ประชากรมากกว่า 1 ใน 3 ของโลก ต้องทนอยู่กับปัญหาฟันผุโดยไม่ได้รับการรักษา และพบว่าประมาณ 20% ของคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ โดย 6.6% ของคนกลุ่มนี้จะต้องสูญเสียฟันหมดทั้งปากเมื่ออายุครบ 20 ปี
ถึงแม้ว่าการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 ครั้ง จะเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานสำหรับการรักษาสุขอนามัยช่องปาก แต่กลับพบว่าในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15 ปี มีเพียง 4.3% เท่านั้นที่ใช้ไหมขัดฟันในการทำความสะอาดซอกฟัน ขณะที่ผู้ใหญ่อายุ 35-44 ปี เพียง 14.7% ที่ใช้ไหมขัดฟัน นอกจากนี้ จากการศึกษาทั่วประเทศพบว่าโรคฟันผุยังส่งผลกระทบต่อคนอายุ 35-44 ปี มากถึง 91.8% สะท้อนถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดียิ่งขึ้น
“ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้น ๆ ที่คนแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์มากกว่า 2 นาที เป็นประจำ แต่ผู้คนกลับละเลยในการทำความสะอาดซอกฟันอย่างถูกวิธี ส่งผลให้มีเศษอาหารและเชื้อโรคติดอยู่ตามซอกฟันและร่องเหงือก ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ” ผศ. ทพ.คมสัน ลาภาอุตย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาทันตสาธารณสุข ภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว “มีความเชื่อผิดๆ ว่าการแปรงฟันและการทำความสะอาดฟันโดยใช้ไหมขัดฟันนั้นเพียงพอแล้วสำหรับการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ดี แต่ความจริงแล้ววิธีนี้ช่วยทำความสะอาดได้เพียง 1 ใน 4 ของช่องปากเท่านั้น โดยยังมีเชื้อโรคซ่อนอยู่ในบริเวณที่การแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น ร่องเหงือก เป็นต้นยิ่งไปกว่านั้น การทำความสะอาดฟันอย่างไม่สะอาดเพียงพอในตอนกลางคืน อาจทำให้เชื้อโรคเติบโตได้มากถึงสิบเท่าขณะที่เรานอนหลับ เมื่อเชื้อโรคสะสม จะทำให้เกิดคราบพลัค ซึ่งจะกำจัดยากขึ้นถึง 1,000 เท่า และก่อให้เกิดโรคเหงือกทำลายเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆ ฟัน ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันได้
หักล้างความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าน้ำยาบ้วนปากใช้เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วการใช้น้ำยาบ้วนปากควบคู่ไปกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเพื่อการดูแลสุขอนามัยช่องปากในแต่ละวัน จะช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดียิ่งขึ้นได้ จากการศึกษาพบว่าการใช้น้ำยาบ้วนปากควบคู่ไปกับการแปรงฟัน การทำความสะอาดซอกฟันหรือการใช้ไหมขัดฟัน จะช่วยลดคราบจุลินทรีย์ได้มากถึง 52% ภายใน 6 เดือน และช่วยลดปัญหาเหงือกอื่น ๆ ได้ 21% น้ำยาบ้วนปากลิสเตอรีน® ด้วยพลังของน้ำมันหอมระเหย 4 ชนิด ได้แก่ ยูคาลิปตอล เมนทอล เมทิล ซาลิไซเลต และไทมอล ช่วยลดคราบจุลินทรีย์ได้ 22.2% และลดปัญหาเหงือกอื่นๆ ได้ถึง 28.2% ภายใน 6 เดือน9 โดยน้ำมันหอมระเหยสำคัญทั้ง 4 ชนิดในน้ำยาบ้วนปากลิสเตอรีน® สามารถแทรกซึมลึกไปถึงชั้นในสุดของคราบจุลินทรีย์ ช่วยทำลายโครงสร้างของคราบจุลินทรีย์ที่ยากต่อการเข้าถึงด้วยการใช้แปรงสีฟันหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟัน และยังเข้าไปทำความสะอาดถึงร่องเหงือกได้อีกด้วย”






ภายในงาน เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังทั่วเอเชียแปซิฟิกและสื่อชั้นนำของประเทศไทยได้มาเยือนโรงงานการผลิตลิสเตอรีน® สนุกกับการครีเอทน้ำยาบ้วนปากสูตรเฉพาะของตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสุขอนามัยช่องปากที่ดี พร้อมร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟใน Listerine Labs สำรวจเส้นทางความสำเร็จยาวนานกว่า 130 ปี ของลิสเตอรีน® ในฐานะผู้ริเริ่มการศึกษาวิจัยและพัฒนาน้ำยาบ้วนปาก ร่วมทัวร์โรงงานที่ลาดกระบังชมเบื้องหลังการผลิตลิสเตอรีนที่ผ่านการพิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นแกนหลักที่แบรนด์ยึดมั่นมาโดยตลอด ปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบโดย “เจมมี่เจมส์” เซเลบริตี้เชฟชื่อดังของเมืองไทย สร้างสรรค์เมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลิสเตอรีน® เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมแก่ผู้มาร่วมงาน













