แพรวา ณิชาภัทร

เส้นทางดาวของ “แพรวา-ณิชาภัทร” กับมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังเข้าวงการบันเทิง

Alternative Textaccount_circle
แพรวา ณิชาภัทร
แพรวา ณิชาภัทร

บนเส้นทางการเป็นศิลปินของ “แพรวา-ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์” เริ่มต้นจากบทบาทของ “ขนมปัง” ในซีรี่ส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2 เติบโตสู่บทบาทที่หลากหลาย ทั้งในฐานะนักแสดงและการเป็นนักร้องเดี่ยวเต็มตัว และที่สำคัญคือเปลี่ยนจากเด็กมั่นหน้า! เป็นศิลปินที่ได้รับการยอมรับ ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจเกินร้อยของเธอ

เส้นทางดาวของ “แพรวา-ณิชาภัทร” กับมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังเข้าวงการบันเทิง

เส้นทางของแพรวา

“ก่อนหน้านี้ที่เริ่มมาจากการเป็นนักแสดง หลายๆ คนเรียกว่าดารา แต่พอเป็นนักร้องด้วย จึงเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินค่ะ เพราะทำหลายอย่าง ซึ่งคำว่าศิลปินในมุมของแพรคือคนที่สร้างงานศิลปะในแบบต่างๆ สร้างสรรค์ผลงานให้คนอื่นๆ ได้ติดตาม

“ส่วนงานเพลงกับค่าย High Cloud กำลังจะปล่อยซิงเกิ้ลที่ 2 ค่ะ แต่ตอนนี้พาร์ตใหญ่ที่สุดยังคงเป็นงานแสดง ซึ่งในการรับงานแสดงแต่ละเรื่อง หลักๆ จะดูเนื้อเรื่องโดยรวมว่าเกี่ยวกับอะไร แต่สำคัญที่สุดคือบทบาทที่ได้รับ คาแร็คเตอร์ต้องมีเฉดสีไม่ซ้ำกับที่เคยแสดงมา แพรอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ท้าทายขึ้น อย่างแพรเคยเล่นเป็นขนมปัง (ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2) แล้วถ้าเรื่องต่อมาก็ยังเล่นเป็นคาแร็คเตอร์เหมือนขนมปัง เรื่องต่อไปก็แบบนั้นอีก คนดูคงเบื่อ และตัวเราก็ไม่ได้ทดลองหรือค้นหาสิ่งใหม่ๆ ด้วย

“ซึ่งในปีนี้มีงานแสดงที่รอเปิดกล้องอยู่ประมาณ 2 เรื่อง และมีโอกาสร่วมงานกับช่อง 3 ด้วย ถือเป็นอีกก้าวที่โตขึ้นและเป็นพาร์ตที่ใหญ่สำหรับแพรตอนนี้ อย่างเรื่อง ที่สุดของหัวใจ ก็เป็นอีกคาแร็คเตอร์หนึ่งเลย คอยสร้างสีสันในซีนให้นางเอก ก็รู้สึกว่าน่าจะสนุกดี

“ส่วนอีกเรื่องเป็นซีรี่ส์ชื่อ ด้วยรักและหักหลัง ก็จะเป็นคนละขั้วเช่นกัน เพราะเป็นแก๊งผู้หญิงที่มีความเฟมินีนมากๆ มีเบื้องหลัง หักหลัง และมีความลับซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งก็จะเป็นอีกโทนสีที่ยังไม่เคยเล่นค่ะ ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่าแพรอาจไม่รับงานการแสดงแล้ว ทำเพลงอย่างเดียว ต้องขออธิบายว่าไม่ใช่นะคะ เพียงแต่พอแสดงจบเรื่องหนึ่ง ช่วงรอเปิดกล้องเรื่องใหม่จึงมีเวลาไปทำเพลงในฐานะนักร้อง” (ยิ้ม) 

แพรวา ณิชาภัทร

มีโทนสีไหนที่อยากแสดงอีกไหม

“ถ้าอยากลอง น่าจะเป็นโทนสีแดงที่เป็นแบบแดงแจ๋เลย ซึ่งในความรู้สึก แพรเป็นตัวร้ายที่โวยวายกรีดร้องอะไรแบบนั้นค่ะ คิดว่าน่าจะสนุกและเหนื่อย มากแน่ ๆ” (หัวเราะ)

แพรวาบอกว่าเมื่อก่อนเป็นเด็กมั่นใจมาก แต่เปลี่ยนไปตอนเริ่มทำงาน

“ใช่ค่ะ เปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะมายด์เซต มุมมองการใช้ชีวิต จากสมัยเด็กที่เคยรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เราก็เพอร์เฟ็กต์ประมาณหนึ่งเลยนะ ใช้คำว่าเป็นคนมั่นหน้าได้เลยค่ะ คือไม่ใช่มั่นใจปกติ เพราะการที่ใครคิดว่าตัวเองเก่ง โดยไม่รู้ว่าเก่งจริงหรือเปล่า คงต้องใช้คำศัพท์ที่เขาบัญญัติสำหรับอาการแบบนี้ว่า…มั่นหน้า

“ส่วนหนึ่งเพราะแพรเป็นเด็กกิจกรรม จึงรู้สึกว่าเราเก่งมาก ซึ่งในเรื่องการเรียน แม้จะไม่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่รู้สึกว่าเราก็เรียนเก่งนะ ที่เอาตัวรอดมาได้และได้เกรด 3 กว่า รู้สึกว่าฉันเก่งมาก

“ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมองโลกในแง่ดี แต่…มันก็มีเส้นบางๆ ระหว่างคำว่าเรามองโลกในแง่ดี แต่พร้อมเรียนรู้กับไม่อยากเรียนรู้แล้ว เพราะว่าฉันเก่งที่สุดแล้ว

“ซึ่งแพรเคยเป็นทั้งสองแบบเลยค่ะ จากแบบแรกที่มั่นมากว่าฉันเก่งที่สุด จากนั้นก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่ จึงดึงตัวเองกลับมาเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้ แล้วบางช่วงก็กลับไปรู้สึกแบบนั้นอีกว่าฉันเก่ง แต่สักพักก็ถอยกลับมาอีกว่าไม่มีใครเก่งที่สุดหรอกเว้ย (หัวเราะ)

“ยิ่งตอนแสดงเรื่องแรกจะสับสนในตัวเองว่าฉันเก่งที่สุดแล้ว กับไม่…ฉันไม่ได้เก่งที่สุด เหมือนแบบสวิตช์เปิด-ปิดสลับไปมาเรื่อยๆ บวกกับตอนนั้นยังเด็ก ก็มีความหลงแสงสีเสียงด้วย” 

แพรวา ณิชาภัทร

แต่ไม่ถึงขนาดใครพูดก็ไม่ฟังใช่ไหมคะ

“ใช่ค่ะ ไม่ได้เป็นแบบนั้น แพรฟังผู้ใหญ่ตลอด เพียงแต่บางอย่างเราฟังแล้วเก็บมาคิด แต่อาจจะยังไม่ทำ เพื่อที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน อย่างเวลาพ่อแม่สอนจากประสบการณ์ว่าต้องทำแบบนี้ๆ คือเราฟังเข้าใจนะ แต่รู้สึกอยากเรียนรู้ด้วยตัวเองในแบบของเรา และก็ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดเป็นเรื่องจริงนะ”

ที่เปลี่ยนจริงๆ คือช่วงไหนคะ

“ตอนที่เริ่มทำงานแล้วได้เจอคนเยอะขึ้น ได้เห็นว่าคนอื่นทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าเรา หรือแม้ในสิ่งที่เราทำได้ เขาก็ทำได้มากกว่า เปรียบเหมือนกับเวลาวาดรูป เราคิดว่าเราวาดสวยแล้วนะ พอมองไปมีคนวาดรูปแบบเดียวกับเราเลย แต่สวยกว่า

“เหมือนเราได้เห็นโลกกว้างขึ้น จากเดิมที่เราคือปลาใหญ่ในอ่างเล็ก แต่ตอนนี้เราคือปลาเล็กในอ่างใหญ่มากๆ จึงทำให้แพรเข้าใจว่าจริงๆ ไม่มีใครเก่งที่สุดหรอก ทุกคนต้องค่อยๆ เรียนรู้ พัฒนา และเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ และมันไม่มีทางที่เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนตัน

“อีกเรื่องที่ได้เรียนรู้คือความลำบาก ก่อนเข้าวงการแพรรู้สึกว่าชีวิตตัวเองสบายมาก พอมาทำงานรู้สึกว่า โอ๊ย…ทำไมชีวิตยากจัง แค่ขับรถไปทำงาน เจอรถติดก็รู้สึกลำบากแล้ว พอถึงกองถ่ายต้องนั่งรออีก ไม่เคยต้องรอนานขนาดนี้ เป็นอีกรสชาติชีวิตที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนค่ะ

“รวมถึงเรื่องเงินด้วย จากเมื่อก่อนมีเท่าไรก็ใช้ แต่พอทำงานหาเงินเอง เวลาจะใช้เงินแต่ละครั้งจะคิดเยอะ คิดมากขึ้น แต่อีกมุมก็ทำให้เรามีอิสระในการใช้เงินด้วยเหมือนกัน”

แพรวา ณิชาภัทร

แล้วตอนนี้คิดว่าตัวเองเก่งไหม

“คิดว่า…เก่งกว่าเมื่อวานค่ะ (ยิ้ม) แต่ก็รู้สึกว่ายังเก่งได้กว่านี้ ซึ่งแพรคิดว่าการที่เราชมตัวเองแบบนี้เป็นการซัพพอร์ตจิตใจและให้กำลังใจตัวเอง รวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตด้วย อย่างเช่นวันนี้ฉันเก่งกว่าเมื่อวาน หรือวันนี้นาฬิกาปลุก 7 โมง เราตื่นได้ทันที ไม่ต้องรอ 7.05 น. แค่นี้ก็เก่งแล้ว” (ยิ้ม)

คำพูดอะไรของคนอื่นที่เติมพลังให้เรา

“โตขึ้นนะ…เก่งขึ้นนะ ประมาณนี้ค่ะ (ยิ้ม) เพราะถ้าเขาพูดแบบนี้ แสดงว่าเขาเห็นเรามาตั้งแต่จุดแรกจนถึงจุดนี้ อีกคำคือแสดงเสถียรขึ้นนะ หมายถึงว่าเรารักษามาตรฐานของตัวเองได้ ไม่ใช่วันนี้เล่นดีมาก แต่พรุ่งนี้พังทุกซีน ซึ่งเป็นเรื่องยากเหมือนกันนะคะ

“แต่ถ้าวันหนึ่งเรารักษามาตรฐานได้ถึงจุดที่เสถียรมากๆ ก็คงรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องก้าวออกไปเรียนอะไรเพิ่ม ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาว่างจะไปลงเรียนเพิ่มเติมด้วยค่ะ”

แพรวา ณิชาภัทร

อีกบทบาทหนึ่งในพาร์ตนักร้อง กดดันไหมที่เพลงแรก (รักติดไซเรน) มียอดวิวกว่า 200 ล้านวิว

“ไม่นะคะ หลายๆ คนชอบถามว่าคาดหวังกับเพลงใหม่ว่าจะเป็นแบบ รักติดไซเรน ไหม ซึ่งแพรไม่ได้คาดหวังว่าต้องกี่ล้านวิว แค่รู้สึกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว พอปล่อยออกไปก็ให้เพลงทำหน้าที่ของมัน ถ้าคนฟังฟังแล้วชอบ เขาก็จะแชร์ต่อ แพรคิดว่าถ้าทำเพลงแล้วมัวแต่กลัวว่าจะไม่ดัง เลยไม่ปล่อยออกไป ก็จะไม่มีใครได้ฟังเลยนะ ฉะนั้นถึงจะไม่แมสก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็มีคนฟังค่ะ (ยิ้ม)

“แต่บอกตรงๆ ว่าตอนนี้แพรก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักร้องเต็มตัวนะคะ ประเมินตัวเองว่าศักยภาพเรายังไม่ถึง เราแค่เป็นเด็กโชคดีที่ได้ก้าวเข้าไปใกล้ความฝันอีกก้าว ซึ่งแพรจะประเมินตัวเองแบบนี้ตลอด”

ความสุขที่สุดในการทำงานคืออะไรคะ

“แค่ได้ทำสุดความสามารถก็มีความสุขแล้วค่ะ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็แฮ็ปปี้หมด แพรจะไม่ค่อยคาดหวังอะไรมาก เพราะถ้าผิดหวังจะเจ็บแรงมาก แต่ถ้าไม่คาดหวังแล้วผลที่ได้มันมากกว่าที่คิด เราจะรู้สึกว้าว แบบว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากขึ้นไปเรื่อยๆ” 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 982

ภาพ : @nichaphatc

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up