มอร์ มอร์กะจาย โควิด-19

รู้จัก MIS-A, MIS-C ผลพวงจากโควิด-19 ผ่านเรื่องราวของครอบครัว “มอร์ มอร์กะจาย”

Alternative Textaccount_circle
มอร์ มอร์กะจาย โควิด-19
มอร์ มอร์กะจาย โควิด-19

ช่วงปลายปี 2564 เกิดการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งครอบครัวของศิลปินชื่อดังเจ้าของบทเพลง “เพียงเธอหลับตา” คุณมอร์-ธนพัชร์ ซัวเกษม แห่งวงมอร์กะจาย ประกอบด้วยคุณมอร์, ภรรยา คุณพลอย-ธนพร และลูกชาย น้องพอล วัย 3 ขวบ รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ของคุณพลอยอีกด้วย

แพรว มีโอกาสพบและพูดคุยกับครอบครัวซัวเกษม ซึ่งคุณมอร์ยังคงมีอาการเหนื่อยหอบอยู่บ้าง คุณพลอยจึงรับหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวแทน เธอเป็นสาวแกร่งตัวจริง แม้ตัวเองจะติดโควิด-19 แต่ยังมีพลังกายและกำลังใจในการดูแลทุกคนในครอบครัว จนสามารถผ่านวิกฤติครั้งใหญ่มาได้

รู้จัก MIS-A, MIS-C ผลพวงจากโควิด-19 ผ่านเรื่องราวของครอบครัว “มอร์ มอร์กะจาย”

ระวังขั้นสุด

“ต้องบอกว่าส่วนตัวพี่มอร์รักความสะอาดมาก ขนาดได้ฉายาว่าพี่มอร์ลำไย คือ ‘เยอะ’ ในเรื่องความสะอาด เขาอาบน้ำเป็นชั่วโมง เวลาไปพักตามโรงแรมต่างจังหวัด เขาจะพกน้ำขวดไปด้วยสำหรับล้างหน้า ถ้าที่พักลำบากจริงๆ ก็จะยอมขับรถกลับบ้านคืนนั้นเลย มีครั้งหนึ่งเขาไปหาหมอเพราะอาการภูมิแพ้แอลกอฮอล์กำเริบ ผดขึ้นเต็มตัวเลย หลังจากจิบไวน์ ไปเพียงนิดเดียว คุณหมอวิเคราะห์ว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงมาจากนิสัยรักความสะอาดเกินไป

“ช่วงที่โควิด-19 ระบาดแรกๆ พี่มอร์เสพข่าวเยอะจนมีอาการเหมือนนอยด์ เพราะลูกก็ยังเล็กและพลอยมีโรคประจำตัว คือเป็นหอบ เขาจะซีเรียสและคอยกำชับทุกคนให้ป้องกันและดูแลตัวเองตลอด สำหรับตัวเขาจะไม่ยอมออกไปไหนเลยถ้าไม่จำเป็น ถ้าต้องไปเขาจะนั่งรอในรถกับลูกแล้วให้พลอยลงจากรถคนเดียว บางครั้งพ่อของพลอยออกไปทิ้งขยะหน้าบ้านแล้วไม่ใส่หน้ากาก ก็จะโดนเขาบ่นชุดใหญ่ หรือเวลาพลอยสั่งของมาที่บ้านแล้วลืมใส่หน้ากากออกไปรับ เขาจะโวยเสียงดังว่าทำไมประมาทอย่างนี้ จนถึงขั้นต้องมาเคลียร์กันว่าต่อไปถ้ามีไปรษณีย์มาส่งของให้วางไว้หน้าบ้าน ไม่ต้องออกไปรับ สำหรับพลอยมองว่าถ้าเราทำตัวให้แข็งแรง ล้างมือ กินร้อน ช้อนกลาง และไม่ออกไปตามสถานที่เสี่ยง แค่นั้นก็คือสุดๆ แล้ว”

ป่วยยกบ้าน

“การติดเชื้อโควิด-19 ของครอบครัวเราเริ่มจากพ่อของพลอยก่อน พอไล่ไทม์ไลน์จากพ่ออย่างละเอียดทำให้ทราบว่าหลังจากโดนฝนไม่เกิน 2 วัน เริ่มมีอาการคล้ายหวัด เจ็บคอ แต่ไม่มีไข้ พลอยจึงซื้อยาให้กิน รวมทั้งกินยาฟ้าทะลายโจรกันไว้ก่อน ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ยังนอนซมไม่หาย พี่มอร์บอกว่าครอบครัวเราควรไปสว็อบกันนะ อาการของพ่อน่าจะไม่ใช่เป็นหวัดปกติ แต่พลอยไม่เชื่อ เหมือนหลอกตัวเองว่าพ่อไม่ได้เป็น คิดว่ากินยาฟ้าทะลายโจรไม่เกิน 12 วันก็น่าจะหายไปเอง ประกอบกับตรวจ ATK แล้วผลของพี่มอร์และพลอยออกมาเป็นลบ อาจเพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มติดเชื้อ ทำให้ผลเป็นอย่างนั้น ต้องบอกก่อนว่าสมาชิกทั้ง 5 คนไม่มีใครเป็นไข้เลย แค่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ วัดระดับออกซิเจนในเลือดทุกวัน ค่าอยู่ที่ 97-98 (ค่าปกติ 96-100)

“มาทราบทีหลังว่าวันที่โดนฝนพ่อแวะซื้อเนื้อหมูด้วย แล้วพ่อค้าขายหมูติดโควิด ซึ่งพ่อแค่จ่ายเงิน ไม่ได้พูดคุยกัน อาจติดจากตอนนำเนื้อหมูมาล้างทำความสะอาดก็เป็นได้

“วันที่ 18 กันยายน ปีที่แล้วถือว่าเป็นการเริ่มต้นของความพีค ตอนสามทุ่มคุณแม่มาบอกว่าน้องพอลเลือดไหลออกจมูก ให้รีบพาไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าเป็นโพรงจมูกบวม ไม่ต้องแอดมิต ให้กินยาแก้อักเสบ จนวันที่ 22 กันยายน น้องพอลมีไข้สูง ไม่กินข้าว ไม่ถ่าย คาดว่าน่าจะเริ่มออกอาการโควิด-19 พอพาน้องพอลไปแอดมิต น้องก็ถ่ายเป็นปกติ ได้ยาฆ่าเชื้อ 3 วัน ก็กินข้าวและวิ่งเล่นได้เหมือนเดิม ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่ได้มีการสว็อบเพื่อหาเชื้อโควิด-19 เลย

“ต่อมาพี่มอร์เริ่มไม่สบาย มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย แต่ไม่มีไข้ ส่วนแม่ของพลอยเดินเข้ามาในบ้านแล้วได้กลิ่นกำยานก็รู้สึกแสบหน้าอก ซึ่งพอฟังจากคุณหมอคาดว่าแม่น่าจะติดโควิด-19 แล้ว แต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งโรคนี้จะทำให้มีอาการหลอดลมตีบ ผ่านไป 3 วัน แม่ลุกจากเตียงไม่ไหว เพื่อนที่เป็นหมอแนะนำให้ซื้อยาขยายหลอดลมมาพ่นก่อน อาการก็ยังทรงๆ

“จนวันที่ 28 กันยายน อาการของแม่หนักขึ้น หายใจเข้าออกเป็นเสียงวี้ดๆ พลอยนึกว่าเป็นอาการของโรคหอบ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของแม่ จึงรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล ตอนนั้นแม่เริ่มไม่มีสติแล้ว คุณหมอบอกว่าออกซิเจนในปอดเหลือน้อยมาก ต้องส่งเข้าห้องไอซียู พอพลอยกลับถึงบ้านไม่นาน โรงพยาบาลโทร.มาแจ้งผลตรวจว่าแม่ติดโควิด-19 และบอกให้ทำใจ เพราะเนื้อปอดข้างขวาของแม่เหลือไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ วินาทีนั้นพลอยบอกทุกคนว่าต้องไปโรงพยาบาลตรวจโควิด-19 เลย เพราะน่าจะติดแน่ แล้วพ่อกับพี่มอร์ก็แอดมิต พอพี่มอร์รู้ผลว่าตัวเองติดโควิด-19 พลอยยังจำสีหน้าเจ็บปวดของเขาได้ ทำให้พลอยรู้สึกผิดมากๆ ว่าที่ผ่านมาไม่เชื่อเขา

“เพราะก่อนหน้าที่แม่จะเข้าโรงพยาบาล พี่มอร์และพลอยมีอาการไอแล้วมีเลือดปนออกมา แต่เข้าข้างตัวเองว่าสงสัยเป็นหลอดลมอักเสบ เพราะทุกอย่างปกติ ยังคงออกกำลังกายทุกวัน ไม่มีอาการเหนื่อยหอบใดๆ

“คืนวันที่ 30 กันยายน พลอยเริ่มมีอาการไอเป็นเลือด รู้สึกหนาวแบบเข้ากระดูก กินอะไรก็รู้สึกว่าเค็มไปหมด คิดว่าเราน่าจะไม่รอดแน่ คืนนั้นแยกนอนกับน้องพอลเลย โดยให้เลขาฯมานอนเป็นเพื่อนลูก วันรุ่งขึ้นตอนค่ำก็ได้เข้าแอดมิตที่ห้องเดียวกับพี่มอร์ ซึ่งน้องพอลติดพลอยมาก จึงต้องมาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก

“อาการของพลอยหลังจากกินยาฟาวิพิราเวียร์วันละ 20 เม็ด และได้ยาฆ่าเชื้อแบบฉีดเส้น เพราะพลอยต้องดูแลทั้งพี่มอร์และน้องพอล แค่ 4 วัน ค่าการอักเสบของปอดเริ่มดีขึ้น พอฉีดยาไปได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พลอยมีอาการถ่ายเป็นเลือด เกิดจากการกินยาเป็นจำนวนมาก จึงต้องกินยาเคลือบกระเพาะ จากนั้นเริ่มมีอาการข้างเคียงคือหิวและโหยอาหารตลอดเวลา ถึงขั้นต้องขออนุญาตทางโรงพยาบาลซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและซาลาเปามาตุนไว้ แต่น้ำหนักกลับลดลงไป 6 กิโลกรัม จากเดิม 47 เหลือ 41 กิโลกรัม

“ส่วนอาการของพี่มอร์หนักกว่า ต้องนอนคว่ำหน้าตลอด เพื่อให้ออกซิเจนในร่างกายไหลเวียนได้ดี กับต้องให้ออกซิเจนแรงดันสูงตลอดเวลา รวมทั้งมีสายน้ำเกลือและสายยาฆ่าเชื้ออยู่ที่มือทั้งสองข้าง

“อาการพี่มอร์เริ่มหนักในวันที่ 2 ตุลาคม หมอบอกว่ายาฆ่าเชื้อที่ให้ไปเอาเชื้อไม่อยู่แล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ตัวที่แรงกว่า ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ประมาณกว่า 7 หมื่นบาท ถ้าไม่ตอบสนองภายในสามวัน ก็อาจต้องเข้าไอซียู พอคุณหมอหันมาบอกว่าคุณมอร์ต้องอดทนและสู้ๆ นะครับ พี่มอร์ได้ยินอย่างนี้ เขารู้เลยว่าอาการตัวเองหนักมาก เหมือนเขาใจเสีย เริ่มไม่กินข้าว แล้วไอออกมาเป็นเลือดเยอะ หลังจากให้ยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ ผ่านไปสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น

“ตอนนั้นสีหน้าของพี่มอร์กังวลมาก พลอยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่บอกให้เขาสวดมนต์และปฏิบัติอานาปานัสสติ คือการกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อให้มีสติ เพราะพลอยเชื่อว่าเวลาเราไม่สบาย ยาจะมีส่วนช่วยอยู่แล้ว แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือใจ ถ้านั่งสมาธิ ทำให้ตัวเองมีสติตลอดเวลา อะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีหรือเป็นความกังวลก็จะคลายลง

“ผ่านไปเป็นวันที่ 5 ค่าการอักเสบที่ปอดของพี่มอร์เริ่มดีขึ้น ค่าออกซิเจนก็ดีตาม แต่ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ เพราะปอดอักเสบหนักมาก จนวันที่ 15 ตุลาคม ได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ส่วนพ่อกับแม่ของพลอยก็อาการดีขึ้นจนกลับบ้านได้ ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี”

มอร์ มอร์กะจาย โควิด-19

กลุ่มอาการใหม่…ผลพิษจากโควิด-19

“ผ่านไป 2 สัปดาห์ พี่มอร์ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย จากนั้นเริ่มมีอาการไข้ขึ้น ตัวร้อน จึงรีบพาไปโรงพยาบาล พบว่าค่าการอักเสบของปอดจาก 30 ขึ้นมาเป็น 70 กว่า ซึ่งสำหรับคนปกติจะไม่เกิน 50

“คุณหมอสงสัยว่าเกี่ยวกับปริมาณของยาสเตียรอยด์สำหรับรักษาปอด ควบคุมไม่ให้ค่าการอักเสบในร่างกายสูง ตอนอยู่โรงพยาบาลให้ 2 เม็ด ก่อนกลับบ้านเห็นว่าค่าการอักเสบดีขึ้นจึงลดเหลือ 1 เม็ด เมื่อผลออกมาอย่างนี้ คุณหมอเป็นห่วงว่าถ้าปล่อยให้ขึ้นถึง 100 จะทำให้เกิดปอดอักเสบ จึงกลับไปให้ยา 2 เม็ดเหมือนเดิม ซึ่งทำให้พลอยรู้ว่านี่คืออาการของ MIS-A (Multisystem Inflammatory Syndrome in Adults ภาวะหลังจากติดโควิด-19 แล้วเกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของผู้ใหญ่)

“เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ค่าการอักเสบของปอดยังขึ้นๆ ลงๆ จนพี่มอร์รู้สึกท้อ เพราะไม่สามารถหยุดยาสเตียรอยด์ ซึ่งมีผลทำให้หน้าเขาบวมมาก แล้วผิวแตกแห้งเป็นเหมือนงูลอกคราบ คุณหมออธิบายว่าค่าการอักเสบจะค่อยๆ ลดลง แต่ไม่ลงทันที คุณหมอพยายามปลอบว่าไม่ให้ยึดติดในชื่อของอาการ ให้พยายามดูแลตัวเองแล้วรักษาจนหาย

“สำหรับพลอยเริ่มมีอาการของ Long COVID (เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไป) คือสุขภาพยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะปกติพลอยแอ๊คทีฟมาก แต่หลังจากเป็นโควิด-19 จะนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม เหนื่อยง่าย เวลาทำอะไรมากๆ จะเริ่มล้า สิวก็เห่อขึ้นเต็มคาง จากที่ไม่เคยเป็นเลย”

MIS-C ฝันร้ายของเด็ก

“แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือน้องพอล ลูกชายวัย 3 ขวบ 8 เดือน ถือได้ว่าเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในโลกที่ตรวจพบว่ามีอาการของ MIS-C (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children) เป็นกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก เป็นภาวะหลังจากที่เด็กติดโควิด-19 แล้วเกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ปอด ไต หลอดเลือด ผิว ตา รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่สูงผิดปกติ ทำให้มีไข้สูง ผื่นขึ้น ตาแดง ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในไอซียู และอาจมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้เสียชีวิตได้

“น้องพอลเริ่มแสดงอาการ MIS-C คือเขาซนผิดปกติและอะเลิร์ตตลอดเวลา เราคิดเองว่าเพราะอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม เหมือนเขาเครียดจึงแสดงอาการนี้ออกมา จากที่ไม่เคยเล่นโทรศัพท์มือถือก็กลายเป็นติดงอมแงม แถมมีอาการอารมณ์เสียเหมือนก้าวร้าวเพิ่มขึ้น ต้องบอกก่อนว่าน้องพอลตอนอายุ 1-3 ขวบเลี้ยงง่ายที่สุด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่งอแง

“เราพยายามขอคุณหมอเจ้าของไข้ว่าอยากปรึกษากุมารแพทย์ เพราะตั้งแต่น้องพอลมาแอดมิต ไม่เคยมาเช็กอาการตรวจเลือด เอกซเรย์ปอดของลูกเลย แต่คุณหมอกลับบอกว่าไม่ต้องตรวจอะไรแล้ว ถึงจะติดโควิด-19 เชื้อก็คงหมดไปแล้ว

“พอกลับมาพักฟื้นกันที่บ้านทั้งครอบครัว พอลเริ่มมีอาการซึมๆ มีไข้ พอให้ยาลดไข้ของเด็ก ไข้ก็ยังไม่ลด อยู่ที่ประมาณ 38.7 องศาเซลเซียส จึงรีบพาไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าเป็นหวัดเพราะอากาศเปลี่ยน พอกลับมาบ้านไข้ยังคงขึ้นสูงถึง 39 องศาเซลเซียส คิดว่าคงเป็นไข้เลือดออกหรือไข้หวัดใหญ่ ตอนตี 3 โทร.ไปแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล เขาบอกว่ากุมารแพทย์ไม่อยู่ พอตอนเช้า ไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าน้องมีอาการของ MIS-C เป็นอาการใหม่ ใช้วิธีรักษาตามอาการ เขาแนะนำให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลสินแพทย์ ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ โดยผลตรวจออกมาเหมือนกันคือมีแนวโน้มว่าน้องเป็น MIS-C เพราะค่าการอักเสบสูงมาก รวมถึงค่าตับและค่าไตสูงจนเป็นอันตรายต่อเด็ก จากนั้นทางโรงพยาบาลสินแพทย์ได้ประสานให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งพอไปถึงคุณหมอให้เข้าห้องไอซียูเพื่อมอนิเตอร์ดูอาการของน้องทันที

“ถือเป็นครั้งแรกที่น้องพอลจะต้องแยกจากพ่อและแม่ ตอนกลางคืนทางโรงพยาบาลโทร.มาแจ้งผลการตรวจเอกโค่หัวใจ (ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อวัดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ) ทำให้พบว่าน้องพอลมีอาการเส้นเลือดหัวใจอักเสบ จึงต้องให้ยารักษาหลอดเลือดดำที่หัวใจแบบเร่งด่วน จากที่ฟังคุณหมอ ปัจจัยที่ทำให้เกิด MIS-C นั้น เพราะโควิด-19 อาจไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองมากเกินไป จนทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย

“วันรุ่งขึ้นคุณหมออนุญาตให้น้องออกจากห้องไอซียูไปอยู่ห้องปกติ พอครบ 3 วันคุณหมอให้กลับบ้านได้

“ก่อนกลับน้องพอลต้องเข้าไปตรวจเอกโค่หัวใจอีกรอบ ทำให้ทราบว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี ต้องให้ยานอนหลับ กับเด็กทั่วไปแค่ 15 นาที ก็หลับแล้ว แต่น้องพอลใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง แล้วต้องทำถึง 3 รอบ ทำให้น้องอาเจียนออกมา น่าสงสารมาก หมอบอกว่าเพราะน้องพอลแข็งแรงและฝืนตัวเอง ขนาดโขกหัวกับผนังแล้วใช้มือตบหัวตัวเองเพื่อไม่ให้หลับ

“ที่สุดผลออกมาคือยังมีรอยโรคอยู่ คุณหมอบอกว่ายังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะหายขาดหรือไม่ เพราะเป็นอาการใหม่ ต้องคอยตรวจเช็กตลอด นั่นทำให้น้องพอลต้องกินยาละลายลิ่มเลือดตลอด เพื่อกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดตันที่สมอง

“จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณหมอนัดไปเอกโค่หัวใจอีกรอบ ข่าวดีค่ะ แผลที่เส้นเลือดเหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ปิดสนิทแล้ว ขนาดคุณหมอยังแปลกใจ เพราะปกติแผลที่เส้นเลือดไม่น่าจะหายได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้”

มอร์ มอร์กะจาย โควิด-19

การเยียวยาทางใจ

แม้อาการภายในร่างกายของน้องพอลเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่รอยแผลในจิตใจก็ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน

“พอลเริ่มมีอาการไม่ยอมหลับหลังจากแอดมิตโรงพยาบาลครั้งนี้ เขาจะร้องกรี๊ดและผวาทุกคืนโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาเคยเป็นหนักมากตั้งแต่สี่ทุ่มยันตีสี่ พลอยพยายามถาม แต่เขาไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ เวลานอนเขาจะไม่ยอมให้พลอยหลับ ต้องลืมตาเป็นเพื่อนเขาตลอด และจะร้องขอให้เปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อดูการ์ตูน จนเขาเริ่มมีอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทำให้ลูกตาดำมารวมอยู่ตรงกลาง สุดท้ายรู้ว่าที่เขาเป็นอย่างนี้เพราะกลัวกลางคืนหรือความมืด กลัวว่าถ้าหลับตาแล้วจะโดนแม่ทิ้ง เพราะวันที่เขาเข้าห้องไอซียูคนเดียว ไม่มีพ่อหรือแม่อยู่เลย ซึ่งคงจะต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อดูแลอาการด้านนี้ต่อไป”

บทเรียนที่ต้องบอกต่อ

“พลอยขอฝากเป็นข้อคิดไว้นะคะ อันดับแรก สำหรับคนที่ติดโควิด-19 ถ้าอาการเริ่มหนักขึ้น คุณจะต้องหยุดยาสมุนไพรหรือยาฟ้าทะลายโจรทันที เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว อย่าไปเชื่อคนที่บอกว่าเป็นโควิด-19 ลงปอด กินยาฟ้าทะลายโจรแล้วหาย ถ้ายังกินต่อไปจะยิ่งทำให้ตับอักเสบเหมือนพ่อของพลอย เพราะเมื่อร่างกายเราอ่อนแอ ไม่สามารถขับสารพวกนี้ออกมา ทำให้มีผลต่อตับอย่างมาก ซึ่งปกติแล้วร่างกายของคนเราจะขับออกมาไม่เท่ากัน พลอยกิน 8 เม็ด ไม่เป็นอะไรเลย เมื่อมีข่าวออกไปว่าครอบครัวเราติดโควิด-19 มีคนส่งฟ้าทะลายโจรมาให้เยอะ พลอยเข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่เราต้องเชื่อคุณหมอผู้ทำการรักษาก่อน

“สำหรับผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 แล้วอย่าประมาท ต้องคอยระวัง โดยเฉพาะกับเด็กๆ อย่าคิดว่าลูกหายแล้วก็จะไม่เป็นอะไรอีก อาจมีอาการ MIS-C อย่างที่น้องพอลเป็น ซึ่งยังไม่มีใครทราบข้อมูล สาเหตุ หรือปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการนี้อย่างแน่ชัด แล้วกับเด็กไม่ได้แสดงอาการให้เห็นมากมาย เพราะเป็นการอักเสบภายใน ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจึงจะมีโอกาส ฟื้นตัวได้เร็ว”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 979

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

งานดีไม่แพ้น้องชาย! คุยลึกถึงตัวตน “แบงค์-ชินดนัย ภูวกุล” พี่ชายแบมแบม

“ตู่-ปิยวดี” เล่าละเอียดยิบ! อยากมีลูกมากเป็นเหตุ แพ้ยา ทำให้เผชิญโรคหินปูนหลุด

รู้จัก “โรคเส้นเลือดขอดในสมอง” ผ่านการเฉียดตายของ “คุณกอล์ฟ-ณัฐพล เกษมวิลาศ”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up