ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ

เส้นทาง1 มนุษย์กับคาราวานหมาแมว 400 ชีวิต ของ ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ

Alternative Textaccount_circle
ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ
ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ

กว่า 20 ปีที่ผ่านมาป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ ผ่านศึกสมรชัย ทิ้งชีวิตคู่สุขสบายกับสามีมาอุทิศกายใจดูแลหมาแมวที่ถูกทิ้งและโดนทำร้ายกว่า 400 ชีวิต  แม้จะอยู่ในวัยเลยเกษียณและป่วยเป็นโรคหอบหืดก็ตาม

เส้นทางที่ผ่านมาของ 1 มนุษย์กับคาราวานหมาแมว 400 ชีวิตไม่ง่ายเลย โดนไล่ที่หลายครั้ง จนล่าสุดต้องย้ายไปอยู่ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ในที่ดินที่มีผู้ใจดีให้อาศัยอยู่ฟรี แม้จะห่างไกลจากตัวเมือง  เดินทางลำบาก  แต่ป้าเอ๋คิดว่าจากนี้หมาแมวจะได้มีบ้านอยู่ถาวรเสียที

เส้นทาง1 มนุษย์กับคาราวานหมาแมว 400 ชีวิต ของ ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ

จรจัด…หมาแมวด้อยโอกาส

“หลังจากเรียนจบผู้ช่วยพยาบาลจากโรงพยาบาลศิริราช  ป้าไปทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลส่วนตัวให้คนไข้ที่ต่างประเทศ ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน พอกลับมาเมืองไทยก็ได้รู้จักกับแฟนซึ่งเป็นคนจีน เราแต่งงานกันแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย มีความสุขมาก ไม่มีลูกเต้าให้ดูแล การเงินก็ไม่เดือดร้อน เพราะบ้านสามีฐานะดี มีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า สามารถเลี้ยงดูเราได้สบายโดยไม่ต้องทำงานเลย”

“กระทั่งวันหนึ่งป้ากับแฟนไปวัดเฉลิมพระเกียรติตรงท่าน้ำนนท์ เห็นหมา ป้าเอ๋… นางฟ้าของหมาแมวจรจัดนอนอยู่ จำได้ติดตาจนถึงวันนี้เลยว่าเขาเป็นอัมพาต มีแผลกดทับที่สะโพกทั้งสองด้าน แมลงวันตอมเต็มตัว ตรงหน้ามีชามสังกะสี ข้าวเต็มชาม แต่ขึ้นราแล้ว หมาแทบขยับตัวมากินไม่ได้ คนเดินผ่านไปมาก็รังเกียจเพราะกลิ่นเหม็น เห็นแล้วสงสาร ป้าคิดว่าชีวิตเราที่ได้แต่กินเที่ยวไปวันๆ ไม่มีสาระประโยชน์อะไรเลย เรามีความรู้ด้านพยาบาล ถ้าเก็บเขามาดูแลก็คงจะทำได้ จึงตัดสินใจเก็บมาเลี้ยง อุ้มขึ้นรถทั้งที่สภาพเหม็นมาก สามีก็ไม่ว่าอะไร พอมาถึงบ้านก็ทำแผลให้ มีความสุขมากที่ได้ช่วย ให้เขามีที่กินที่อยู่”

“หลังจากนั้นป้าก็เริ่มทำงานอาสา โดยสามีให้ทุนสำหรับซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ยาแก้เห็บหมัด ยาพิษสุนัขบ้า ด้วยความรู้ที่เรามีก็ไปช่วยฉีดยาให้หมาจรจัดตามหมู่บ้าน ส่วนถ้าเป็นหมามีเจ้าของ ก็จะขอเก็บค่ายาเขาเพียง 50 บาท นอกจากนี้ก็มีไปขอบริจาคยาจากทางเทศบาล พร้อมกับรณรงค์เรื่องการทำหมันให้หมาจรจัด อย่างที่ดินแดงมีบริการทำหมันฟรี ป้าก็ไปขนหมาที่อยู่ตามวัดไปทำ เสร็จก็เอากลับไปส่งวัด เพราะหมาเหล่านี้ดูแลตัวเองได้”

“ส่วนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างป่วย ถูกทำร้าย ตาบอด พิการ จะพามารักษาและเลี้ยงดูที่บ้าน ที่เลือกเฉพาะหมาป่วยเพราะเขามีโอกาสตายได้ถ้าอยู่ข้างนอก พอมีคนรู้ว่าเราทำงานตรงนี้  เขาก็จะคอยบอกว่ามีหมาแมวรอความช่วยเหลืออยู่ตรงไหนบ้าง ภายในระยะเวลา 3-4 ปี  ป้าเก็บมาเลี้ยงที่บ้านได้เป็นร้อยตัว”

“ต้องเล่าก่อนว่าบ้านป้าอยู่ตรงเขตชุมชน  แถววัดเฉลิมพระเกียรติท่าน้ำนนท์เป็นบ้านเดี่ยว  พื้นที่ประมาณ 75 ตารางวา  แต่อาศัยอยู่กับครอบครัวของสามี โดยแบ่งพื้นที่ 25 ตารางวาสำหรับเลี้ยงดูหมา  เราก็เอาหมาใส่กรงตั้งซ้อนๆกัน ทีนี้พอจำนวนหมาแมวเพิ่มเยอะก็เริ่มเกิดปัญหา  สร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้าน ตอนนั้นเราเป็นมือใหม่  คิดแค่ว่าทำความดีช่วยหมาแมว  คนไม่น่าจะรังเกียจนะแต่พอนึกย้อนก็ไม่แปลกใจที่เขาจะไม่ชอบ  เพราะมีทั้งเสียงเห่าและกลิ่น  ตอนนั้นเพื่อนบ้านไปแจ้งตำรวจ  แจ้งปศุสัตว์  สุดท้ายคณะกรรมการในหมู่บ้านสั่งให้ป้าย้ายหมาแมวออกไปอยู่ที่อื่น  ก็ต้องยอมไป  และต้องยอมรับความจริงว่าแม้จะทำดี แต่ถ้าทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านก็คงไม่ใช่”

ป้าเอ๋-ดวงเพ็ญ

ชีวิตวิบากของหนึ่งมนุษย์กับคาราวานหมาแมว

“หลังจากนั้นป้าย้ายหมาแมวไปเช่าอยู่ในพื้นที่สวนประมาณ 2 ไร่  ข้างวัดสวนแก้ว  ค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท  ตอนนั้นมีหมาแมวรวมกันกว่า 200 ตัวแล้วปัญหาของที่อยู่ใหม่คือหาอาหารลำบาก  สามีส่งเงินมาให้เดือนละ 2 หมื่น  ซึ่งรวมค่ากินอยู่ของเราด้วย  ป้าปลูกกระต๊อบ  มีแคร่เล็กๆใช้แทนเตียงนอน  แล้วกินอยู่
กับหมาแมวที่นั่น  เพราะส่วนใหญ่เป็นสัตว์พิการ  ดูแลตัวเองแทบไม่ได้  และเราไม่มีเงินไปจ้างใคร  ก็ต้องทำเองทั้งหมด”

“ตอนแรกสามีไม่ยอมให้ไป  แต่ป้ายืนยัน  สุดท้ายเขาก็ต้องยอม  ถ้าถามว่าอยู่ได้ไหม  เครียดไหม  ไม่เครียด  ไม่ทุกข์เลย  ขออย่างเดียวให้หมามีที่นอน  ที่อยู่ที่กินแค่นั้น  ป้าอยู่ได้”

“สุดท้ายเมื่อเห็นจากสิ่งที่เราทำ  สามีก็เข้าใจ  เขาไม่โกรธที่เราเลือกหมาแมวคือป้ารู้สึกว่าสามีมีครอบครัว เพื่อนฝูง  แต่หมาแมวพวกนี้ไม่มีใครเลย  แต่จะให้สามีมาอยู่ช่วยเหลือเรา  เขาก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้  เขายินดีช่วยเรื่องเงินมากกว่าแต่ทุกวันอาทิตย์เขาจะมารับไปกินข้าวบ้าง  ไปเดินห้างสรรพสินค้าบ้าง”

“แล้วจู่ๆปี2554 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่  มันเหมือนโศกนาฏกรรมเวลาน้ำมาตอนเช้าสูงแค่เอว  กลางวันถึงคอ  ตกเย็นมิดหัว  หมาตายไปเยอะแม้จะมีอาสาสมัครเข้ามาช่วย  แต่เขาไม่กล้าเข้าในพื้นที่ของป้า  เพราะไม่แน่ใจว่าตรงไหนเป็นร่องสวน  กลัวเดินแล้วตกน้ำ  ตอนนั้นป้าเรียกน้องสาวมาช่วยอุ้มหมาแมวหนีน้ำ  แต่บางตัวก็ช่วยออกมาไม่ได้  บางตัวช่วยได้แต่ก็หายไป”

“ป้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการพาหมาแมวที่เหลือไปอยู่ที่บ้านสามีก่อนพอเหตุการณ์ดีขึ้นค่อยกลับไปอยู่สวน  แต่พบว่าเรากลับไปอยู่ไม่ได้แล้ว  เพราะทุกอย่างพังหมด  มีแต่ขยะลอยเกลื่อน”

“ป้ามองหาที่อยู่ใหม่  ไปเห็นตึกท้ายสวนใกล้ๆกับสวนเดิม  มีห้องประมาณ6 ห้อง  จึงไปขอเช่าเดือนละ 3,000 บาท  แม้จะไม่โล่งสบายเหมือนอยู่สวน  แต่ข้อดีของตรงนั้นคืออยู่ในละแวกชุมชนที่คนเดินเอาอาหารมาบริจาคให้ได้  เราอยู่กันตรงนั้น 5 ปี  ก็มีคนมาซื้อที่และกำหนดว่าต้องย้ายออกภายใน 3 เดือน”

“ตอนนั้นป้าไม่คิดเลยว่าจะต้องย้ายอีก  เพราะรู้สึกว่าแม้จะไม่สบาย  แต่เราก็อยู่กันได้  พยายามหาที่อยู่จากหลายแหล่ง  ซึ่งหลังจากน้ำท่วมปี2554  คนที่ทราบว่าป้ารับหมาแมวมาเลี้ยงก็บริจาคที่ดินให้  บอกว่าไปอยู่ได้เลยนะ  ไม่คิดเงิน  แต่ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด  ป้าไม่อยากไป  เพราะตัวเองเป็นโรคหอบหืด  ถ้าเกิด
อะไรขึ้นมาจะเดินทางไปโรงพยาบาลลำบาก”

“ที่สุดพบที่ดินบริเวณปลายนาที่ปทุมธานี  แถวลาดหลุมแก้ว  เป็นโรงเลี้ยงไก่ร้าง  ก็ไปขอเช่าเขาเดือนละ 7,000 บาท  ซึ่งพอปรับปรุงพื้นที่ตรงโรงเลี้ยงไก่แล้วบรรยากาศก็ดีขึ้น”

“การย้ายหมาแมวแต่ละครั้งยากมากนะ  อย่างตอนนั้นมีหมาประมาณ 250ตัว  แมว 20 ตัว  ใช้เวลาย้ายเป็นเดือน  เรามีรถปิ๊กอัพเก่าๆอยู่คันหนึ่ง  ค่อยๆทยอยขนหมาแมว  พอไปอยู่ที่นั่นรู้สึกว่าคุ้ม  เพราะหมาแมวได้อยู่ในพื้นที่ที่กว้างขึ้นไม่แออัด  และเราสามารถช่วยเหลือหมาแมวเพิ่มได้อีก  ขณะเดียวกันก็อยู่ใกล้ชุมชน
ใกล้ตลาด  แม้จะอยู่ปลายนา  แต่ขับรถออกมาแป๊บเดียวก็ถึงเขตชุมชน  คนที่รู้จักเราจากเพจบ้านสงเคราะห์สุนัขป้าเอ๋ก็มาบริจาคอาหารให้”

“กลุ่มอาสาสมัครต่างๆก็แวะเวียนมาให้ความช่วยเหลือตลอด  หมาแมวมีกินไม่เคยอด และป้ายังเปิดให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาเข้ามาทำกิจกรรมช่วยเหลือหมาแมวได้  เช่น  เวลาตาข่ายพัง หลังคาพัง  นักเรียนเข้ามาช่วยซ่อม บางคนก็มาอาบน้ำให้หมา  นักศึกษาสัตวแพทย์มากายภาพหมาพิการ  มีทหารอากาศเข้ามาทำกิจกรรม เช่น ล้างพัดลมที่ใช้พัดหมาแมว บางคนก็มาช่วยปรับพื้นที่”

“สำหรับเรื่องรายได้  ตอนนั้นสามีก็ยังส่งเงินให้เดือนละ 20,000 บาทค่ะ ใช้เป็นค่าใช้จ่ายของตัวเองแลดูแลหมาแมว  แต่จริงๆ แล้วไม่พอหรอก  เพราะแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท  จึงต้องหารายได้เสริมด้วยการไปรับซื้อตุ๊กตาหมาแมวมาขาย ตัวละ 70 บาท ซึ่งคนซื้อมักจะช่วยทำบุญเป็น 100 บาท ขณะเดียวกันก็มีคนช่วยบริจาคเสื้อผ้าหมาแมวใหม่ๆที่ยังไม่เคยใส่ รวมไปถึงอุปกรณ์ กระเป๋า  สายจูงที่ยังไม่ได้ใช้  รวมถึงเงินบริจาคจากตู้หยอดเหรียญทำบุญ ก็ถือว่าเพียงพอ”

“ช่วงนั้นพี่สาวเกษียณจากงานพยาบาลพอดี ก็มาอยู่เป็นเพื่อน มาช่วยดูแลหมาแมว เช่น ทำความสะอาด  ส่วนป้าจะทำงานหลัก เช่น ฉีดยา ป้อนข้าว ป้อนยา”

“เราอยู่ตรงนั้น 7 ปี  โดยเจ้าของที่ขึ้นค่าเช่าปีละหนึ่งพัน แต่ก่อนก็อดทนแต่พอนานไปก็รู้สึกว่าเขาบีบเกินไป  เขาบอกว่าถ้าไม่ให้ค่าเช่าก็ต้องย้ายออก ตอนนั้นคิดว่าเราจะไปไหนได้ เพราะมีหมาแมวเกือบ 400 ตัวแล้ว”

“ที่สุดไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอัดคลิปขอความช่วยเหลือโพสต์ลงเพจตัวเองก็มีป้าที่รู้จักกัน ชื่อวัชรี บอกว่ามีที่ดินประมาณ 10 ไร่ที่ราชบุรี ให้อยู่ฟรีตลอดชีวิตไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ตอนนั้นเรารู้สึกหมดหนทาง ทั้งที่ใจจริงไม่อยากย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด เพราะเป็นโรคหอบ แต่ก็คิดว่าไปตายดาบหน้าแล้วกัน”

ป้าเอ๋ นางฟ้าของหมาแมว

ชีวิตใหม่ที่ราชบุรี

“เราโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ รายละ 500,000 บาทบ้าง200,000 บ้าง รวมๆ      กันแล้วก็พอสร้างอาคารโรงเลี้ยงหมาแมวได้สำเร็จ ส่วนสามีป้าก็ยังให้เงิน แต่ลดเหลือเดือนละ 1 หมื่นบาท เพราะโรงงานเขาเจอวิกฤติจากโควิด”

“บ้านใหม่ของเราเป็นอาคารชั้นเดียว แบ่งกั้นห้องให้หมา 30 ห้อง บางตัวอยู่รวมกันได้เพราะมาจากคอกเดียวกัน บางตัวป่วยต้องแยกต่างหาก หรือถ้าตัวไหนไม่ถูกกันก็จะแยกห้องให้ ส่วนแมวอาศัยอยู่รวมกัน  สำหรับป้ามีเตียงที่วางข้างๆคอกหมาเลย ไม่ไปสร้างที่อยู่ใหม่แล้ว ตู้เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด”

“การมาอยู่ที่ราชบุรีทำให้คนไปมาหาสู่ลำบากขึ้น แต่ยังโชคดีที่มีอาสาสมัครมาช่วยเหลือ คนที่รู้ว่าเราย้ายมาอยู่นี่ก็ขับรถเอาอาหารมาบริจาค มีอาสาสมัครมาทำงาน ทั้งมาช่วยทำความสะอาด ปรับปรุงพื้นที่ รวมถึงป้ายังเปิดรับนักศึกษาหรือนักเรียนมาทำกิจกรรมได้เหมือนเดิมค่ะ”

หมาแมวก็มีจิตใจ

“หมาแมวทุกตัวที่ป้าช่วยมา เขาต้องเจอความทรมานทั้งใจและร่างกาย บางตัวถูกตี  ถูกเจ้าของยิงก็มี  ตัวหนึ่งชื่อบ๊อบบี้  โดนรถเจ้าของชนตั้งแต่เด็ก ขาเป๋ไปข้างนึง เวลาเดินอึจะไหลตลอดทาง สุดท้ายเจ้าของทิ้ง เราก็ไปช่วยมา เวลาอุ้มเขาจะอึไหล ฉี่ไหล ป้าไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าเขาเจ็บทรมานอยู่แล้วอย่าไปว่าอะไรเขา จนกระทั่งวันหนึ่งป้าเหนื่อยจากการทำงานมาก พอทำความสะอาดเสร็จ บ๊อบบี้เดินอึไหลแล้วเหยียบเปื้อนพื้นไปหมด ความที่เหนื่อยมากจึงพูดออกไปว่าเมื่อไหร่จะตายสักที  แล้วผลักตัวเขาไปจนเซล้มทับอึ พอหันไปมองก็สงสาร รู้สึกผิดมาก เพราะถ้าบ๊อบบี้พูดได้คงบอกว่าตัวเขาก็ไม่อยากขาเป๋ ไม่อยากอึไหล ป้าเข้าไปกอด บอกว่าแม่ขอโทษ แม่เหนื่อยไปหน่อย บ๊อบบี้อยู่กับป้าได้4 ปีก็ตาย”

“หรืออย่างป็อปคอร์นเป็นหมามีเจ้าของ แต่วันดีคืนดีเจ้าของเดินทางกลับต่างประเทศแล้วไม่พาไปด้วย พอเจ้าของบ้านใหม่มา ป็อปคอร์นก็โดนไล่ เขานั่งรอหน้าบ้านว่าเมื่อไหร่เจ้าของจะกลับมา ป้าไปเห็นเขาเป็นขี้เรื้อนทั้งตัว มีแผลโดนยุงกัด จึงรับมาเลี้ยง”

“อีกตัวคือรัตนา เป็นเพื่อนสนิทกับป็อปคอร์นเพราะนอนด้วยกัน แต่ก่อนรัตนาตัวเล็กมาก  ตอนนี้เลี้ยงจนอ้วนท้วน ที่เจอเขาเพราะมีคนมาบอกป้าว่าให้ไปดูหน่อย ได้ยินเสียงร้องอยู่กลางนา ไม่รู้ว่าเป็นหมาหรือเปล่า ปรากฏว่าไปพบรัตนาถูกเชือกผูกคอรัดกับต้นไม้ สภาพโทรมมากเพราะโดนแดดเผา จึงรับเขามาดูแล”

“ส่วนแมวก็เจอเรื่องหนักๆมาเยอะ ตัวหนึ่งโดนโยนลงมาจากตึก  สมองกระทบกระเทือน ชักตลอดเวลา  เก็บมาเลี้ยงไม่นานเขาก็ตาย แมวส่วนใหญ่ที่ป้ารับมาเลี้ยงคือแม่แมวท้องแล้วคนทิ้ง เพราะไม่อยากเลี้ยงลูกให้เป็นภาระ ไม่ก็แมวพิการแล้วเจ้าของทิ้ง บางตัวโดนรถชนหลังหัก บางตัวแม่โดนหมากัดตาย  เรา
ก็รับลูกมาเลี้ยง อย่างแมวเราเห็นต้องรับเลี้ยงเลย เพราะช่วยเหลือตัวเองได้แย่กว่าหมา”

“ป้าเลี้ยงหมาแมวทุกตัวอย่างดี จนสมบูรณ์ น่ารัก เคยมีคนมาขอเอาไปเลี้ยงเยอะ แต่ก็ไม่ได้ให้ใครไป  เพราะผูกพัน รักกันไปแล้ว เห็นกันมาตั้งแต่ป่วยโทรม เจ็บหนัก จนตอนนี้แข็งแรง ป้าคิดว่าเขาอยู่อย่างนี้มีความสุขดีแล้ว”นางพยาบาลจำเป็น”

“ช่วงแรกๆเวลาเขาไม่สบาย ป้าจะพาไปหาหมอ เพราะยังไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไง ทำให้ได้รู้ว่าถ้าเป็นโรคหัดกับโรคลำไส้หมอจะรังเกียจ เพราะเป็นหมาจรและโรคนี้ติดต่อได้ ถ้ามีคนเอาหมาตัวละหมื่นไปรักษา  แล้วป้าเอาหมาจรไปพร้อมกันหมอจะไล่ป้าออกมาเลย เพราะเชื้อสามารถติดหมาตัวอื่นตายได้ สุดท้ายต้องหาวิธีรักษาในแบบของเราเอง อีกอย่างคือจะพึ่งหมอรักษาตลอดก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงมีหนี้เป็นล้าน”

“ป้ามาศึกษาว่าเวลาหมาเป็นโรคหัดหรือโรคลำไส้ต้องกินยาอะไร ฉีดยาอะไร ด้วยความเป็นพยาบาลจึงพอจะรักษาเองได้ เริ่มแรกคือถ้าเป็นหัดจะต้องแยกกรงไม่ให้อยู่กับเพื่อน ส่วนถ้าเป็นลำไส้ก็จะป้อนยา ขณะเดียวกันการติดโรคของหมาไม่ได้เกิดจากหมาสู่หมา แต่บางครั้งยังเกิดจากคนได้ด้วย เช่น ถ้าป้าเดิน เข้าห้องหมาที่เป็นโรคหัดแล้วไปห้องหมาปกติ  โรคก็ติดกันได้  เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนเสื้อ หรือถ้าป้อนยาตัวนี้เสร็จ ก่อนจะไปป้อนอีกตัวต้องล้างมือ”

“ยาที่ต้องมีติดไว้เสมอคือยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะ doxy ที่สามารถรักษาได้เกือบครอบคลุม ทั้งอาการตาเจ็บ คอเจ็บ ไอ แต่ถ้าหมาท้องเสียหรือเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ ให้กินไดเซนโต กินไปสักพักอาการกทุเลา”

“ที่สำคัญคือการฉีดวัคซีน ต้องพาหมาไปฉีดให้ครบ จะช่วยป้องกันโรคหัดกับลำไส้ได้ ช่วงแรกป้าลงทุนออกเงินเอง ตกโดสละประมาณ 280 บาท แต่ตอนหลังหลายคนรู้ว่าเราหันมาทำงานตรงนี้ ก็จะมีคุณหมอจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือคุณหมอจากคลินิกเอายามาให้ บางคนก็มาช่วยทำหมันฟรี”

“ถ้าเจอเคสหนักๆก็จะขอความช่วยเหลือจากหมออาสา มีหมาที่ป้าตั้งชื่อว่าโอปป้า โดนรถชนแล้วเจ้าของไม่ดูแล ปล่อยให้เดินลากขาจนเป็นแผล เราก็ไปรับมาสุดท้ายต้องตัดขา ถ้าเข้าโรงพยาบาลต้องจ่ายเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท  ปศุสัตว์ปทุมธานีรู้ก็ส่งหมอมาช่วยตัดขา ซึ่งพอตัดเสร็จเราก็ดูแลแผลเองทั้งหมด”

“ตอนแรกหมอตัดถึงเข่า โดนเย็บไปกว่า 100 เข็ม แต่โอปป้ากัดแผลตลอดเราพยายามเอาปลอกคอใส่ให้ก็ยังกัดแผลได้อยู่ สุดท้ายแผลเน่า ต้องโดนตัดอีกรอบ คราวนี้ถึงโคนขา โอปป้าก็พยายามจะกัดอีก  สุดท้ายป้าต้องใช้ฟ้าทะลายโจรทาแผลเพื่อให้มีรสขม โอปป้าจึงเลิกกัด”สู้ตราบที่ยังมีแรง”

“ป้าป่วยเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่สมัยสาวๆ ยิ่งตอนไปอยู่ต่างประเทศ เวลาอากาศหนาวสุขภาพแย่มาก แต่อยู่เมืองไทยไม่เป็นไร ยกเว้นวันที่อากาศร้อนจัดโชคดีที่ไม่แพ้ขนหมาแมว ขนาดใช้ชีวิตร่วมกันทั้งวันทั้งคืน  แต่พอย้ายมาอยู่ที่ราชบุรี อยู่ใกล้บ้านที่เผาถ่าน ช่วงนั้นอาการจะแย่ จึงต้องมีถังออกซิเจนขนาดใหญ่ไว้ติดบ้านเผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน เพราะกว่าจะขับรถไปถึงโรงพยาบาลในตัวเมืองจอมบึงใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าให้พูดตามจริงนะคะ แค่ออกซิเจนอย่างเดียวไม่พอ ต้องให้หมอฉีดยาขยายหลอดลมด้วย จึงต้องฝึกปฐมพยาบาลตัวเองอีก สิ่งแรกคือพยายามไล่ลมออกก่อน เรอออกมาเพื่อให้ตัวโล่ง  แล้วใส่ออกซิเจนอันนี้ช่วยได้  โชคดีคือยังไม่เคยเกิดเหตุร้ายแรงสักครั้ง”

“ตอนเป็นสาวป้าสามารถทำงานได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่เหนื่อย  แต่ทุกวันนี้ 6 โมงเย็นคือสลบแล้ว จากการที่ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำให้หมา รวมถึงซักผ้ารองฉี่รองอึ  ตกวันละกว่า 200 ผืน  หลายคนถามว่าทำไมไม่ใช้แพมเพิร์ส อย่างแรกคือ สิ้นเปลือง สองคือ หมาส่วนใหญ่เป็นแผลกดทับ น้ำที่ไหลออกมาแพมเพิร์ส
เอาไม่อยู่ ไม่เหมือนกับผ้าหนาที่รองรับได้ดีกว่า ซึ่งป้าโชคดีที่มีคนบริจาคผ้านวมมาให้เยอะ”

“บางคนบอกว่าที่ป้าทำงานตรงนี้คงเพราะเป็นเวรกรรมที่ต้องมาชดใช้ บางคนก็บอกว่าป้าเป็นหอบ ไม่แข็งแรง อย่าช่วยหมาแมวเลย แต่ป้ากลับคิดว่าถ้าเราคิดแต่ว่าเราจะตาย ก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนเราไปตัดโอกาสการมีชีวิตอยู่ของเขา ก่อนที่เราจะตายอาจจะช่วยให้เขารอดก็ได้”

“ป้าจึงไม่เคยคิดว่าเป็นเวรกรรม ถึงจะเหนื่อยยาก ลำบากอย่างไร การช่วยพวกเขาทำให้ใจเราเป็นสุข“ถ้ายังมีแรง ก็อยากทำต่อไปค่ะ”


สามารถติดตามอ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่

ความหิวโหยอันโหดร้ายคือแรงบันดาลใจ “นารายานาน” เชฟของผู้ยากไร้

พ่อพระของคนยาก กู่เทียนเล่อ ไม่หยุดปิดทองหลังพระ สร้างโรงเรียนเพิ่มอีกเพียบ

หล่อทั้งกายและใจ “อเล็กซ์ เรนเดล” ชีวิตจริงในบทบาทพระเอกผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up