ยอร์ช ยงศิลป์

รู้จักตัวตน “ยอร์ช – ยงศิลป์” และเส้นทางดาวที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

Alternative Textaccount_circle
ยอร์ช ยงศิลป์
ยอร์ช ยงศิลป์

กว่า 10 ปีมาแล้วที่ “ยอร์ช – ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์” โด่งดังสุดๆ จากบท “วันเฉลิม ลูกแม่ลำยอง” วันนี้ยอร์ชในวัย 21 ปี สะสมชั่วโมงบินและประสบการณ์มากมายบนเส้นทางนี้ สู่บทบาทใหม่ในฐานะศิลปินเดี่ยวที่เกิดขึ้นจากการทดลองสิ่งใหม่ๆ และค้นหาตัวเองในทุกวัน

รู้จักตัวตน “ยอร์ช – ยงศิลป์” และเส้นทางดาวที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ล่าสุดในฐานะศิลปินเดี่ยวค่าย Yorch Entertainment เป็นอย่างไรบ้างคะ

“เพิ่งปล่อยซิงเกิ้ลแรก Seven ขอบคุณทุกคนมากๆ ครับที่ให้การตอบรับอย่างดี ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ผมกลับมาจากเกาหลี (หลังจบโปรเจ็กต์ Trainee A) คิดว่าจะทำอะไรต่อ รู้ว่าอยากทำงาน อยากมีผลงานออกมา

“ตอนนั้นก็มีหลายค่ายติดต่อมา มีการพูดคุยกันแต่ยังไม่ลงตัว ใจผมไม่อยากทำเพลงแนว K-Pop หรือเต้นจริงจัง แต่อยากลองทำเพลงแนวที่ตัวเองชอบ แนว Hip Hop, R & B ที่เราได้ครีเอตและใส่ความเป็นตัวเองลงไป จึงตัดสินใจเปิดค่ายของตัวเอง Yorch Entertainment ครับ

“ซึ่งซิงเกิ้ลแรกได้พี่ทอย The Toys แต่งและโปรดิวซ์ให้ และตอนนี้ก็มีแพลนจะทำอีกเพลงอยู่ครับ ผมอยากทำเพลงเร็วดูบ้าง และถ้ามีโอกาสอยากลองทำเพลงด้วยตัวเอง ตั้งแต่คิดไอเดีย ทำดนตรีเองเลย”

แล้วงานละครมีแพลนไหมคะ

“ตอนนี้ผมอยากทำเพลงมากกว่า ยังไม่ได้คิดจะกลับไปเล่นละคร เพราะเป็นงานที่เราทำมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่เป็นบทดราม่า มีร้องไห้ ซึ่งค่อนข้างเครียด และสำหรับผม การร้องไห้มันยากมาก เลยขอพักก่อนครับ แต่ถ้ามีบทที่น่าสนใจก็อยากเล่นนะครับ”

ยอร์ช ยงศิลป์

บทแบบไหนคะที่จะดึงดูดยอร์ช

“น่าจะเป็นบทแปลกใหม่ที่ยังไม่เคยแสดง อย่างสืบสวนสอบสวน มีความซับซ้อนของตัวละคร มีเรื่องราว มีปมให้ค้นหา และได้พัฒนาฝีมือการแสดงของเราไปอีกขั้นหนึ่ง ผมชอบดูหนังแนวสืบสวนที่มีปม มีความพีค อย่าง เชอร์ล็อก โฮล์มส์

“หรือหนังที่มีความซับซ้อน มีหนังเรื่องหนึ่งที่ตัวละครมี 20 บุคลิกในคนเดียว ผมชอบดูการแสดงแบบนั้นมากๆ บางทีเขาเป็นเด็ก 9 ขวบ แล้วเดี๋ยวกลายเป็นฆาตกรโรคจิต แล้วกลับไปเป็นคนเรียบร้อย มันดูเท่และท้าทายมากๆ ครับ”

แฟชั่นก็เป็นอีกหนึ่งความชอบใช่ไหมคะ

“ใช่ครับ ผมชอบแต่งตัวและชอบดูสไตล์การแต่งตัวของคนอื่นๆ ด้วย เมื่อก่อนแต่งตัวจัดกว่านี้อีก เวลาออกจากบ้านแม่จะทักว่าเยอะไปไหม (หัวเราะ) ตอนนั้นใส่ได้หมดทุกแนวเลย กระโปรงก็ใส่ ผมว่ามันสนุกดีครับ แต่ตอนนี้ลดลง ไม่เยอะขนาดนั้นแล้ว เพราะด้วยการทำงานจึงเน้นสบายไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเปลี่ยนหน้างานอยู่ดี” (หัวเราะ)

ยอร์ชชอบแต่งตัวสไตล์ไหนคะ

“แนววินเทจครับ ชอบการเล่นสีเอิร์ธโทน สีคลาสสิก และการมิกซ์แอนด์แมตช์ ที่สามารถหยิบชิ้นที่ดูคอนทราสต์มาแมตช์เข้าด้วยกัน โดยไม่ได้มีแค่เสื้อกับกางเกง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้ามาพันแขน ผูกคอ แมตช์โทนสีให้เข้ากับเสื้อเพื่อเพิ่มลูกเล่น ผมชอบทดลองสไตล์ใหม่ไปเรื่อยๆ ครับ”

ถ้าเปรียบตัวเองเป็นตัวละคร คิดว่า “ยอร์ช -ยงศิลป์” มีคาแร็คเตอร์แบบไหนคะ

“ถ้ามองภายนอกส่วนใหญ่คนจะมองว่าผมเหมือนเด็กเงียบๆ แต่ถ้าได้รู้จักจริงๆ ผมค่อนข้างพูดมากนะ แล้วก็เสียงดังด้วย แต่จะเป็นแบบนี้แค่ตอนอยู่กับแก๊งเพื่อน มีแค่ 4 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นมุมของผมที่คนอื่นจะไม่ค่อยได้เห็นเท่าไร

“ผมมีความ Introvert หน่อยๆ ไม่รู้ว่าจะเข้าสังคมหรือจะเริ่มบทสนทนายังไงดี แต่ถ้ามีคนเริ่มคุยกับเราก่อน แล้วได้คุยกันไปเรื่อยๆ จนสนิทกันมากขึ้น ผมก็จะเริ่มพูดเยอะขึ้น หาเรื่องคุยเก่งขึ้นครับ”

ยอร์ช ยงศิลป์

หลายคนเข้าใจผิดว่ายอร์ชเป็นนักแสดงตังแต่เด็ก น่าจะชอบเข้าสังคม

“กลับกันเลยครับ ผมเห็นพี่ๆ นักแสดงหลายคนมีเพื่อนในวงการเยอะ บางคนเพิ่งเข้าวงการไม่นาน ทำงานไม่กี่ปี แต่คุยนู่นนี่นั่นกับทุกคนได้ กลับกันเวลาผมไปงานที่มีนักแสดงเยอะๆ ผมจะไปยืนตามมุม ซึ่งจะมีแค่คนเดียวที่อยู่กับผมคือพี่บลู เพราะเขาก็คล้ายๆ ผม คือไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยกับคนอื่นยังไงดี ทั้งที่ผมอยู่ในวงการตั้งแต่เด็กก็จริง แต่ก็ไม่ได้สนิทกับคนในวงการเท่าไร เพราะเวลาไปกองถ่ายก็ไปทำงาน ส่วนใหญ่จะนิ่งๆ ถ้ามีใครชวนคุยก็คุยบ้าง จึงรู้สึกว่าการทำงานมาตั้งแต่เด็กไม่ได้ช่วยเรื่องนี้เลย” (หัวเราะ)

แต่ถ้าสนิทกันจะได้เห็นยอร์ชอีกมุมหนึ่งแบบเสียงดังเลยใช่ไหม

“นิดหนึ่งครับ” (หัวเราะ)

แล้วเวลาทำงานคาแร็คเตอร์เป็นแบบไหนคะ แตกต่างจากเวลาปกติไหม

“ค่อนข้างจริงจังครับ แต่ไม่ถึงขั้นซีเรียส เพราะผมไม่อยากทำให้คนรอบข้างต้องเครียดไปด้วย อยากทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากกว่า แม้งานนั้นจะจริงจัง มีรายละเอียดหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้สถานการณ์ตึงเครียดตามไปด้วย”

เรื่องอะไรที่ซีเรียสมากที่สุด

“สำหรับผมคือเรื่องคำพูด บางครั้งเจอคนที่พูดไม่คิด เราฟังแล้วรู้สึกว่าคำนี้มันแปลกๆ ทำให้ผมค่อนข้างคิดมากเวลาที่จะพูดอะไรออกไป จนบางทีอาจคิดเยอะเกินไปและกลายเป็นคิดแทนคนอื่นด้วย ซึ่งมันเป็นข้อเสียนะ ผมจะคิดว่า…ถ้าพูดแบบนี้หรือทำแบบนี้ออกไปเขาจะรู้สึกยังไง จะไม่โอเคหรือเปล่า แล้วผมก็จะคิดชับซ้อนไปเรื่อย ทั้งในมุมเรา มุมเขา จนกลายเป็นว่าตัวเองมานั่งเครียด ยอมรับว่าผมคิดมากแล้วไม่พูดออกมา บางครั้งคิดแล้วคิดอีกจนคนอื่นอึดอัด”

ถ้าเลือกได้ อยากแก้ไขข้อเสียอะไรของตัวเอง

“ความจริงผมเป็นคนจริงจัง แต่ทำให้มันชิล ซึ่งพอชิลไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นความเครียดตอนสุดท้าย อย่างที่ผ่านมาคุยกับเพื่อนว่าจะทำเพลงกัน  แต่บอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเครียด ชิลๆ ปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ จนเริ่มดึก พอตี 3 ยังไม่ได้อะไรเลย ตอนนั้นแหละเริ่มเครียดแล้ว เป็นข้อเสียที่ผมอยากแก้ครับ”

แล้วถ้าเป็นฝั่งข้อดีล่ะ

“ข้อดี…น่าจะเป็นเรื่องการวางตัวครับ เพราะผมทำงานตั้งแต่เด็ก จึงได้เรียนรู้การอยู่ในสังคมการทำงานในวงการบันเทิงว่าต้องวางตัวอย่างไร ต้องพูดยังไง”

ยอร์ช ยงศิลป์

จำได้ใหมว่าเริ่มทำงานแรกตั้งแต่อายุเท่าไร

“ถ้านับจริงๆ ตอน 7 ขวบ ผมเริ่มถ่ายนิตยสาร แล้วก็เป็นนักแสดงประกอบ พอช่วง 10 ขวบ ประมาณ ป.3 – 4 เป็นช่วงเดินสายแคสต์งานไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้แสดงบทวันเฉลิมในเรื่องทองเนื้อเก้าครับ”

ถ้านับจำนวนการทำงานก็ 14 ปี เรียกว่าเกินครึ่งชีวิต ขอแชร์หนึ่งอย่างที่ได้เรียนรู้จากการทำงานตรงนี้หน่อยค่ะ

“สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือการทำงานกับคนหมู่มาก สมัยเด็กเราอาจจะไม่ได้โฟกัสเรื่องนี้ท่าไร แต่พอเริ่มโตขึ้น เราได้เรียนรู้การทำงานกับคนหลากหลายแบบ อย่างบางคนเราเห็นว่าเขาซีเรียสมากๆ จนบรรยากาศมันตึงเครียดไปหมด ก็อาจเพราะเขาอยากให้งานออกมาดี

“หรือการทำงานกับผู้กำกับแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สไตล์การทำงานแตกต่างกัน ด้วยความคิดและเหตุผลที่ต่างกันไป”

อะไรคือเรื่องภูมิใจที่สุดตอนนี้คะ

“ภูมิใจที่ตัวเองกล้าลองทำอะไรใหม่ๆ ครับ เมื่อก่อนผมไม่กล้าร้องเพลง มีงานอะไรที่ต้องร้องเพลง ผมไม่เอาเลย กลัวมาก หรือตอนไปต่างประเทศก็กลัวการใช้ชีวิตคนเดียว รู้สึกว่าต้องมีคนที่พึ่งพาได้สักคนอยู่ด้วย ตอนที่ผมไปเกาหลีครั้งแรก ผมขอให้ผู้จัดการไปส่งด้วย เพราะตอนนั้นยังขึ้นเครื่องบินคนเดียวไม่เป็น ตอนอยู่ที่โน่นก็พิมพ์ไลน์หาผู้จัดการให้สอนหลายๆ อย่าง แต่พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว จึงตัดสินใจลุยเลย ไปลุ้นเอาข้างหน้า ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี จึงภูมิใจที่ตัวเองกล้าลองทำอะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง”

ตอนไหนที่ทำให้ปลดล็อกตัวเองจนกล้าร้องเพลง

“ความจริงผมชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลงนะ เพียงแต่ผมไม่มั่นใจในตัวเอง จึงไม่กล้าร้องต่อหน้าคนอื่น กระทั่งจุดหนึ่งเห็นศิลปินที่เราชอบร้องเพลง ทำให้อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ซึ่งพอมีความอยากที่มากพอ จู่ๆ ก็กล้าทำขึ้นมาเอง บวกกับการที่ผมทำงานแสดงมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้สึกว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง และมันถึงเวลาแล้วแหละที่เราต้องลองทำ”

แล้วตอนขี้มีอะไรที่ยังไม่มั่นใจอยู่ไหม

“ผมไม่ค่อยมั่นใจในหลายๆ อย่างเลยนะ อย่างเรื่องร้องเพลงตอนนี้มั่นใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจจะอยู่ที่ประมาณ 70 อีก 30 ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าจะทำออกมายังไง จะทำได้ดีไหม ยิ่งเวลาดูศิลปินที่เพอร์ฟอร์แมนซ์เก่ง ร้องเพลงเสร็จก็พูดคุยเฮฮากับแฟนคลับได้เลย  แต่พอเราร้องเสร็จปุ๊บ จะทำยังไงต่อดี ยังมีความไม่มั่นใจตรงนี้อีกหลายอย่างครับ”

จากวันแรกที่เริ่มทำงานจนถึงวันนี้ แพสชั่นในการทำงานเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างคะ

“เปลี่ยนไปเยอะอยู่นะครับ สมัยเด็กไม่ได้คิดอะไร พ่อแม่ให้ทำเราก็ทำตามแค่นั้น ถ้ามีโอกาสเข้ามาเราก็ทำ เพราะทำแล้วได้ของเล่น อาจจะมีงอแงบ้าง แต่พอมีของแลกเปลี่ยนก็โอเค

“แต่พอโตขึ้นอีกนิด ความคิดก็เปลี่ยนไป มีบางช่วงที่ทำเพราะแพสชั่นจริงๆ บางช่วงก็อยากพักบ้าง แต่ด้วยหน้าที่ก็ยังต้องทำต่อไป จนมาถึงตอนนี้เราชัดเจนในตัวเองขึ้นแล้ว รู้ว่าชอบอะไรและอยากทำอะไร”

ระหว่างทางมีช่วงที่ท้อหรือทบทวนว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ดีบ้างไหม

“มีตลอดครับ เมื่อก่อนเราอยู่ในช่วงที่ต้องเรียนด้วย ทำงานด้วย แล้วก็เตรียมเข้ามหาวิทยาลัยด้วย หลายอย่างมากๆ เคยรู้สึกว่าเหนื่อยจนเราไม่อยากทำอะไรแล้ว ไม่อยากเรียน ไม่อยากทำงาน ขอนอนเฉยๆ สักวันได้ไหม แต่ก็เป็นแค่ความคิดชั่วครู่ เพราะสุดท้ายเราก็ต้องตื่นไปทำงาน ไปทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบของเราต่อไป”

กดดันใหมในวันที่เปลี่ยนจากนักแสดงก้าวสู่การร้องเพลงเป็นศิลปินเต็มตัว

“มากครับ อธิบายไม่ถูกเลย ความที่ภาพเราเป็นนักแสดงมาตลอดตั้งแต่เด็ก แล้วจู่ๆ จะมาร้องเพลง ก็กลัวคนจะมองว่ากลับไปเป็นนักแสดงเถอะ ไม่ต้องร้องหรอก ซึ่งผมคิดเยอะอยู่แล้ว จึงกังวลว่าทุกคนจะชอบไหม เพราะเขาก็คาดหวังกับเรามากๆ”

ยอร์ช ยงศิลป์

แล้วมีวิธีคลายความกังวลอย่างไรคะ

“ผมคุยกับคุณครูที่สอนร้องเพลงบ่อยมากเรื่องความมั่นใจ ให้คิดว่าที่เราร้องเพลงก็เพราะอยากร้อง ทุกคนที่มาดูก็อยากมาฟังเสียงเรา เขาไม่ได้มาเพื่อติหรือว่าอะไร เราร้องไม่ตรงคีย์ ไม่ถูกโน้ต คนที่มาฟังเขาพร้อมซัพพอร์ต ไม่ต้องกดดันตัวเอง ถ้ากังวลลองหลับตาร้องก็ได้ ซึ่งครั้งแรกที่ขึ้นเวทีผมหลับตาร้องจริงๆ จินตนาการว่ากำลังร้องเพลงอยู่ในห้อง”

เวลาเหนื่อยๆ เติมความสุขให้ตัวเองด้วยวิธีไหนคะ

“แค่ผมได้กลับบ้านก็มีความสุขแล้วครับ บ้านเป็นพื้นที่ที่เราจะล้มตัวลงนอนตรงไหนก็ได้ เป็นเซฟโซนที่เราได้พัก ได้อยู่กับครอบครัว ได้เล่นกับหมา แค่ได้กลับบ้านก็รู้สึกว่าได้ฮีลร่างกายและจิตใจแล้วครับ”

เวลาอยู่คนเดียวชอบทำอะโรคะ

“ผมชอบนอน (หัวเราะ) แล้วก็ชอบฟัง The Ghost Radio ครับ ซึ่งผมกลัวผีนะ แต่ก็ชอบฟัง ทั้งฟังแบบเอาสนุก ชอบฟังเวลาอยู่คนเดียว หรือตอนเดินทางชอบนั่งฟังบนรถ แต่ไม่ฟังตอนกลางคืนนะ เพราะผมกลัว” (หัวเราะ)

นอกจากฟังเรื่องสยองขวัญ มีงานอดิเรกที่ชอบอีกใหม

“อึม…ผมชอบเล่นเกมกับสะสมเทียนหอมครับ ไม่ได้สะสมจริงจังนะ แต่ชอบซื้อมาเก็บไว้ในห้อง ชอบเวลาจุดเทียนแล้วได้กลิ่นหอมๆ ผ่อนคลายดีครับ” (ยิ้ม)

จากที่เล่ามา น่าจะเป็นคนชอบใช้เวลาอยู่ในห้องนอนคนเดียว

“ใช่ครับ (ตอบทันที) แต่เพราะหลายๆ อย่าง เช่น คอมพิวเตอร์อยู่ในห้องนอน ผมจึงใช้เวลาอยู่ในห้องเป็นหลัก คือพอตื่นเช้าก็ลงมากินข้าวแล้วก็ขึ้นไป พอสัก 2 – 3 ทุ่ม ก็ถึงเวลานัดเล่นเกมกับเพื่อน แล้วก็อยู่บนห้องนอนยาวเลย นอนดึกมากๆ ครับ”

สำหรับยอร์ชเปรียบความรักเป็นสีอะไรคะ

“เป็นสีรุ้งครับ ความรักมีหลากหลายรูปแบบ สีจึงมีทั้งที่สดใสจนถึงสีดำ มีหลายอารมณ์และความรู้สึก”

ปิดท้าย…ยอร์ชในวัย 21 ปีวันนี้เป็นไปตามภาพที่ตัวเองคิดไว้ไหมคะ

“ก็มีบางอย่างเป็นไปตามที่คิดไว้เหมือนกันครับ และบางอย่างก็ไม่ได้คิดไว้เลย เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมคิดว่าคงทำงานแสดงไปเรื่อยๆ จนแก่ แบบว่าจนได้เล่นบทคุณพ่อ แต่พอมองชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกว่ามันพีคดีครับ (ยิ้ม) จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นศิลปิน มีเพลงของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่โดยรวมเป็นภาพที่ดี เป็นชีวิตแบบที่ชอบครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 995

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up