มินนี่ ณิชา

เส้นทางสู่ดวงดาวของ “มินนี่ ณิชา” สาวไทยใจสู้แห่งวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี (G)I-DLE

Alternative Textaccount_circle
มินนี่ ณิชา
มินนี่ ณิชา

“มินนี่ ณิชา ยนตรรักษ์” สาวน้อยวัย 23 ปี ที่หลงใหลในเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เธอเริ่มหัดเล่นเปียโนและร้องเพลง เมื่อบวกกับการมี Super Junior เป็นไอดอล ทำให้มินนี่ตกหลุมรักโลกของ K-Pop และมีฝันอยากเป็นนักร้องระดับโลก

มินนี่สานฝันให้ตัวเองด้วยการเข้าไปออดิชั่นกับค่าย Cube Entertainment ของเกาหลีในวัย 17 ปี ก่อนจะยอมทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทย เพื่อไปฝึกเป็นเทรนนีอยู่ 3 ปี จนได้เดบิวต์ในฐานะนักร้องของวง (G)I-DLE (หรือ GIRL-I-DOL) เมื่อปี 2018 มีแฟนๆ ติดตามในยูทูบกว่า 3.12 ล้าน มีเพลงยอดฮิตอย่าง Oh my god ที่มียอดวิวกว่า 146 ล้าน ซึ่งความสามารถของมินนี่ไม่ได้หยุดแค่งานเบื้องหน้า งานเบื้องหลังอย่างการแต่งเพลง เธอก็สามารถ

วันนี้มินนี่ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเป็นนักแสดงจากซีรี่ส์ So Not Worth It ฉายทาง Netflix เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นการการันตีว่าสาวน้อยคนนี้มีความสามารถรอบด้าน ถ้าจะบอกว่าวันนี้ฝันของเธอมาเกินครึ่งทาง (มากๆ) แล้วก็ไม่ผิดนัก

เส้นทางสู่ดวงดาวของ “มินนี่ ณิชา” สาวไทยใจสู้แห่งวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี (G)I-DLE

หนูอยากเป็นนักร้อง

“หนูคลุกคลีกับดนตรีมาตลอด เพราะคุณแม่เล่นเปียโน ทำให้มีโอกาส ได้เรียนร้องเพลงและเล่นเปียโนมาตั้งแต่อนุบาล พอโตขึ้นมาหน่อยก็ได้รู้จักวง Super Junior รู้สึกว่าเขาเท่มาก เก่งทั้งเรื่องร้องเพลงและเล่นเปียโน หนูเคยไปดูคอนเสิร์ต แล้วรู้สึกได้รับพลังงานดี ๆ กลับมาเยอะมาก จึงคิดว่าจะดีสักแค่ไหน ถ้าวันหนึ่ง เราจะได้ยืนบนเวทีมอบความสุขให้คนอื่นเหมือนกับที่เราได้รับ นั่นเป็นจุดที่ทำให้คิด ว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นนักร้องแบบ Super Junior ให้ได้ อยากไปทัวร์คอนเสิร์ต อยากมีแฟนคลับและมีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งตอนที่หนูไปอยู่เกาหลีมีโอกาสเจอวง Super Junior ด้วย พอรู้ว่าหนูเป็นแฟนคลับ เขาก็ดีใจมากที่เราได้มายืนอยู่ ตรงนี้และมีเขาเป็นไอดอล ต้องบอกว่า Super Junior เป็นกำลังใจสำคัญให้หนู สานฝันไปถึงเกาหลี” (ยิ้ม)

มินนี่ ณิชา

สู้เพื่อฝัน…There’s nothing you can’t do

การมาเป็นเทรนนีที่เกาหลี นอกจากต้องผ่านประสบการณ์โฮมซิกคิดถึงบ้าน แล้ว การฝึกเป็นศิลปินของที่นี่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความเนี้ยบและโหดหินพอสมควร

“สมัยเด็กเวลาดูวง Super Junior หรือดาราเกาหลีจะรู้สึกว่าเขาสวยหล่อมาก ร้องและเต้นเพอร์เฟ็กต์ เก่งทุกอย่าง แต่พอเราได้มายืนตรงจุดนี้ จึงรู้ว่ากว่า จะเป็นเอ็มวีที่ฉายเพียง 3 นาทีอย่างที่เห็นนั้น เบื้องหลังต้องใช้ความอดทน ความ พยายาม และใช้เวลามาก กระบวนการทำงานไม่ได้มีแค่ตัวเรา แต่รวมถึงการ ทำงานหนักของทีมงานด้วย

“หลังจากที่ออดิชั่นผ่านและมาเป็นเทรนนีอยู่เกาหลี 3 ปีนั้น ช่วงแรก ยอมรับว่าหนักมาก เพราะทุกอย่างใหม่มาก ทั้งเรื่องภาษาที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ต่อมาคือสิ่งแวดล้อม บรรยากาศทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย แค่เรื่องอากาศก็ ไม่เหมือนบ้านเราแล้ว ที่สำคัญคือเป็นการห่างบ้านครั้งแรกในชีวิต ขนาดตอนนั้น มินนี่อายุ 17 ถือว่าโตระดับหนึ่งแล้วนะ เพราะมีเพื่อนหลายคนที่ไปเป็นเทรนนี ตั้งแต่อายุ 12 – 13 และเราเรียนโรงเรียนประจำมาตลอด คิดว่าเตรียมตัวที่จะ ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาพอสมควร แต่พอต้องไปอยู่เกาหลีเองคนเดียวจริง ๆ ก็คิดถึง บ้าน คิดถึงพ่อแม่และเพื่อน ๆ มาก 3 เดือนแรกร้องไห้ทุกวัน แม้ในแต่ละปีจะมี ช่วงเวลาได้กลับบ้านสั้น ๆ แต่พอต้องกลับไปอยู่เกาหลีทีไรก็จะโฮมซิก ชีวิตวนลูป อยู่อย่างนี้

“หนักที่สุดคือหนูไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะการมาเป็นเทรนนี ไม่มีอะไรมาการันตีว่าจะได้เดบิวต์ออกผลงานจริง ๆ ถ้าไม่ได้ไปต่อก็ต้องกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นหนูทิ้งทุกอย่างในเมืองไทยทั้งหมด ยังเรียนไม่จบ ม.6 ด้วยซ้ำ และ ที่จริงคิดไว้ว่าอยากสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ แต่พอเลือกที่จะคว้าโอกาสตรงนี้ ก็ต้องพับทุกอย่างทิ้งไว้ก่อน

“การเป็นเทรนนีทำให้ต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา เช่น มีเพื่อนที่เข้ามาเป็นเทรนนีพร้อมกัน แต่พอเขาไม่ได้ไปต่อ ช่วงแรกเศร้ามาก คิดถึงเพื่อน เหงา เสียใจ อ่อนแอทุกครั้งที่เพื่อนต้องไป แต่ สุดท้ายก็เรียนรู้ที่จะพาตัวเองออกมาจากความรู้สึกตรงนั้นให้เร็วที่สุด และต้อง ยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะวันหนึ่งอาจจะเป็นเราเองก็ได้ที่ต้องเดินออกมา

“ขณะเดียวกันทักษะการร้องและเต้นก็พัฒนาขึ้นเยอะเลยค่ะ อย่างเรื่องเต้นนี่ ไม่ถนัดที่สุด ช่วงแรกจึงโดนเรียนคลาสเบสิกคนเดียวครั้งละ 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ครูให้ฝึกท่าเบสิก บางทีให้ยืนกางแขนกางขาเฉย ๆ เป็นชั่วโมงเพื่อฝึกบาลานซ์ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเริ่มใหม่และยืนอยู่อย่างนั้น ซึ่งช่วงแรกที่เต้นไม่ได้ หนูร้องไห้ทุกวัน บางครั้งขอครูไปเข้าห้องน้ำเพื่อวิ่งไปแอบร้องไห้แล้วกลับมาใหม่ เพราะไม่อยากอ่อนแอให้ครูเห็น

“แต่ตอนนี้สกิลดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้วค่ะ ก่อนจะเดบิวต์ ทางค่ายให้หนู ดูคลิปตัวเองตอนที่มาออดิชั่น ยังคิดเลยว่า Oh my god! ฉันทำอะไรเนี่ย นี่คือ เต้นเหรอ นึกว่ายืนขยับอะไรสักอย่าง เพราะตอนนั้นเราไม่รู้วิธีการขยับตัวเลย ด้วยซ้ำว่าต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างไรให้ดูไม่แปลก ซึ่งวิธีฝึกภายหลังของหนู คือ ทุกครั้งที่เรียนจะถ่ายคลิปเก็บไว้ แล้วดูว่าต้องปรับปรุงตรงไหน การมอนิเตอร์ ตัวเองบ่อย ๆ สำคัญมาก เพราะจะได้เห็นว่าเราพัฒนาขึ้นไหม เช่นเดียวกับเรื่อง ขี้อาย เมื่อก่อนเขินกล้องมากค่ะ ไม่เป็นตัวเองเลย เหมือนกั๊กไว้ ทุกวันนี้หนูกล้า แสดงออกมากขึ้น เป็นตัวเองมากขึ้น และโชว์ออกมาได้ดีเพราะมั่นใจ อย่างเรื่อง ตื่นเวทีก็ดีขึ้น บอกตัวเองเสมอว่าต้องเต็มที่ จะมัวเขินไม่ได้นะ เพราะแฟน ๆ รอเราอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีเทรนด์เพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ

“สำหรับเรื่องภาษา ช่วงแรกหนูต้องเรียนภาษาเกาหลีจากภาษาอังกฤษอีกที เพราะหาครูไทยที่พูดเกาหลีไม่ได้ การแปลจากอังกฤษเป็นไทยก็ยาก แต่ข้อดีคือ ได้ฝึกสองภาษาพร้อมกัน หนูว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามพูดเยอะ ๆ เพราะตอนแรกขี้อายมาก กลัวพูดผิดจึงไม่พูด จนทางค่ายต่อว่าว่า นี่ยูอยู่มานานเกือบปี แล้วนะ ทำไมพูดไม่ได้อีก จึงต้องพูดให้มากขึ้น พอดีกับที่เริ่มสนิทกับเพื่อนเกาหลี ชวนกันคุย ภาษาก็พัฒนาขึ้น

“กลายเป็นว่าตอนนี้พูดเกาหลีคล่องกว่าภาษาอังกฤษแล้ว พอพูดเกาหลี ได้คล่อง ที่ค่ายก็ให้งดพูดภาษาอังกฤษ เพื่อโฟกัสกับภาษาเกาหลี ยิ่งตอนไปเล่น ซีรี่ส์ (So Not Worth It) เราต้องพูดเก่งมาก ไหนจะเรื่องแอ๊คติ้งอีก ทุกอย่าง มีเรื่องให้ระวังเยอะไปหมด ทั้งสำเนียง การพูดออกเสียงต้องชัด แล้วก็ต้อง แอ๊คติ้งผ่านด้วย บางทีแอ๊คติ้งผ่าน แต่พูดไม่ชัด ก็ต้องเทคใหม่ ซึ่งโดนบ่อย เหมือนกัน แต่โชคดีที่ทุกคนบอกว่าหนูสำเนียงดี พูดเกาหลีได้เหมือนคนเกาหลี เพราะหนูให้ความสำคัญกับเรื่องเสียงมาก หนูหัดฟังและฝึกพูดภาษาเกาหลีตั้งแต่ ยังไม่รู้ความหมายเลย เพื่อเลียนแบบโทนเสียงของเขาให้เหมือนมากที่สุด ซึ่ง ช่วยได้เยอะค่ะ เพราะเวลาอัดเพลงต้องพูดเป๊ะระดับหนึ่งเลย

“อีกอย่างที่ดีขึ้นคือ เมื่อก่อนเวลาเข้าห้องอัดหนูตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคย ทำให้ร้องเพลงออกมาได้ไม่ดีเท่าตอนซ้อม ตอนนี้เริ่มชิน รู้ว่าต้องออกเสียงยังไง หรือเวลาเต้นก็เริ่มรู้มุมแล้วว่าต้องยืนยังไงให้สวย พอเริ่มมีประสบการณ์ก็จะรู้ทริค เพื่อให้ตัวเองออกมาดูดีที่สุด”

มินนี่ ณิชา

ท้อแต่ไม่ถอย

แม้จะเจอกับช่วงเวลาลำบาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้มินนี่ผ่านและเรียนรู้เหตุการณ์ ต่าง ๆ มาได้ก็คือ การสู้ไม่ถอย

“เวลาท้อหนูจะให้กำลังใจตัวเองเสมอ อย่างช่วง ฝึกเต้นหนัก ๆ จะบอกตัวเองว่า ‘ทำให้ได้เถอะ’ แล้วพอเราฝึกไปหนัก ๆ สุดท้าย ก็ทำได้เอง แต่ถ้าถามว่าอยากกลับไปทำอีกไหม ไม่ค่ะ (หัวเราะ) อีกอย่างคือ หนูบอกตัวเองเสมอว่า โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันง่าย ๆ เมื่อมีเข้ามาก็ต้องคว้าไว้ก่อน หนูรู้แค่ว่าเราต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง เราถอยไม่ได้ เพราะการที่เรามาถึงจุดนี้ได้ ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว มีหลายคน ที่อยากมายืนจุดเดียวกับหนู เรามาได้ครึ่งทางของความฝันแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด ในทุก ๆ วัน สุดท้ายไม่ว่าผลจะเป็นยังไง จะได้ไม่ผิดหวัง นอกจากนี้ก็จะคุยกับ เมมเบอร์ในวงซึ่งเป็นเทรนนีด้วยกัน เพราะเจอสถานการณ์แบบเดียวกันจึงเข้าใจกัน หรือบางทีก็โทร.ไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังบ้าง แต่ไม่ได้เล่าหมดทุกอย่าง เพราะ กลัวท่านกังวล”

Music and Lyrics

นอกจากจะเก่งด้านร้องและเต้นแล้ว มินนี่ยังเอาดีด้านงานเบื้องหลังอย่าง การแต่งเพลงที่ออกมาจากอินเนอร์และเรื่องราวของเธอเองด้วย

“หนูชอบฟังเพลง อินง่ายมาก ขณะเดียวกันหนูไม่เขียนไดอะรี่ แต่ใช้เพลงเป็นไดอะรี่ของตัวเอง สมมติว่าชอบเพลงหนึ่งมาก ก็ฟังซ้ำ ๆ จนกว่าจะเบื่อ ถ้าย้อนกลับมาฟังอีกครั้ง จะรู้เลยว่าตอนนั้นคิดอะไร เป็นยังไง เหมือนเป็นไดอะรี่ในหัวที่เรารู้เองคนเดียว จึงรู้สึกอยากทำเพลงที่เป็นไดอะรี่ของเรา ถ่ายทอดชีวิตประจำวันผ่านเนื้อเพลง ให้แฟนคลับได้อ่านไดอะรี่ผ่านรูปแบบของเพลง ให้เขารู้จักเรามากขึ้น เพราะ บางครั้งเราแสดงผ่านคำพูดได้ไม่หมด แต่เสียงเพลงทำให้คนสัมผัสได้

“เวลาเขียนเพลง หนูไม่มีเวลาเฉพาะ อยากเขียนตอนไหนก็ลงมือเลยค่ะ จึงใช้วิธีว่าวันไหนนึกอะไรได้ก็พิมพ์ไว้ในมือถือหรืออัดเสียงไว้ แล้วเปิดอ่าน เปิดฟัง ทีหลัง อันไหนใช้ได้ค่อยดึงออกมา

“ช่วงแรกของการแต่งเพลง หนูเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วค่อยปรับเป็น ภาษาเกาหลี เพราะถ้าให้เขียนเป็นภาษาเกาหลีเลยจะยาก เพราะไม่ใช่ภาษาตัวเอง ช่วงแรกจึงมีเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษเยอะ เคยลองเขียนเป็นภาษาไทยแล้วนะคะ แต่พอแปลเป็นภาษาเกาหลี รูปภาษาไม่ค่อยสวย คำไม่ตรงกัน ช่วงหลังพอคล่อง

ภาษาเกาหลีมากขึ้น ก็คิดเป็นภาษาเกาหลีและเขียนออกมาเลย ถ้อยคำดูเป็นธรรมชาติ กว่าการแปล ทุกวันนี้เวลาจะเขียนเพลง อยากร้องภาษาไหนจะคิดเป็นภาษานั้นเลย

“หนูชอบร้องเพลงที่หนูแต่ง เพราะเวลาเขียนเพลงจะรู้ว่าต้องเลือกใช้คำไหน แล้วร้องออกมาเสียงจะเพราะ เนื่องจากมีสำเนียงบางจุดที่หนูออกเสียงแล้วจะรู้เลย ว่าเป็นหนู เพลงจะยูนีค คนฟังแล้วจำได้ทันทีว่าคือมินนี่

“เพลงที่เป็นตัวเองมากที่สุดคือ Moon อยู่ในอัลบั้มล่าสุด ‘I Burn’ ค่ะ เพลงนี้หนูแต่งเร็วที่สุด คือวันเดียวจบ โดยที่ไม่ต้องพยายามเลย เป็นเพลงที่มี ความเป็นเรา หนูเริ่มจากแต่งไว้เป็นทำนอง จากนั้นเอาไปให้โซยอน ซึ่งเป็นหัวหน้าวง ฟัง เขาชอบมาก อยากลองเขียนเนื้อจากเพลงนี้ เขาก็ถามว่าหนูนึกถึงเรื่องอะไร ก็เล่าไปว่านึกถึงสีดำและพระจันทร์ เขาก็เอาไปเขียนต่อ เป็นเพลงที่เล่าถึงวัน พระจันทร์เต็มดวงที่สว่างมากจนเราอยากหลบตัวเองออกจากทุกอย่าง ไม่อย่างนั้น จะเศร้าเกินไป เพราะรู้สึกว่าพระจันทร์สว่างเกินไป อยากปิดแสงไฟจังเลย เมโลดี้ และการออกเสียงเป็นสไตล์เรามาก ๆ ตอนที่ปล่อยเพลงไป มีฟีดแบ็กจาก แฟนคลับว่าเขายังไม่ได้ดูว่าใครเป็นคนแต่งนะ แต่เขาเดาได้ว่าถ้าทำนองสไตล์นี้ ต้องมินนี่แต่งแน่เลย

“เพลงนี้ฟังแล้วช่วยเยียวยาตัวหนูเองด้วยนะ เพราะช่วงที่ทำเพลงนี้เราไม่ค่อย มั่นใจกับผลงานการเขียนเพลงเท่าไหร่ แต่พอทำเสร็จแล้ว ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น เหมือนว่ามาถูกทางแล้ว ไม่ได้คิดว่าเพลงจะติดหูใครไหม แค่พอใจกับผลงานที่ออกมา และได้ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป แต่เวลาฟังเพลงตัวเองยอมรับว่าเขินนะ ยิ่งตอนที่ เมมเบอร์ทุกคนต้องนั่งฟังเพลงด้วยกัน แล้วเห็นเขาร้องเพลงและชอบผลงานของเรา มาก ก็ทั้งเขินทั้งภูมิใจว่านี่เป็นผลงานของเรา ดีใจมากค่ะ” (ยิ้มกว้าง)

มินนี่ ณิชา

So Not Worth It ซีรี่ส์เรื่องแรกในชีวิตทาง Netflix

เมื่อเล่นซีรี่ส์เรื่องแรกในชีวิต เรื่องแอ๊คติ้ง ดึงอินเนอร์ก็ต้องจัดเต็ม

“เรื่องนี้ เป็นซีรี่ส์ซิตคอมเกี่ยวกับนักศึกษาต่างชาติที่มาอยู่รวมกันที่มหาวิทยาลัยนานาชาติ เกาหลี ทุกคนอยู่หอพักเดียวกัน พอเลิกเรียนก็จะมาคุยกัน เล่นกัน จึงมีเรื่องราว ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เพราะแต่ละคนมาจากหลากหลายวัฒนธรรม ทำให้เห็นว่า แม้จะมีความแตกต่าง แต่สามารถอยู่ด้วยกันได้ โดยมีเรื่องสนุก ๆ ตลก ๆ ที่เรา ไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนอื่นใส่อยู่ในนี้ด้วย

“ตอนที่ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ หนูยังไม่เคยเรียนแอ๊คติ้งมาก่อน พอได้รับ โอกาสจาก Netflix เกาหลี และทางค่ายให้ไปลองออดิชั่น เนื่องจากบทใกล้เคียง กับตัวเองมาก เป็นนักศึกษาจากประเทศไทย ชอบเคป็อป ซึ่งก็คือใช่เลย คือเขา พัฒนาคาแร็คเตอร์จากมินนี่ตัวจริงไปเป็นมินนี่ในเรื่องอีกที กลายเป็นคาแร็คเตอร์ พลังล้นหลาม สดใสมาก ๆ

“มินนี่ที่เป็นตัวละครจะมั่นใจ ไม่ขี้อาย เป็นเด็กเว่อร์ ๆ หน่อย ชอบพูด เสียงสูงตลอดเวลา คิดอะไรพูดอย่างนั้น และมั่นใจว่าฉันสวย ซึ่งตัวจริงคือหนู ค่อนข้างขี้อาย และเวลาอยู่ในกองถ่ายจะเขินกล้อง ก็ต้องทำลายกำแพงความขี้อาย ทิ้งไป และต้องเพิ่มพลังให้ตัวเองเยอะเลยค่ะ ซึ่งการเล่นเป็นอีกคนก็สนุกดี เพราะ คาแร็คเตอร์ในซีรี่ส์ชอบพูดคำสบถ แต่หนูไม่เคยพูดคำสบถเป็นภาษาเกาหลีต่อหน้า กล้องมาก่อนเลยค่ะ มีฉากหนึ่งที่หนูต้องสบถใหญ่มาก แม้จะรู้สึกขัด ๆ แต่พอ ได้ลองเล่นสุดดูก็เป็นความรู้สึกที่แบบ เฮ้ย โล่ง (หัวเราะ) ไม่รู้สึกผิดด้วย เพราะ แสดงอยู่ ถ้าเขาขอมา เราก็จัดไป แล้วความที่เราเป็นต่างชาติ ต้องสบถเป็นภาษา เกาหลี ทีมงานขำกันใหญ่ เขามองว่าเป็นเรื่องตลก

“อีกเรื่องคือการเข้าถึงคาแร็คเตอร์ ช่วงแรกหนูยังติดความเป็นตัวเองไปอยู่ ในกล้อง ผู้กำกับบอกว่าไม่ได้นะ ยูต้องเป็นมินนี่ในเรื่อง ต้องใส่จิตวิญญาณ ใส่อินเนอร์เข้าไปเยอะ ๆ แม้เราจะไม่ใช่คนเล่นใหญ่ ก็ต้องเล่นให้ใหญ่ ซึ่งค่อนข้าง ยาก มีบางซีนที่หนูต้องเล่นคนเดียว แล้วต้องเอาซีนนั้นให้อยู่ ก็ต้องฝึกหนักหน่อย ผ่านการเรียนแอ๊คติ้งกับครู พออ่านเจอบทที่ไม่เข้าใจ เช่น สำนวน เกาหลี ก็ต้องให้ครูบรี๊ฟว่าคืออะไร ต้องแอ๊คติ้งยังไง ช่วงแรกยัง มีเวลาซ้อมกับครู แต่ช่วงหลังหนูไม่มีเวลา ก็ต้องเตรียมเองคนเดียว แต่ก็พอทำได้แล้ว เพราะพอจะรู้จักคาแร็คเตอร์มาบ้างแล้ว

“โชคดีของการได้เล่นซีรี่ส์เรื่องนี้คือ หนูได้ลองทุกอย่าง ตั้งแต่ได้ลองใช้กุญแจมือที่จับคนร้าย อาเจียนในห้องน้ำ หรือ ต้องถ่ายซีนที่ไม่ห่วงสวย บ้า ๆ บอ ๆ แบบจัดเต็ม ก็เป็นเรื่อง ยากนิดนึง ไม่รู้ว่าแฟนคลับจะมองยังไง แต่ ณ จุดนั้นมันเป็น การแสดง เรื่องสนุกคือทำให้เห็นตัวเองอีกมุมที่เราและแฟนคลับ ไม่เคยเห็น ซึ่งทุกคนจะได้เห็นความสนุก ความฮา ความ บ้า ๆ บอ ๆ ดูได้ทุกเพศทุกวัย ดูไปแล้วจะยิ้มตามแน่นอนค่ะ

“ขณะเดียวกันซีรี่ส์เรื่องนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ของหนูเหมือนกัน คือกล้าแสดงออกมาขึ้น จากเดิมที่พอพูดไป เรื่อย ๆ แล้วเสียงจะค่อยเบาลง ๆ ตั้งแต่มาเล่นเรื่องนี้ หนูพูดชัด และรู้เรื่องขึ้นเยอะ อีกอย่างคือการที่จะเป็นมินนี่ในเรื่องนี้ได้ ต้องมีความมั่นใจ ทั้งที่ชีวิตจริงเราไม่มีวันเป็นได้ขนาดนั้น แต่ ในเรื่องต้องทิ้งความขี้อายทุกอย่าง ช่วยทำให้มั่นใจมากขึ้นด้วยค่ะ”

มินนี่ ณิชา

โลกส่วนตัวและตัวตนของมินนี่

แม้ภายนอกเธอจะดูเข้าถึงง่ายมาก ๆ แต่กว่าจะสนิทกับ ใคร เธอบอกว่าต้องใช้เวลา

“เวลาอยู่กับเพื่อนหนูค่อนข้างเฟรนด์ลี่ ดูเข้าถึงง่าย แต่ถ้าเพื่อนสนิทจริง ๆ จะรู้ว่ากว่าจะสนิทต้องใช้เวลา คือหนูจะมีสองพาร์ต แบบที่อยู่กับตัวเองและแบบที่อยู่กับเพื่อน เวลาอยู่กับคนอื่น จะลั้นลา สนุกเต็มที่ แต่ถ้าอยู่กับตัวเอง โลกส่วนตัวก็จะสูงเหมือนกัน ชอบช็อปปิ้ง คนเดียว เพราะลองแล้วลองอีกและคิดเยอะ ถ้าไปกับคนอื่นกลัวเขาจะเสียเวลา เพราะฉะนั้นอยู่กับตัวเองดีที่สุด

“แต่ถ้าบทจะไปกับเพื่อนก็ไปได้เต็มที่ อย่างเพื่อนที่ไทยไม่ได้เจอกันมานาน ประมาณปีกว่า กลับมาทุกครั้งก็จะเมาท์กันไฟแลบ พอช่วงกักตัวก็แอบเบื่อ โทรศัพท์คุยกับเพื่อนทั้งวันจนสายแทบไหม้เลย

“ส่วนงานอดิเรก นอกจากเล่นเปียโนและเขียนเพลงแล้ว ล่าสุดเพิ่งเปิด อินสตาแกรมส่วนตัว (@min.nicha) สนุกกับการทำคอนเทนต์ เช่น ถ่ายรูป ชอบถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มอัพเดตให้แฟน ๆ ดู ที่เพิ่งมาเปิดช่วงนี้ก็เพราะช่วงที่ เดบิวต์ใหม่ ๆ อยากโฟกัสกับการโปรโมตงานของวงก่อน พอเดบิวต์ครบ 3 ปี บวกกับช่วงนี้สมาชิกในวงแยกกันไปทำงานตามประเทศต่าง ๆ ก็คิดว่าถึงเวลาที่จะมี พื้นที่ส่วนตัวในการอัพเดตผลงานของเราแล้วค่ะ”

World Tour ในฝัน

ฝันของมินนี่คือการเป็นนักร้องระดับโลก เป้าหมายนี้คงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

“เป้าหมายในชีวิตตอนนี้คือเรื่องเพลง หนูสนุกกับการทำงานกับวงมาก แต่ก็คิดว่า เรายังไปได้ไกลกว่านี้ ความฝันของหนูกับเมมเบอร์ในวงคืออยากไปเวิลด์ทัวร์ ตอนแรกมีแพลนแล้วนะคะ แต่ปรากฏว่าติดโควิดจึงไม่ได้ไป ตอนนี้ทุกคน ก็รอคอยว่าสักวันฉันจะต้องได้ไปเวิลด์ทัวร์ อยากขึ้นคอนเสิร์ต อยากไปเจอ แฟน ๆ ทั่วโลก อีกอย่างที่อยากลองคือ อยากโปรดิวซ์เพลง เขียนเพลงให้ หลากหลาย อยากทำเพลงให้ดีขึ้นเพื่อแฟน ๆ เพราะเราโตมากับเสียงเพลง และ การทำงานตรงนี้สนุกมาก เหมือนไม่ได้ทำงาน ทุกอย่างมาจากใจ อยากอยู่กับเสียงเพลงไปนาน ๆ ค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 972

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เปิดใจเอ็กซ์คลูซีฟ! ก้าวอีกขั้นของ “กลัฟ คณาวุฒิ” พระเอกลูกรักคนใหม่ของช่อง 3

กว่าจะเป็น #ลูกสาวแห่งชาติ “แอลลี่ อชิรญา” เคยกดดัน ไม่มั่นใจ ท้อจนเกือบถอย

สาวสายลุยที่แท้ทรู “พลอยไพลิน ตั้งประภาพร” เที่ยว 8 ประเทศ 37 วัน คนเดียว!

Praew Recommend

keyboard_arrow_up