ด้วยวัยเพียง 20 แต่ มิว- ชิษณุชา ตันติเมธ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Meyou (มียู) โด่งดังในฐานะศิลปินนักแต่งเพลงจากค่าย White music ในเครือแกรมมี่ เขาคือศิลปินดาวรุ่งที่มียอดวิวรวมกันหลายล้าน ไม่ว่าจะเป็น ‘เพียงเธอ’ ที่มีคนรับชมกว่า 57 ล้าน และล่าสุดเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้วเขาเพิ่งปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ‘พูดจริง’ ทำให้ชื่อของ Meyou กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง
นอกจากเรื่องผลงานเพลงแล้ว ชีวิตและความสนใจของศิลปินหนุ่มคนนี้ยังน่าสนใจไม่น้อย ทั้งเรื่องความชัดเจนในตัวตนและการทำงาน รวมไปถึงข่าวดราม่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยวัยเพียงเท่านี้ เขามีวิธีการรับมือทั้งเรื่องงาน เพลง และความรู้สึกของตัวเองได้อย่างไร?
เรื่องเล่าของ Meyou ศิลปินวัย 20 ที่ชัดเจนกับตัวเอง และไม่มีความคิดอยากเปลี่ยนแนวเพลงตามกระแส
เพลง ‘พูดจริง’ ซิงเกิ้ลล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมา ได้ยอดวิวกว่า 3.3 ล้านภายใน 3 สัปดาห์ อยากให้เล่าถึงแรงบันดาลให้ฟังหน่อย
“แรงบันดาลใจมาจากก้อนอารมณ์นึงที่ผมว่า ทุกคนก็เคยสัมผัส ครั้งนึงในชีวิตน่าจะเคยเจอเหตุการณ์แบบในเนื้อเพลง คือผมเป็นคนใจอ่อน พูดอะไรแล้วทำไม่ค่อยได้จริง เช่นบอกสาวว่า เดี๋ยวเลิกนะ แต่ก็ทำไม่เคยได้ มีท่อนนึงในเพลงที่ผมร้องว่า ‘แม้ว่าฉันต้องทรมาน แต่มันก็คุ้มกว่าต้องทน ต่อไปให้เธอทำร้าย เพราะฉันแม่งโคตรเจ็บ’ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ตรงตัวของเพลงนี้ที่สุด ปกติเวลาแต่งเพลงบางจะใช้เวลาแต่งท่อนฮุค 1 วัน อีกท่อนต้องไปแต่งต่อวันอื่น แต่สำหรับเพลงนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ใช้เวลาแต่งประมาณ 1 ชั่วโมงครับ เพราะเป็นเรื่องที่พร้อมจะเล่ามากๆ”
มิวอายุเพียงแค่ 20 ปี มีวิธีการหาเรื่องราวจากไหนมาแต่งเพลง
“ผมชอบเรื่องจริง ทุกเพลงที่ผมแต่งเกิดขึ้นกับตัวผมเอง เป็นสิ่งที่ผมรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกก็ไม่อยากจะแชร์ให้คนอื่นฟัง แต่ด้วยความที่อายุเพียงเท่านี้ ก็ต้องหาแรงบันดาลใจมาจากแหล่งอื่นบ้าง เช่นหนัง ผมอินกับการดูหนังมาก เวลาเศร้าจะไม่ดูหนังเศร้า ไม่อย่างนั้นจะดิ่ง จะหาหนังตลก แต่ถ้าวันไหนอารมณ์ปกติ แล้วอยากหาเรื่องราวมาแต่งเพลง ผมจะดูหนังเศร้า เพราะผมยังเด็ก ไม่ได้มีเรื่องราวความรักหนักๆ ขนาดนั้น ส่วนหนึ่งคือสาวผมเขาเป็นคนน่ารัก จึงไม่มีเรื่องให้เล่า (ยิ้ม) ต้องไปหาเรื่องเศร้าๆ จากที่อื่น แต่ที่ชอบมากก็คือหนังผี ทั้งๆ ที่ผมกลัวมากเลยนะ แต่อยากรู้ จึงดูเกือบทุกเรื่อง เรื่องโปรดคือ The Nun เพราะผมชอบหนังผีที่เกี่ยวกับศาสนา มันอิงกับเรื่องจริง และความเชื่อ”
แม้กระทั่งหนังผีก็เอามาแต่งเป็นเพลงได้เหรอ
“ผมว่า เวลาเราเอามาใช้ในงานเพลง มันได้มาจากหนังทุกแนวเลยนะ แล้วแต่ว่าเราจะหยิบอะไรมา ได้ทั้งจากคำพูด หรือไม่ก็อารมณ์ที่รู้สึก ผมเลือกที่จะนำมาเขียนและอาศัยการจินตนาการต่อ”
เพลงไหนของตัวเองที่มิวอินที่สุด
“ผมไม่อินกับงานเพลงตัวเองเพราะมันคือเรื่องของผม ส่วนมากเวลาฟังเพลงตัวเอง จะฟังในลักษณะ เพลงนี้ดนตรีดีนะ จังหวะโอเคเลย จะเป็นการชื่นชมผลงาน รู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังมากกว่า เวลาเศร้าหรือสุข ผมไม่ฟังเพลงตัวเอง เพราะไม่ได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ เนื่องจากวัตถุดิบในเนื้อเพลงนั้นมันกลายเป็นสิ่งที่ผมใช้เขียนไปแล้ว จะหาแรงบันดาลใจจากศิลปินที่เราชอบ”
ศิลปินคนไหนที่สร้างแรงบันดาลใจให้มิวมากที่สุด
“D’angelo ครับ ผมไม่ค่อยพูดถึงคนนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ผมชอบมาก เขาเป็นศิลปินวินเทจ และเป็นคนแรกๆ ที่นำดนตรีแนวนีโอโซล (แนวเพลงอาร์แอนด์บีผสมกับดนตรีโซล) ขึ้นมา ผสมกับกอสเปล (ดนตรีในโบสถ์ แนวเพลงสรรเสริญพระเจ้า) มีความฮิปฮอปนิดนึง ซึ่งเขาเป็นแรงบันดาลใจให้นักร้อง R&B หลายๆ คน รวมถึงผมด้วยนะ”
รู้ตัวตั้งแต่ตอนไหนว่า ตัวเองอยากเป็นนักแต่งเพลง
“เริ่มจากป๊าครับ เขาจะชอบฟังเพลงบลูส์ คลาสซี่แจ๊ส หรือไม่ก็เพลงบรรเลง ป๊าจะเปิดเพลงแจ๊สให้ผมฟังตั้งแต่เด็ก ต้องยกความดีความชอบให้เขา เพราะไม่อย่างนั้น ตอนนี้เพลงผมคงไม่มีกลิ่นอายแจ๊สขนาดนี้ ตอนเด็กๆ ป๊าอยากเป็นนักดนตรีนะ แต่ทางบ้านอยากให้เรียนสายอื่นมากกว่า พอมีผม ป๊าก็เลยเปิดโอกาสเต็มที่ ต้องขอบคุณเขา ที่ให้ผมเรียนไปเรียนดนตรีตั้งแต่เด็ก คือตอน 4 ขวบป๊าส่งไปเรียนเปียโน แต่ไม่ชอบเลยเลิก พอ 6 ขวบก็ได้เรียนกีตาร์คลาสสิค เป็นอารมณ์แบบโดนบังคับเรียนนิดๆ ยังไม่อิน แต่ก็ยังรู้สึกว่า เรียนพอไหวน่ะ เพราะเล่นกีตาร์แล้วเท่ดี” (หัวเราะ)
ติดเท่ตั้งแต่ 6 ขวบเลยเหรอ
“ใช่ครับ อยู่ป.1 ก็อยากให้สาวชอบแล้ว (ยิ้ม) ผมเรียนกีตาร์จนจบป.6 ฝีมือไม่ได้เก่งมาก แต่ก็สามารถเล่นแบบ Fingerstyle ได้ ซึ่งอาจารย์ที่สอนผมชื่อ ครูวง เป็นคนลาว แต่ไปโตที่ฝรั่งเศส เขาจะสอนกีตาร์แบบคลาสิค เล่นเพลงฝรั่ง จึงไม่ได้เรียนเพลงไทยเหมือนเพื่อนๆ แต่พอมาถึงตอนนี้ผมว่าดีนะ มันทำให้แนวเพลงของผมลึกขึ้น พออยู่ ม.4 ก็เริ่มเขียนเพลงแล้ว ก็มีโอกาสโชว์กีตาร์ให้สาวฟังมาเรื่อยๆ ห่วยบ้าง ดีบ้าง สลับกันไปครับ”
เคยจีบหญิงได้เพราะกีตาร์รึเปล่า
“ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าเพราะกีตาร์รึเปล่า มันคงเป็นส่วนประกอบนึงแหละ”
ตอนอายุ 15 มิวประกวดรายการ MBO The Audition ของแกรมมี่ จนคว้ารางวัลชนะเลิศมาด้วย จริงๆ แล้วเป็นสายชอบประกวดรึเปล่า
“สารภาพตามจริง ผมไม่ชอบการประกวด ไม่ได้อินกับการแข่งขันเพราะผมชอบกดดันตัวเอง คิดมากว่า จะทำได้ดีรึเปล่า คือถ้าได้คะแนนที่โหล่ก็จะไม่เท่อีก ผมว่า เวลาทำอะไรคนเดียว ถ้าจะห่วยก็ห่วยคนเดียว ดีก็ดีคนเดียว ไม่ต้องขึ้นกับใคร มันจะไม่มีความกดดัน แต่ก็ต้องขอบคุณรายการ MBO เป็นรายการที่ดีมากๆ เพราะมอบประสบการณ์ให้ผมหลายอย่างและทำให้ผมมาอยู่ตรงนี้ครับ”
ถ้าไม่ชอบการแข่งขัน แต่ทุกวันนี้โลกของวงการเพลง ต้องแข่งขันเยอะมาก มีวิธีการรับมือกับความกดดันยังไง
“เวลายอดวิวไม่สูงอย่างที่คิด ก็คิดมากนะ นอยด์บ้าง แต่ไม่เคยมีความรู้สึกว่า ไม่อยากทำ แต่จะชอบคิดว่า เพราะอะไรวะๆ แต่คิดแป๊บเดียวก็หาย เพราะผมอินกับความชอบของตัวเองเป็นหลัก ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่า ต้องเปลี่ยนไปทำแนวเพลงที่รู้แล้วว่า คนจะต้องชอบ ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น และไม่อินกับการทำเพลงแบบนั้นด้วย เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องจริง”
มิวมีวิธีการแต่งเพลงยังไง
“เวลาแต่งเพลงใหม่ก็เกร็งนะครับ แต่ถ้าหากเกร็งมากๆ การโฟกัสจะไม่ถูกจุด เราต้องเปลี่ยน mindset ตัวเอง ถึงจะสนุก สำหรับผมการแต่งเพลงเหมือนเป็นงานอดิเรก มันจะเกร็งก็ต่อเมื่อ เราคิดว่า คนจะชอบเพลงเรามั้ย มันจะออกมาดีมั้ย เพราะก่อนหน้านี้เราทำเพลงไว้ดีจังเลย มันจะเกร็งต่อเมื่อเราคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมแค่คิดว่า ชอบ อยากทำ เท่านั้นเลย ความเกร็งจะหายไป ผมมักจะทำอะไรตามอารมณ์ ไม่ใช่ว่าเอาแต่ใจนะ แต่ว่า ถ้าไม่ทำตามอารมณ์ตัวเราเอง หรือทำอะไรที่ไม่สบายใจ มันจะยากสำหรับผม เพราะฉะนั้นจะไม่บังคับให้ตัวเองเขียนเพลงถ้าไม่มีอารมณ์
“เวลาเขียนเพลงผมจะแก้จนกว่าจะได้ประโยคที่พอใจ ถ้าคำยังไม่หล่อก็จะแก้จนดี แล้วค่อยเขียน เพราะไม่ชอบกลับมาแก้ทีหลัง ผมชอบจบในครั้งเดียวมากกว่า แต่ส่วนมากผมเชื่อคำแรกที่ผุดออกมาที่สุด”
เคยมีช่วงไอเดียตีบตัน คิดงานไม่ออกบ่อยรึเปล่า
“มีครับ ไม่มีทั้งไอเดีย ไม่มีแรงบันดาลใจ ทรมานมาก เพราะเขียนไม่ออก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ จะเขียนได้ก็ต่อเมื่อได้เจอเรื่องราวใหม่ๆ ผมเชื่อว่า ตัวเองคือนักแต่งเพลง สุดท้ายชีวิตมันขาดสิ่งนี้ไม่ได้ วันนึงเราต้องกลับมาเขียนเพลงอยู่ดี ช่วงที่ไม่ได้เขียน คือช่วงที่หาประสบการณ์มาเขียนมากกว่า”
ทุกวันนี้มิวแต่งเพลงให้กับศิลปินท่านอื่นด้วย (เจ้านาย เจ้าขุน และ แบมแบม MBO) ถ้าเทียบกับการเขียนเพลงให้ตัวเอง แบบไหนยากกว่ากัน
“แต่งเพลงให้คนอื่นก็กดดันนะ แต่ผมว่าง่ายกว่าเขียนให้ตัวเองเยอะ เพราะเพลงคนอื่นมีหัวข้อมาแล้วว่า เขาต้องการอะไร เราก็จะเขียนเรื่องราวขึ้นมา ใส่ความเป็นตัวเองและความเข้าใจลงไป ผมค้นพบว่า ทำงานเพลงให้คนอื่น ไม่ได้ยากขนาดนั้น สนุกดีด้วย แต่พอเป็นเพลงตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรดี เพราะบางครั้งมันมีหลายเรื่องมาก แล้วตัดสินใจไม่ได้ ต้องนั่งทำความเข้าใจตัวเองว่า เรื่องนี้มันเป็นยังไงวะ (หัวเราะ) ถ้ายังไม่เข้าใจตัวเอง ผมจะคิดอยู่อย่างนั้น อาจจะได้แค่เนื้อบางท่อน แต่ก็จะลบแล้วลบอีกเพราะคำยังไม่สุด เพราะฉะนั้นในสมุดแต่งเพลง จะมีสไตล์การเขียนหลายแบบ ทั้งหน้าที่ลบเยอะมาก กับถ้ามีเรื่องอยู่แล้ว จะเขียนไวมาก หน้านั้นก็จะเขียนเพลง เรียงคำสวยงาม”
ศิลปินท่านไหนที่มิวอยากแต่งเพลงให้มากที่สุด
“พี่คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) ครับ ผมชอบมาก เรียกว่า หลงใหลเลยล่ะ ทั้งเนื้อเสียง ดนตรี ทำนอง ผมอินมาก ตอนที่ฟังเพลง ‘คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว’ มันเหงามาก คิดว่า ถ้าได้ลองทำดนตรีสไตล์แทร็ปให้พี่คิ้มร้องผมว่า โคตรเท่เลย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเขียนเพลงให้พี่คิ้มได้ดีมั้ย”
นอกจากเรื่องเพลงแล้ว เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้าง
“ตอนนี้ผมเรียนหลักสูตรของอังกฤษ sound engineer ของ Crème academy เรียกว่าเรียนเฉพาะทางไปเลย เพราะอยากมีความรู้และนำมาใช้กับงานตัวเองได้จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเรียนนิเทศ จุฬาฯ แต่ก็ตัดสินใจลาออก ทั้งๆ ที่เป็นคณะที่ดีมาก แต่มีหลายอย่างที่ไม่เข้ากับผม ทั้งเรื่องกิจกรรมและหลักสูตรต่างๆ หลักๆ คือ ผมอยากทุ่มให้กับงานเพลงได้เต็มที่ จึงเดินไปบอกป๊าว่า อยากไปลองเรียน Sound engineer น่าจะอินกว่า ป๊ากับมี๊ก็น่ารักมาก ท่านเข้าใจ ก็อนุญาติเลย”
มีเรื่องอะไรที่คนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมิวมั้ย
“ผมเป็นคนอ่อนไหว ถ้าอารมณ์ดีจะดีดเลย เอ็นจอยกับทุกอย่าง ถ้าไม่ดีจะดาวน์ ไม่ได้หงุดหงิดนะ แต่จะคิดมากตลอดเวลา ทั้งที่บางทีก็ไม่มีเรื่องอื่นให้คิดแล้ว ก็ยังจะคิดวน เช่น ทำไมเมื่อวานไปพูดกับสาวแบบนั้นวะ (ยิ้ม) ผมจะคิดอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาหายโกรธแล้ว ขอโทษเขาซ้ำๆ อยู่นั่นแหละ”
แล้วเวลาเจอเรื่องดราม่า มีวิธีการรับมือยังไง
“ผ่านมาได้เพราะครอบครัวและคนรอบข้างที่รู้จักผม ทั้งคำพูดและการกอด ซึ่งผมว่า การกอดดีกว่าคำพูดเยอะ คือคำพูดก็ดีนะ แต่พอโดนกอด มันรับรู้ทุกความรู้สึกเลย”
เวลาเจอเรื่องดราม่า เคยเก็บมาคิดมากมั้ย
“ไม่ครับ จะเครียดมากกว่าที่เห็นป๊ากับมี๊นอยด์แทน ผมจะบอกว่า อย่าไปอ่าน ช่างมันเถอะ เวลาเกิดเรื่องแบบนี้ ผมไม่เชิงตัดขาดจากโซเชียล แต่ก็จะไม่เปิดอ่าน ยกเว้นมีคันๆ แอบเข้าไปดูทวิตบ้าง ใช้วิธีหาอะไรตลกๆ มาพูดให้ที่บ้านฟังแทน เพราะบ้านผมติดตลก ต้องขอบคุณขอบครัวด้วย เพราะบ้านเราอบอุ่นมาก มีอะไรคุยกับที่บ้านได้หมดทุกอย่าง ผมรู้สึกว่า ตัวเองมีฐานทัพ มีคนพร้อมซัพพอร์ตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“แต่ที่สุดแล้ว ทุกเรื่องที่ผมเคยเจอ ก็ทำให้ผมโตขึ้น ผมรู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยน คือ ใจเย็นลง นิ่งขึ้น โตขึ้น แต่จากหลายๆ เรื่องที่เจอ ก็ควรต้องโตขึ้นแล้วล่ะ”
สุดท้าย มองอนาคตัวเองในวงการเพลงยังไงบ้าง
“ผมมีความฝันว่า อยากเป็นเหมือนเจย์ ซี ตอนวัยรุ่นเขาเป็นแร็ปเปอร์ที่ดังมาก พอโตขึ้นก็ผันตัวไปเป็นเจ้าของบริษัท ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นได้แบบนั้นก็เฟี้ยวดี เพราะผมเองก็ไม่คิดว่า จะทำเพลงให้ตัวเองคนเดียวตลอดไป ผมอยากปั้นคนอื่นๆ ด้วย แต่ที่ฝันถึงคือ อนาคตอีกไกลๆ เลยครับ ตอนนี้ขอแค่ทุ่มให้กับงานเพลงของตัวเองไปก่อน”
สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เปิดใจครั้งแรก! ชีวิตหลังแต่งไม่เป็นอย่างที่คิด เขื่อน K-OTIC ยอมรับเลิก “เดเมียน”
ก้อง-สหรัถ เล่าเรื่องผี “เวนิส” ประสบการณ์ลี้ลับ ชวนขนหัวลุกที่หาคำตอบไม่ได้
‘พาร์ค พากย์นรก’ แฟน (คลับ) ตัวจริง ‘อารีอานา’ ยอมเปย์ 6 หลัก จนได้ใกล้ชิด 7 ครั้ง