เจฟ ซาเตอร์

กว่าจะมีวันนี้…ไม่ง่าย “เจฟ ซาเตอร์” จากศิลปินโนเนมสู่เบอร์ท็อปของวงการดนตรี

Alternative Textaccount_circle
เจฟ ซาเตอร์
เจฟ ซาเตอร์

เขาคนนี้เคยผ่านช่วงยืนร้องเพลงบนเวทีโดยไม่มีใครรู้จักเขาสักคน เคยอยากเลิกเป็นศิลปิน และเคยฝันว่าวันหนึ่งจะได้มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง วันนี้ด้วยความสามารถและความพยายามได้พา “เจฟ ซาเตอร์” มาถึงจุดที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าชื่อนี้เป็นที่ยอมรับทั้งด้านงานเพลง งานแสดง และอื่นๆ อีกมากมาย ขณะที่ในฟากของชีวิต เขาก็ได้เรียนรู้ว่า “ควรใช้ทุกช่วงเวลาให้มีความสุข”

กว่าจะมีวันนี้…ไม่ง่าย “เจฟ ซาเตอร์” จากศิลปินโนเนมสู่เบอร์ท็อปของวงการดนตรี

คอนเสิร์ตเดี่ยว Jeff Satur Live on Saturn : First Solo Concert in Bangkok ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างคะ

“ประทับใจมากเลยครับ เพราะการได้มีคอนเสิร์ตเดี่ยวเป็นหนึ่งในความฝันของตัวเองมาตลอด ซึ่งในคอนเสิร์ตมีการเปิดคลิปวิดีโอตอนที่ผมไลฟ์คุยกับแฟนๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว วันนั้นผมพูดว่าความฝันสูงสุดคือการมีคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเอง และถ้าวันนั้นมาถึงมาดูกันนะ

“วิดีโอนั้นทำให้เห็นว่าเราเคยพูดแบบนั้นออกไปด้วย แล้วพอวันที่ขึ้นคอนเสิร์ตจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นมันกลับมา น้ำตาไหลเลยครับ เพราะแฟนๆ ตามมาดูเราจริงๆ (ยิ้ม)

“ผมพูดในคอนเสิร์ตว่าขอบคุณทุกคนที่มานะครับ มันเป็นคอนเสิร์ตที่ผมเล่าชีวิตตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มด้วยเพลงแรก ไม่กล้าบอกชัด (ปี 2557) ซึ่งเป็นเพลงที่ทำให้เรารู้จักกัน และผมก็มีอีกมุมที่ชอบฟังเคป็อป Hype Boy ของ NewJeans ผมก็ฟังนะ (ยิ้ม)

“แล้วยังได้โชว์เล่นพิณด้วย สมัยเด็กแม่บ้านชอบเปิดเพลงหมอลำตอนซักผ้า จึงเป็นชาวนด์ที่ผมได้ยินมาตลอด และผมก็นำมันมาอยู่ในเพลงล่าสุด Dum Dum และอยู่ในโชว์ของผมด้วย

“ผมดีใจมากที่ได้เล่าเรื่องราวของตัวเองว่าอะไรคือรากเหง้าที่เราโต เอเลเมนต์ต่างๆ ในเพลงก็มาจากสิ่งที่เราเจอในชีวิต มี VTR ที่ผมทำเอง เป็นเสียงของผม เป็นการเล่าสิ่งที่ผมอยากทำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ และผมจะเก็บมันไว้ตลอดไป” (ยิ้ม)

เจฟ ซาเตอร์

วางแพลนคอนเสิร์ตครั้งต่อไปหรือยังคะ

“อยากทำเวิลด์ทัวร์ครับ (ยิ้ม) เพราะเจพไปเล่นที่อินโดนีเซียกับสิงคโปร์มาแล้ว รู้สึกว่าการที่เราได้เจอแฟนตัวเป็นๆ แล้วเขาร้องเพลงเราเป็นกาษาไทยได้ มันสุดยอดมากๆ เจฟรู้สึกว่าพวกเขาน่ารักมาก  เขาอยากเจอเรา เราก็อยากเจอเขา แต่ในเมื่อเขามาหาไม่ได้ เราก็ควรจะไปหาเขา (ยิ้ม) เพราะถ้าให้ทุกคนมามันจะลำบากนะ ผมไปคนเดียวง่ายกว่า” (หัวเราะ)

ตอนนี้การทำงานแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้างคะ

“ตอนนี้เพลงในอัลบั้มใกล้ครบแล้วครับ ระหว่างนี้ก็ทำงานพาร์ตอื่นๆ ด้วย เช่น งานอีเว้นต์ งานแบรนด์ต่างๆ ถ่ายภาพ หรือถ่ายแฟชั่นวันนี้ก็ชอบมากครับ รวมถึงงานแสดงก็มีที่กำลังจะถ่ายทำ และในอนาคตก็น่าจะมีชีรี่ส์ด้วยครับ

“เจฟชอบที่ได้ทำงานหลายๆ อย่าง รู้สึกว่าชีวิตตื่นเต้นดี อย่างจู่ๆ มีอะไรที่ผมสนใจแล้วยังไม่มีโอกาสทำเข้ามาให้ได้ลองทำ จึงสนุกมากๆ ครับ เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยาวไปตลอดทั้งปี น่าจะได้เห็นผมในหลายๆ มุม

“ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเกินจุดที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก จึงมองว่าทุกอย่างเป็นกำไร เอนจอยกับทุกๆ โมเมนต์ ผมรู้สึกว่าชื่อเสียงที่เข้ามาไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงคุณค่าของงาน สิ่งสำคัญที่สุดคือเจฟต้องให้คุณค่ากับทุกงาน ซึ่งทุกงานมีคุณค่าของตัวเอง เจฟต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ได้”

แสดงว่าปีนี้จะได้เห็นงานแสดงเยอะ

“คงไม่เท่าพาร์ตงานเพลง แต่ก็เป็นงานที่ผมชอบและอยากทำมากๆ นะ อยากเล่นชีรี่ส์กับภาพยนตร์ ซึ่งก็มีหลายบทติดต่อมา แต่ผมอยากเลือกที่ผมมั่นใจว่าจะทำมันได้ดี เพราะบางบทผมก็ยังไม่มั่นใจ ผมมองว่างานทุกอย่างเป็นศิลปะ เราอาจจะต้องคุยดีเทลกันก่อน เพื่อดูว่าเราเหมาะกับบทนั้นไหม เพราะถ้าผมทำได้ไม่ดีพอ ก็ควรมีคนที่แสดงดีกว่าได้รับบทนั้นไป”

ในการทำเพลง แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนไหม

“เหมือนเดิมนะครับ คือมาจากการตั้งคำถามของทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว จากนั้นจะเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านั้นให้เป็นเพลงยังไง จะเล่าให้คนอื่นเข้าใจได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคำที่ออกมาจะต้องเล่าเรื่องได้หมด เพราะเพลงความยาวไม่กี่นาที ต้องรีบเล่าให้จบ (หัวเราะ)

“ฉะนั้นถ้าถามว่าผมได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร ทุกสิ่งเลยครับ จากเพลงคนอื่นก็มีนะ เวลาเราฟังเพลงแล้วเกิดคำถาม ก็นำมาต่อยอดเป็นเพลงของเราได้”

แล้วสไตล์การทำงานเปลี่ยนไปไหมคะ

“ต่างมากครับ เมื่อก่อนผมทำอะไรคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างฉันต้องทำเอง แต่ตอนนี้มีทีมเข้ามาช่วย ซึ่งทุกคนมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความชำนาญที่แตกต่างกัน ก็มีการคุยแบ่งงานกัน ไว้ใจกันมากขึ้น

“เพราะในการทำงานผมเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ เมื่อก่อนจึงทำเองหมด แต่พอถึงจุดหนึ่งเราเรียนรู้แล้วว่าไม่ไหว เราไม่สามารถเก่งได้ทุกเรื่อง ต่อให้เราจะทำสิ่งนั้นได้จริงๆ แต่ถ้าไม่มีเวลา มันก็ออกมาไม่ดี แต่ถ้าแบ่งให้คนอื่นช่วย เราอาจจะได้อะไรใหม่ๆ จากสิ่งที่เขาทำก็ได้”

ตอนนี้ความเพอร์เฟ็กชันนิสต์ลดลงแล้วเหรอ

“ถ้าความเพอร์เพ็กชันนิสต์ในการทำงาน เยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกครับ (ยิ้ม) แต่ไว้ใจให้คนอื่นทำมากขึ้น คือเมื่อก่อนเพอร์เพ็กชันนิสต์จนตัวเองเหนื่อย เพราะทำคนเดียว บางครั้งงานอาจจะเพอร์เฟ็กต์ที่สุดในโมเมนต์นั้น แต่จริงๆ แล้วยังไปได้อีก ขณะที่เราเหนื่อยแล้วจากการลุยคนเดียว

“แต่ตอนนี้ที่บอกว่ายิ่งกว่าเดิมเพราะเราละเอียดมากขึ้น อย่างเวลาทำเพลง ไปถึง 9 ดราฟต์ 10 ดราฟต์ จากที่มีทีมช่วยกันทำ แล้วผมคอยดูในทุกๆ ขั้นตอน ซึ่งทำให้เรายังมีพลัง มีความละเอียดมากขึ้น”

เล่าถึงการทำงานของ Studio on Saturn ที่เจฟดูแลหน่อยค่ะ

“ผมว่าดีมากเลย เป็นอีกพาร์ตหนึ่งของผมที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้ตัดสินใจอะไรหลายอย่างด้วยตัวเอง อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ดีที่มีทีมคอยซัพพอร์ตสิ่งที่เราคิด โดยกับ Warner Music ก็เป็นทีมเดียวกัน ทำงานด้วยกัน เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด เป็นเหมือนครอบครัวและเซฟโซนในการทำงานของผม”

เจฟ ซาเตอร์

ช่วงที่ผ่านมาอีกพาร์ตของเจฟที่เห็นเยอะขึ้นก็คืองานแฟชั่น

“ครับ ผมชอบแฟชั่นมากนะ เป็นสิ่งที่ผมมีแพสชั่นกับมัน ไม่เฉพาะกับตัวเสื้อผ้า แต่ประวัติความเป็นมากว่าจะเป็นเสื้อผ้าแต่ละชิ้นก็มีเรื่องราวไม่เหมือนกัน ผมชอบอ่านประวัติแบรนด์และประวัติดีไซเนอร์แต่ละคน

“อย่างก่อนหน้านี้ได้ไปงานน้ำหอมของ Chanel ซึ่งเจฟเคยทำบล็อกเล่าเกี่ยวกับประวัติ Coco Chanel ทำให้เจฟรู้เรื่องของเขา รู้ว่าเกิดที่ไหน เติบโตมายังไง อะไรคือแพสชั่น แต่ละแบรนด์ก็มีความเป็นมาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งทำให้เจฟอินมากๆ

“หรือก่อนหน้านี้ที่บินไปชมแฟชั่นโชว์แบรนด์ Versace ผมก็ดูซีรี่ส์เกี่ยวกับเรื่องราวของเขา 8 ตอนรวดเพื่อให้รู้สตอรี่ ซึ่งพอได้ชมโชว์ของเขา ผมก็อินจริงๆ เพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นมีคุณค่าของมัน แน่นอนว่าทั้งการออกแบบ ทั้งวัสดุ แต่จริงๆ แล้วผมมองว่าเรื่องราวข้างในเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เสื้อผ้าแต่ละชิ้นมีคุณค่า”

เจฟชอบแต่งตัวสไตล์ไหนคะ

“หลากหลายเลยครับ ชอบใส่เสื้อผ้าหลายแนว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และยังไม่เคยเจอแบบที่ใส่แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราเลย ผมมองว่าเราก็ส่วนหนึ่ง เสื้อผ้าก็ส่วนหนึ่ง อย่างเวลาเราใส่เสื้อผ้าแนวเรียบๆ ขรึมๆ บุคลิกในวันนั้นก็จะเป็นไปตามเสื้อผ้า เหมือนเจอกันครึ่งทาง

“ผมจึงยังไม่เคยเจอว่าเสื้อผ้าสไตล์ไหนที่ใส่แล้วไม่ชอบ ทุกวันนี้ก็ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาได้ใส่ชุดใหม่ๆ อย่างวันนี้ถ่ายงานกับ แพรว ก็ตื่นเต้นว่าพี่ๆ จะเตรียมชุดอะไรมาให้ จะออกมาเป็นอย่างไร ผมชอบความรู้สึกนี้นะ” (ยิ้ม)

จากที่ลองมาหลายอย่าง ถ้าเลือกได้ อยากพัฒนาสกิลอะไรเพิ่มคะ

“อยากเรียนเต้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังเต้นไม่ค่อยได้ ที่ผ่านมาผมชอบดูนะ อย่างเคป็อป ชอบวิธีเพอร์ฟอร์ม พอเขาเต้นแล้วมันเท่ดี ถ้าเราทำได้แบบนั้นบ้าง เวลาอยู่บนเวทีก็คงจะเท่ดีครับ (ยิ้ม)

“และถ้ามีเวลาอยากเรียนภาษาเพิ่มอีกหลายๆ ภาษา ผมอยากสื่อสารกับแฟนๆ ในประเทศที่ไปได้ เพราะถ้าสามารถพูดเองโดยไม่ต้องมีล่ามคงจะดีมากๆ”

แล้วอะไรที่เจฟรู้สึกว่าทำใด้ดีที่สุด

“น่าจะเป็นการเอนจอยกับอะไรง่ายๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี (หัวเราะ) อย่างตอนที่ผมดื่มน้ำแล้วมันอร่อย ผมก็แฮ็ปปี้แล้วนะ ซึ่งพยายามจะทำอย่างนี้ให้ได้ในทุกวัน คือไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องชีเรียสกับทุกเรื่อง พยายามเป็นตัวเองให้มากที่สุด มีความสุขกับสิ่งรอบตัว เป็นเจฟ ซาเตอร์ คนเดิมที่ไม่ได้ต่างไปจากเดิม อย่างตอนที่สัมภาษณ์กับ แพรว เมื่อปีก่อนเป็นแบบไหน…ตอนนี้ก็ยังเป็นเจฟคนเดิมครับ”

กลับกัน มีข้อเสียอะไรที่อยากแก้ไขไหม

“ผมรู้สึกว่า…ผมควรจะนอนเร็วกว่านี้ (หัวเราะ) บางวันเราใช้เวลาทั้งวันไปกับหลายอย่าง ทั้งทำงาน ออกไปโน่นนี่ ซึ่งผมเป็นอินโทรเวิร์ต ต้องมีเวลาอยู่กับตัวเองในทุกวัน ซึ่งช่วงนี้ใช้เวลานอกบ้านเยอะ เวลาตรงนี้ก็น้อยลง และพอผมใช้เวลาก่อนนอน มันจะไปกินการนอน ยิ่งบางวันต้องตื่นเช้า ทำให้นอนไม่พอ

“ผมจึงอยากปรับปรุงตัวเองเรื่องนี้ เพราะผมรู้ว่าถ้าได้นอนมากขึ้นจะดีมาก ร่างกายต้องการพักผ่อน แต่ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วครับ”

แล้วช่วงเวลาส่วนตัวก่อนจะนอนทำอะไรบ้างคะ

“โอ้…เรื่อยเปื่อยเลยครับ เวลาผ่านไปเร็วมาก เป็นช่วงท่องโลกอินเทอร์เน็ต (หัวเราะ) ดูทวิตเตอร์ ติ๊กต็อก อินสตาแกรม ยูทูบ ผมชอบดูงานเพลงคนอื่นว่าตอนนี้เขาทำผลงานกันแนวไหน เป็นอย่างไรบ้าง”

ช่วงปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เจฟได้เรียนรู้อะไรจากตรงนี้คะ

“สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือไม่มีอะไรง่ายเลย อย่างการทำเพลงสักเพลงมีดีเทลเยอะ การที่เพลงจะมีกระแลขึ้นมาหรือมีคนพูดถึง เป็นเพราะความใส่ใจในทุกดีเทล

“หรือการเป็นนักแสดง ต้องมีการฝึกฝน เตรียมตัว ผ่านการทำการบ้านอย่างหนัก จึงจะเป็นนักแสดงได้ ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน และไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายขนาดนั้น ฉะนั้นควรจะให้เกียรติคนทำงานด้วยกัน เพราะทุกอาชีพและทุกตำแหน่งมีดีเทลที่แตกต่าง ควรเคารพคนอื่นให้เท่ากับที่เราเคารพตัวเอง ทุกคนควรอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ควรมีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร ผมว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด”

เจฟเคยเล่าว่าช่วงแรกที่ทำงานกลัวจะทำให้คนอื่นผิดหวัง แต่ตอนนี้เริ่มเป็นตัวเองมากขึ้นแล้วใช่ไหม

“ใช่ครับ (ยิ้ม) ผมว่าหลายคนอาจจะมีมุมที่อยากทำให้ทุกคนยอมรับ ซึ่งไม่ผิดนะ แล้วแต่ทิศทางของแต่ละคน ถ้าทำแล้วมีความสุขก็โอเค แต่สำหรับเจฟรู้สึกว่าการที่เราพยายามเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากใครบางคน หรือการได้เป็นที่ชื่นชอบของใครบางคน มันยากมากนะ เพราะเขามีไม้บรรทัดที่ไม่เหมือนกัน เราไม่มีทางรู้ว่าสิ่งไหนจะตรงใจเขาที่สุด

“แม้เราจะพยายามยัดตัวเองเข้าไปในโมเดลที่เขามี มันก็ยังยากมากอยู่ดี เพราะเราอาจจะเป็นสี่เหลี่ยม แต่โมเดลของเขาเป็นวงกลม การพยายามยัดตัวเองลงไปในกรอบนั้นอาจทำให้เราเจ็บตัวเปล่าๆ หรืออีกมุม สมมติคุณพ่อคุณแม่อาจจะแค่อยากให้เรามีความสุขในสิ่งที่ทำ แต่เราดันไปคิดว่าเราควรจะต้องเป็นที่ยอมรับ ต้องประสบความสำเร็จ ซึ่งจริงๆ แล้วเราอาจจะกดดันตัวเองมากไป

“ผมชอบแนวคิดหนึ่งที่บอกว่าแค่ลองใช้ชีวิตให้ง่ายๆ เพียงแค่มีความสุขในทุกวัน ฟังดูง่ายนะ แต่คนเรามักทำไม่ได้ เพราะนี่แหละยากที่สุดแล้ว (หัวเราะ) ฉะนั้นยิ่งเราใส่ใจตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ เพียงแต่ให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ค่อยๆ ฝึกให้ตัวเองมีความสุข ผมรู้สึกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เราควรจะทำ”

เจฟ ซาเตอร์

แล้วเจฟต้องฝึกไหมคะ

“ฝึกครับ ฝึกคิดให้น้อยลง อย่ากังวลกับอะไรมากเกินไป ที่หน้าจอมือถือเจฟมีข้อความเขียนว่าเรามีชีวิตอยู่แค่ 4,000 อาทิตย์ แล้วพอเลื่อนไปจะเจอว่า มองตรงนี้ก่อน…ปัญหาไม่ได้ใหญ่เท่าที่คิด (หัวเราะ) เป็นเหมือนยันต์ไว้เตือนตัวเอง”

เคยคิดภาพตัวเองตอนอายุ 30 หรือ 40 ปีไหมว่าเป็นอย่างไร

“ไม่อยากคิดเลย ไม่เอา…ไม่คิด (หัวเราะ) ผมพารานอยด์และแพนิกง่ายมาก เพราะฉะนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองโอเคคืออยู่กับปัจจุบัน ถ้าต้องคิดว่าอายุ 30 จะทำอะไรอยู่ ชีวิตจะเป็นอย่างไร จะมีเงินไหม ผมคงเครียดมาก เลยไม่อยากคิดครับ ขอแค่เอนจอยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันดีกว่า” (ยิ้ม)

เหมือนที่เจฟเคยบอกว่า “เราต้องอยู่กับปัจจุบัน”

“ใช่ครับ มันเป็นโคว้ตหนึ่งของเจฟ ‘เราต้องอยู่กับปัจจุบัน’ และยังคงเป็นแบบนั้นเสมอ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเราควรตักตวงความสุขที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันให้ได้มากที่สุดด้วย นี่คือสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในเจฟวัย 28 ปีครับ (ยิ้ม) คือเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเจฟตอนอายุ 30 จะตอบแบบนี้อยู่หรือเปล่านะ อาจจะมีมุมมองที่เปลี่ยนไปอีกก็ได้”

เห็นลุคเป๊ะตลอดแบบนี้ อยากรู้ว่าเจฟมีมุมโก๊ะๆ เปิ่นๆ บ้างไหม

“มีเยอะเลย (หัวเราะ) คือเวลาทำงานเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ แต่ในพาร์ตชีวิตไม่เลยครับ ผมทำของพังบ่อยมาก และไม่มีระเบียบเลยด้วย

“แฟนคลับน่าจะเคยเห็นมุมนี้ของผมบ้าง แต่อาจไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดไหน เพราะของพังประจำเลย เช่น ขาไมค์พัง สร้อยขาด สร้อยข้อมือหลุด หรืออีกมุมคือใช้ชีวิตยาก (หัวเราะ) สมมติมีแก้ววางอยู่บนโต๊ะ แล้วผมจะหยิบขนมที่วางอยู่หลังแก้ว ผมก็จะอ้อมมือไปหยิบ แล้วทำแบบนั้นอยู่หลายรอบ ทั้งที่แค่ยกแก้วออกก็จบแล้ว (หัวเราะ) ไม่เข้าใจมุมแบบนี้ของตัวเองเหมือนกัน

“หรือผมตั้งใจหยิบเอกสารการเงินของคุณเม่ไปธนาคาร พอไปถึง สิ่งที่ผมหยิบไปคือใบรับรองแพทย์ แล้วเป็นแบบนี้บ่อยมาก (หัวเราะ) เมื่อก่อนเวลาชอบใครแล้วอยากคุยกับเขาก็จะพูดผิดๆ ถูกๆ ตะกุกตะกักตลอด ไม่เป็นตัวเอง คือเวลาตั้งใจทำอะไรแล้วมักจะพลาด ไม่รู้ทำไม ก็ตลกดีครับ” (หัวเราะ)

สมมติว่ามีหนังสือบอกเล่าเรื่องราวของเจฟ ซาเตอร์ อยากแชร์เรื่องอะไรที่ได้เรียนรู้ในวัย 28 นี้คะ

“อยากแชร์ว่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวัย 28 ปีนี้ก็คือความฝัน ทุกคนมีความฝัน มีแพสชั่นอยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องสำเร็จตามมาตรฐานที่สังคมวางไว้ เพราะแนวคิดต่างๆ ก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราอย่าเอาตัวเองไปวัดกับสิ่งเหล่านั้น

“ผมเจอเพื่อนในวงการบางคนเขารู้สึกว่าทำไมไม่ได้ดีเท่าคนอื่น ทำไมไม่สวยเท่าคนนั้น ไม่หล่อเท่าคนนี้ ทั้งที่ทุกคนมีความสวยงามต่างกัน มันเป็นแค่บรรทัดฐานของสังคมหรือคนบางคน เรายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ หน้าตาไม่ดี ทั้งที่คนที่จะอยู่กับตัวเรามากที่สุดคือตัวเราเอง

“เพราะฉะนั้นศัลยกรรมไมใช่เรื่องที่ผิดเลย ถ้าคุณทำแล้วแฮ็ปปี้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าทำเพื่อให้ตรงกับมาตรฐานของคนอื่น ให้ทำเพราะอยากทำจริงๆ ทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข สบายใจ แต่ไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปอยู่บนไม้บรรทัดของคนอื่น มันเหนื่อยเกินไปสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องเจอแบบนั้น

“และผมมองว่าทุกอาชีพคืองานอาร์ตนะ ทุกคนเป็นอาร์ติสต์ เชฟ แม่บ้าน ทุกงานมีศิลปะในตัวเอง เพราะฉะนั้นในเมื่อทุกคนเป็นอาร์ติสต์ ก็ทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา มีความสุขที่จะทำ เล่าเรื่องของเราผ่านงานที่ทำ แล้วมีความสุขกับทุกโมเมนต์ของชีวิต…ประมาณนี้ครับ” (ยิ้ม)

เจฟ ซาเตอร์

เพราะเคยได้เรียนรู้จากช่วงเวลาเหล่านั้นมาแล้วใช่ไหมคะ

“ใช่ครับ ผมเคยสับสน เพราะก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเราต้อง Success ต้องประสบความสำเร็จ หรือการเป็นนักร้องที่ดีต้องเป็นแบบนี้ ผมเคยพยายามร้องเพลงให้เพราะเหมือนคนอื่น แต่ก็ทำไม่ได้ ร้องยังไงก็ไม่เหมือนคนอื่นสักที เคยถึงขนาดมีคนบอกว่าอย่าเป็นนักร้องเลย ไปเล่นกีตาร์เถอะ

“หรือการที่รู้สึกว่าตัวเองแต่งเพลงไม่ดีเลย เพราะก่อนหน้านี้ที่เริ่มแต่งเพลง ผมเคยโดนคอมเมนต์ว่าแต่งเพลงยึดไป ท่อนนี้ยังไม่ดี เนื้อเพลงอุปมาอุปไมยมากไป มันดูกวีเกิน หรือคำเป็นภาษาเขียนมากเกินไป จึงทำให้ผมเขียนเพลงได้แค่ครึ่งหนึ่งก็จะทิ้งตลอด ไม่เคยแต่งจนจบเพลงเลย ซึ่งผมเจออะไรแบบนี้มาตลอดการทำงาน

“กระทั่ง 2 ปีที่แล้ว พอทำงานเพลงจริงๆ อีกครั้ง ถึงรู้ว่ามันไม่ได้มีกฎการเขียนเพลง ไม่มีกฎห้ามใช้คำแบบนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้ ซึ่งถ้าใครกำลังรู้สึกซัฟเฟอร์กับเรื่องแบบนี้อยู่ ก็อยากให้หลุดพ้นมาจากตรงนั้นเถอะ เพราะมันไม่มีกฎจริงๆ นะเว้ย (หัวเราะ)

“มันไม่มีอะไรที่บังคับว่าวิธีการร้องเพลงต้องเป็นแบบนี้ 1 – 2 – 3 – 4 หน้าตาที่ดีต้องเป็นแบบนี้ 1 – 2 – 3 -4 ผมว่าแค่เราสนุก เอนจอยกับตัวเองก็พอแล้ว”

อะไรที่ทำให้ปลดล็อกเรื่องนี้ได้คะ

“หยุดคิดครับ…ผมหยุดคิดว่าถ้าปล่อยผลงานออกไปแล้วมันจะเป็นยังไง แค่ลงมือทำ Just do it. แค่นั้นเลย เปิดรับสิ่งที่จะเข้ามา โดยไม่ต้องคิดว่ามันจะออกมาเป็นยังไง แค่เอนจอยในการทำงานชิ้นนั้นและทำให้เต็มที่ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นเมื่อ 2 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ผมไม่คาดหวังกับผลลัพธ์ เพราะถ้าเราเต็มที่ ทำผลงานออกมาดี ก็ปล่อยให้งานพาเราไปเอง ผลงานที่ดีจะพาเราไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่” (ยิ้ม)


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 994

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up