"ตู่-ปิยวดี" เล่าละเอียดยิบ! อยากมีลูกมากเป็นเหตุ แพ้ยา ทำให้เผชิญโรคหินปูนหลุด
หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

“ตู่-ปิยวดี” เล่าละเอียดยิบ! อยากมีลูกมากเป็นเหตุ แพ้ยา ทำให้เผชิญโรคหินปูนหลุด

Alternative Textaccount_circle
หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี
หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

ด้วยความตั้งใจอยากมีลูก คุณตู่-ปิยวดี มาลีนนท์ ทวีผล ผู้จัดละครคนเก่งของช่อง 3 หนึ่งในทายาทตระกูลมาลีนนท์ จึงพยายามดูแลสุขภาพตัวเองทุกทาง เพื่อให้ร่างกายพร้อมเป็นคุณแม่ที่สุด แต่แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับโรคหินปูนหลุด

“ตู่-ปิยวดี” เล่าละเอียดยิบ! อยากมีลูกมากเป็นเหตุ แพ้ยา ทำให้เผชิญโรคหินปูนหลุด

จุดเกิดเหตุ

“เริ่มต้นจากอยากมีลูก จึงปรึกษาสามี (คุณมาวิน) ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร กินอะไรบ้างเพื่อบำรุงร่างกาย รวมถึงมีหลายคนที่เห็นเราแต่งงานมาจะครบปีแล้วยังไม่มี ลูก ช่วยแนะนำให้กินนั่นนี่ ซึ่งพื้นฐานทั่วไปก็มีแคลเซียม โฟลิก วิตามินซี และอีกชนิดคือ ‘CoQ10’ ที่ว่ากินแล้วจะทำให้เลือดไปเลี้ยงมดลูก เป็นตัวช่วยบำรุงไข่ดีที่สุด กินเช้าและเย็นรวมกันให้ได้วันละ 460 มิลลิกรัม

“ที่จริงวดีรู้อยู่แล้วว่าตัวเองแพ้โคคิวเท็น เพราะเคยกินคอลลาเจนผสมโคคิวเท็นแค่ 10 มิลลิกรัม ปรากฏว่ามีผื่นขึ้น พอจะกินจริงจังก็คิดว่าร่างกายจะรับได้หรือเปล่า แต่ด้วยความอยากมีลูกจึงลองกินดู คิดว่าอาจมีผื่นเพิ่มขึ้น แต่ถ้าช่วยให้ไข่แข็งแรงก็โอเค

“เริ่มจากกินแคปซูลแรกตอนกลางคืนขนาด 230 กรัม ตื่นเช้ามารู้สึกว่าหน้าบวม จึงกินยาแก้แพ้ จากนั้นกินโคคิวเท็นอีกแคปซูล อาการยังเป็นปกติ จึงออกจากบ้านไปทำสว็อบเทสต์ เพื่อส่งผลให้เขตที่กองละครจะไปถ่ายทำวันรุ่งขึ้น

“จากนั้นวดีกับสามีตั้งใจไปถ่ายรีวิวร้านก๋วยเตี๋ยว ระหว่างทางรู้สึกเพลียจึงหลับไปในรถ พอถึงร้านเริ่มมีอาการมึนหัว พอดีร้านที่เราไปมีคนต่อคิวรอเยอะ ซึ่งเราเองก็ต้องเข้าคิวเหมือนกัน ระหว่างรอรู้สึกหายใจไม่สะดวก เข้าใจเองว่าเพราะอากาศร้อนกับใส่หน้ากากอนามัย คิดว่าอีกนิดเดียวจะถึงคิวแล้ว ไม่เป็นไรหรอก

“พอถึงคิวเราเริ่มถ่ายวิดีโอ จู่ๆ มีอาการตาพร่า เห็นภาพซ้อน ยืนไม่อยู่ จึงยื่นโทรศัพท์มือถือให้สามีถ่ายคลิปต่อ เพื่อเราจะได้เดินไปหาที่นั่งในร้าน ปรากฏว่าไปได้ไม่กี่ก้าว เห็นเสาในร้านก็เข้าไปเกาะไว้ก่อน มองเห็นว่าอีกแค่สองก้าวจะเดินถึงโต๊ะแล้ว หลังจากนั้นก็วูบไปเลย สามีเล่าให้ฟังทีหลังว่าสภาพเราตอนนั้นคือเดินไปถึงเก้าอี้แล้วล้มฟาดลงไปที่โต๊ะ ก่อนจะหงายหลังลงมาที่พื้น ข้าวของแตกกระจาย โชคดีที่ไม่โดนแก้วใส่เครื่องปรุงบาด

“สามีรีบเข้ามาพยุง ถอดหน้ากากออก เขาบอกว่าตอนนั้นวดีหายใจแผ่วมาก คนในร้านก็ช่วยกันยื่นยาดมให้ บีบนวดมือและขา เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้เร็วและ คล่องขึ้น ก่อนจะช่วยอุ้มมาที่รถ ซึ่งเราเริ่มมีสติบ้าง ได้ยินเสียงพูดว่าให้รีบพาส่งโรงพยาบาล ช่วงที่คนขับเลี้ยวรถยูเทิร์นเพื่อไปโรงพยาบาล รู้สึกเหมือนตัวเองหมุนคล้ายนั่งรถไฟเหาะ ทั้งที่ไม่ได้มีอาการปวดหัวหรือมีเลือดออกที่หัว

“มาถึงโรงพยาบาล คุณหมอวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพราะอาการเป็นลมสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจ ปรากฏว่าหัวใจปกติดี จึงถามคุณหมอว่าที่มีอาการแบบนี้เกิดจากการแพ้โคคิวเท็นหรือเปล่า เพราะตอนมาถึงโรงพยาบาลเห็นผื่นลักษณะคล้ายสิวผดเม็ดเล็กๆ แดงๆ ขึ้นที่หน้าและคอเต็มไปหมด จึงได้รู้จากคุณหมอว่าเวลากินโคคิวเท็นเข้าไปจะทำให้เลือดใสขึ้น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนง่าย สามารถไปเลี้ยงมดลูกได้มากขึ้น แต่วดีมีอาการความดันต่ำอยู่แล้ว จึงยิ่งทำให้ความดันต่ำลงไปอีก สุดท้ายร่างกายชัตดาวน์จนหมดสติ คุณหมอบอกว่าอาการเราหนักมาก ถึงขนาดที่อาจตายได้เลยทีเดียว”

หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

เมื่อหินปูนหลุด

“สิ่งที่ตามมาจากการล้มหัวฟาดคือรู้สึกเหมือนบ้านหมุน ขนาดตอนอยู่บนเตียงที่พยาบาลเข็นก็รู้สึกเหมือนเตียงหมุน ซึ่งจากการตรวจเบื้องต้นไม่มีอาการบ่งชี้ว่ามีเลือดออกในสมอง ปฏิกิริยาตอบสนองก็ปกติ ทำให้ต้องพบคุณหมอด้านประสาทวิทยา จึงรู้ว่าการที่หัวฟาดพื้นทำให้แคลเซียมหรือหินปูนในหูหลุดกระจายเป็นฝุ่น ความดันในหูจึงไม่สมดุล เกิดอาการบ้านหมุน การรักษาทำได้แค่กินยาลดอาการมึน ส่วนการทำให้แคลเซียมกลับเข้าที่ต้องทำกายภาพเท่านั้น ซึ่งต้องใช้เวลา บางคนสามเดือน บางคนเป็นปี สำหรับวดีตรวจติดตามกับคุณหมอทุกสัปดาห์ เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นไหม

“ระหว่างรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล คุณหมอให้ทำกายภาพ โดยให้เอียงศีรษะไปทางซ้ายและขวาสลับไปมา ตอนเอียงซ้ายทีแรกรู้สึกบ้านหมุนหนักมาก คุณหมอก็จะ ให้ค้างอยู่ท่านั้นจนรู้สึกนิ่งแล้วค่อยเปลี่ยนท่า ต้องทำอย่างนี้ทุกวัน จนเข้าวันที่ 6 อาการเริ่มนิ่ง คุณหมอจึงให้กลับไปทำท่ากายภาพต่อที่บ้าน ซึ่งเวลาเกิดอาการบ้านหมุนมากๆ บางครั้งต้องให้สามีช่วย เพราะทรงตัวไม่ได้ และมีอาการอาเจียนตลอด”

หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

วิถีชีวิตเปลี่ยน

“ช่วงแรกที่กลับมาอยู่บ้าน เวลาจะนอนต้องใช้วิธีกึ่งนั่งกึ่งนอน นอนราบปกติไม่ได้ เพราะพอเอียงหัวจะรู้สึกมึนทันที คุณหมออธิบายว่าเหมือนหินปูนอยู่ในถ้วย พอเรานอนราบ ถ้วยเอียง หินปูนก็พร้อมจะหลุดออกมา ต้องเปลี่ยนมานอนหมอนสูงสามชั้น เพื่อลดอัตราที่หินปูนจะหลุด ระหว่างนั้นทำได้เพียงกินยาแก้อาการมึน ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ กลายเป็นว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่เป็นเดือน จนถึงกับร้องไห้กับสามีว่าทำไมชีวิตยากขนาดนี้ แค่จะนอนยังยาก ทั้งนอนราบและนอนตะแคงไม่ได้ นั่งรถก็รู้สึกว่าลำบากเหลือเกิน เหมือนชีวิตเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันที แค่จะนั่งรถไปโรงพยาบาลใกล้บ้านต้องเตรียมโน่นนี่มากมาย ใช้หมอนหนุนหลังเพื่อให้นั่งตัวตรง ไม่ให้หัวเอียง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกบ้านหมุน เวลานั่งรถเล่นโทรศัพท์มือถือไม่ได้ เพราะทำให้ต้องก้มคอ จะนอนสระผมตามร้านก็ไม่ได้ ต้องยืนสระผม ตั้งหัวตรงๆ ห้ามก้ม ห้ามเงย ล้างหน้าก็ต้องยืนตัวตรง วักน้ำขึ้นมาล้าง เรียกว่าเป็นช่วงที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงกะทันหันจริงๆ

“ทำกายภาพได้สองเดือนอาการเริ่มดีขึ้น สามารถนอนราบได้ แต่ต้องใช้หมอนสูง เริ่มนอนตะแคงได้บ้าง ก้มล้างหน้าได้ แต่ต้องมีจังหวะองศาที่พอเหมาะ จึงจะไม่รู้สึกมึน ซึ่งเรารู้ตัวว่าอาการเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่เต็มร้อย เวลาก้มๆ เงยๆ ยังมีอาการวูบ เดินทางด้วยเครื่องบินไม่ได้ เพราะจะทำให้ความดันในหูเปลี่ยน เสี่ยงต่อการเกิดบ้านหมุน คุณหมอบอกว่าบางคนมีอาการแบบนี้เป็นปี ขึ้นอยู่กับว่าหินปูนจะกลับเข้าที่ได้หมดเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นกลไกทางธรรมชาติของร่างกายที่จะปรับตัวให้เข้าที่”

หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

ฝังเข็มช่วยได้

“ที่สุดวดีตัดสินใจลองไปหาหมอทางเลือก เป็นแพทย์แผนจีนที่ชำนาญเรื่องการฝังเข็ม เพื่อให้ช่วยปรับความดันในหู ซึ่งเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ โดยหมอฝังเข็มที่ใบหูด้านหน้าข้างละสามเข็ม พร้อมกับให้ฝังเข็มช่วยเรื่องการนอนด้วย เพราะที่ผ่านมาเรานอนไม่สบาย ตื่นทุกสองชั่วโมง รู้สึกนอนไม่อิ่ม อดนอนมาตลอด หมอจึงฝังเข็มที่หัวอีก รวมเป็นสิบเข็ม

“หลังจากฝังเข็มครั้งแรก 2-3 วัน คุณหมอให้มาฝังเข็มใหม่ เพื่อปรับความดันในหูไปเรื่อยๆ พอฝังเข็มครั้งที่สามอาการดีขึ้นเร็วมาก สามารถลดการกินยาแก้มึน จึงเน้นการฝังเข็มเป็นหลัก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนปัจจุบันเรียกว่าอาการดีขึ้นมากๆ

“ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน อาการที่วดีเป็นแก้ไขได้ด้วยการทำกายภาพเท่านั้น ซึ่งการเอียงองศาของตัวเราไปในมุมต่างๆ ทั้งมุมหงาย เอียงซ้าย เอียงขวา เพื่อเช็กว่ายังมีอาการบ้านหมุนไหม ถ้ายังมีอาการอยู่แสดงว่าหินปูนยังกลับเข้าที่ไม่หมด

“ดังนั้นท่าทางต่างๆ ในการทำกายภาพจึงเป็นตัวบอกว่าหายหรือดีขึ้นแค่ไหน ในองศาอะไรบ้าง เพราะเป็นกลไกของร่างกายที่ต้องรอให้กลับเข้าที่เอง ถ้าอาการดีขึ้น ความรู้สึกตอนแรกที่เหมือนเล่นถ้วยหมุนจะค่อยๆ รู้สึกเหมือนเรือโคลง จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นเหมือนเรือเริ่มนิ่งขึ้น แล้วก็จะดีขึ้นจนเหมือนเราเมาบก ถ้ามีอาการมึนก็กินยาช่วย อย่างที่บอกว่าทุกเคสที่มีอาการหินปูนหลุด ต้องรักษาด้วยวิธีนี้ทั้งหมด เพื่อรอให้ร่างกายจัดการตัวเองต่อไป ส่วนจะใช้เวลาขนาดไหน คุณหมอบอกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน”

หินปูนหลุด ตู่ ปิยวดี

ข้อเตือนใจว่าที่คุณแม่

“ส่วนเรื่องการวางแผนมีลูกของวดีคงต้องรอก่อน ตอนนี้รักษาอาการบ้านหมุนให้หายสนิทก่อน คุยกับสามีไว้ว่าถ้าจะมีน้องอาจต้องพึ่งทางวิทยาศาสตร์ เพราะเราอายุมากแล้ว ห่วงเรื่องโครโมโซมเป็นสำคัญ เน้นเรื่องความสมบูรณ์ของเด็กเป็นหลัก ซึ่งคุณหมอแนะนำว่าการเตรียมตัวเป็นคุณแม่ไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริม หรือยาอะไรมากมาย เน้นแค่โฟลิก แคลเซียม และวิตามินซี ซึ่งเรากินอยู่แล้ว อย่างกรณีของวดี คุณหมอถามถึงไลฟ์สไตล์ที่ต้องทำงานกองถ่าย บางวันอาจต้องนอนดึกบ้าง ก็แนะนำให้นอนเร็วขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรนอนตั้งแต่สามทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งดีที่สุด ไม่ควรนอนเกินห้าทุ่ม และต้องออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อให้หัวใจแข็งแรง สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นอาการแพ้ยารุนแรงที่สุดที่เคยเจอมา บางทีการที่เราได้ยินโปรโมตอาหารเสริมและยาบำรุงต่างๆ จนทำให้เราเห็นว่าเป็นแค่อาหารเสริม ไม่น่าจะมีผลอะไรรุนแรง แต่ถ้าต้องกินปริมาณมากๆ หรือรู้อยู่แล้วว่าแพ้ ต้องอย่าชะล่าใจ เพราะถ้าเคยมีอาการแพ้แล้ว ย่อมมีโอกาสแพ้ได้อีกแน่นอน แค่อาการจะมากหรือน้อยเท่านั้น ดีที่สุดคือถ้าแพ้อะไรควรหลีกเลี่ยง หรือก่อนคิดจะเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์นะคะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 978

ภาพเพิ่มเติม : @tu_piyawadee

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รู้จัก “โรคเส้นเลือดขอดในสมอง” ผ่านการเฉียดตายของ “คุณกอล์ฟ-ณัฐพล เกษมวิลาศ”

ชีวิตไร้ขา! แบบโนลิมิตของ “กันยา เซสเซอร์” เธอเป็นทั้งนักกีฬา นางแบบ นักแสดง

เปิดเรื่องราว “เพลินพิศ โกแวร์” สู้มะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดคนแรกของไทย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up