ดวงพร บุณยะจินดา

จุดเปลี่ยนชีวิต “ดวงพร บุณยะจินดา” ต่อสู้กับเนื้องอกในสมอง

Alternative Textaccount_circle
ดวงพร บุณยะจินดา
ดวงพร บุณยะจินดา

“คุณเอ – ดวงพร บุณยะจินดา” ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ Alisa ที่วันนี้มีลูกค้าระดับเอลิสต์อยู่ทั่วเมือง จากอดีตที่เธอขึ้นทำเนียบเซเลบริตี้สายปาร์ตี้ กระทั่งวันที่รู้ว่าป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง จึงถึงเวลาที่จะต้องหันมาดูแลตัวเอง 

จุดเปลี่ยนชีวิต “ดวงพร บุณยะจินดา” ต่อสู้กับเนื้องอกในสมอง

ก่อนจุดเปลี่ยน

“สมัยวัยรุ่น คุณแม่ (คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา) เป็นห่วงมาก ไม่ค่อยอนุญาตให้ไปเที่ยวสังสรรค์ พออายุประมาณ 20 ปี เอไปเรียนต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ ที่ ESMOD (cole suprieure des arts et techniques de la mode) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส จึงได้ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป คือทั้งเรียนและได้สังสรรค์กับเพื่อน เอนจอยไนท์ไลฟ์ (หัวเราะ) จากที่ชอบออกกำลังกายก็หยุดไปเลย พอเรียนจบกลับมาเมืองไทยประมาณปี 1999 เวลานั้นคุณพ่อ (พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา) ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ เอตัดสินใจเปิดร้านเสื้อผ้าแบรนด์ของตัวเองชื่อ Alisa ซอยทองหล่อ 3 เวลานั้นถือว่าประสบความสำเร็จมาก มีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ หลังเลิกงานเอชอบไปแฮ้งเอ๊าต์กับเพื่อนๆ กลับบ้านดึกดื่น จนโดนคุณแม่ดุเป็นประจำ ทำให้ชีวิตเอช่วงนั้นห่างเหินจากครอบครัว แต่ก็ห่วงสุขภาพนะคะ จำได้ว่าเอดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานวิตามินวันละเป็นสิบเม็ด เรียกว่าใครแนะนำว่าอะไรดีก็หาซื้อมาเหมือนเป็นการชดเชยให้กับร่างกาย

“ใจเอรักงานออกแบบ พอช่วงที่ดูแลลูกค้าได้ไม่เต็มร้อย เอจึงรู้สึกเสียใจ ตอนนี้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าเราเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมากๆ”

ถึงจุดเปลี่ยน

“วันหนึ่งจู่ๆ เอก็วูบหมดสติไปที่ร้าน พร้อมกับรู้สึกเจ็บตรงซี่โครง รีบไปโรงพยาบาล คุณหมอสั่งให้เอกซเรย์ MRI ทั้งตัวทันที ปรากฏว่าซี่โครงไม่เป็นอะไร แต่มาเจอเนื้องอกขนาดเท่าลูกเทนนิสที่สมองด้านซ้าย เอว่าคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดอาการวูบ ตอนนั้นคุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เพราะขนาดของเนื้องอกใหญ่มาก ถ้าทับเส้นประสาทอาจทำให้เกิดอาการชัก ปากเบี้ยว หรือถ้าแย่สุดคือเส้นเลือดในสมองแตก

“เชื่อไหมคะ เวลานั้นเอฟังหมอด้วยอาการที่ไม่ตกใจเลย เพราะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง คิดว่าเครื่องเอกซเรย์ MRI อาจประมวลผลผิดพลาด เพราะเวลานั้นร่างกายปกติทุกอย่าง ไม่เคยมีอาการปวดหัวใดๆ แต่พอลองมองย้อนกลับไป เราบั่นทอนร่างกายเหมือนกันนะ เราใช้อารมณ์ความรู้สึกเข้าข้างตัวเองไม่ได้

“ตอนนั้นเราใช้แต่อารมณ์ เชื่อว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร แต่ต้องขอบพระคุณคุณแม่และครอบครัวนะคะที่ยืนยันให้เข้าผ่าตัด ยอมรับว่าเอดื้อมาก ถ้าไม่ใช่การรวบตึงของครอบครัว เอก็ไม่มีทุกวันนี้ ความรู้สึกแรกหลังจากผ่าตัดคือตึงๆ หน่วงๆ ที่ศีรษะ วันแรกนอนเกือบตลอดเวลา พอวันที่สองเอก็ลุกจากเตียงได้แล้ว ผลการตรวจชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นเนื้องอกธรรมดา พอมองกระจกเห็นว่าศีรษะโล้นไม่มีผมก็เริ่มรู้สึกแย่ แว่บแรกคือทำไมไม่สวยเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร พอดีที่โรงพยาบาลมีร้านเบเกอรี่ เอก็สั่งซื้อคุกกี้ช็อกโกแลตมาวันละ 2 กล่อง พร้อมน้ำปั่น เพราะรู้สึกว่ากินแล้วมีความสุข เชื่อไหมคะว่าน้ำหนักจาก 52 กิโลกรัมขึ้นเป็น 64 กิโลกรัมภายใน 2 สัปดาห์ เอพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1 เดือนเพื่อรอดูอาการหลังจากผ่าตัด ทำให้เอได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ตอนแรกไม่ชอบเลยค่ะ แต่เราไม่มีทางเลือก พออยู่ไปเอถึงค้นพบว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ขึ้นอยู่กับมายด์เซตของเรานี่เอง”

อยู่กับสติ

“เมื่อถึงกำหนดออกจากโรงพยาบาล เอไปพักฟื้นที่บ้านหัวหินต่ออีก 4 เดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเองมากที่สุดในชีวิต โชคดีที่ไม่มีอาการข้างเคียง หลังจากผ่าตัด อย่างปวดหัว อาเจียน มีแค่นอนกัดฟัน ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้รู้สึกตกใจนะคะ เพราะเราควบคุมมันไม่ได้ ช่วงนั้นคุณหมอจึงต้องให้กินยา ทุกวัน

“ตอนนั้นถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนชีวิตของเอเลย จากสาวปาร์ตี้ ได้กลับมาอยู่กับตัวเอง ได้โทรศัพท์คุยกับคุณแม่และน้องดัง (พันกร บุณยะจินดา) บ่อย แปลกที่ความรู้สึกอยากดื่มหรือปาร์ตี้หายไปจากความคิด คงเพราะเริ่มชินกับการอยู่คนเดียว ประกอบกับสภาพร่างกายไม่อำนวย ผมก็ยังไม่ขึ้น แอบห่วงสวยนิดหน่อยค่ะ (หัวเราะ)

“ช่วงนั้นเอต้องไปเช็กอัพร่างกายที่โรงพยาบาลเดือนละครั้ง เพราะคุณหมอบอกว่ามีโอกาสที่เนื้องอกจะกลับมาอีก

“จำได้ว่าวันที่จะกลับจากการพักฟื้นที่บ้านหัวหิน คุณแม่มารับเอกลับบ้านด้วยตัวเอง พอเราได้สติกลับคืนมาจึงรู้แล้วว่าคุณแม่รักและเป็นห่วงมากแค่ไหน จึงตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ท่านกังวล เอเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการอยู่บ้านทุกวัน ใช้เวลาอยู่กับคุณแม่และครอบครัว คุณแม่ก็แฮ็ปปี้ที่เราใกล้ชิดกับท่านมากขึ้น เอยังแปลกใจตัวเองว่ากลายเป็นคนอยู่ติดบ้านไปเลย ใครจะคิด (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ แค่ดื่มไวน์หนึ่งแก้ว หรือวันไหนเพื่อนนัดไปกินข้าวเย็น สักสามทุ่มก็อยาก กลับบ้าน เพราะสี่ทุ่มต้องเข้านอนแล้ว ยิ่งย้อนกลับไปมองสิ่งที่ตัวเองทำในอดีต เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะมาก

“เมื่อไม่นานมานี้คุณแม่ไปทำบุญที่วัดแล้วกลับมาเล่าให้ฟังว่าพระอาจารย์ ที่นับถือบอกท่านว่าต่อไปลูกคนนี้จะเป็นไม้เท้าของแม่ ฟังแล้วรู้สึกปลื้มใจมากๆ ตอนเขียนการ์ดวันเกิดของคุณแม่ที่ผ่านมา เอทิ้งท้ายบอกท่านว่า เอจะเป็นไม้เท้า ของแม่ตลอดไปค่ะ

“เออยากจะบอกว่าครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ มีวันหนึ่งน้องดาว (พอฤทัย ณรงค์เดช) มาบอกว่าพี่เอเป็นกำลังใจให้ดาวมากเลยค่ะ (ยิ้ม) วันนี้ที่ชีวิตเอเปลี่ยนไปเพราะเมื่อใจเราแข็งแรงด้วยตัวเอง เราจะเห็นว่าทุกคนรักและห่วงใยเรามาตลอด ตอนนี้ใจเบาสบายมากๆ ค่ะ เวลามีเรื่องนอกกายเข้ามา ก็ค่อยๆ แก้ไขไป ไม่ฟูมฟายหรือทุกข์ร้อนเหมือนที่เคยเป็น เพราะใจเราเติมเต็มแล้ว”

ดวงพร บุณยะจินดา

กลับสู่โหมดดีไซเนอร์

“พอหายดีก็เริ่มอยากจะทำโน่นทำนี่ แต่คุณหมอไม่อยากให้ทำงานหนักมาก เพราะต้องใช้เวลารักษาบาดแผลข้างในสมองก่อน เอจึงกลับมาวาดภาพสีน้ำมัน อีกครั้ง ได้วาดภาพคุณแม่ น้องดาว น้องดัง และหลานดล (ณดณ ณรงค์เดช) แล้วก็อยากลดความอ้วน เริ่มด้วยการเดินออกกำลังกาย ชวนคุณแม่เดินรอบบ้าน ด้วยกัน เพราะทราบว่าคุณแม่ไม่ชอบการออกกำลังกายเป็นที่สุด จึงอาสาเดิน เป็นเพื่อนทุกเย็น ใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที ล่าสุดคุณแม่ไปตรวจสุขภาพ ปรากฏว่าค่าต่างๆ ที่สูงไปกลับมาเป็นปกติ พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าการเดินออก- กำลังกายถือเป็นยาที่ดีที่สุด เป็นยาอายุวัฒนะ แต่จิตใจก็สำคัญนะคะ ทั้งร่างกาย และจิตใจ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้

“เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 คุณแม่สร้างห้องเล็กๆ ให้เอสำหรับตัด เสื้อผ้า ช่วงนั้นคุณแม่ไม่อยากให้ออกไปไหน ท่านอยากให้พัก เอได้ช่างตัดเสื้อ ที่เคยทำงานด้วยกันและรู้มือกันกลับมา แม้จะเปิดแบรนด์ได้ไม่ถึงเดือนก่อน โควิด-19 แต่งานกลับล้นมือตลอด ช่างไม่เคยว่างเลยค่ะ (หัวเราะ) เริ่มมีลูกค้า มากขึ้น เพราะครอบครัวโดยเฉพาะน้องดาวช่วยโปรโมตลงไอจีและเฟซบุ๊กว่า ชุดนี้พี่เอตัดให้ ทำให้ตอนนี้ไม่มีเวลาตัดชุดให้ที่บ้านเลย (หัวเราะ)

“ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้ตัดชุดที่มีความพิเศษ เช่น ชุดเจ้าสาว ชุดเพื่อน เจ้าสาว ชุดผ้าไทย หรือเดรสสำหรับออกงาน งานออกแบบของเอเน้นการใช้ ผ้าไทยผสมกับชีฟองหรือลูกไม้ และมีการเติมดีไซน์เก๋ๆ เพื่อให้มีความร่วมสมัย สามารถติดตามงานของแบรนด์ Alisa ได้ที่ IG : @alisab.boonyachinda และ Line ID : laislaalisa ค่ะ”

ดวงพร บุณยะจินดา

ชีวิตที่เปลี่ยนไป

“ณ วันนี้ชีวิตแฮ็ปปี้มาก มีเวลาดูแลร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ตอนเช้า เอกินอะโวคาโดกับไข่ต้มหรือข้าวต้มปลา กลางวันเลือกข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่ ส่วนกับข้าวเน้นผักเป็นหลัก เช่นกันกับมื้อเย็น แต่ลดปริมาณลง ควบคู่กับการ ออกกำลังกายอย่างจริงจังและมีวินัย ตอนเช้าเดินเร็วประมาณ 3,000 ก้าว ใช้เวลา ประมาณ 25 นาที ช่วงเย็นนอกจากเดินเป็นเพื่อนคุณแม่แล้ว เอยังออกกำลังกาย ด้วย Cross Trainer เครื่องออกกำลังกายแนวคาร์ดิโอ ไม่เลือกการวิ่ง เพราะ กลัวมีผลต่อหัวเข่า จากนั้นอาจเต้นซุมบ้าอีกประมาณ 30 นาที

“สุดท้ายเออยากให้สิ่งที่เอเล่ามาทั้งหมดนี้เป็นกำลังใจสำหรับผู้อ่าน แพรว ทุกคนค่ะ เพราะการที่เรารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรและมีความบาลานซ์ อยู่แบบกลางๆ ไม่ต้องสุขมาก แต่ก็อย่าทุกข์เกินไป พยายามแบ่งเวลาชีวิตให้กับเรื่องดีๆ แบบครบทุกด้าน Work Hard, Play Hard แล้วชีวิตจะดำเนินไปอย่างแฮ็ปปี้ค่ะ” 


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 988

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up