สำหรับใครที่เพิ่งเคยได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งเป็นครั้งแรกแล้วล่ะก็ คงจะนั่งอยู่ไม่ติดที่ เพราะกำลังคิดหนักว่าควรจะทำตัวยังไงดีในฐานะแขกงานแต่ง ขืนไปทำตัวเก้ๆ กังๆ เงอะงะในวันงานคงขายหน้าแย่ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ชวนอึดอัด แพรวเวดดิ้ง จึงหยิบเอา มารยาทในงานแต่ง 10 ข้อ ที่มือใหม่หัดเป็นแขกงานแต่งควรรู้ไว้มาฝาก ให้แขกทุกคนปฏิบัติตัวได้ถูกและเป็นผู้ร่วมงานที่น่ารักกันนะจ๊ะ ถ้าอยากรู้แล้วว่า มารยาทในงานแต่ง 10 ข้อ มีอะไรบ้างก็ตามไปดูกันเลย

เป็นแขกงานแต่งที่ดีไม่ยาก! มารยาทในงานแต่ง 10 ข้อ ที่แขกรับเชิญต้องรู้ไว้

1. คอนเฟิร์มกับเจ้าภาพว่าเราไปร่วมงานได้
ทันทีที่ได้รับจดหมายหรือการ์ดเชิญไปงานแต่ง สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยคือเช็ควันที่จัดงาน กับตารางเวลาของเราว่าว่างตรงกันไหม เพราะทางเจ้าภาพจัดงานเขาอาจจะต้องการรู้จำนวนของแขกที่จะมาร่วมงานที่แน่ชัด เพื่อจัดการกับโต๊ะและการต้อนรับอื่นๆ ได้ถูกต้อง ถ้าวันนั้นเราติดภารกิจสำคัญ งานรัดตัวไม่สามารถไปร่วมงานได้จริงๆ ก็ให้รีบแจ้งไปทางเจ้าของงานก่อนวันงานไม่ต่ำกว่าสองอาทิตย์ เพื่อให้บ่าวสาวเขามีเวลาจัดการได้ทัน

2. เช็ครายละเอียดในการ์ดเชิญงานแต่งให้ดี
ไม่ว่าจะเป็นธีมงานหรือรายละเอียดพิธีการ ส่วนมากจะบอกมากับการ์ดเชิญหมดแล้ว รวมไปถึงจำนวนคนที่แขกพามางานได้ด้วย อย่าคิดเอาเองว่าเราสามารถพาคนอื่นไปร่วมงานกับเราได้ ถ้าบนการ์ดไม่ได้เขียนว่าให้พามาได้ เพราะบ่าวสาวเขาคิดคำนวณกันมาดีแล้วว่างานนี้เขาจะเชิญใครมาร่วมบ้าง ฉะนั้นตราบใดที่บนการ์ดไม่ได้เขียนว่าให้พาผู้ติดตามมาด้วยได้ จะเป็นแฟน เป็นเพื่อน หรือเป็นครอบครัว ก็พาไปด้วยไม่ได้นะจ๊ะ

3. เตรียมเงินใส่ซองให้เรียบร้อย
ข้อนี้แน่นอนว่ายังไงก็ต้องใส่นะจ๊ะ เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานของการเข้าร่วมงานแต่งงาน ใส่มากใส่น้อยก็ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดสนิทสนมต่อบ่าวสาว หรือถ้ายังไม่แน่ใจก็ลองไปเช็คว่า ซองงานแต่ง ใส่เท่าไหร่ไม่น่าเกลียด และไม่ควรไปยืนใส่ซองหน้างานนะจ๊ะ เพราะจะดูไม่มีมารยาทและดูไม่เตรียมพร้อมมา ให้ใส่มาจากบ้านให้เรียบร้อยแล้วยื่นที่โต๊ะต้อนรับ หากใครที่สนิทกับบ่าวสาวมากหน่อยอาจจะมีของขวัญวันแต่งงานเล็กๆ น้อยๆ มาให้ด้วยก็ได้ไม่ว่ากัน

4. แต่งกายให้เหมาะสมกับงาน
เพื่อเป็นการให้เกียรติบ่าวสาวและงาน ควรแต่งตัวไปให้เหมาะสมและถูกกาลเทศะ รายละเอียดของธีมสี ธีมชุดส่วนใหญ่จะบอกมาในการ์ดแต่งงานแล้ว อ่านรายละเอียดในการ์ดเชิญให้ดีว่าควรแต่งตัวแบบไหน โดยทั่วไปแล้วก็เหมือนกับการออกงานสังคม ต้องสุภาพเรียบร้อยมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับงานแต่งนั้นว่าเป็นทางการมากแค่ไหน ลองเช็ค 5 ข้อห้ามควรรู้ ก่อนเลือกชุดไปงานแต่ง ก่อนก็ดีค่ะ

5. ไปถึงก่อนเวลา
ไม่ว่างานเลี้ยงไหนๆ ถ้าแขกมาถึงงานทีหลังเจ้าภาพเริ่มงานแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียมารยาทและไม่ให้เกียรติงานทั้งสิ้น ถ้าจะให้ดี มาถึงงานก่อนเวลาสักประมาณ 30 นาที เผื่อเวลาสำหรับช่วงวุ่นวายหน้างานสักหน่อย และอย่าได้คิดเชียวว่าจะแอบข้ามช่วงพิธีการไป แล้วมาเข้างานอีกทีตอนกินเลี้ยงเลย อย่าลืมว่าบ่าวสาวเขาให้เกียรติและเชิญคุณมาเป็นพยานในพิธีแต่งงานครั้งนี้ เราก็ต้องให้เกียรติเจ้าภาพด้วยการมาร่วมงานตั้งแต่เริ่มต้นนะจ๊ะ

6. ทักทายและกล่าวคำอวยพรบ่าวสาว
สิ่งแรกที่เราจะเห็นตั้งแต่หน้าทางเข้างานเลย คือโต๊ะต้อนรับและบ่าวสาวที่มายืนต้อนรับแขกในงาน อย่าเห็นว่าแถวทักทายบ่าวสาวยาวเหยียดแล้วจะเดินผ่านไปเชียว มารยาทขั้นพื้นฐานคือกล่าวทักทายเจ้าของบ้านก่อนที่จะเข้าบ้าน อาจจะต้องยืนรอต่อแถวสักหน่อยถ้างานไหนมีแขกมาเยอะ แต่ในเมื่อบ่าวสาวเขาให้เกียรติออกมายืนต้อนรับแขก เราก็ต้องให้เกียรติเขาเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรำลึกความหลังยาวเหยียดอะไรมาก แค่ทักทายพอเป็นพิธีและกล่าวคำอวยพรให้บ่าวสาวอย่างจริงใจนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว

7. ดื่มได้แต่ต้องดื่มอย่างมีสติ
เหล้าเบียร์กับงานสังสรรค์เป็นของคู่กันก็เข้าใจได้ แต่ต้องระลึกไว้ว่าเสมอว่า เรามางานแต่งงานไม่ได้มาแฮงค์เอ้าท์เอามันส์นะจ๊ะ ไม่มีใครอยากเมาแอ๋ สร้างสถานการณ์เป็นจุดสนใจท่ามกลางงานแต่งของคนอื่นหรอก จริงไหม? ดังนั้นแล้ว ดื่มได้แต่ต้องควบคุมตัวเองและมีสติในงานตลอดเวลาด้วย

8. เคารพธรรมเนียมภายในงาน
อาจจะมีบางช่วงบางพิธีการหรือบางกิจกรรมในงานที่เราดูยังไงก็ไม่อิน อย่าได้ทำหน้าตาบูดบึ้ง เบะปากมองบนออกมาเชียว ถ้าไม่อยากมีส่วนร่วมก็แค่นั่งอยู่กับที่ของตัวเองเฉยๆ ก็พอแล้ว ถึงยังไงนี่ก็เป็นงานของคนอื่น ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่บ่าวสาวเขาเลือกในงานของเขาก็แค่เก็บไว้กับตัว พอถึงตาคุณจัดงานของตัวเองบ้าง คุณจะทำอะไรก็ได้ จริงไหม?

9. เอนจอยกับงาน
มางานเลี้ยง งานมงคลทั้งที จะมานั่งจับเจ่าเหงาหงอยอยู่ก็ใช่ที่ ใช้เวลานี้ในการสังสรรค์เข้าสังคม ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นรู้จักทุกคนในงาน แต่ออกไปเต้น ไปเอนจอยกับบรรยากาศสนุกๆ ในงานบ้าง ถึงอย่างไรแขกก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสีสันให้กับงานแต่งงานของบ่าวสาวด้วยเหมือนกัน ฉลองสักหน่อยจะได้ไม่เสียเที่ยวดีกว่าเนอะ

10. บอกลาก่อนกลับ
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อเห็นว่าถึงเวลาสมควรแก่การกลับแล้ว ควรกล่าวคำลากับญาติผู้ใหญ่และบ่าวสาวก่อนสักนิด ไม่ควรอ้อยอิ่ง ยืดเยื้ออยู่นาน เพราะบางทีงานแต่งก็จัดในสถานที่ที่มีเวลาการใช้บริการที่ชัดเจน หากใช้เวลาเกินก็หมายความว่าบ่าวสาวต้องจ่ายเงินเพิ่ม เดี๋ยวจะเป็นการสร้างภาระให้เจ้าภาพโดยไม่จำเป็น ดังนั้นรักษาเวลา สำรวจข้าวของของตัวเองให้เรียบร้อย บอกลาเจ้าของงานและเดินทางกลับอย่างปลอดภัย

ข้อมูล : theknot.com

เรียบเรียง : KimZ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

“พิกเล็ท ชาราฎา” สวยหรูหราออร่าจับ ในชุดแต่งงานอินสไปเรชั่นจากการ์ตูนมังงะ

5 ข้อห้ามควรรู้! ก่อนเลือก ชุดไปงานแต่ง ให้เหมาะสม ใส่แล้วไม่โป๊ะกลางงาน

ยิ่งอ่านยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังความรัก โต๋ & ไบร์ท 9 ปี “We Will Be Together”

หนึ่งในคำถามโลกแตกยอดฮิตที่คนมีคู่หนีไม่พ้น คือ เมื่อไหร่ควรขอแต่งงาน? สมัครใจรักใคร่ คบหากันมาได้แรมเดือน แรมปี ก็ไม่รู้สักทีว่าเวลาไหนถึงจะเรียกว่า เหมาะ สำหรับการสารภาพความในใจ คุกเข่าต่อหน้าคนรัก เพื่อขอแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที ถ้าหากเลือกเวลาไม่ดี โมเม้นต์ยังไม่ใช่ แทนที่เขาจะเซย์เยส ก็อาจกลายเป็นเซย์โนให้เจ็บกระดองใจกันไปอีก แพรวเวดดิ้ง จึงมีคำแนะนำดีๆ สำหรับใครที่กำลังหาตัวช่วยในการตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ไหนถึงจะเหมาะกับการ เซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงาน แล้วคนรักเซย์เยสทันที แฮ็ปปี้ทั้งสองฝ่าย ตามไปเช็คกันเลย

เซย์เยสหรือเซย์โน 6 ข้อที่ต้องเช็คให้แน่ใจ ก่อนทำ เซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงาน

1. ก่อนจะไปขอใคร ให้ถามใจตัวเองก่อน
ก่อนอื่นต้องเช็คตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าพร้อมแล้วจริงๆ ที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่รักไปเป็นคู่ชีวิต ถึงแม้คุณจะมีแหวนเตรียมไว้แล้วในมือ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้สึกพร้อมจริงๆ อย่าให้คำพูดกดดันของคนอื่นมามีผลกับการตัดสินใจของคุณ จงซื่อสัตย์กับตัวเองเข้าไว้ ใช้เวลาทบทวนดีๆ ให้คิดซะว่าตอนนี้คุณเป็นคู่แต่งงานกันแล้ว แทนที่จะคิดเรื่องขอแต่งงาน ถ้าความคิดที่ว่าคุณทั้งสองนั้นกลายเป็นคู่แต่งงานแล้ว ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นในทางที่ดี นั่นก็คงหมายความว่าคุณพร้อมที่จะคุกเข่าขอแต่งงานคนรักของคุณแล้ว แต่ถ้าความคิดเรื่องแต่งงานทำให้คุณรู้สึกหวั่นๆ ในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก คุณอาจจะต้องการเวลาในการคิดทบทวนเรื่องแต่งงานใหม่ และรอโอกาสอื่นที่เหมาะสมต่อไปดีกว่านะจ๊ะ

2. เราพร้อมแล้ว อีกฝ่ายพร้อมหรือยัง
การที่เราแน่ใจกับตัวเองแล้วนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ความคิดเห็นของอีกฝ่ายก็สำคัญเหมือนกัน เมื่อคุณมั่นใจกับความต้องการของตัวเองแล้ว ไม่ได้หมายความว่าอีกคนจะเห็นด้วย ระวังให้ดีเรื่องความรู้สึกที่ไม่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายตอบตกลงก่อนที่เขาจะพร้อมจริงๆ อาจจะเป็นตัวก่อปัญหาอื่นๆ ตามมาทีหลังได้ ให้สังเกตเวลาที่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ว่าคนรักของคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร มีท่าทีตื่นเต้น ให้ความรู้สึกพร้อมที่จะตกลงปลงใจแล้ว หรือรู้สึกไม่สนใจ พยายามจะออกห่างจากเรื่องนี้ทุกทีที่พูดถึง ถ้าเขาให้ความรู้สึกด้านลบกับคุณเวลาพูดเรื่องแต่งงานแล้วล่ะก็ ให้พับโปรเจ็กต์เรื่องขอแต่งงานไปก่อนชั่วคราว จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เชื่อเถอะว่าการขอแต่งงานไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์แย่ๆ นั้นดีขึ้นได้ เพราะช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการแต่งงาน คือช่วงเวลาที่ทั้งสองคนตกลงปลงใจในเรื่องเดียวกันแล้วนั่นเอง

3. สัญญาณบอกว่าเวลานี้แหละใช่เลย
วิธีที่ง่ายที่สุดถ้าเราอยากรู้ว่านี่คือเวลาที่ใช่สำหรับการขอแต่งงาน คือการจับสัญญาณต่างๆ ที่คนรักของคุณส่งมาให้ออก ทั้งคำพูดและการกระทำ สัญญาณที่ว่าอาจจะเป็นการที่อีกฝ่ายแอบเอานิตยสารเกี่ยวกับงานแต่งงานมาวางไว้ให้ผ่านตา หรือพูดถึงแบบแหวนสวยๆ ขึ้นมาลอยๆ ปกติแล้วก็จะเป็นสัญญาณอะไรง่ายๆ ทำนองนี้ ถ้าคนรักของคุณพูดเรื่องแหวนขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ถึงเวลาที่ต้องวางแผนเซอร์ไพร้ซ์ให้เจ้าตัวแล้วล่ะ

4. เรื่องวัยใช่ว่าไม่สำคัญ
อายุเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ว่าถึงเวลาที่คุณควรขอแต่งงานแล้วหรือยัง เพราะเรื่องวัยนั้นมีผลอย่างมากกับความรู้สึกของแต่ละคนต่อการแต่งงาน ที่เห็นได้ง่ายๆ เลยคือยิ่งคุณอายุน้อยเท่าไหร่ ยิ่งต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันและกันก่อนแต่งงานมากขึ้นเท่านั้น บางทีคู่รักที่อายุเยอะ อาจจะแต่งงานกันเร็ว เพราะต่างฝ่ายต่างมีวุฒิภาวะมากขึ้นและได้ใช้เวลาในการตัดสินใจเรื่องแต่งงานมามากกว่าคู่ที่อายุยังน้อย การใช้อายุมาเป็นหนึ่งในเหตุผลในการตัดสินใจ จะช่วยให้คุณได้พิจารณาเรื่องความพร้อมของอีกฝ่าย และเวลาที่เหมาะสมในการแต่งงานของคุณทั้งสอง

5. โนมันนี่ โนฮันนี่ นะจ๊ะ
ข้อนี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าคิดดูให้ดีๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การขอแต่งงานไปจนถึงการจัดงานแต่งงาน ล้วนแต่ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมในการขอแต่งงาน คือเมื่อคุณมีเงินพร้อมที่จะแต่งงานแล้วนั่นแหละ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องใช้เงินฟู่ฟ่าอลังการเกินตัว แค่ตั้งงบประมาณไว้และรอจนกว่าจะเก็บได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แบบนี้แล้วทั้งคุณและคนรักก็จะไม่ต้องมานั่งเครียดกับเรื่องการเงิน ได้เลือกซื้อแหวนในแบบที่ชอบ หรือแอบทำเซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงานก็ได้ถ้าต้องการ โดยที่ไม่ต้องเป็นหนี้ให้ปวดหัวจ้า

6. ช่วงนี้ของปีแหละดีที่สุด
จะดีแค่ไหนถ้าเราได้มีอีเว้นท์เซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงานในวันพิเศษของปี ซึ่งจะติดอยู่ในความทรงจำให้เราได้คิดถึงไปตลอด แต่ต้องดูให้ดีว่าช่วงเวลานั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่อ่อนไหว อย่างเช่นวันครบรอบวันเสียชีวิตของคนใกล้ตัว หรือเป็นวันที่มีเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างอื่นเกิดขึ้นมาก่อน คุณอาจจะตื่นเต้นที่จะได้ขอคนรักแต่งงาน แต่อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ก็เป็นได้ ถ้าอยากให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีของทั้งสองฝ่ายแล้วล่ะก็ เช็คความเรียบร้อยของสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวในวันที่วางแผนไว้ให้ชัวร์ ว่าเหมาะสมและไม่เสี่ยงต่อการทำให้อีเว้นท์ล่มแน่ๆ

แม้ว่าวันเวลาที่เหมาะสมในการขอแต่งงานอาจจะไม่แน่นอนตายตัว แต่ถ้าเก็บเอาคำแนะนำข้างต้นไปพิจารณาและเชื่อมันในการตัดสินใจของตัวเองแล้วล่ะก็ อาจจะช่วยให้คุณเลี่ยงอุปสรรคใหญ่ๆ ในการขอแต่งงานได้ ที่สำคัญคืออย่าให้คนอื่นมีผลต่อการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ความพร้อมของคุณและคนรักเท่านั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าทำได้ตามนี้แล้วล่ะก็ เรื่องอีเว้นท์เซอร์ไพร้ส์ขอแต่งงาน ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะจ้า

ข้อมูล : weddingbee.com

เรียบเรียง : KimZ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เนย วรัฐฐา ตื้นตันใจ เพื่อนๆ เซอร์ไพร้ส์ จัดงานสละโสด แฮ็ปปี้กันถ้วนหน้า

5 ข้อห้ามควรรู้! ก่อนเลือก ชุดไปงานแต่ง ให้เหมาะสม ใส่แล้วไม่โป๊ะกลางงาน

9 ลุคสวยหรู เมื่อคนดังสวม ชุดแต่งงานบนพรมแดง ใครปังสุดต้องส่อง!