ภูมิบำบัด

เปิดเรื่องราว “เพลินพิศ โกแวร์” สู้มะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดคนแรกของไทย

Alternative Textaccount_circle
ภูมิบำบัด
ภูมิบำบัด

“เพลินพิศ โกแวร์” อดีตผู้บริหารโรงเรียนอนุบาลเอกชนเข้าถึงสัจธรรมชีวิตและคุณค่าของความสุขเรียบง่ายในวันที่รอดชีวิตจากโรคร้าย

วันที่ฝันร้ายเริ่มต้น

“ช่วงอายุ 44 ปี (พ.ศ. 2557) ดิฉันคลำเจอก้อนที่เต้านมข้างซ้าย จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ผลคือมะเร็งเต้านมระยะแรก แต่อยู่ในส่วนที่ซับซ้อน และเพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจน คุณหมอแนะนำให้ไปตรวจกับโรงพยาบาลอื่นอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งทุกที่บอกเหมือนกันหมดว่า วิธีรักษาคือต้องตัดเต้านม

“โชคดีมีคนรู้จักแนะนำให้พบคุณหมอกฤษณ์ (รศ. นพ.กฤษณ์ จาฎามระ หัวหน้าศูนย์ สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อโรคมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย) โดยเขาช่วยนำ ผลตรวจและข้อมูลส่วนตัวของดิฉันไปฝากไว้ หลังจากนั้นไม่นานทางโรงพยาบาลแจ้งให้ดิฉันรีบมา พบคุณหมอเพื่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดด่วน เพราะก้อนเนื้อค่อนข้างใหญ่และอยู่ตำแหน่งที่ ผ่าตัดยาก แต่จะไม่ตัดเต้านมทิ้ง โดยจะผ่าเฉพาะก้อนเนื้อกับเช็กต่อมน้ำเหลืองว่าเชื้อมะเร็ง กระจายแล้วหรือยังด้วย

“หลังจากผ่าตัด เย็นนั้นคุณหมอมาเยี่ยมพร้อมกับนำก้อนมะเร็งขนาดเท่าลูกมะนาวแช่ใน ขวดแก้วมาให้ดู อธิบายว่าเซลล์มะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว จึงตัดออกไปสองต่อม ดิฉัน นอนพักที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นกลับบ้าน ก่อนออกจากโรงพยาบาลคุณหมอแนะนำว่า กินอาหารทุกอย่างได้ปกติ ปรากฏว่าแผลหายเร็วมาก พักไม่กี่วันก็ขับรถได้ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ไปพบคุณหมอเพื่อดูแผลผ่าตัด จากนั้นก็นัดตรวจเป็นระยะ จากทุก 3 เดือนค่อยๆ ขยับมา เป็นทุก 6 เดือน รวมทั้งทำอัลตราซาวนด์ด้วยทุกครั้ง

“กระทั่งปี 2560 พบฝ้าจางๆ ที่ตับ น่าสงสัยว่าเซลล์มะเร็งจะแพร่กระจาย จึงต้องทำ Biopsy (ตัดชิ้นเนื้อตับไปตรวจ) ผลคือมีเซลล์มะเร็งชนิดเดียวกับเต้านมแพร่กระจายที่ตับ ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที เพราะกระจายไปทั่ว ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นก้อน ดิฉันจึงถูกส่งตัวทำคีโม ซึ่งเกิดผลข้างเคียงหลายอย่าง ทั้งคลื่นไส้ อาเจียน ฝ่ามือฝ่าเท้าลอกจนเจ็บ ร่างกายเริ่มไม่ไหว จึงบอกหมอกฤษณ์ว่าจะไม่รักษาแล้ว แต่คุณหมอบอกว่ามาที่ตับนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็กำจัดหมด จึงตัดสินใจรักษาต่อ โดยไม่ทราบว่าการที่มะเร็งแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นหมายถึงการเป็นมะเร็ง ระยะที่ 4 ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ กระทั่งรักษาไประยะหนึ่งจึงได้ทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ระยะที่ 4 วันนั้นดิฉันบอกคนใกล้ชิดรอบข้างว่าตราบใดที่รักษาแล้วยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ พึ่งพาตนเองได้ ทำอะไรที่มีความสุขได้ ก็จะรักษาต่อไป แต่หากถึงวันที่รู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็จะหยุดรักษา

“การรักษาที่เกิดขึ้นช่วงนั้นจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อควบคุมไม่ให้เซลล์ มะเร็งแพร่กระจายมากขึ้น แต่เมื่อร่างกายเราเริ่มไม่ไหว จึงอยากเปลี่ยนมารักษาด้วยฮอร์โมน บำบัด [การใช้ฮอร์โมนในการรักษามะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ การใช้ยา เข้าไปแย่งที่ตัวรับสัญญาณเซลล์มะเร็ง (เอสโทรเจนรีเซ็ปเตอร์) เพื่อไม่ให้ฮอร์โมนกระตุ้นเซลล์ มะเร็งให้เติบโต ได้แก่ การใช้ยาที่เป็น Antiestrogen กับการทำลายหรือยับยั้งไม่ให้มีฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย กลุ่มนี้ประกอบด้วยหลายวิธี เช่น การทำลาย รังไข่ การยับยั้งการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศชายที่จะเปลี่ยนมาเป็นฮอร์โมน เพศหญิง ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ต่อมหมวกไต และการยับยั้ง การกระตุ้นจากต่อมใต้สมองที่จะกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนออกมา : ที่มา www. chulacancer.net]

“ดิฉันใช้วิธีหยุดการทำงานของรังไข่ไม่ให้ผลิตฮอร์โมน ซึ่งเราจะใช้วิธีตัด รังไข่หรือฉายแสงให้รังไข่ฝ่อลงก็ได้ ความที่ตั้งแต่เป็นมะเร็งดิฉันกินยาจำนวนมาก คนรู้จักซึ่งเป็นโรคเดียวกันบอกว่ายาที่กินทำให้มดลูกมีเนื้องอก ซึ่งก็พบว่ามี เนื้องอกในมดลูกจริงๆ จึงตัดสินใจให้คุณหมอผ่าตัดทั้งรังไข่และมดลูกออกไป หมดเลย หลังจากพักฟื้น 4 สัปดาห์ก็ไปพบคุณหมอเพื่อรับฮอร์โมนบำบัด คุณหมอที่รักษาตับบอกว่าจะยังไม่ผ่าตัด เพราะก้อนเนื้อมีขนาดเล็ก ให้ใช้วิธีแทง เข็มจี้ไฟฟ้า RFA (Radio Frequency Ablation) เพื่อทำลายก้อนมะเร็งให้ฝ่อไป

“ปรากฏว่าแทงเข็มจี้ไฟฟ้าไปสองครั้ง พบก้อนใหม่ขึ้นมาอีก คุณหมอตับ แนะนำให้กลับไปทำคีโมบำบัดจนกว่าเซลล์มะเร็งในตับจะลดลงหรือนิ่ง กระทั่ง ไม่ขยายหรือเพิ่มจำนวน ดิฉันจึงต้องทำคีโมอีกหลายรอบ ผมร่วงแล้วร่วงอีก มีการเปลี่ยนยาคีโมไปเรื่อยๆ จนก้อนเนื้อที่ตับเริ่มมีขนาดเท่าเดิม พร้อมผ่าตัด

“แต่กลับมีเรื่องน่าตื่นเต้นก่อนผ่าตัด เมื่อคุณหมอให้คิดทบทวนว่าจะผ่า หรือไม่ เนื่องจากพบก้อนเนื้อใหม่ขึ้นที่ตับอีก เท่ากับเซลล์มะเร็งยังไม่นิ่งและ มีโอกาสเกิดใหม่ตลอดเวลา คุณหมอไม่รับประกันว่าผ่าแล้วจะจบ จึงให้เรา ตัดสินใจเอง แต่ตอนนั้นคิดว่าไหนๆ ก็เตรียมตัวผ่าตัดแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จึงตัดสินใจผ่าตัดตามเดิม”

ภูมิบำบัด

เกือบสิ้นหวัง

“ครั้งนั้นเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เจ็บที่สุดในชีวิต แผลตั้งแต่ใต้อกลงมาเกือบ ถึงสะดือเฉียงทางขวาใกล้เอว ลักษณะคล้ายตัว L กลับด้าน ซึ่งตอนผ่าตัด มีปัญหาจากการสอดท่อแล้วโดนกล่องเสียง พอออกจากห้องผ่าตัดแล้วกลืน อะไรไม่ได้ สำลักตลอดเวลา ผ่านไป 2 – 3 วันอาการจึงเริ่มปกติ ต้องนอนพัก โรงพยาบาล 8 วันค่อยกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน กว่าจะลุกเดินได้ใช้เวลาเป็นเดือน

“จากนั้นกลับไปตรวจซีทีสแกน พบว่ามีก้อนเนื้อใหม่ขึ้นที่ตับอีก ต้อง รับคีโมอีกหลายรอบ รู้สึกท้อและเหนื่อย เพราะรักษามานานแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ร่างกายเริ่มไม่ไหว เงินก็หมดไปกับการรักษา อย่างยาคีโมบางตัวราคากล่องละ เป็นแสน ทั้งยังต้องหอบสังขารเหนื่อยๆ ไปทำงานหารายได้อีก

“หลังจากทำคีโมครั้งสุดท้ายแล้วผลซีทีสแกนออกมาว่ามะเร็งมีแนวโน้ม ลามไปที่กระดูก จึงตัดสินใจบอกคุณหมอคีโมบำบัดและคุณหมอในทีม อาจารย์กฤษณ์ว่าขอหยุดการรักษา อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้เกิด เมื่ออาจารย์ กฤษณ์ทราบ ท่านนัดไปคุยว่ามีวิธีรักษาอีกแบบเรียกว่ารักษาด้วยภูมิคุ้มกัน บำบัดหรือ Immunotherapy ที่ท่านกำลังศึกษา วิธีนี้ต่างประเทศก็กำลัง ให้ความสนใจ แต่คุณหมอบอกไม่ได้ว่าผลการรักษาจะเป็นอย่างไร เพราะ เป็นวิธีใหม่ รับประกันไม่ได้ว่าจะหาย และยังไม่เคยรักษาใครด้วยวิธีนี้ ท่าน อธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์ของการรักษาว่าเป็นการนำเซลล์เราออกไปให้รู้จัก กับมะเร็ง เพื่อทำเป็นวัคซีนฉีดกลับเข้าร่างกายให้ไปฆ่าเซลล์มะเร็ง คุณหมอ ถามว่าคิดอย่างไร จากที่ฟังหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้วรู้สึกมีความหวัง ดิฉันจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษา”

สู้มะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดคนแรกของไทย

“ต้นปี 2563 ดิฉันเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการรักษา โดยใช้ชีวิตปกติ เช่น รับประทานเนื้อสัตว์และของหวานได้ทุกอย่างในปริมาณพอสมควร เพราะ ช่วงเป็นมะเร็งแรกๆ เคยลดเนื้อสัตว์ ปรากฏว่าเม็ดเลือดแดงลดต่ำมาก จึงกลับมา ทานปกติ แต่ควบคุมปริมาณ นอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา ตอนนั้นดิฉันทำงาน เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเอกชน ต้องไปแต่เช้า จึงเข้านอนสามทุ่ม ตื่น ตีสี่ทุกวัน พร้อมทั้งทำคีโมอีกสองครั้ง โดยเลือกคีโมราคาไม่สูงมาก แม้จะมี อาการผื่นคันขึ้นตามมือ แขน และขาบ้าง แต่ไม่มากเท่าคีโมตัวเก่า

“กระทั่งทุกอย่างพร้อม จึงหยุดทำคีโม นัดตรวจเลือด เช็กสุขภาพ เริ่ม แอดมิตเดือนเมษายน ตรวจคลื่นหัวใจ เอกซเรย์ปอด เจาะเลือด งดน้ำ งดอาหาร เพื่อเตรียมเจาะบริเวณ ‘Central Line’ ที่อยู่ระหว่างคอกับไหปลาร้า แล้วใส่ท่อไว้ เพื่อนำเม็ดเลือดขาวออกมาสู่กระบวนการคัดเซลล์ออกจากเลือด นำไปปั่นก่อนฉีดกลับเข้าสู่ร่างกาย ระหว่างเจาะเลือดต้องนอนนิ่งๆ ห้ามขยับตัว 4 – 5 ชั่วโมง แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเซลล์ที่เก็บได้ ครบเมื่อไหร่จึงหยุด อย่างดิฉันผ่านการทำคีโมมาโชกโชน เซลล์ในเลือดอาจไม่สมบูรณ์ จึงใช้เวลาเก็บนานหน่อย”

9 โดสกับ 3 ไซเคิลฆ่ามะเร็ง

“วันรุ่งขึ้นต้องตรวจอัลตราซาวนด์ตับ ช่องท้อง เต้านม และหาต่อม น้ำเหลืองที่คอสองต่อมเพื่อเป็นจุดฉีดเซลล์ มีทั้งหมด 9 โดส แบ่งเป็น 3 ไซเคิลหรือเป็นรอบ รอบละ 3 โดส แต่ละโดสห่างกันสองสัปดาห์ เริ่มจาก ฉีดยาชาที่คอบริเวณต่อมน้ำเหลือง จากนั้นจึงฉีดเซลล์เข้าต่อมน้ำเหลือง ระหว่าง ฉีดห้ามกลืนน้ำลาย เพราะจะทำให้ต่อมน้ำเหลืองเคลื่อนที่ หลังจากฉีดเสร็จ ต้องเฝ้าระวังอาการครึ่งชั่วโมง ตรวจดูชีพจร ถ้าไม่มีอาการแพ้ นอนโรงพยาบาล 2 – 3 วันก็กลับบ้านได้

“จบรอบที่ 1 ต้องตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อติดตามดูความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นจากการรักษา คุณหมอกฤษณ์อธิบายว่าการฉีดเซลล์แต่ละรอบของคนไข้ แต่ละคน แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ไม่มีใครรู้ว่ารอบต่อไปเริ่มเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหมอ ของดิฉันจบรอบแรกไม่นานนัก คุณหมอให้ต่อรอบ 2 เลย แต่คราวนี้เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดหลังมาก ขนาดที่ต้องพบ หมอด้าน Pain Clinic เพื่อลดอาการปวด หายใจไม่อิ่ม หอบเหนื่อย เพราะ มีน้ำในปอด แต่คุณหมอยังไม่เจาะออก เพราะถ้าผลการรักษาดีขึ้น น้ำต้องลดลง

“อาการต่อมาคือท้องบวมเหมือนคนท้องสามเดือน และค่อยๆ โตเหมือน ท้องหกเดือน อาเจียนตลอดเวลา ตรวจอัลตราซาวนด์พบในท้องมีแต่แก๊ส คุณหมอให้กินยาลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และให้ยาช่วยแก้ไขไปตามอาการ คุณหมออธิบายว่าที่ร่างกายมีอาการต่างๆ เพราะการรักษาด้วยอิมมูโนเป็นการ ทำให้ภูมิคุ้มกันลุกขึ้นมาต่อสู้กับมะเร็งตับ ระหว่างที่สู้รบกันจึงพ่นพิษออกมา ทำให้มีอาการต่างๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งตับเริ่มฟื้นตัวดี อาการเหล่านั้นจะหายไป พอทำการเจาะชิ้นเนื้อตับ พบว่ามะเร็งเริ่มฝ่อและลดลง จึงเข้าสู่การรักษารอบที่ 3

“หลังจากจบรอบนี้ จู่ๆ เกิดอาการตาแห้ง ไม่มีน้ำลาย เป็นภาวะ ‘โชเกร็น ซินโดรม’ (Sjogren’s Syndrome) ต่อมผลิตน้ำลายลดลง เมื่อก่อนไม่เคยเห็น ความสำคัญของน้ำลาย แต่พอมีอาการแบบนี้ทำให้รู้ว่าน้ำลายสำคัญ การไม่มี น้ำลายทำให้ทานอาหารไม่ได้ ช่องปากและลำคอแห้งผาก ทำให้อาหารที่เคี้ยวแล้ว กองรวมกันเป็นก้อน กลืนไม่ได้ ต้องดื่มน้ำเพื่อช่วยกลืน จนรู้สึกรำคาญ ต้อง ฉีดพ่นน้ำลายเทียม หยอดน้ำตาเทียม เป็นอยู่สามเดือนอาการเริ่มดีขึ้น คุณหมอก็ดีใจกับเรา เพราะเป็นคนไข้รายแรกที่รักษาด้วยวิธีนี้ เกิดปัญหาอะไร ก็ช่วยแก้ไขทีละอย่าง ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิด Side Effect อะไรบ้าง อาการ แต่ละคนไม่เหมือนกัน เนื่องด้วยสภาพร่างกาย ระยะ และอาการมะเร็งแต่ละคน แตกต่างกัน”

ภูมิบำบัด

เริ่มต้นชีวิตใหม่

“จนถึงวันนี้ดิฉันยังต้องติดตามดูอาการ แม้เซลล์มะเร็งที่ตับเป็นศูนย์ แต่ ยังเหลือมะเร็งที่กระดูก ซึ่งคุณหมอเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ติดตามดูผลจากการ ฉีดภูมิคุ้มกันบำบัดต่อมมะเร็งที่กระดูก ซึ่งคุณหมอแจ้งว่ากระดูกเป็นส่วนที่ต้อง ใช้เวลานานหน่อย

“ดิฉันผ่านขั้นตอนต่างๆ มาได้แบบสะบักสะบอม ช่วงที่อาการหนัก น้ำหนัก ลดจาก 60 กิโลกรัมเหลือ 53 – 52 กิโลกรัม ปัจจุบันไม่ต้องรับยาอะไรแล้ว แค่ ติดตามอาการว่ากระดูกเป็นอย่างไร เจาะเลือด เอกซเรย์ดูจุดต่างๆ การรักษา ว่ายากและหนักหนาแล้ว การตรวจติดตามผลก็หนักหนาไม่น้อย การทำ MRI แต่ละครั้งใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในเครื่องคล้ายอุโมงค์ซึ่งแคบและร้อน ห้ามขยับตัว ทุกวันนี้ยังต้องตรวจแบบนี้ตลอด อย่างเดือนที่แล้วต้องทำซีทีสแกนช่องท้อง ตรวจ MRI กระดูกสันหลัง และทำ Bone Scan เพื่อเป็นการเฝ้าระวังอาการ และวางแผนการรักษาในอนาคต

“ตลอด 7 ปีที่รักษามะเร็ง หมดค่าใช้จ่ายไปหลายล้านบาทแล้ว ซึ่งการ ทำงานครูโรงเรียนเอกชนเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ปีละหนึ่งแสนบาท ซึ่งน้อยมาก เมื่อเทียบกับความจริง เมื่อปลายปีที่แล้วในช่วงที่ดิฉันป่วยหนักจึงจำเป็นต้อง ลาออกจากงาน ปัจจุบันใช้สิทธิ์รักษาบัตรทอง ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้มาก ถ้าเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดที่สิทธิ์การรักษาไม่ครอบคลุม เราค่อยจ่ายเอง

“การที่ได้เป็นคนไข้รักษาด้วย Immunotherapy เป็นคนแรก เป็นเหมือน ความอัศจรรย์ที่เข้ามาในชีวิต ขณะที่เรากำลังท้อแแท้ สิ้นหวัง แล้วกลับได้รับ ความหวัง ซึ่งตลอดเส้นทางการรักษาไม่มีอะไรง่าย ทีมคุณหมอต้องแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นมากมาย จนเรามีชีวิตรอดมาได้ถึงวันนี้ มีความรู้สึกเดียวที่ต้องบอก ทีมคุณหมอและพยาบาลทุกคนที่ดูแลมาเป็นอย่างดีคือ ‘ขอบพระคุณค่ะ’ ที่ คุณหมอไม่เคยยอมแพ้และทำให้เราสู้มาจนถึงวันนี้”

ขออย่ายอมแพ้

“ดิฉันโชคดีที่มีครอบครัวดี ทุกคนพร้อมซัพพอร์ตในยามที่รู้สึกแย่ มีเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานที่ดี เพราะระหว่างรักษาต้องหยุดงานบ่อย ทุกคนยินดีทำงาน แทนเราทุกครั้งที่ต้องรักษาตัว ทำให้สามารถผ่านจุดยากๆ ในชีวิตมาได้ บวกกับ การเป็นคริสเตียน ซึ่งมีคนมากมายที่โบสถ์เป็นห่วงและอธิษฐานเผื่อเรา ทำให้ ได้รับกำลังใจมากมาย สำคัญที่สุดคือมีทีมคุณหมอคอยดูแล ในเมื่อทุกคนสู้ เพื่อเราขนาดนี้ เรายิ่งต้องสู้

“การผ่านความลำบากมามากทำให้มองเห็นความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวได้มากขึ้น เมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดนี้ เราไม่มีความอยากได้อยากมีอะไรแล้ว แค่หาความสุขกับชีวิตแต่ละวันแบบง่ายๆ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงนก ทำขนม หรือ ถ้ามีโอกาสพอทำประโยชน์อะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็ยินดี จึงอยากเป็นกำลังใจให้ ทุกคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับดิฉันลุกขึ้นสู้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีรักษาใหม่ๆ เกิดขึ้น ถ้าไม่มัวกังวลหรือเศร้ากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หยุดกังวลไปล่วงหน้า พยายาม ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข เพราะความสุขจะทำให้เราผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ เหนื่อยได้ ท้อได้ ร้องไห้ได้ แต่ต้องกลับมาสู้ต่อไป”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 976

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รู้จัก “โรคเส้นเลือดขอดในสมอง” ผ่านการเฉียดตายของ “คุณกอล์ฟ-ณัฐพล เกษมวิลาศ”

เปิดใจครั้งแรก “สรยุทธ” ชีวิตในเรือนจำ และการคัมแบ็กทวงบัลลังก์ “เจ้าพ่อเล่าข่าว”

เปิดชีวิตคุณแม่ฟูลไทม์ของ “เจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร” ที่มีความสุขแบบเกินต้าน

Praew Recommend

keyboard_arrow_up