Lamborghini Aventador SVJ

1 ใน 900 คันทั่วโลก Lamborghini มูลค่าหลายสิบล้าน! ของ “คุณแบงค์ – ภัคคณวัฒน์”

Alternative Textaccount_circle
Lamborghini Aventador SVJ
Lamborghini Aventador SVJ

ซูเปอร์คาร์ถือเป็นความฝันของหลายคน รวมถึง “คุณแบงค์ – ภัคคณวัฒน์ เหมะธนานันท์” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Brother Global ธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะความรักซูเปอร์คาร์ค่ายกระทิงดุอย่าง Lamborghini ที่มีสตอรี่ไม่ธรรมดา

1 ใน 900 คันทั่วโลก Lamborghini มูลค่าหลายสิบล้าน! ของ “คุณแบงค์ – ภัคคณวัฒน์”

จุดเริ่มสตาร์ต

“ความจริงหลายคนที่ชอบซูเปอร์คาร์ส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบความเร็ว แต่หลงใหลในประวัติศาสตร์ของรถและงานออกแบบ สำหรับผมไม่ได้อินกับรถขนาดที่ต้องศึกษาว่ารถค่ายนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานแค่ไหน สมัยวัยรุ่นผมแค่รู้สึกว่าซูเปอร์คาร์เป็น Man Toy อย่างหนึ่ง

“พื้นฐานผมกลัวความสูง แต่ชอบความเร็ว เคยเล่นกีฬาเอกซ์ตรีมทั้งโกคาร์ต เจ็ตสกี วินเซิร์ฟ โดยเฉพาะการขับรถด้วยความเร็ว เพราะถ้าขับรถช้าผมจะง่วงนอน ผมขับรถตั้งแต่อยู่มัธยม สมัยนั้นมีการขับรถแข่งกัน เพื่อวัดว่ารถใครแรงและเร็วกว่า คล้ายๆ กับการแข่งควอร์เตอร์ไมล์ (การแข่งรถระยะสั้น 402 เมตร) ในสมัยนี้ แต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุน เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเพื่อนๆ ประสบอุบัติเหตุจากการขับรถกันหลายคน

“ประมาณ 20 ปีที่แล้ว รถซูเปอร์คาร์ระดับโลกที่ใครๆ อยากจะเป็นเจ้าของ เรียกว่า Three Kings ประกอบด้วย Ferrari, Porsche และ Lamborghini แต่สมัยนี้มี Four Kings เพิ่มมาอีกหนึ่งคือ McLaren ด้วยอายุขนาดนี้ (47 ปี) ผมขับรถซูเปอร์คาร์มาแล้วทุกค่าย ซึ่งมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกัน ยกเว้นลัมโบร์กินี เกือบจะได้ซื้อหลายครั้ง ติดที่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยประทับใจกับดีลเลอร์ในอดีต จึงคิดว่าคงไม่เหมาะ แต่ก็เคยได้ขับตอนไปเรียนที่อังกฤษ รู้สึกว่ามีความดิบ ผมเคยสังเกตว่าเวลาขับรถค่ายต่างๆ ทุกคนจะหันมองแต่ลัมโบร์กินีเสมอ ไม่รู้ทำไม คิดเองว่านอกจากความสวยหรู อาจด้วยภาพลักษณ์ของคนขับลัมโบร์กินีที่จะดูเป็นหนุ่มฮิป แนวแก๊งสเตอร์หน่อยๆ

“ก่อนหน้านี้ผมหยุดขับรถซูเปอร์คาร์มาหลายปี ด้วยอายุที่มากขึ้น แล้วมาถึงจุดที่เรียกว่าเบื่อหรือหมดแพสชั่น เพราะในชีวิตประจำวันการขับรถซีดานสบายกว่า เวลาจะขึ้นลงก็ไม่ลำบาก ปัญหาเวลาขับรถซูเปอร์คาร์ของผมคือสิ่งที่ควรจะดังอย่างวิทยุกลับไม่ดัง แม้จะติดเครื่องเสียงราคาหลักล้านบาท เสียงเครื่องยนต์กลบหมด แต่สิ่งที่ไม่ควรดัง…อย่างล้อรถกลับดัง หรือบางทีขับไปแอร์ไม่เย็น ต้องเปิดกระจก จนคนคิดว่าผมอยากโชว์ แต่ที่จริงแอร์เสีย (หัวเราะ)

“อีกเหตุผลสำคัญคือผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับสังคมซูเปอร์คาร์ เพราะไม่ดื่ม ไม่เที่ยวกลางคืน จึงทำให้หยุดขับไปหลายปี จนคิดว่าคงเลิกขับซูเปอร์คาร์เป็นการถาวรแล้ว”

หวนคืนวงการซูเปอร์คาร์

“เหตุผลที่ทำให้ผมกลับมาขับซูเปอร์คาร์อีกครั้งและได้เป็นเจ้าของรถลัมโบร์กินีคันแรกในชีวิตถือว่าค่อนข้างแปลก คือมีรุ่นน้องที่สนิทกันคนหนึ่งถามผมว่า ไม่คิดจะมีลัมโบร์กินีบ้างหรือ แล้วพยายามคะยั้นคะยอให้ผมลองแวะไปดูรถที่โชว์รูมตรงถนนวิภาวดีรังสิต บอกว่าสีแดงสวยมาก ผมตอบทันทีว่าผมชอบสีดำ รถทุกคันเป็นสีดำทั้งหมด เขาก็ยังเชียร์ว่าแร็ปสีได้

“ที่สุดตกลงรับนัดไปดูรถกัน ผมชวนน้องไหม (พลอยนภัส เชษฐกุลรัตน์) ภรรยาไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยเบรก ตอนมาเห็น Lamborghini Aventador S ครั้งแรกเริ่มรู้สึกว่าสวยดีเหมือนกัน แต่ยังเก็บอาการ รุ่นน้องก็จัดการให้ลองนั่ง เปิดประตู ซึ่งเป็นเหมือนปีกนก คือเขาอยากให้ซื้อเพื่อจะได้ขับเป็นเพื่อนกัน พร้อมกับบอกว่าถ้ายังไม่ตัดสินใจก็จองไว้ก่อน แล้วอีกไม่กี่วันผมก็บินไปอเมริกา พอกลับมามีเซลส์โทร.แจ้งว่ารถที่จองไว้มาแล้ว ถัดจากนั้น 3 วันผมก็เข้ามาที่โชว์รูมแล้วจัดการซื้อ โดยเลือกใส่ออปชั่นทุกอย่างที่มี (ราคาประมาณ 40 กว่าล้านบาท)

“ตอนซื้อคิดว่าเมื่อจ่ายแล้วก็ให้รถสไลด์ไปส่งที่บ้านเลย เพราะผมไม่ค่อยอินสักเท่าไร เลือกแบบเดิมๆ จากโรงงาน ไม่มีออปชั่นชุดแต่งเลยสักชิ้น แต่สิ่งที่ทำให้พลิกความรู้สึกคือได้พบกับคุณนัท – อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายรถค่ายนี้ เขาไม่แสดงตัวหรือวางท่าว่าเป็นเจ้าของเลย เดินมาพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเองเหมือนผมเป็นลูกค้าประจำ ผมทดสอบด้วยการขอแลกไลน์ ซึ่งปกติผู้บริหารระดับนี้จะไม่ค่อยให้ไลน์กัน แต่เขาให้ด้วยความเต็มใจ ทำให้ผมกับภรรยาประทับใจมาก

“แล้วคุณนัทก็ชวนผมเข้ากลุ่มไลน์ของคนขับรถลัมโบร์กินี ซึ่งผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะเคยมีประสบการณ์อย่างนั้นมาแล้ว แต่เขาบอกว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มย่อย อยากให้ผมเข้าร่วม ทำให้ผมค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจากการต่อต้านมาสนุกกับการมีเพื่อนใหม่ที่มักจะจัดทริปขับรถลัมโบร์กินีไปไหว้พระ ทำบุญ เข้าคอร์สปฏิบัติธรรม

“เมื่อได้ลองขับ Lamborghini Aventador S ของตัวเองครั้งแรก รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าทุกคันที่เคยขับมา ถือเป็นซูเปอร์คาร์ลูกครึ่งระหว่างอิตาลีกับเยอรมัน มีความเนี้ยบในแบบเยอรมัน บวกกับกลิ่นอายความเป็นอิตาลี ทำให้รถมีความสมบูรณ์มากๆ สมรรถนะควบคุมดี ทำความเร็วได้ทันใจ จนผมรู้สึกว่าไม่ใช่แค่การขับรถ แต่เป็น Experience ผมยกให้เป็น Hypercar (หรือหัวหน้าจ่าฝูงของรถซูเปอร์คาร์) เลยทีเดียว

“เหตุผลอีกข้อที่ทำให้หลงรักรถลัมโบร์กินีคือคุณนัท ตั้งแต่รู้จักกันเขาไม่เคยเสนอขายรถให้ผมเลย ทั้งที่ตอนผมมาโชว์รูมครั้งแรก รุ่นน้องผมกระซิบกับเซลส์ว่า ดูแลคุณแบงค์ให้ดีนะ เขาซื้อรถทุกคันได้หมดเลย ขนาดโชว์รูมก็ซื้อได้ ผมรู้เพราะคุณนัทเล่าให้ฟัง ลองคิดดูว่าคนทำธุรกิจจะมาบอกลูกค้าอย่างนี้ไหม ไม่มีทาง เพราะผมจะต้องตั้งกำแพงอย่างแน่นอน ผมจึงถามคุณนัทกลับไปว่าคิดอย่างไร เขาบอกว่าก็แค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร เพราะถ้าเขาจะขายคงขายนานแล้ว แต่ถ้าผมไม่ชอบ เขาก็ไม่อยากขาย หรือถ้าชอบ ก็ต้องขอถามเหตุผลก่อนอยู่ดีว่าจะซื้อเพราะอะไร ฟังแล้วไม่แปลกใจเลยที่วันนี้ลัมโบร์กินีจะกลับมาผงาดในประเทศไทยอีกครั้ง”

หลังจากเข้าสู่วงการลัมโบร์กินีเต็มตัวแล้ว คุณแบงค์เริ่มมองหารถครอบครัวแบบ SUV และสนใจ Lamborghini Urus

“คือผมอยากอุดหนุนคุณนัท พอเห็นว่าผมอยากได้ คุณนัทก็ชวนให้ร่วมทริปไปพัทยา เพื่อผมจะได้ลองขับรุ่นนี้ดูก่อน ซึ่งก็ขับดีจริงๆ ทีแรกจะซื้อรถสีดำ แต่น้องไหมเริ่มเบื่อสีดำแล้ว ผมเห็นว่าที่โชว์รูมมีสีฟ้าคันใหม่จอดอยู่ จึงบอกคุณนัทว่า เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯขอคันสีฟ้านะ แล้วผมจะขับกลับบ้านเลย เรื่องเงินค่อยจัดการตามหลัง พอกลับถึงโชว์รูม ปรากฏว่าพนักงานนำรถสีฟ้าไปล้าง คุณนัทจึงบอกให้ผมคุยกับภรรยาให้แน่ใจก่อนดีกว่า เผื่อไม่ชอบ เขาไม่อยากทำแบบค่ายรถอื่น

“คือเหตุผลที่ผมมีรถหลายคัน เพราะค่ายรถแทบทุกค่ายจะโทร.มาบอกว่า มีรถรุ่นใหม่เข้ามา อยากให้ลอง แม้ผมจะปฏิเสธ วันรุ่งขึ้นเขาก็จะนำรถมาจอดไว้ให้ลอง ซึ่งผมไม่ได้ชอบ แต่ก็ต้องรับซื้อไว้ด้วยความเกรงใจ ทำให้ผมมีรถเยอะ จนบางคันขับไปแค่ 55 ไมล์เอง คือขับวนอยู่แถวบ้านแล้วจอดทิ้งไว้ คุณนัททราบเรื่องนี้ ทำให้เวลาผมจะซื้อรถกับเขาจะถูกถามเหตุผลอย่างละเอียดก่อน ไม่อย่างนั้นไม่ยอมขายให้

“รุ่งขึ้นผมโทร.ไปบอกคุณนัทว่าขอซื้อสองคันเลย ทั้งสีดำกับสีฟ้า เพราะตัดสินใจไม่ได้ เขาตอบว่าขออนุญาตไม่ขายครับ เพราะผมมี Porsche Panamera 2 คันอยู่แล้ว ไว้ถ้าผมขาย Porsche Panamera แล้ว เขาจึงจะขาย Lamborghini Urus ให้ แล้วยังบอกอีกว่าเขารู้ว่าผมซื้อไปจอด อยากให้ซื้อเพื่อใช้จริงมากกว่า จนบัดนี้ผมจึงยังไม่ได้ Lamborghini Urus” (หัวเราะ)

ที่สุดของความแรงและมิตรภาพ

และแล้วก็ถึงเวลาของการได้ครอบครองรถลัมโบร์กินีคันที่ 2

“คุณนัทบอกว่ามีรถ Lamborghini Aventador SVJ เข้ามาเมืองไทยอีกหนึ่งคัน (ราคาประมาณ 60 ล้านบาท) เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น ผลิตแค่ 900 คันทั่วโลก ผมสั่งซื้อสีแดงทันที แต่เงื่อนไขคือคุณนัทบอกว่าผมต้องขาย Lamborghini Aventador S ก่อน แล้วค่อยซื้อคันนี้ ผมจึงทำเป็นรับปากไปว่าได้ แต่ขอเป็นหลังจากได้รถคันใหม่ก่อน

“สำหรับรถคันนี้ผมบอกแค่ว่าออปชั่นพิเศษมีอะไรสั่งหมด ไม่เอาแค่อย่างเดียวคือวิทยุ (หัวเราะ) อย่างตัวอักษร SVJ ที่ติดอยู่ด้านข้างรถก็มีสามออปชั่นให้เลือก คือแบบติดสติ๊กเกอร์ในเมืองไทยราคากว่า 70,000 บาท แบบเพ้นต์ตัวอักษร ประมาณ 6 – 7 แสนบาท และแบบที่ 3 คือเป็นเคฟลาร์ หรือคาร์บอนไฟเบอร์ ราคา 1.7 ล้านบาท คุณนัทแนะนำเป็นสติ๊กเกอร์ จะได้เซฟเงิน พอผมปรึกษาภรรยา เธอว่าถ้าติดแล้วไม่ได้ทำให้รถแรงขึ้นก็ไม่เอาดีกว่า คุณนัทจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาดูแลให้ ที่สุดจึงกลายมาเป็นเคฟลาร์ 1.7 ล้านบาท (หัวเราะ)

“ส่วนเบลดและล้อแมกซ์ผมเลือกแบบแพงสุด คือเป็นไลต์เวตทั้งหมด สำหรับเบาะปกติรถรุ่นนี้จะต้องเป็นเบาะ Bucket Seat (เบาะรถแข่ง) แต่ผมขอเปลี่ยนเป็นเบาะไฟฟ้า จะได้ไม่ต้องปรับ ส่วนผ้าหุ้มเบาะ สายซูเปอร์คาร์จะต้องเป็น Alcantara หรือกำมะหยี่ แต่ผมขอเป็นหนัง เพราะชอบกินขนม เวลาเลอะเทอะจะได้ไม่ต้องกังวล เพราะผมคิดเสมอว่า ‘ของมีไว้ใช้ คนมีไว้รัก’ สุดท้ายก็ได้ทุกอย่างตามที่ตั้งใจ” (แว่วว่าเฉพาะชุดแต่งรถคันนี้ของคุณแบงค์ 10 กว่าล้านบาทค่ะ)

“อารมณ์การขับ Lamborghini Aventador SVJ เหมือนขับรถแข่ง เพราะเบาและดิบมากๆ ถือเป็นรถที่ขับสบาย เป็น Everyday Use มากกว่า Lambor- ghini Aventador S เสียอีก แล้วสมรรถนะการขับก็นุ่มนวล ระบบขับเคลื่อนทุกอย่างทำให้รู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของตัวรถ อย่างเวลาเลี้ยวด้วยความเร็วสูง ถือว่าคมมาก (ติดถนนมาก)

“เวลาที่จะใช้โหมดขับขี่แบบเร็วอย่าง Sport หรือ Corsa ก็เหมือนกระทิงเปลี่ยว เวลารถติดปรับเป็นโหมดการขับขี่แบบ Strada ก็นุ่มนวลเหมือนนั่งในรถซีดาน แอร์เย็น เสียงก็ไม่ดัง คือตอบโจทย์ความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์จริงๆ

“อ้อ สุดท้ายผมไม่ได้ขาย Lamborghini Aventador S แม้รถสองรุ่นนี้จะเหมือนกันมาก ถ้าไม่ใช่คนเล่นรถจะแยกไม่ออก ต่างกันแค่ Lamborghini Aventador SVJ มีสปอยเลอร์หลังรถ จนมีบางคนคิดว่าผมเอารถไปติดสปอยเลอร์มาเพิ่ม (หัวเราะ) สำหรับเหตุผลที่ผมไม่ขาย Lamborghini Aventador S เพราะเป็นเหมือนตัวแทนมิตรภาพระหว่างผมกับคุณนัท ทำให้เรารู้จักกันและเป็นพี่น้องกัน ทำให้เกิดสิ่งดีงามในชีวิตผมเยอะมาก ผมได้รู้จักคุณนัทและคุณขวัญ (ม.ล. พลอยนภัส ลีนุตพงษ์) ภรรยา และลูกๆ น้องธีกับน้องแทน แล้วที่สำคัญคือวันนี้ผมมีน้องดาร์วิน ลูกที่ผมรอมานาน ผมก็ได้คำแนะนำจากคุณขวัญในการทำ IVF (In-vitro Fertilization) วันนี้ครอบครัวผมสมบูรณ์แล้ว

“ผมถึงบอกว่ารถคันนี้ไม่ใช่แค่รถ แต่เป็นความสวยงามของมิตรภาพระหว่างสองครอบครัว แม้จะไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่สนิทกันยิ่งกว่า เรารู้จักกันมาแค่ 2 – 3 ปี แต่เหมือนรู้จักกันมาทั้งชีวิต

“แต่ถ้าในมุมมองที่มีต่อรถ สำหรับใครก็ตามที่ไม่ติดขัดเรื่องการเงิน ถ้าได้ลองขับรถลัมโบร์กินีและเข้าใจมัน ผมรับรองว่าไม่มีทางไปขับรถค่ายอื่นแน่ สำหรับผมแล้วลัมโบร์กินีไม่ได้เป็นแค่ซูเปอร์คาร์ แต่เป็น Trophy of Success มีหลายคนบอกว่าทำไมคนขับรถซูเปอร์คาร์แล้วชอบถ่ายรูป ชอบโชว์รถ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ได้อวดรถ แต่น่าจะโชว์ความสำเร็จว่านี่คือหยาดเหงื่อแรงงานของเขา

“เพราะผมเชื่อว่าทุกความสำเร็จมีป้ายบอกราคาเสมอ ถ้าวันนี้เราประสบความสำเร็จ นั่นหมายความว่าเราจ่ายค่าความพยายามมากพอ ลัมโบร์กินีจึงเป็นสัญลักษณ์แทนความสำเร็จนั้นครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 986

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up