เม้าท์หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"
หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"

หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค “ตู่-นันทิดา” ปะทะ “แก้ม-วิชญาณี”

Alternative Textaccount_circle
หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"
หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"

เจอกันเฉพาะกิจเพื่อ แพรว ! คุยเอ็กซ์คลูซีฟหลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค “ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย” ปะทะ “แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น”

“ตู่-นันทิดา แก้วบัวสาย” “แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น” คนหนึ่งสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศด้วยการคว้ารางวัลนักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ก่อนก้าวเข้าสู่วงการเพลงมืออาชีพที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีผลงานมากมาย อีกคนหนึ่งเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่ยึดอีกฝ่ายเป็นไอดอลมาตลอด มีผลงานเพลง งานพากย์ และการแสดงระดับชาติ วันนี้ทั้งคู่มาพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ แพรว ต่างฝ่ายจึงมีเรื่องราว และบทสนทนาแลกเปลี่ยนแบบเอ็กซ์คลูซีฟ น่ารักๆ

พีคและพีค

ขึ้นชื่อว่าเป็นนักร้องดีว่าทั้งคู่ แต่เมื่อรุ่นใหม่อย่าง แก้ม -วิชญาณี พบนักร้อง รุ่นพี่ใหญ่อย่าง ตู่-นันทิดา จึงต้องมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วงพีคสุดๆ ของแต่ละคนกันหน่อย รุ่นพี่เริ่มเปิดประเด็นก่อน

“ช่วงพีคสำหรับตู่ แน่นอนว่าเป็นช่วงที่ได้รับรางวัลนักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งเอเชียที่ฮ่องกง ปี 2521 เพราะพอชนะกลับมา เราต้องไปแสดงและโชว์ตัวตามที่ต่างๆ วันละ 3-4 แห่ง มีประชาชนมารอดูเราจนแน่นขนัด ทำให้กระจกห้างแตก เพราะความที่เบียดเสียดกัน โชว์ตัวได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต้องกลับ

“หลังจากนั้นไม่นานได้แสดงเป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่อง เพลงรักดอกไม้บาน มีแฟนเพลงยืนเบียดเข้าคิวซื้อตั๋วหนังรอบปฐมทัศน์ที่โรงหนังศาลาเฉลิมไทยและโรงหนังที่จังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่าโรงแตกกันไปเลย เพราะเพลงลูกทุ่ง จำกันบ่ได้กา ดังมากๆ ดังไปถึงกิ่งตำบล กิ่งอำเภอกันเลย เวลาจะโปรโมตหนังต้องมีรถขับตระเวนประกาศผ่านลำโพงทั่วเมืองว่าจะมาพบนันทิดา แก้วบัวสาย ที่โรงหนังได้วันไหน กี่โมง พอเราไปถึงก็ขึ้นขบวนรถแห่รอบเมืองอีกที มีแฟนเพลงวิ่งเอาขนมมาให้ ถ้าผ่านตลาดสด ผู้คนจะบอกให้หยุด รถขบวนแห่ก็ต้องหยุด และวิ่งเอาขนมมาให้ เป็นภาพจำที่ไม่เคยลืมจนถึงวันนี้” เธอเล่าพลางสบตารุ่นน้องที่นั่งฟังตาโต ก่อนที่แก้มจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง

“เรื่องของแก้มเริ่มที่ชนะการประกวดเดอะสตาร์ รุ่น 4 ปี 2551 ตอนที่อยู่ในบ้านเดอะสตาร์ไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลย กระทั่งออกจากบ้าน เป็นช่วงที่เราพักผ่อนกัน แก้มไม่ได้แต่งตัวอะไรเยอะ ยังเดินหัวฟูๆ แล้วไปซื้อโทรศัพท์ที่มาบุญครอง ส่วนพี่รุจ (ศุภรุจ เตชะตานนท์) ไปซื้อเกมร้านเดียวกัน ปรากฏว่ามีคนมามุงดูเราเต็มไปหมดจนต้องหลบเข้าไปในร้าน คนก็ตามเข้ามาขอถ่ายรูปอีก พวกเราไม่รู้จะทำอย่างไรจึงวิ่งหนีออกหลังร้าน ยังหันมาคุยกันว่าเราดังขนาดนั้นเลยเหรอ พอกลับบ้านที่ภูเก็ตเขินมาก เพราะเขาพาแก้มนั่งรถสปอร์ตแห่รอบเมือง มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกับเดลินิวส์ด้วยนะ”

หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"

ผลงานชิ้นโบแดง

แม้จะมีผลงานมากมาย แต่เมื่อ แพรว บังคับให้คัดชิ้นโบแดงมาเล่า พี่ตู่ จึงขอแบ่งเป็นสองช่วง “ผลงานชิ้นโบแดงของนันทิดา แก้วบัวสาย ต้องขอแบ่งเป็น 2 ช่วงนะคะ ตอนที่อยู่ภายใต้สัญญาของช่อง 3 เป็นเวลาสามปี ยังไม่ถือว่าเราเป็นนักร้องอาชีพ ไปร้องเพลงที่ไหนมักจะได้เป็นของขวัญ ดอกไม้ หรือผ้าเช็ดตัวหลากสีเป็นโหล ๆ เลย น่ารักมาก ซึ่งงานเพลงที่มาพร้อมงานแสดงภาพยนตร์ช่วงนั้นและถือเป็นชิ้นโบแดงคือเพลง จำกันบ่ได้กา เป็นซาวนด์แทร็กจากภาพยนตร์เรื่อง เพลงรัก ดอกไม้บาน ทำให้นันทิดาที่เป็นนักร้องดังในกรุงเทพฯด้วยเพลง I who have nothing เป็นที่รู้จักในทุกกิ่งตำบล กิ่งอำเภอทั่วประเทศ

“อีกช่วงคือตอนเซ็นสัญญาเป็นศิลปินแกรมมี่ ปี 2527 ปีเดียวกันนั้นจึง ออกอัลบั้ม ‘นันทิดา 27’ ที่มีเพลงดังมาก ๆ อยู่ในอัลบั้ม เช่น เพลง ดีเจเสียงใส ความรักสีดำ และ ละครฉากสุดท้าย เป็นเพลงที่ทุกคลื่นวิทยุเปิดตลอดทุก 3 – 5 นาที จนพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) โทร.ถามว่าฟังวิทยุอยู่หรือเปล่า เราบอกว่า ตอนนี้เปิดฟัง 3 เครื่องเลย หลาย ๆ คลื่น หลาย ๆ ดีเจเปิดเพลงของเราต่อเนื่อง กันตลอด จนพี่เต๋อให้กำลังใจด้วยคำพูดติดปากว่า…นายแน่มาก! จึงน่าจะถือเป็น ผลงานชิ้นโบแดงของการเป็นนักร้องอาชีพ”

อีกฝ่ายซึ่งนั่งฟังเรื่องของรุ่นพี่ด้วยตาโตไปอีก เล่าบ้างว่า ผลงานที่หินสุด ๆ และเมื่อทำสำเร็จแล้วคือความภูมิใจของเธอที่สุด คือการทำงานชุด Frozen ผจญภัย แดนคำสาปราชินีหิมะ

“ถือเป็นความท้าทายและเป็นที่สุดในการทำงานของแก้มจริง ๆ เพราะต้อง ร้องเพลง Let It Go ในเวอร์ชั่นภาษาไทยซึ่งยากมาก และพากย์เสียงเป็นเจ้าหญิง เอลซ่าด้วย แม้จะไม่ใช่เรื่องแรกที่ทำ แต่ถ้าทำได้จะถือเป็นความท้าทายทั้งกับ ตัวเราและคนไทย ซึ่งตอนนั้นแก้มคิดว่าถ้าเสียงเราได้ไปอยู่ในระดับนั้นจริง ๆ จะเป็นการเผยแพร่ไปทั่วโลก ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะได้ยินเสียงเรา ซึ่งเราอยู่กับตรงนี้ มาจนคนคิดว่าเราเป็นเอลซ่าจริง ๆ” แก้มเล่าพลางยิ้มหวาน เพราะเอลซ่าเป็นหนึ่ง ในการ์ตูนโปรดของเธอมานาน

โหด มัน ฮา ประสานักร้องมืออาชีพ

เส้นทางและประสบการณ์การเป็นนักร้องของแต่ละคนนั้นไม่ธรรมดา ทั้ง เรื่องราวความโหด ความสนุก ความขำ ที่นำมาเล่าเมื่อไหร่ก็ฮาเมื่อนั้น หัวข้อนี้ แก้มมีประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังด้วยน้ำเสียงสนุกสนานสไตล์เธอ

“ความที่แก้มร้องเพลงประกวดมาตั้งแต่เด็ก แต่ละเวทีที่ไปประกวดมักเป็น เวทีกลางแจ้ง มีครั้งหนึ่งเลือกร้องเพลง หัวใจถวายวัด ของแม่ผึ้ง – พุ่มพวง ดวงจันทร์ สถานที่จัดประกวดอยู่ต่างจังหวัด เป็นเวทีกลางแจ้งตอนกลางคืน พอร้องถึงเนื้อ ท่อนที่ว่า – ‘หลวงพ่อเจ้าขา’ ซึ่งต้องเอื้อนเสียงยาว อ้าปากร้องกว้าง ปรากฏว่า แมลงเม่าบินเข้าคอ นาทีนั้นทำอะไรไม่ได้ แก้มจำต้องกลืนลงคอไปแล้วร้องเพลงต่อ (หัวเราะ) เริ่มน้ำตาไหลจนกรรมการคิดว่าเราอิน โห…เด็กอายุแค่สิบขวบจะอิน อะไรได้ขนาดนั้น เขาก็ทึ่งกันใหญ่ แต่ที่จริงน้ำตาไหลเพราะแมลงเม่าเข้าคอ ผลคือ ได้รับรางวัลชนะเลิศ” ทำเอาวงสนทนาหัวเราะกันครืน

ประสบการณ์ฟากพี่ตู่ก็ไม่ธรรมดา “วันนั้นไปงานร้องเพลงที่ตำบลตกพรม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี จัดงานที่บ้านกำนัน มีพี่ตั๊ก – มยุรา เป็นพิธีกร ข้างทาง มีแต่หญ้าคาสูงท่วมหัว ทางรถเข้าไปเป็นถนนลูกรังแคบ ๆ คุณแม่ (ประทุมมาศ) ขับรถพาไป ตามโปรแกรมคือหนุ่มเสก (เสกสรร ชัยเจริญ) ต้องขึ้นเวทีก่อน แล้วต่อด้วยนันทิดา จนหนุ่มเสกร้องเพลงจบแล้ว พี่ตั๊กยังไม่มา เราขึ้นไปร้องต่อ กับแบ็กกิ้งแทร็กอีกสักพัก พี่ตั๊กก็ยังไม่มา จึงโทรศัพท์หา ‘พี่ตั๊กอยู่ไหนแล้วคะ’ พี่ตั๊กตอบว่า ‘พี่ไปแล้ว แต่ฝนตกหนัก หาสถานที่จัดงานไม่เจอ เห็นว่าใกล้จะ สามทุ่มแล้ว งานน่าจะใกล้เลิก พี่ขับรถไปคนเดียวจึงต้องกลับ’ เรารับรู้แล้ว ก็ขึ้นไปร้องเพลงต่อจนจบ สักพักเห็นเจ้าภาพเป็นกำนันควักปืนเดินเมาออกมาหน้าเวที…ตะโกนว่า ‘ถ้ามยุราไม่มา ไม่ต้องเลิก ไม่ต้องออกไป!’ (พี่ตู่เลียนเสียงขึงขัง)

“เรากับหนุ่มเสกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เอาละสิ…ยังไงต่อล่ะทีนี้ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นสี่ทุ่ม เป็นเวลาที่งานต้องเลิกแล้ว แต่เราจบไม่ได้ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือรุ่นกระติกน้ำก็ใกล้จะหมด นึกขึ้น ได้ว่ามีพี่ ๆ ที่สนิทกันทำธุรกิจพลอยที่จันทบุรี จึงโทร.ให้มาช่วย พี่ ๆ ก็น่ารัก นำตำรวจมาช่วยเจรจา เราถึงออกมาได้” (หัวเราะ)

ฟังจบ สาวแก้มยกมือขอเล่าอีก “แก้มเคยเจอเหตุการณ์คล้าย ๆ แบบนี้เลยค่ะ ตอนนั้นแก้ม กับพี่รุจไปร้องเพลงที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ แก้มกำลังร้องเพลง มหันตภัย เป็นเพลงช้า เนื้อเพลง ประมาณว่า ‘นี่คือการเดินทางสู่อันตราย มีมหันตภัยเลวร้าย…’ จู่ ๆ ได้ยินเสียงปัง…ปัง! อยู่หลังเวที คือเขายิงกัน ฟันกันเละเลย เจ้าภาพต้องขอให้ลงจากเวที ทั้งที่คนดูหน้าเวทียังกรี๊ดกร๊าดกันอยู่ ตะโกนเรียกพี่แก้ม ๆ เหตุการณ์ชุลมุนไปหมด แก้มตัดสินใจยกมือไหว้ ‘ขอโทษนะ แก้ม อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไปจริง ๆ’ (เธอเล่าพลางทำท่ายกมือไหว้ขอโทษแฟนเพลง) แล้วก็มีคนพาแก้ม ไปขึ้นรถตู้ เจ้าภาพบอกให้ปิดงาน ตำรวจเข้ามาเคลียร์ ขนาดแก้มขึ้นรถตู้ออกไปแล้ว เขายังยิงกัน อยู่เลย”

หลังไมค์กับดีว่าตัวแม่ต่างยุค "ตู่-นันทิดา" ปะทะ "แก้ม-วิชญาณี"

เส้นทางสู่ความสวย + ทำเพื่อสังคม

ถ้านับวันเวลาบนเส้นทางการเป็นนักร้องของนันทิดา แก้วบัวสาย และแก้ม – วิชญาณี รวมกันไม่ต่ำกว่า 50 ปี พวกเธอมีวิธีดูแลตัวเองและภาพลักษณ์อย่างไร กว่าจะมายืน ณ จุดนี้ พี่ตู่เล่าก่อน

“เราต้องมีวินัยและรับผิดชอบตัวเอง อย่างแรก ง่าย ๆ แต่ทำยาก คือ วินัยในการทาน เช่น อย่าทานของที่ทำให้เราอ้วนเด็ดขาด ถ้าอยากทานก็แค่ 2 คำพอ ทำเรื่อย ๆ ร่างกายเราจะ ชินเอง ต้องมีวินัยในการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ตามความเหมาะสมกับร่างกาย และไม่กดดันตัวเอง สามารถทำเองได้เวลาอยู่ที่บ้าน ทำให้สม่ำเสมอ ตั้งแต่ Burning Fat Cardio, Walking Training, Pilates Basic สำหรับการดูแลผิวหน้าและตัว เรายังชอบที่จะไปนวดหน้า และนวดตัว ทำสปาผิว บางครั้งก็ต้องมีตัวช่วยบ้าง เช่น กระชับหน้าด้วยเลเซอร์และเทอร์มาจ ท้ายสุดที่เราต้องทำคือ ไม่ลืมที่จะปรับสมดุลของกายและใจด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญและชอบมาก และตอนนี้เริ่มเรียนไทเก๊ก เพราะได้ทั้งสมาธิ ลมหายใจเข้า – ออก ทำให้ร่างกายยืดหยุ่น กล้ามเนื้อ แข็งแรง ได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

“การดูแลเรื่องเสื้อผ้าก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้การดูแลรูปร่างหน้าตา เลือกแต่งตัว ให้เหมาะสมกับงานที่จะไป เหมาะสมกับธีมของโชว์นั้น ๆ หรือเพลงนั้น ๆ ที่จะร้อง

“ถ้าถามถึงการทำเพื่อสังคม เป็นสิ่งที่เรายังปฏฺิบัติเสมอทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่ว่าจะมาก หรือน้อย ตั้งแต่เข้าวงการ ถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เราควรให้เกียรติสังคมและคืนให้สังคม คืนให้ คนที่รักเรา และเราก็รักที่จะทำความดีนั้นกลับไป แม้จะเป็นเพียงพลังเล็ก ๆ ก็ตาม”

แก้มแชร์ว่า “ของแก้มมีแม่ช่วยดูแลความสวยความงามมาตลอด และออกกำลังกาย ดูแล รูปร่าง ค่ายไม่ได้บังคับว่าเราต้องทำนั่นนี่ แต่คือความรับผิดชอบของเราเอง คนที่มาดูเราก็ได้รับ พลังงานดี ๆ กลับไป ซึ่งแก้มเห็นด้วยว่าเราเป็นคนสาธารณะที่มีพลังในมือ เราเป็นแบบอย่างให้ คนมากมาย ศิลปินจึงเป็นเหมือนผู้สร้างคลื่น และเราอยากส่งพลังงานคลื่นดี ๆ ที่เป็นพลังบวก ให้สังคม”

เทคโนโลยี + โซเชียลมีเดีย ตัวช่วยเชื่อมต่อแฟนคลับ

เรื่องเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียน่าจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีผลกับการทำงานของตัวศิลปินเอง หรือช่วยให้การทำงานของศิลปินง่ายขึ้น ซึ่งแก้มเล่าว่า “แก้มชอบเล่นโซเชียลอยู่แล้ว ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราติดต่อแฟนคลับและคนอื่น ๆ ได้ตลอด แม้ไม่ได้ ไปออกงานที่ไหน แต่ทำให้เขาเห็นไลฟ์สไตล์เรา สามารถใช้โปรโมตเพลงได้ด้วย เมื่อเขาเห็นไลฟ์สไตล์ คราวนี้เขาไม่ได้แค่ชอบงานเพลงเราอย่างเดียว แต่อยากมาเจอตัวจริงเพื่อดูว่าเราเป็นอย่างไร เทคโนโลยี ใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ศิลปินกับแฟนคลับได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น”

พี่ตู่เล่าบ้าง “เราเพิ่งมีอินสตาแกรมส่วนตัวกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ส่วนเฟซบุ๊ก ‘nantidafamilies’ เป็นสิ่งที่น้อง ๆ และลูก ๆ แฟนคลับทำให้ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่อายุ 18 – 20 ปีขึ้นไปได้รู้จักนันทิดา เรียกเราว่า ‘มามี้’ เพราะตามจากโซเชียล บางคน ไม่รู้จักนันทิดาก็ได้รู้จัก บางคนติดตาม ‘น้องเพลง’ (ชนม์ทิดา อัศวเหม) จากโซเชียล ก็ได้รู้ว่าเราเป็นคุณแม่ กลายเป็นสิ่งที่ดี สำหรับเรา ซึ่งเทคโนโลยียุคใหม่มีผลกับการทำงานด้วย ทุกวันนี้ ผู้คนอาจทำเพลงได้ง่าย ไม่มีอะไรมากำหนดว่าต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ถึงจะดัง เราจึงเห็นใครต่อใครทำเพลงบนโซเชียล บางคน อาจดังชั่วข้ามคืน เพราะทุกคนเหมือนมีช่องทีวีของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เกิดการแข่งขันสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเป็น ศิลปินดังในโลกโซเชียลไม่ได้มีสูตรตายตัวเหมือนเมื่อก่อนที่ต้อง จองสื่อ เสียค่าใช้จ่ายโปรโมตเพลง เราจึงต้องหมุนตามโลกให้ทัน และเลือกใช้สื่อตามความเหมาะสม”

เป้าหมายต่อไปของสองดีว่า

เมื่อ แพรว ถามถึงเป้าหมายต่อ ๆ ไปของทั้งสองดีว่า แก้มตอบทันที “แก้มอยากสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ และส่งพลังบวกให้ทุกคนที่ชื่นชอบผลงาน ซึ่งนอกจากแก้มและมามี้แล้ว ก็อยากให้โลกรู้ว่าประเทศเรายังมีคนเก่ง ๆ อีกมาก”

ส่วนพี่ตู่ขอตอบคำถามนี้ผ่านประสบการณ์ที่น่าประทับใจ “ปกติตู่ไม่ค่อย ได้รับงานไพรเวต แต่มีงานหนึ่งที่ทั้งครอบครัวโทรศัพท์มาขอให้ไปร้องเพลงงาน วันเกิดคุณพ่อเขาที่บ้าน ทีแรกปฏิเสธ ขอเปลี่ยนสถานที่เป็นโรงแรมแทนได้ไหม เพราะเพิ่งจัดการกับกระเนื้อที่หน้า ต้องปิดปลาสเตอร์ ท้ายที่สุดภรรยาเจ้าของ วันเกิดโทร.มาขอร้องอีกครั้ง เขาอยากมอบความสุขให้สามีที่ป่วยเป็นมะเร็งเส้นเสียง ขั้นสุดท้าย และสามีชอบเพลง ขอเป็นคนหนึ่ง มาก ฟังแล้วอึ้ง จึงตัดสินใจไป ร้องเพลงทั้งที่แปะปลาสเตอร์ ซึ่งงานนั้นเป็นงานเอ๊าต์ดอร์กลางสนามหญ้า 14 ไร่

“ช่วงสุดท้ายก่อนงานเลิกเหลือคนดูซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว 15 คน เราร้องเพลง ขอเป็นคนหนึ่ง คนป่วย ลูก และภรรยาขึ้นมาร้องเพลงนี้ด้วยกัน บนเวที ความที่เขาเจาะคอจึงเปล่งเสียงไม่ได้ แต่เขาก็พยายามเปล่งเสียงร้องเพลงนี้ ออกมา จนทุกคนในครอบครัวรวมทั้งเรายืนกอดกันกลม เราน้ำตาไหล รู้สึกซาบซึ้ง ร่วมกับเขา ตื้นตันใจว่าการตัดสินใจมาร้องเพลงนี้เป็นสิ่งถูกต้องที่สุด หลังจากนั้น อีกหนึ่งสัปดาห์ภรรยาโทร.มาแจ้งว่าสามีเสียแล้ว

“คงปฏิเสธไม่ได้ว่านิวนอร์มัลทำให้เกิดวิถีใหม่ของการชมผลงานศิลปิน แต่ เราเชื่อเหลือเกินว่าการได้สัมผัสรูป รส กลิ่น และเสียงจากศิลปินตัวเป็น ๆ ยัง ต้องมีอยู่ แม้การร้องเพลงที่มีผู้คนมานั่งฟังเสียงและชมเราจะไม่ได้มีจำนวนมาก แต่ทุกคนได้รับความสุข ซึ่งเป็นเหมือนการส่งต่อความรัก ความเอื้ออาทรให้กัน

“ดังนั้นคำว่าดีว่าสำหรับนันทิดาจึงไม่ได้มีความหมายเพียงผิวเผิน แต่มัน ลึกซึ้งและทรงพลัง เป็นเหมือนแรงสะท้อนในการส่งต่อพลังงานดี ๆ ให้แก่กัน และเป็นเป้าหมายที่อยากไปต่อนั่นเอง”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 961

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

ย้อนวันวาน “เจ-เจตริน” เจ้าพ่อเพลงแดนซ์ยุค 90 และเอนเตอร์เทนเนอร์ตัวจริงแห่งยุคนี้

แม่ก็คือแม่! 30 ปี ไม่พลิกล็อค “คริสติน่า อากีล่าร์” ครองฉายา Queen of Dance

เจาะความเก๋าเกม! จาก “ดีเจยุทธนา” สู่ “ป๋าเต็ด” เจ้าพ่อมิวสิคเฟสติวัลเมืองไทย

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up