วงที่ทำรายการ เนวิเกเตอร์ (2548 – 2562) เหมือนชีวิตแบ่งเป็น 2 พาร์ตชัดเจน คือในเมืองกับป่า บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำพูดว่า “ติ๊กหนีเข้าป่าไปแล้ว” แล้วเพราะอะไรถึงตัดสินใจหยุดทำคะ

“ช่วงที่ทำรายการจริง ๆ น่าจะประมาณ 14 ปี เราทุ่มเทมาก ๆ จนจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่าได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวธรรมชาติจนน่าจะครบแล้ว ตั้งแต่บนยอดเขาจนถึงใต้ท้องทะเล และแต่ละที่เราก็ไปซ้ำ แต่ต่างกันในช่วงเวลา

“เราได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ วิถีชีวิต อาชีพ อันหลากหลาย รวมถึงสัตว์ป่าประเภทต่าง ๆ ทั้งสัตว์ปีก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลง สัตว์เลื้อยคลาน และมีโอกาสเป็นวิทยากรแชร์ข้อมูลประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติที่เจอมาก็มาก วันหนึ่งจึงรู้สึกว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว

“บวกกับเรื่องเวลาที่น้อยลง จนอาจทำงานชิ้นนี้ได้ไม่ดี เพราะ เนวิเกเตอร์ ต้องใช้เวลาเยอะ ต้องไปเซอร์เวย์สถานที่ ไม่รวมการถ่ายทำ และแต่ละตอนก็มี เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ จึงคิดว่าเราอาจต้องใช้เวลาไปทำอย่างอื่นเพิ่มเติมมากขึ้น ทั้ง ในเรื่องของการทำงานด้านอื่นและการได้อยู่ดูแลลูก ๆ”

แม้จะไม่ทำรายการแล้ว แต่ก็ยังเป็นกระบอกเสียงในประเด็นต่าง ๆ อยู่เสมอ

“ครับ เรื่องของธรรมชาติอยู่ในสายเลือด ผมยังคงอินและสนใจเรื่องนี้ เต็ม 100 มันคือลมหายใจของผม ผมคิดว่าตัวเองค่อนข้างเข้าใจธรรมชาติในมุม ต่าง ๆ พอสมควร โดยที่ไม่ได้ลำเอียงหรือดัดจริต

“ผมชื่นชมและรักธรรมชาติ แล้วก็ชอบที่จะเจอธรรมชาติในแบบของเรา อย่างจริงใจ ดังนั้นเราจึงมีแพสชั่นกับเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก เป็นความชอบ จริง ๆ ของเรา ไม่ใช่แค่งาน”

แต่ถ้ามีเวลาว่างก็ยังเข้าป่าอยู่ใช่ไหมคะ

“แน่นอน (ตอบทันที) ถ้าพอมีเวลาก็ขับรถไปต่างจังหวัด แม้ว่ากว่าจะได้ ไปเจอธรรมชาติที่สวยงามก็ต้องเจออะไรที่มันเละเทะตามทางไปก่อนก็ตาม”

มีแพลนอยากทำโปรเจ็กต์เกี่ยวกับธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมเพิ่มไหมคะ

“เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า…อยากมีมูลนิธิหรืออะไร สักอย่างที่ส่งเสริมคนทำอะไรดี ๆ ด้านนี้ มีทุนการศึกษา มีทุนงานวิจัย มี Certificate ประกาศนียบัตรจาก องค์กร Navigator by Sabaidee Club Studio อะไร อย่างนั้น แต่ตอนนี้มีคนทำเยอะ ซึ่งผมเห็นว่าเขาก็ทำได้ ดีอยู่แล้ว

“ส่วนในพาร์ตของผม สิ่งที่เราช่วยสังคมอยู่ตอนนี้ คือเป็นวิทยากรในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ โรงเรียน มหา- วิทยาลัย องค์กรเอกชน องค์กรรัฐบาล ซึ่งเวลามี โครงการพูดเรื่องนี้ เขาก็จะเชิญผมไปพูดคุยแลกเปลี่ยน ประสบการณ์

“ต้องบอกว่ากระแสของการอนุรักษ์มีเยอะ แต่ บางครั้งก็มีแค่กระแส อย่างเวลาคนพูดว่าสัตว์ชนิดนี้ จะสูญพันธุ์ มันกำลังจะตาย คนก็จะตื่นตัวกันเป็นช่วง ๆ โดยขาดการเชื่อมโยงว่ามันเกิดจากอะไร มันคืออะไร แล้วสิ้นสุดที่ตรงไหน อะไรคือห่วงโซ่ของตรงนี้ อะไร คือระบบนิเวศของมัน เพราะธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศต้องเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ธรรมชาติออกแบบมาให้ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่ากัน ทุกอย่างคือสมดุล”

คิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่าชีวิตคนเราเปรียบเหมือนธรรมชาติ

“ชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่ความจริงเราเปรียบกับอะไรก็ได้ สมมติกับต้นไม้ บางทีก็เจริญ งอกงามดี เพราะช่วงนั้นอาจได้ปุ๋ยดี ฝนตกตามฤดูกาล แต่ช่วงนี้แล้งเหลือเกิน ใบไม่แตกออกเขียว แห้งเหี่ยว เหมือนชีวิตที่สิ้นหวัง อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งมี องค์ประกอบอื่น ๆ หรือปัจจัยมาเสริม ก็อาจจะทำให้ดีขึ้น หรือบางทีต้นไม้ก็ดิ้นรนนะ พยายามทำให้รากของตัวเอง ขยายไปกว้างขึ้น เพื่อจะหากินได้ไกลขึ้น

“แต่ถ้าเปรียบเทียบกับอะไรอย่างอื่น เปรียบกับแก้วน้ำ กับโต๊ะ กับเก้าอี้ก็ได้” (ยิ้ม)

ติ๊ก เจษฎาภรณ์

ถ้าให้เปรียบชีวิตตัวเองกับต้นไม้ คิดว่าเป็นต้นอะไรคะ

(หยุดคิด) “ติ๊กชอบต้นลั่นทม เพราะเกิดง่าย ตายยาก ดอกสวย มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ และพิเศษตรงที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมาะกับทุกที่เลย ลองนึกภาพต้นลั่นทม อยู่ริมทะเลก็สวย อยู่ในบ้านก็สวย อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ ในป่า มีสีเขียวล้อมรอบก็สวย อยู่ข้างทางก็สวย ไม่รู้ เพราะอะไร” (ยิ้ม)

เหมือนกับตัวเองที่อยู่ได้ทุกสภาพแวดล้อมใช่ไหมคะ

“ใช่ครับ” (ยิ้ม)

ตลอดระยะเวลา 25 ปีในการทำงาน ช่วงไหนที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิต

“25 ปี เบญจเพสพอดี (ยิ้ม) ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สุดในชีวิตน่าจะเป็นช่วงที่เริ่มจับงานภาพยนตร์กับงานละคร ช่วง อายุ 23 – 27 ปี ถือเป็นกราฟที่ขึ้นสูงมาก ๆ จำได้ว่าช่วงนั้นได้รับรางวัลจาก การแสดงเยอะพอสมควร และตอนนั้นยังเป็นยุคแอนะล็อก (Analog) ยังมี แฟน ๆ ส่งจดหมายมาหา มีข้าวของมาให้ แต่หลังจากนั้นพออายุ 28 ก็เริ่มทำ รายการ เนวิเกเตอร์ แล้วก็ห่างจากวงการไปเลย”

ตอนนี้แพสชั่นเรื่องการแสดงเปลี่ยนไปจากเดิมไหมคะ

“ยังเหมือนเดิมครับ ยังรักงานแสดงอยู่ ถ้าวันนี้ต้องทำงานสักชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ผมก็ยังคิดว่าต้องตั้งใจทำงานชิ้นนั้นให้ดีที่สุดในแบบที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำการบ้าน ต้องตื่นเช้า หรือต้องทำงานหนัก ก็ยังจะทำเหมือนเดิม ไม่มีเกี่ยงว่าผมไม่ไหวแล้ว…แก่แล้ว ยังไม่มีอารมณ์แบบนั้น” (หัวเราะ)

เคยมีช่วงงอแงไม่อยากทำงานบ้างไหม

“น่าจะเป็นช่วงแรก ๆ ตอนเล่นเป็นแดง ไบเล่ ตอนนั้นผมงอแงมาก เลยนะ เพราะต้องเดินสายโปรโมตเยอะ มีงานทุกวัน ต้องไปนู่นไปนี่ทั้งวัน บางวัน ไปต่างจังหวัดด้วย ตอนนั้นเบื่อมาก และยังไม่ค่อยเข้าใจวิธีจัดการกับตัวเอง เวลาที่เจอสื่อมวลชน เจอแฟน ๆ จึงเริ่มงอแง ไม่อยากจะทำงานแสดงต่อแล้ว

“ครั้งหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ว่าผมเคยบอกพี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร) ว่า ไม่เอาแล้ว ไม่ไหวแล้ว พี่ช่วยเอาชีวิตของผมกลับคืนมาได้ไหม ผมไม่ชอบชีวิต แบบนี้เลย ผมอยากเป็นติ๊กคนเดิม ผมอยากเล่นดนตรี ผมเรียนวิศวะ เดี๋ยวคง ทำงานตามที่เรียนมา ไม่อยากเป็นนักแสดงแล้ว ผมไม่ชอบ ผมเกร็ง (หัวเราะ)

“แต่สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจก็คือ พี่อุ๋ยบอกว่าในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ควร คว้าไว้ เพราะเป็นโอกาสดีที่หลาย ๆ คนไม่มีเหมือนติ๊กนะ ลองอดทน พยายาม กับมันอีกที พี่ว่าต้องไปได้ดี เพราะเขาก็เห็นว่าเราทำงานดี จึงให้กำลังใจ ตอนแรก ผมก็ไม่เข้าใจหรอก แต่พยายามก้มหน้าก้มตาทำไป บวกกับผมรับผิดชอบงาน ถ้ารับแล้ว แม้จะงอแงบ้าง แต่ถึงเวลาก็ทำเต็มที่ พอเสร็จงานค่อยงอแงต่อ (หัวเราะ) เราต้องมีวิธีจัดการกับตัวเองให้ได้”

แล้วจัดการอย่างไรคะ

“ผมขี้เกรงใจ ค่อนข้างแคร์คนอื่น อันนี้คือสิ่งสำคัญ อย่างเวลาจะไป เดินห้างหรือเดินเตร่ในเมือง ซึ่งจริง ๆ โดยส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบทำกิจกรรมแบบนี้ อยู่แล้ว แต่พอเป็นที่รู้จัก ยิ่งทำให้เราไม่ได้ไปที่แบบนั้นเลย ฉะนั้นวันที่จำเป็น ต้องไปจะต้องเป็นวันที่พร้อมจริง ๆ ผมไม่อยากให้แฟน ๆ เจอในแบบที่เราไม่พร้อม หน้าผมไม่โอเค หรืออยู่ในโหมดเซ็ง ๆ“จึงต้องจัดการกับตัวเองก่อนว่าถ้าวันนี้ต้องออกจากบ้าน ต้องแต่งตัวดี หน้าโอเค ผมโอเคนะ ถ้ามีใครขอถ่ายรูปก็ต้องพร้อม และต้องแพลนว่าวันนี้เรา มีเวลาทักทาย เฮฮา พบปะแฟน ๆ ได้ขนาดไหน เรามีพลังเท่าไร และถ้าพลังหมดก็กลับบ้านนะ ประมาณนั้นครับ ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจ แฮ็ปปี้ที่จะเจอผู้คนเต็มที่ทั้งวันได้

“และปกติผมไม่ค่อยไปไหน ไม่ค่อยซื้อของเองอยู่แล้ว หรือถ้าอยากได้ อะไรก็ให้คนอื่นซื้อให้ และผมไม่ค่อยใช้ของพิเศษอะไร ปกติก็อยู่แต่กองถ่าย พอไปถึงกองก็ใส่ชุดที่เขาเตรียมไว้ให้ หรือไปถ่ายแบบเขาก็มีชุดให้ จึงแทบไม่ต้อง มีอะไรเลย”

นอกจากช่วงแรก ยังมีช่วงที่รู้สึกไม่อยากทำงานอีกไหม

“ก็มีเรื่อย ๆ นะ เป็นกราฟช่วง ๆ อย่างพอเล่นละครเรื่องนี้เสร็จปุ๊บ ก็รู้สึกแบบจะไม่ทำแล้วนะ พอแล้ว แต่พอมีเรื่องใหม่เข้ามา เฮ้ย…น่าสนใจ ก็ทำอีก (หัวเราะ) โดยทำด้วยความรู้สึกรักในการทำงานและรับผิดชอบด้วย”

งานแบบไหนที่ทำให้รู้สึกอยากทำ

“ในการทำงานเราไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกเสมอไป บางทีเขาก็เลือกเราเหมือนกัน จึงต้องแบ่งกันทั้งสองแบบ สมมติว่าถ้าช่วงนั้นติ๊กเป็นที่ชื่นชอบ ก็อาจมีงาน เข้ามามากกว่า 1 งาน แต่เราสามารถทำได้แค่งานเดียว เราก็ต้องเลือก“ซึ่งจริง ๆ ไม่มีศาสตร์แขนงไหนสอนวิธีการหรือเทคนิคเลือกงาน ผมว่า ขึ้นอยู่กับหัวใจตัวเองว่าถ้ามีงาน 1 หรือ 2 หรือ 3 เราชอบอันไหนมากกว่ากัน งานไหนที่ทำให้อยากตื่นเช้าไปทำงาน อยากอยู่กองถ่าย และอีกอย่างที่มีผลก็คือ ทำงานกับใคร

“ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ทีมงาน นักแสดง ใครดูแลกองถ่าย ทุกอย่างเลย ดังนั้นในทุกงาน ก่อนที่งานจะเกิดขึ้น ถ้าเราสนใจ เราก็จะไม่ได้ตอบรับทันที จะขอว่าคุยกันก่อนได้ไหม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด รวมถึงการเสนอเงื่อนไข ต่าง ๆ ว่าเขาสามารถรับเงื่อนไขบางอย่างของเราได้ไหม ซึ่งเราไม่ได้เรื่องมาก หรอก แต่เราเป็นคนแบบนี้นะ”

ยกตัวอย่างได้ไหมคะ

“อย่างช่วงที่โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้รับความนิยมมาก ผู้คนคลั่งไคล้การเล่น โซเชียล ดังนั้นในกองถ่ายทุกคนถ่ายรูปเบื้องหลังตลอดเวลา ซึ่งผมก็บอกว่า ยินดีมากในการถ่ายรูป แต่ขอเป็นในส่วนของคนที่ต้องใช้ภาพเหล่านี้เพื่อไปทำงาน จริง ๆ ได้ไหม เพราะเรายอมรับในความเป็นมืออาชีพในหน้าที่ของแต่ละคน

“และบางครั้งเวลาถูกเรียกให้ถ่ายรูปก็ทำให้เสียสมาธิและว่อกแว่กเหมือนกัน สมมติว่าเรากำลังทำการบ้านสำหรับบท ท่องไดอะล็อกต่าง ๆ จู่ ๆ มีคนเรียกไป ถ่ายรูป มันเหมือนเราถูกดึงสมาธิบางอย่างไป ก็จะบอกว่าเรื่องนี้ขออนุญาต นะครับ ไม่ได้หยิ่งนะ แต่อยากทำงานก่อน พอจบงานแล้วเดี๋ยวถ่ายเต็มที่เลย

“ซึ่งผมมองว่าเรื่องแบบนี้ต้องมีการพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดการนำไป แปลความหมายผิด ประมาณว่า โอ้โฮ…หยิ่ง ดังแล้วทำตัวแบบนี้เหรอ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่ต้องการความสบายใจในการทำงาน

“ติ๊กอาจไม่ได้ไปนั่งกินข้าวรวมกับนักแสดงคนอื่นหรือ ผู้กำกับ ติ๊กจะถือชามไปตักกับข้าวแล้วไปหาที่กินเงียบ ๆ คนเดียว หรือบางทียังไม่ถึงซีนเรา ก็ขอมีมุมเล็ก ๆ นั่งอ่านบทคนเดียว เพราะบางครั้งการอยู่ที่ Public ตลอดเวลาอาจไม่ใช่ที่ของเรา แค่นั้นเองครับ”

แต่กว่าจะกล้าบอกเงื่อนไขเหล่านี้ น่าจะโดนเข้าใจผิดมาเยอะใช่ไหมคะ

“ครับ คนมักเข้าใจผิดจากการสื่อสาร สมมติว่าติ๊กคุยกับ น้องคนหนึ่งเรื่องขอไม่ถ่ายรูป แล้วน้องคนนั้นไปพูดกับอีกคนว่า พี่เขาไม่ให้ถ่ายรูป จากนั้นก็ไปพูดต่อ ๆ กัน กลายเป็นว่าติ๊กหยิ่ง ไม่ให้ถ่ายรูป ฉะนั้นการสื่อสารสำคัญมากครับ และคนเรามักจะ ให้ร้ายคนอื่นมากกว่าให้ความดีคนอื่นอยู่เสมอ ถ้าเรื่องไหนเรา สามารถอธิบายได้ก็จะทำ เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถอธิบายกับ ทุกคนได้

“อย่างตอนติ๊กเริ่มทำรายการ เนวิเกเตอร์ หลายคนบอกว่า เฟค เข้าป่าจริงเหรอ ดูสำอางจะตาย สงสัยไปถ่ายแค่ตอนเปิด แล้วให้ทีมงานเก็บภาพต่อให้ ไม่ได้ทำจริงหรอก เพราะในการ สื่อสารคนเรามักจะปล่อยอะไรที่เป็นด้านลบหรือ Hate Speech ออกมาก่อน ติ๊กเชื่อว่าพอวันเวลาผ่านไปก็จะทำให้เขาเข้าใจ มากขึ้นเอง”

ล่าสุดอะไรที่ทำให้ตัดสินใจรับงานแสดงอีกครั้ง แถมพ่วงบทบาทผู้จัดละครด้วย

“ติ๊กมองว่างานแสดงมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น เรื่องของวัย กับบทต่าง ๆ ซึ่งโอกาสที่บทจะมาตรงกับคนในวัยติ๊กเริ่มน้อยลง แล้ว และปัจจุบันก็มีตัวเลือกมากกว่าเรา หรือบางครั้งเรื่องนั้น มาถึงติ๊กแล้ว แต่รู้สึกว่ายังไม่ใช่ตัวเองเท่าไรก็ปฏิเสธไป จึงมี ทั้งที่เขาปฏิเสธเราและเราปฏิเสธเขา สลับกันอยู่อย่างนี้

“แต่สำหรับเรื่องนี้ ลมพัดผ่านดาว อย่างแรกเลยคือบท โดนใจและน่าจะเข้ากับเราได้ดีในช่วงจังหวะนี้ ซึ่งเป็นบทประพันธ์ ของ ว.วินิจฉัยกุล (รองศาสตราจารย์ คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์) แนวโรแมนติกดราม่า บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อดารชา ที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับทรงวัชร์ รุ่นพี่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กและ เป็นเหมือนรักแรกของเธอ จนวันหนึ่งเธอได้รู้จักกับหนุ่มรุ่นน้อง ชื่อวายุ ที่ไม่ได้เพียบพร้อมเหมือนทรงวัชร์ แต่เวลาอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เห็นว่าดารชาจะเลือกใคร

“แม้เรื่องนี้จะแต่งมาหลายปีแล้ว แต่เนื้อเรื่องยังเข้ากับยุคสมัย แต่ด้วย บางอย่างที่ยังไม่ลงตัว บวกกับติ๊กสนใจและอยากทำละครเรื่องนี้ จึงตัดสินใจว่า งั้นก็ทำเองเลย (หัวเราะ) เป็นที่มาของการรับหน้าที่ผู้จัดละครทางช่อง 7 เป็น ครั้งแรกครับ”

เล่าถึงบทบาทของผู้จัดละครครั้งแรกหน่อยค่ะ

“หลัก ๆ คือดูแลเรื่องการบริหารจัดการครับ เหมือนเป็นผู้บริหารคนหนึ่ง ในองค์กร เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุดอยู่คนเดียว หน้าที่คือต้องหาคนเก่ง มาทำงานในตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น ๆ ตั้งแต่นักแสดง ผู้กำกับ ทีมงานต่าง ๆ เพื่อผสมผสานให้เกิดการทำงานร่วมกันที่ดีที่สุด

“อย่างบทนางเอก ผมรู้สึกว่าต้องเป็น ‘อั้ม – พัชราภา’ เท่านั้น ส่วนบทวายุ ผู้ชายวัยรุ่นก็ต้องเป็น ‘เข้ม – หัสวีร์’ ซึ่งมีคาแร็คเตอร์ตรงกับบทมาก ๆ ส่วน ทรงวัชร์ ผู้ชายอีกคนในเรื่อง รู้สึกว่าเป็นเราก็ได้นี่ จึงเล่นเองเลย” (หัวเราะ)

ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็น CEO เป็นนักแสดง หรือมองภาพตัวเองเป็นอย่างไร

“ผมเป็นประธานบริษัทครับ (ทำเสียงเล่นมุกสไตล์ติ๊ก) ผมคิดว่าเราไม่ต้อง จำกัดความหรอกว่าเราเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมมองว่า…ผมเป็นทุก ๆ อย่างเลยครับ จึงไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียกว่าเป็น CEO, Manager, Director หรืออะไร“ดังนั้นถ้าใครถาม ผมคงไม่ได้บอกว่าตัวเองคือตำแหน่งอะไร แต่ต้อง สามารถทำได้ทุกตำแหน่งมากกว่า เพราะการที่เรารู้จักในทุก ๆ ตำแหน่งจะทำให้ รู้ถึงข้อเด่น ข้อด้อย หรือปัญหาในทุก ๆ ด้าน อย่างติ๊กเองบางวันก็สามารถ จัดแสง เป็นช่างภาพได้

“อย่างตอนทำรายการ The Brothers มีตั้น (พิเชษฐ์ไชย ผลดี) มาช่วย เป็นกล้องหลักในการถ่าย ส่วนผมเป็นตัวสำรอง ถ้าวันนั้นต้องการ 2 กล้องเราก็ ต้องช่วยกันถ่ายได้ หรือย้อนกลับไปตอนทำรายการ เนวิเกเตอร์ ผมก็ถ่ายเองด้วย คือต้องสามารถเป็นทุกอย่างได้ ผมอยากเป็นแบบนั้นครับ” (ยิ้ม)

แล้วทีมงานในบริษัทเรียกว่าอย่างไรคะ

“เรียกพี่ติ๊กครับ ส่วนน้อง ๆ ศิลปิน บางครั้งเขาจะเรียกว่าพ่อหรือแดดดี้ ก้าวไปอีกสเต็ปหนึ่ง” (หัวเราะ)

ตอนนี้ยังมีความฝันอะไรที่อยากจะทำอีกไหมคะ

“ผมอยากเป็นมนุษย์ที่ Multitask ทำงานได้หลาย ๆ ด้าน จะทำงาน เพลงก็ทำได้ ทำด้านโปรดักชั่น ผลิตงานซีรี่ส์ ละคร หรือภาพยนตร์ก็ทำได้ (ยิ้ม) อีกอย่างคืองานอดิเรก การรีโนเวตบ้าน เพราะผมชอบทำงานช่างที่ผมถนัด จึง อยากทำงานช่างให้ได้ดีเหมือนกัน อยากรีโนเวตบ้านหรือคอนโดให้ออกมาสวยงาม มีคนชอบ และสามารถขายต่อหรือให้เช่าได้ (ยิ้ม)

“คือผมมีคอนโดอยู่ 1 ห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ช่วงโควิด–19 ผมมีเวลาว่าง จึงเข้าไปรีโนเวต ตกแต่งใหม่ เสริมด้วยการทำคอนเทนต์ในรายการ เจ้าป่า เข้าเมือง ที่ใช้เพลย์ลิสต์ชื่อว่าเจ้าป่า Revamp สำเร็จออกมา 1 ห้อง ซึ่งในอนาคต ก็อยากทำต่อไปเรื่อย ๆ เป็นงานอดิเรกที่สนุกดีครับ (ยิ้ม)

“ถ้ามีเวลาและโอกาสก็อยากทำงานด้านอนุรักษ์ ด้วย ไปเดินป่า เป็นหนึ่งในทีมนักวิจัย เป็น นักสำรวจถ้ำ อยากเป็นนักดำน้ำเก่ง ๆ ซึ่งต้องฝึก สกิลอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ Fun Dive ปกติ”

ติ๊ก เจษฎาภรณ์

แล้วบทบาทคุณพ่อลูก 2 ตอนนี้เป็นอย่างไรคะ

“ตอนนี้ไปโรงเรียนกันแล้ว หลังจากเรียน ออนไลน์กันมา ซึ่งผมมองว่าทั้งคู่ (น้องเต็นท์ 8 ขวบ น้องตริณณ์ 5 ขวบ) ก็จะเหมือนเด็กปกติทั่วไปนะ เพียงแต่ว่าเขามีคุณพ่อทำอาชีพนี้ เวลาเขาไปเจอใคร อย่างเจอผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก็มักจะมีคำถามว่า คุณพ่อสบายดีไหม ฝากความคิดถึงถึงคุณพ่อด้วยนะ หรือหล่อเหมือนคุณพ่อเลย (หัวเราะ) ซึ่งเขาก็ไม่ได้ ตอบอะไร จะยิ้มเขิน ๆ มากกว่า แล้วก็จะกลับมา เล่าให้ผมฟังว่ามีคนฝากมาบอกแบบนั้นแบบนี้”

คุณพ่อติ๊กดุหรือเข้มงวดเรื่องไหนเป็นพิเศษไหมคะ

“ติ๊กไม่ดุนะ ไม่มีโมโหหรือตะคอก แต่น่าจะ เรียกว่าเข้มงวดและจริงจัง อย่างเวลาพูดเรื่องจริงจัง กับลูกก็จะเสียงนิ่งขึ้น เข้มขึ้น และถ่ายทอดผ่านสายตาให้เขารู้ว่าเรื่องนี้จริงจังนะ

“อย่างตอนนี้การเรียนรู้ต่าง ๆ แทบจะอยู่ในคอมพิวเตอร์กับแท็บเล็ต เป็นหลัก บางครั้งเขาก็อาจจะเปิด YouTube หรือเล่นเกมบ้าง ซึ่งเรื่องนี้ ผมค่อนข้างเข้มงวด เพราะเนื้อหาบางอย่างอาจไม่เหมาะกับเขา ก็จะพยายาม หลีกเลี่ยง จึงต้องคอยดูว่าตอนนี้ลูก ๆ ดูอะไรหรือสนใจเรื่องอะไรอยู่”

น้องๆ สนใจด้านไหนคะ ชอบเข้าป่าเหมือนคุณพ่อไหม

“ถ้าเข้าป่า ผจญภัย แบกเป้ น่าจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ผมมองว่าเขา ไม่จำเป็นต้องเหมือนพ่อนะ เราจะเลือกจากความชอบของเขาเป็นหลัก อย่างวันนี้ เขาอยากทำอะไร อยากไปไหน ก็จะคุยกับเขา บางทีแค่ขับรถออกไปนอกเมือง ไปดูอะไรน่ารักนิด ๆ หน่อย ๆ ได้เห็นต้นไม้ เห็นบึง เห็นแม่น้ำ เขาได้ซึมซับ ตรงนั้น“แต่ถ้าเขาเบื่อแล้วขอกลับบ้านก็กลับนะ อยู่ที่ว่าเราใช้อะไรเป็นที่ตั้ง ตัวเองหรือความสุขของลูก เพราะถ้ายึดตัวเองอาจจะรู้สึกว่าขับรถมาตั้งนาน ดูอีกหน่อยสิ และบางทีก็ต้องมีวิธีในการต่อรอง ไม่ใช่ว่าตามใจเขาทั้งหมดนะ สมมติว่าเขาอยากกลับ ผมก็บอกว่าอีกสักหน่อยไหม…ไหวไหม ตรงนั้นอาจมี อย่างอื่นให้ทำนะ และลองเปลี่ยนให้เขาทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ซ้ำเดิม แต่ถ้าลอง ทั้งหมดแล้วไม่สำเร็จก็กลับดีกว่า (หัวเราะ)

“ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้ฉายแววว่าชอบด้านไหนชัดเจน อย่างเรื่องกีฬาเขา ชอบบาสเกตบอล ผมสังเกตว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ตอนนี้ใฝ่ฝันอยากเป็นยูทูบเบอร์ รีวิวของเล่น ก่อนหน้านี้ในออนไลน์ฮิตทำ Water Bottle Flip (โยนขวดน้ำ ให้ตั้งกับพื้น) เขาก็ทำตามนะ พยายามโยนทั้งวันเลย จาก 1 ขวดเพิ่มเป็น 2 3 4 ไปเรื่อย ๆ”

แล้วมีแววอยากเป็นศิลปินหรือบอยแบนด์บ้างไหมคะ

“คิดว่าอาจจะยังไม่ถึงขั้นอยากเป็น แต่พอเขาเห็นแล้วอยากทำตาม อย่างพี่เลี้ยงน้องชอบวง BTS เขาเห็นพี่เลี้ยงดู เขาก็ชอบด้วย แล้วก็เต้นตาม ซึ่งน้องเต็นท์ก็มาขอเรียนเต้นนะ ก็ให้เขาลองดู แต่ว่ามันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เขาคิดว่าพอเรียนปุ๊บจะเต้นท่าตามนั้นได้เลย ซึ่งความจริงต้องเรียนตั้งแต่เบสิก เขาก็จะเบื่อไปก่อน”

บาลานซ์ชีวิตอย่างไรคะ ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และเวลาส่วนตัว

“ไม่ได้แบ่งแบบเป็นเรื่อง ๆ เป็นวัน ๆ ขนาดนั้น แต่ถ้าพอมีเวลานิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะใช้เวลาให้มี คุณภาพที่สุด เพราะเราก็ยังต้องทำงาน ซึ่งเป็น สิ่งสำคัญ แต่เรื่องครอบครัวก็สำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นถ้ามีเวลาน้อย ต้องทำให้มีคุณภาพ ต้อง โฟกัสที่ลูกให้มากที่สุด อย่างถ้ากลับถึงบ้านแล้วเขา ยังไม่หลับก็จะชวนเล่น ใช้เวลาพูดคุยกันให้เต็มที่

“ส่วนภรรยาเป็นฝ่ายซัพพอร์ตทุกอย่าง ไม่ว่า จะเรื่องครอบครัว เรื่องงาน ผมอยากทำอะไรหรือ มีกิจกรรมอะไร เขาพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือ ทุกเรื่อง”

เวลาได้ยินคนพูดว่า “ติ๊ก พระเอกตลอดกาล” รู้สึกอย่างไรคะ

“จริง ๆ กดดันนะ (หัวเราะ) แต่ถ้าให้เล่นมุก สักหน่อยจะบอกว่า ‘ผมไม่อยากเป็นพระเอกตลอด- กาลนะ บางเรื่องก็อยากเป็นนางเอกบ้างเหมือนกัน’ (หัวเราะชอบใจมุกตัวเอง)

“แต่ถ้าถามว่าดูแลตัวเองอย่างไร จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อย่างวันนี้ สัมภาษณ์กับ แพรว ก็แต่งหน้าทำผมให้ดูดีหน่อย เป็นอีกสิ่งที่ช่วยได้ (ยิ้ม) ส่วนออกกำลังกายก็ไม่ได้เป็นประจำนะ ส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาว่างมักจะทำงานช่าง บวกทำงานบ้านมากกว่า อย่างกวาดบ้าน ถูบ้าน ตัดต้นไม้ รดน้ำต้นไม้

“ความจริงมีแม่บ้านนะ แต่ว่าแม่บ้านก็ไม่สามารถทำงานหนัก ๆ ได้ และ บางอย่างติ๊กก็ชอบทำเองมากกว่า อย่างวันหยุดถ้าผมอยู่บ้านจะเริ่มเลย เจาะ โน่นนี่ดังปื๊ดดดดดด (เสียงเจาะ) ทำไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น (หัวเราะ) และ ติ๊กชอบมีเครื่องไม้เครื่องมือเยอะ ๆ โชคดีว่ามีเพื่อนเปิดร้านขายวัสดุก่อสร้าง ก็ขอเขาว่าช่วยเปิดกลางคืนหน่อยได้ไหม และอาศัยช่วงดึก ๆ 3 – 4 ทุ่มไป ช็อปปิ้งเครื่องมือ (ยิ้ม) รับบทติ๊กการช่างครับ” (หัวเราะ) 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 983

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up