แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

งานดีไม่แพ้น้องชาย! คุยลึกถึงตัวตน “แบงค์-ชินดนัย ภูวกุล” พี่ชายแบมแบม

Alternative Textaccount_circle
แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล
แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

หลายคนอาจรู้กันแล้วว่า “แบงค์-ชินดนัย ภูวกุล” พี่ชายของ “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” มีโปรไฟล์น่าสนใจ ทั้งเรื่องเชี่ยวชาญด้านการออกแบบท่าเต้น เป็นครูสอนเต้น เป็นที่ปรึกษาให้ค่ายต่างๆ จนถึงร่วมจัดโชว์ แต่ครั้งนี้ แพรว รับรองว่าคุณจะได้รู้จักเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น

งานดีไม่แพ้น้องชาย! คุยลึกถึงตัวตน “แบงค์-ชินดนัย ภูวกุล” พี่ชายแบมแบม

เล่าถึงจุดเริ่มต้นของงานตรงนี้ให้ฟังหน่อยนะคะ

“ผมเริ่มสอนครั้งแรกในปี 2014 ครับ เป็นครูสอนเต้นอิสระ เช่าพื้นที่เล็กๆ แบบเล็กมากๆ ไว้สอนอยู่แถวทาวน์อินทาวน์ ก่อนจะเริ่มก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองชื่อ B House Studio ในปี 2015

“จุดเริ่มต้นของการเต้นคือผมเต้นในชมรมกับเพื่อนก่อนจบมัธยมปลายครับ ก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ จนได้เป็นครูฝึกสอนตามโรงเรียนสอนเต้นต่างๆ ส่วนจุดที่ทำให้เริ่มการเต้นจริงจัง เลยคือวันหนึ่งมีรุ่นพี่ในวงการเต้นมาชวนให้ไปร่วมทีมแข่งเต้น เพื่อไปแข่งในรายการ Hip Hop International (HHI) หรือ รายการแข่งเต้นชิงแชมป์โลก เลยทำให้ผมได้ฝึกฝนจริงๆ จังๆ ถึงแม้การแข่งครั้งนั้นเราจะไม่ได้ตำแหน่งกลับมา แต่ทำให้ผมค้นพบตัวเองว่าเราไม่ได้ชอบการเต้นบนเวที แต่เรากลับหลงใหลในเรื่ององค์ประกอบและภาพของโชว์มากกว่า จึงเป็นจุดเริ่มต้น ของการทำงานสายวางแผนเพอร์ฟอร์แมนซ์

“ต้องเล่าว่าจุดที่เริ่มเติบโตจริงๆ มาจากการลงวิดีโอในยูทูบครับ ตอนนั้นลงคลิปวิดีโอเล่นๆ อันหนึ่ง แล้วมีคนฟิลิปปินส์มาเห็น เขาติดต่อมาชวนให้ลองไปสอน Dance Workshop ที่ประเทศของเขาดู หลังจากนั้นก็เริ่มได้ไปสอนอีกหลายๆ ประเทศในเอเชียครับ ซึ่งเราประสบความสำเร็จอย่างมากเลยครับ ที่สิงคโปร์

“ส่วนจุดเริ่มต้นของการได้ทำงานกับประเทศเกาหลีใต้นั้น จริงๆ แล้วเริ่มจากการเป็นกรรมการตัดสินงานประกวดสายคัฟเวอร์แดนซ์ครับ เป็นกรรมการครั้งแรกในปี 2015 หลังจากนั้นก็มีงาน กรรมการเข้ามาอีกบ้าง จนในปี 2017 ผมได้รับคำเชิญให้เข้าตัดสิน รายการ SHOW DC Cover Dance Championship ซึ่งเป็น รายการที่ใหญ่ที่สุดในปีนั้น พอจบงานนั้นผมเลยได้รับการเสนอชื่อ ให้ตัดสินในงาน Dance to Your Seoul เป็นงานแข่งขันที่ขึ้นตรง กับประเทศเกาหลีใต้ ทำให้เราได้ Certificate จากเกาหลีโดยตรง และเริ่มรู้จักกับองค์กรต่างๆ ในเกาหลีครับ

“ในปี 2017 ผมได้ขยายสตูดิโอให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มสายงาน ด้าน Choreography (การออกแบบท่าเต้น) และเข้าสู่รูปแบบ บริษัทดูแลงานเกี่ยวกับด้านการเต้นอย่างเป็นทางการ ได้รับการ ติดต่อจากค่ายเล็กๆ ในเกาหลีเพื่อชวนไปทำงานด้วยกัน แม้ ปัจจุบันค่ายนั้นจะยุบไปแล้ว แต่ก็ทำให้ผมเริ่มมีผลงานในเกาหลี และเริ่มได้งานจากเกาหลีที่ใหญ่ขึ้นด้วย

“รวมถึงได้รับผิดชอบงานใหญ่ครั้งแรกคือคอนเสิร์ต KCON THAILAND 2018 ครับ เป็นคอนเสิร์ตรวมศิลปินเกาหลีที่จัดในประเทศไทยโดย CJ Entertainment เราจะทำหน้าที่รับบรี๊ฟ มาว่าเขาต้องการโชว์ประมาณไหน เราก็จะออกแบบ จัดโชว์ รวมถึงรับผิดชอบแดนเซอร์ให้เขาด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังวง GOT7 วงของน้องชายผมเองนี่แหละครับ”

แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

ตอนนั้นแบมแบมรู้อยู่ก่อนไหมคะ

“น้องไม่รู้ครับ แล้วทาง CJ Entertainment ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นพี่ชายของ แบมแบม ตอนแรกผมกะจะเซอร์ไพร้ส์ให้เจอกันในงานเลย แต่ความที่แบมแบม เช็กเสมอว่าใครจะมาเต้นให้เขา จึงรู้ก่อน

“ต้องบอกเลยว่าสายงานเกาหลีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับแบมแบมเลยครับ เพราะวัฒนธรรมเกาหลีไม่ให้มีเรื่องของเส้นสายหรือครอบครัวไปเกี่ยวข้อง”

ทราบว่าแบงค์มีอีกงานคือการเป็นเอเจนซี่กับเป็นที่ปรึกษาให้ค่ายต่างๆ ด้วย

“ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น พอรู้จักกับศิลปินจากการออกแบบท่าเต้นให้มากๆ รวมถึงให้คำแนะนำค่าย เพราะเรารู้เรื่องเทรนด์ เขาก็เห็นว่าเราทำตรงนี้ได้ บางครั้งศิลปินก็ทักมาเองว่าช่วยดูแลงานในไทยให้หน่อย หรืออย่างแบมแบม เห็นว่าผมเริ่มทำได้ เขาก็ไปแนะนำมินนี่ (G)I-DLE ว่าให้พี่แบงค์ช่วยดูสิ จริงๆ ก่อนหน้านั้นผมก็ทำให้หลายค่ายเพลง แค่ไม่ได้บอกใคร

“อีกงานคือผมเป็นเหมือนคนกลาง ช่วยดูแล คุยงาน ดูสัญญาของเด็กไทยที่ออดิชั่นผ่าน พอทางเกาหลีส่งสัญญามา เด็กก็จะให้ผมช่วยรีวิว ความที่ทำงาน กับเกาหลีเยอะ จึงรู้สเต็ป รู้รายละเอียด โดยเฉพาะบางสิ่งบางอย่างที่เราช่วยคุย ให้ได้นิดนึง (หัวเราะ)“แต่ถึงผมจะรู้แนวออดิชั่น หรือเวลาเป็นตัวแทนดูแลการออดิชั่นให้ใคร ผมไม่ได้เอาตรงนี้มาเปิดโปรแกรมเทรนหรือดูแลเชิงพาณิชย์ให้น้องๆ นะครับ ส่วนมากน้องๆ จะทักมาหากันเอง หรือผมจะคัดเฉพาะคนมีลู่ทางจริงๆ มาดูแล ไม่ได้เอาใครมาเซ็นสัญญาด้วยเลย เราแค่เทรน ดูแลสัญญา พอน้องได้ไปเกาหลี เราก็ให้สิทธิ์ทางเกาหลีดูแลต่อไปเลย

“เมื่อก่อนเคยมีช่วงหนึ่งผมเปิดเป็นโปรแกรมเทรนเพื่อฝึกและพยายามส่ง น้องๆ ไปออดิชั่น ก็รับมาดูแลประมาณ 20 คน แต่สุดท้ายตอนส่งไปเกาหลีได้ จริงๆ แค่ 4 คนครับ จริงๆ ก็ถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะ แต่น้องๆ อีก 16 คน เขาก็ผิดหวังและไม่เข้าใจ เขารู้สึกว่าเราทำไม่ได้จริง ซึ่งมันมีหลายปัจจัยครับ ทั้ง รูปลักษณ์ ความคิด ความเด็กของเจ้าตัว ทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันหมดเลย หลัง จากนั้นผมเลยไม่ขอรับผิดชอบความฝันใคร ยกเว้นคนที่มีแววชัดเจนจริงๆ ผมจะยินดีช่วยดูแลจนถึงส่งไปเกาหลีเลยครับ”

แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

เด็กที่เข้าข่ายมีแววต้องเป็นอย่างไรคะ

“แน่นอนว่าเราต้องเล็งเห็นแล้วว่าโตขึ้นรูปร่างหน้าตาดี ต่อมาคือแอตติจูดดี ถ้าไปทำงานที่โน่นจะมีวินัย ไม่ดื้อ รับผิดชอบ แล้วก็ไม่มีแววส่อจะเสียคน ที่สำคัญมากคือทักษะต้องดี ชนิดที่ส่งไปแล้วไม่อายในนามคนไทย ผมอยากให้ภาพของเด็กไทยมีคุณภาพครบถ้วน

“อีกเรื่องที่ประกอบการพิจารณาคือการซัพพอร์ตของทางบ้านว่ามีงบประมาณในการดูแลน้อง เมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า กับแอตติจูดของพ่อแม่ก็ต้องดีด้วยครับ ถ้าเจอที่มีปัญหา เช่น ความคิดเห็นขัดแย้งกับแนวทางของค่าย คงขอไม่ช่วย เพราะสุดท้ายจะมีปัญหาอยู่ดี คือมีรายละเอียด ที่ต้องเช็กกันเยอะพอสมควร”

มีตัวอย่างเด็กๆ ที่ส่งไปไหมคะ

“ในปี 2018 มีเด็กไทยจากทางผมได้ไปเป็นเด็กฝึกที่ SM Entertainment 5 คนครับ ล่าสุดผมช่วยดูสัญญาของน้องที่จะไปฝึกที่ YG Entertainment 2 คน รวมถึงดูแลน้องนักแสดงคนหนึ่ง ก่อนจะได้ไปฝึกที่ SM Entertainment ด้วยครับ (ยิ้ม)

“นอกจากช่วยสนับสนุนส่งเด็กไป เวลาค่ายเกาหลีเข้ามาในไทย ผมจะคอยช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ คอยดูแลงานให้ เหมือนเป็น Artist Management ให้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้บอกใครครับ”

เล่าหน่อยสิคะ

“งานที่ทำให้เริ่มมีชื่อเสียงเลยคือเอ็มวีของพี่เต๋า – เศรษฐพงศ์ เพียงพอ (TAO STP) เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ทำเอ็มวี พอเริ่มต้นจากงานนั้นก็ได้ร่วมงานกับศิลปินอีกหลายคนเลย ตอนนี้ ที่พิเศษสำหรับผมคือได้ร่วมงานกับพี่กอล์ฟ F.HERO ครับ เรามี โปรเจ็กต์ร่วมกันเยอะเลย ล่าสุดผมได้ลองทำลูกทุ่งประยุกต์ด้วยนะ ได้ร่วมงานกับพี่ก๊อต – จักรพรรณ์ อาบครบุรี ถือว่าแปลกใหม่มากเลยสำหรับผม” (ยิ้ม)

แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

ขอย้อนกลับไปสมัยเด็ก แบงค์ชอบเต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

“ที่จริงต้องบอกว่าผมหาตัวเองไม่เจอนะครับ ไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ดีเป็นพิเศษ จึงลองมาหลายอย่าง แรกสุดช่วงอายุ 14 ปี เคยเป็นนักแข่งเกม ตอนนั้นยังไม่มีการสตรีม ต้องแข่งตาม Program Tournament มีโอกาสไปแข่งที่เกาหลีใต้ ผมเป็นผู้ชนะ ที่อายุน้อยที่สุด ได้เงินกลับมาเก็บไว้เป็นทุนประมาณ 3 แสนบาท“สมัยเด็กการเงินของที่บ้านไม่ค่อยดีครับ พอคุณพ่อเสีย เหลือคุณแม่คนเดียว คุณแม่ก็เหนื่อยมากพอสมควรเพราะ เรามีสมาชิกเยอะ ผมมีพี่น้อง 4 คน มีพี่เบียร์เป็นพี่โตสุด ผม เป็นคนที่สอง ตามมาด้วยแบมแบม และเบบี้เป็นน้องสาว คนเล็กสุด

“ผมจึงพยายามส่งตัวเองเรียนตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย ไป เป็นเด็กฝึกงานของ GDH ทำพร็อปส์ ทำวิจัย Focus Group ตอนหลังเมื่อต้องย้ายไปอยู่ฝ่ายอีเว้นต์ ซึ่งผมไม่ชอบ จึงออกมาลองทำร้านตัดผมกับคุณน้า ก็ยังไม่ชอบ เลยเปลี่ยนมาใช้ความถนัด ว่ายน้ำไปเทรนกับหน่วยกู้ภัยทางน้ำจนจบหลักสูตร จากนั้นเพื่อน ชวนไปเป็นนักกีฬาบีบีกัน แต่ความที่รายจ่ายสูง เพราะอุปกรณ์ แพง แต่เสียง่าย สวนทางกับรายได้หรือเงินรางวัลจากการแข่งขัน จึงต้องเลิก

“แต่อย่างน้อยหลังจากที่ลองทำมาหลายอย่าง ก็ทำให้ผม รู้ตัวเองว่าคงทำงานกับระบบบริษัทหรือองค์กรไม่ได้ ผมชอบทำ เกี่ยวกับเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ครีเอทีฟ คงดีกว่าถ้าได้ออกแบบระบบการทำงานด้วยตัวเอง”

การเลือกงานด้านนี้ได้รับอิทธิพลจากน้องไหมคะ

(ส่ายหน้า) “ไม่เลยครับ สมัยวัยรุ่นไลฟ์สไตล์ผมกับแบม รวมถึงพี่น้องคนอื่นๆ ต่างกันสุดขั้ว ทุกคนเรียนเต้นกันตาม แนวทางที่ทางบ้านวางไว้ให้ มีแค่ผมที่เป็นลูกโดดแยกออกมา ทำนู่นนี่คนเดียว แต่ช่วงก่อนเรียนจบ ม.ปลายที่โรงเรียน สตรีวิทยา 2 ผมทำชมรมเต้นกับเพื่อนที่ตอนนี้มาเป็นครูสอน เต้นอยู่ด้วยกัน ทำให้พอจะรู้ว่าด้านเต้นเราก็โอเค

“สมัยเรียนพอโรงเรียนเลิกประมาณบ่าย 2 ผมก็ใช้เวลาว่าง ทั้งหมดกับการทำกิจกรรมข้างนอก พอถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ใช้เวลาเรียนแค่ประมาณ 1 ปี 8 เดือนเอง เนื่องจากที่ราชภัฏ- สวนสุนันทามีโปรแกรมภาค VIP ไม่ใช่ภาคเช้าหรือภาคค่ำ เป็น ภาคตรงกลางที่จะลงหน่วยกิตเท่าไรก็ได้ คนอื่นเขาเรียนกัน 4 – 5 วิชา แต่ผมลงเทอมละ 14 วิชา ไม่เกิน 2 ปีก็จบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 คณะวิทยาการจัดการ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ เอกการโฆษณา”

แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

ที่รีบเรียนให้จบเพราะอะไรคะ

“คือผมไม่ชอบเรียนครับ (หัวเราะ) ตอนจบ ม.6 เคยขอ คุณแม่ว่าผมไม่เรียนต่อแล้วได้ไหม เพราะผมรู้แล้วว่าชีวิตตัวเอง ค่อนข้างไม่สนุกกับการศึกษา แต่ท่านไม่เห็นด้วย จึงบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร กลั้นใจแป๊บหนึ่ง เรียนไปทำงานไป พออาจารย์ทราบว่า ผมทำงานเยอะ ก็ช่วยอนุโลมให้หลายอย่าง เปิดเทอมผมส่งใบลา ล่วงหน้าเป็นปึก ท่านก็อนุญาตให้ลาได้ แล้วมาแค่วันสอบพอ”

ตอนนั้นชัดเจนหรือยังคะว่าจะมุ่งมาทางนี้

“ครับ แต่เป็นรูปเป็นร่างจริงๆ คือปี 2014 ที่เป็นครูสอนเต้นเต็มตัว แล้วได้รับการทาบทามให้ไปแข่งเต้นที่อเมริกา ซึ่งทำให้ผมรู้ชัดเจนว่าไม่ชอบขึ้นเวที ไม่ชอบซ้อม ไม่ชอบเปลี่ยนชุด ไม่ชอบอยู่หน้ากล้อง แต่ชอบคิดท่าทางการเต้นกับงานเบื้องหลัง คือพอเราอยู่ข้างล่างแล้วได้เห็นอีกมุมที่แตกต่าง โดยเฉพาะ รีแอ๊คของคนดู ผมรู้สึกว่างานนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ตอบโจทย์ ตัวเองมากๆ มีแค่ปี 2018 ที่ยอมขึ้นเวทีเพราะแบมแบมขอ”

คือยอมให้แบมแบมคนเดียว

“ใช่ครับ ตอนนั้นคุยกันว่าเราน่าจะได้ขึ้นเวทีด้วยกันสักครั้ง” (หัวเราะ)

สมัยเด็กสนิทกันไหมคะ

“ไม่ค่อยครับ อย่างที่บอกว่าพี่น้อง 3 คนจะไปทางเดียวกัน แต่ผมแยกออกมา พอโตขึ้นพี่เบียร์กับเบบี้จะสนิทกัน แบงค์สนิทกับแบม เพราะตอนหลังไลฟ์สไตล์เราใกล้กันที่สุด คุยกันรู้เรื่อง ผมทำเบื้องหลัง เขาทำเบื้องหน้า

“นอกจากความชอบเรื่องเพลง เรื่องแฟชั่นการแต่งตัวก็จะคล้ายๆ กัน อย่างรองเท้า Gucci คู่นี้ก็ซื้อคู่กับแบมแบม บางทีแบมแบมก็ชวนซื้อสูทของ YSL คู่กัน อะไรอย่างนี้ครับ”

ถ้าพูดถึงความเหมือนกับความต่างของพี่น้องคู่นี้ล่ะคะ

“สิ่งที่เหมือนกันคงเป็นเรื่องสไตล์ในการทำงานครับ เราทั้งคู่จะละเอียดมากๆ เหมือนกัน ชอบทำเกินหน้าที่ตัวเองกัน อย่างแบมแบมเวลาทำงานจะเป๊ะและเข้มงวดมากๆ เช่น เขาขอดู ทุกกระบวนการทำงานทั้งหมด ขอเช็กแดนเซอร์เอง ขอคุยงานเองหมดเลย หรือเวลาซ้อมโชว์ เสร็จ แบมแบมควรกลับไปนอนพัก แต่เขากลับมาขอยืนดูแดนเซอร์ซ้อมต่อ ไม่ปล่อยให้หลุด สักสเต็ปเลย ผมก็จะเป็นคล้ายๆ กันครับ บางงานคอนเสิร์ตผมดูแลแค่การแสดง พอเห็นซีจี ไม่สวย แสงไฟไม่ดี ผมลุยไปทำเองหมดเลย ทุกวันนี้งานเยอะเพราะขอรีเช็กเองทุกอย่าง เหมือนเราทั้งคู่ติดอยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด หลังๆ ทำงานด้วยกันก็รีเช็กกันเองแบบละเอียดยิบ เลยครับ”

แบงค์กับแบมแบม ใครเป๊ะกว่ากัน

“พอๆ กันครับ ถ้าผมจะต้องส่งเมลคุยกับค่าย แบมจะขอดูเมลนั้นด้วยว่า มีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันผมก็ถามเขากลับว่าไปคุยอะไรกับใครมาบ้าง ส่งให้ผมด้วย แล้วพอจบงานปุ๊บก็คุยเล่นได้ทันที แบมจะชวนพี่แบงค์เล่นเกมนี้กัน หรือเมื่อไหร่ พี่แบงค์จะมาเกาหลี พี่แบงค์เห็นรองเท้าอันนี้ยัง ฯลฯ ไลน์คุยกันทุกเรื่องทุกวันครับ”

เรื่องความต่างล่ะคะ

“รายละเอียดบางอย่างครับ เช่น แบมจะพยายามหาช่วงเวลาให้คนรอบข้าง บ้างในเวลาที่ยุ่ง แต่ผมจะแยกชัดเลยว่าอันนี้ให้งานนะ อันนี้ให้คนรอบตัวนะ กับแบมแบมจะเนี้ยบทุกสเต็ปครับ แต่งตัวดูดีทั้งวัน ในขณะที่ผมจะเป็นสายชิลจัด บางวันก็ใส่เสื้อยืด ขาสั้น รองเท้าแตะไปนั่งทำงานที่สตูดิโอ บางวันก็ขี้เกียจ เซตผมไปเจอลูกค้าครับ” (หัวเราะ)

แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล

เล่าถึงมุมพี่น้องที่นอกเหนือจากเรื่องงานบ้างนะคะ

“อันนี้มีหลายเรื่องเลยครับ เราจะชอบเรื่องกินของแปลกกับชอบเล่นเกม เหมือนกัน มีวันหนึ่งแบมโทร.หาผม บอกว่าอยากเล่นเกมหนึ่งที่ต้องเล่นพร้อมกัน ทีละ 10 คน ตอนนี้แบมมีอยู่ 4 คน ไปหาเพิ่มอีก 6 คนให้หน่อยได้ไหม ผมก็แบบ เอาละสิ ก็เลยไล่โทร.หาทีมแดนเซอร์ให้โหลดเกมมานั่งเล่นกับแบม บางเกมเรา เล่นด้วยกันมานานมากจนทางเกมเขาส่งของมาให้ (หัวเราะ) บางครั้งผมลงอาหาร แปลกๆ เช่น ตอนนั้นลงว่ากินแมงมัน แบมก็โทร.มาบอกว่าส่งมาให้กินบ้างดิ”

จัดว่าเป็นพี่ชายใจดีนะคะ

“ครับ แต่บางทีก็ไม่ไหว ครั้งหนึ่งแบมอยากได้น้ำหอมสำหรับใช้ในห้อง แบบที่เป็นก้านปักๆ น่ะครับ เน้นมาว่าขอเยอะๆ หน่อย เพราะที่เกาหลีไม่มีขาย ผมก็ซื้อให้กล่องใหญ่เลยนะ แต่ปรากฏว่าวันนั้นแดนเซอร์ผมถือน้ำหอมบ้านมาคนละกล่อง คือน้องผมไลน์หาทุกคนเลยน่ะว่าอยากได้ ฝากซื้อหน่อย แต่เราไม่ควรซื้อน้ำหอมห้องพร้อมกันขนาดนั้นไหมอะครับ”

แบมแบมในสายตาของพี่แบงค์เป็นอย่างไรคะ

“น้องชายผมเก่งครับ เขาพยายามดีมาก แม้เวลาออกหน้างานอาจจะมีมุมแบ๊ว มุมงงบ้าง แต่เบื้องหลังเขาฉลาดมาก วางแผนไกล เราเคยนั่งคุยตั้งแต่เด็กว่าอีก 3 ปี 5 ปี 10 ปี เราจะเป็นยังไง คือเป็นสายวางแผนทั้งคู่ครับ จนถึงตอนนี้เราก็ยัง คุยกันแบบนั้นว่าผมจะใช้เวลาอีก 2 ปีหรือ 3 ปีในการก้าวไปเป็นเบอร์ 1 ของไทย เรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ ผมอาจจะเป็นประตูให้คนไทยไปเกาหลี ส่วนแบมจะเป็นคนไทย ในแนวระดับโลกภายในกี่ปี ซึ่งผมก็เห็นว่าแบมทำตามสเต็ปของเขาได้จริงๆ

“ส่วนผมจากนี้ตั้งใจอยากเป็นเอเจนซี่ที่สร้างมิติใหม่ของการทำงานให้ศิลปิน ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่ผ่านมาเอเจนซี่ในไทยหรือค่ายต่างๆ ชอบคุยตกลง งานกันเองแล้วบอกให้ศิลปินทำตาม ซึ่งหลายครั้งที่ผมคุยกับศิลปิน แต่ละคนก็มี มุมที่อยากทำอะไรในแบบของเขาด้วย แต่มักไม่มีสิทธิ์ร่วมแชร์ ผมอยากทำให้ เหมือนที่ทำงานกับแบม คือน้องควรมีสิทธิ์ที่จะได้ดูกระบวนการทำงานของตัวเอง ซึ่งล่าสุดผมก็ทำกับมินนี่ (G)I-DLE แบบนี้ ซึ่งเขาก็แฮ็ปปี้ ดีใจมาก พี่แบงค์ หนู อยากได้แบบนี้ๆ ผมก็จัดให้ แล้วงานออกมาทุกคนก็จะแฮ็ปปี้ รวมถึงผมอยากเป็น เอเจนซี่ที่ปิดยอดราคาสูงสุดให้ศิลปินได้ และเป็นเอเจนซี่ที่ดูแลแบบโกลบอลได้”

เป้าหมายปี 2022 นี้เป็นยังไงคะ

“เป้าหมายผมมีเยอะเลยครับ (ยิ้ม) แรกสุดเลย ผมเป็นคนทำงานหนักมากๆ มาหลายปี ไม่ได้ใช้เวลากับชีวิตเท่าไหร่เลย ตั้งใจว่าปีนี้จะพยายามจัดสรรอะไรหลายอย่างให้ลงตัวมากยิ่งขึ้นและไปใช้ชีวิตบ้าง นัดเพื่อนๆ กินข้าว พาแฟนไปเที่ยว หรือหาเวลาให้ครอบครัวบ้าง เพราะที่ผ่านมาไปทุ่มให้กับคำว่างานหมดเลยครับ

“แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งงานนะครับ (หัวเราะ) ยังไงก็ยังอยากพัฒนา ทีมเต้นของตัวเองให้ไปในระดับสากล ทั้งทีมออกแบบท่าเต้น แดนเซอร์ หรือทีม สอนเต้น เวลาไปรับงานต่างชาติที่ไหนเขาจะได้เห็นว่าเรามีคุณภาพ ไม่น้อยหน้า ที่อื่นเขา ผมบอกลูกทีมเสมอว่าเราจะก้าวขึ้นทุกวัน และในแต่ละปีเราจะต้องมีการ เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสมอ

“นอกจากทีมเพอร์ฟอร์แมนซ์แล้ว ปีนี้ผมตั้งใจจะทำสอนเต้นแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศต่อ เพราะหยุดไปประมาณ 2 ปีเนื่องจากโควิด ผมอยากให้การกลับไปของ B House Studio ทำให้คนต่างชาติประทับใจว่าเราพัฒนาขึ้นมาเยอะมาก อยากแชร์อะไรหลายๆ อย่างให้ทุกคนได้เห็นครับ

“และในปี 2022 ผมกับทีมตั้งใจว่าจะทำจิตอาสาบ้าง เราอยากเปิดโอกาสให้น้องๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงการเต้นมากขึ้น ต้องขอขอบคุณทาง Central ที่สนับสนุนโครงการในครั้งนี้มากๆ ทำให้เราได้เดินหน้าโปรเจ็กต์นี้ในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย ผมอยากให้น้องๆ ที่รักและมีความตั้งใจได้มีโอกาสทำในสิ่งที่เขาอยากทำโดยไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว

“ส่วนด้านเอเจนซี่ผมก็จะพัฒนาต่อไปครับ ผมดีใจที่ประเทศไทยและเกาหลี ได้ร่วมงานกัน ผมอยากเป็นประตูอีกบานหนึ่งระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ พร้อมจะ สนับสนุนทุกฝ่าย ลดช่องว่าง ลดจุดบอดในการทำงานแบบเดิมๆ ที่มีมานาน ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนด้วยครับ” (ยิ้ม)


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 978

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ถอดบทเรียนวิธีคิดผิดๆ จนทำให้เผชิญวิกฤต โรคแพนิค

เป้าหมายชีวิตปี 2022 ของ “เป๊ก-ผลิตโชค” เตรียมรัวผลงานใหม่ และทำงานเพื่อสังคม

สมศักดิ์ศรีกูรูการเงินตัวพ่อ “ฟลุค-เกริกพล” วางแผนการเงินสุดเป๊ะให้ลูกสาวตัวน้อย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up