10 โรคจิตเวช ที่พบบ่อย

10 ‘โรคจิตเวช’ ที่พบบ่อย มีอาการต่างกันอย่างไร? ควรหมั่นสังเกต พร้อมแนวทางรักษา

Alternative Textaccount_circle
10 โรคจิตเวช ที่พบบ่อย
10 โรคจิตเวช ที่พบบ่อย

ปัจจุบันคนไทยที่ป่วยด้วย โรคจิตเวช มีไม่น้อย ขณะที่ผู้ป่วยบางรายรู้ตัวว่าตนเองป่วยและบางรายก็ไม่รู้ตัว ที่สำคัญไปกว่านั้น ผู้ป่วยบางรายยังสับสนในอาการป่วยทางจิตเวชบางโรค และเข้าใจผิดคิดว่าตนเองป่วยเป็นโรคทางกาย

โรคจิตเวช คือกลุ่มอาการทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยมีความบกพร่องในกิจวัตรต่างๆ หรือเกิดความทุกข์ทรมาน ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองป่วย หรือบางคนรู้แต่ไม่มาพบแพทย์ ทำให้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต โดยโรคจิตเวชที่พบบ่อยการสังเกตอาการคนรอบข้างรวมถึงตัวเองเกี่ยวกับโรคจิตเวชเป็นเรื่องสำคัญ หากพบความผิดปกติหรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนรักษาก่อนอาการรุนแรง และนี่คือ 10 โรคจิตเวช สำคัญที่ควรรู้ เพื่อให้ได้ลองสังเกตตนเอง รวมถึงการสังเกตคนรอบข้างว่าเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยหรือไม่ จะได้รับมือและรับการรักษาที่ถูกต้อง

1. โรคซึมเศร้า (Depressive Disorder)
เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หดหู่ ท้อแท้ เบื่อหน่ายเป็นต่อเนื่องกันนานเกิน 2 สัปดาห์ ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชอบทำ ความรู้สึกไร้ค่าเป็นภาระ พฤติกรรมการกินอาหารและการนอนเปลี่ยนไป เหนื่อยเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน บางรายอาจมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ บางรายอาจไม่รู้สึกเศร้าแต่จะเบื่อหน่ายทุกอย่างรอบตัว และไม่รู้จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ความสำคัญของโรคนี้คือผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษามีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง

2. โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
อาการที่เด่นชัด คือ กังวลหรือคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ หยุดความคิดที่เกิดขึ้นไม่ได้จนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจมีอาการทางกาย เช่น ปวดตึงต้นคอ ใจสั่น อ่อนเพลีย นอนหลับได้ยาก มีอาการอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งโรควิตกกังวลสามารถแบ่งประเภทได้ เช่น โรคกังวลกับทุกเรื่อง (Generalized Anxiety Disorder), โรคแพนิค (Panic Disorder), โรคกลัวการเข้าสังคม (Social Anxiety Disorder), โรคกลัวเฉพาะอย่าง (Specific Phobia), โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder) สาเหตุส่วนมากมักเกิดจากการเลี้ยงดูหรือประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้าที่ไม่สามารถจัดการได้ รักษาโดยการใช้จิตบำบัดเป็นหลัก อาจควบคู่ไปกับการกินยาเพื่อควบคุมอาการ

3. โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)
มีอารมณ์เศร้าที่เข้าได้กับภาวะซึมเศร้ายาวนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และมีช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ นอนน้อย วอกแวกง่าย ความคิดแล่นเร็วอยากทำหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ใช้เงินเก่งขึ้น มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ขับรถเร็ว เล่นการพนัน แบบที่ผิดไปจากบุคลิกเดิม โดยช่วงอารมณ์ดี เป็นต่อเนื่องกันทุกวันอย่างน้อย 4 วัน การรักษาเป็นการกินยาควบคุมอารมณ์ การทำจิตบำบัด การปรับการใช้ชีวิต เช่น การเข้านอนเป็นเวลา เป็นต้น

4. โรคจิตเภท (Schizophrenia)
โรคจิตเภทมีความซับซ้อนและรุนแรงในกลุ่มโรคจิตเวชด้วยกัน โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีความคิด อารมณ์ การรับรู้ และพฤติกรรมที่แปลกไป เช่น มีอาการหลงผิด หูแว่ว ภาพหลอน ความคิดไม่เชื่อมโยง มีพฤติกรรมแปลกไป หรือในบางรายจะมีอาการหน้านิ่งไม่แสดงความรู้สึก อารมณ์เฉยเมย ไม่ค่อยพูด อาการมักเป็นต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 เดือน และต้องไม่มีสาเหตุทางกายที่อธิบายอาการข้างต้นได้ สาเหตุมาจากพันธุกรรม จากสิ่งแวดล้อม และการตอบสนองต่อความเครียดไม่ได้ การรักษาส่วนมากเป็นการให้ยาเพื่อควบคุมอาการ ในรายที่มีอาการหนักแต่ควบคุมอาการได้ดีขึ้น อาจมีการฝึกทักษะการใช้ชีวิตเพิ่มเติม

5. โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder)
มีพฤติกรรมทำบางสิ่งบางอย่างซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้เกิดความสบายใจถึงอย่างนั้นผู้ป่วยก็ไม่สามารถหยุดสิ่งที่ทำอยู่ได้ เช่น คอยดูว่าปิดไฟห้องน้ำหรือไม่ถึงแม้ว่าจะเห็นว่าปิดไปแล้วก็ตาม พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการการมีความกังวลอาจมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น โดยไม่สามารถห้ามความคิดเหล่านั้นได้ การมีพฤติกรรมทำอะไรบางอย่างก็เพื่อจะลดความกังวลนั้น ส่วนมากมักพบในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น อาจพบภาวะซึมเศร้าร่วมด้วยได้ การรักษาใช้การทำจิตบำบัดแบบ Cognitive Behavioral Therapy เป็นหลัก แต่สามารถใช้ยาควบคุมความกังวลร่วมกันได้ในรายที่ควบคุมอาการด้วยตนเองไม่ได้

6. โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder)
เป็นความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากเผชิญกับเหตุการณ์คุกคามที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรง หรือเผชิญเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บที่มีความเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย อาการของโรค PTSD คือ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำ เช่น มีอาการฝันร้าย ฝันถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยๆ , มีพฤติกรรมพยายามหลีกเลี่ยงกับเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อจิตใจ เช่น ไม่ไปในสถานที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์ พยายามไม่พูดถึง, อารมณ์หรือการคิดเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ เช่น รู้สึกห่างเหิน ไม่ยินดียินร้าย ไม่สามารถรู้สึกด้านบวกได้, ตื่นตัวมากเกินปกติ เช่น นอนไม่หลับ กลัวหรือตกใจ ง่ายกว่าปกติ, นอกจากนี้ยังอาจเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า การติดแอลกอฮอล์ เป็นต้น การรักษา PTSD ต้องเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาการรักษาที่เร็วและอาการยังไม่มากจะช่วยจัดการอาการที่เกิดขึ้นได้ดี

7. โรคสมาธิสั้น (Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder; ADHD)
เป็นภาวะการทำงานบกพร่องของสมองที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ 3 ด้าน คือ ขาดสมาธิ ไม่นิ่งหรือซนมากกว่าปกติ ขาดการยั้งคิด โดยอาการมักเป็นในทุกสถานการณ์ เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน เป็นต้น สาเหตุของโรคส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรม ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นโรค เด็กจะมีโอกาสมากขึ้น 4-5 เท่า และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น มารดามีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ ได้รับสารตะกั่ว สูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา การรักษาโดยการปรับสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมให้ง่ายต่อการมีสมาธิ ให้ความรู้ผู้ปกครองและครูเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กอาจรักษาด้วยยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นสมองและทำให้เด็กนิ่งและมีสมาธิมากขึ้น

8. โรคการกินผิดปกติ (Eating Disorder)
ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่ได้ส่งผลดีต้อสุขภาพ หมกมุ่นกันเรื่องอาการ น้ำหนัก รูปร่าง เช่น Anorexia Nervosa ผู้ป่วยจะกลัวน้ำหนักขึ้น มองแต่คนรอบข้างบอกว่าผอมมากทำให้ไม่กินอาหาร เลือกกินอาหารที่พลังงานต่ำ ออกกำลังกายหนัก , Bulimia Nervosa จะมีลักษณะกลัวน้ำหนักขึ้นเช่นเดียวกันแต่มีพฤติกรรมกินอาหารในปริมาณมากหลังจากนั้นจะรู้สึกผิดและจัดการความรู้สึกผิดโดยการกระตุ้นให้อาเจียนหรือออกกำลังกายหนัก โรคการกินผิดปกติส่งผลมากต่อภาวะสุขภาพกาย อาจทำให้เกลือแร่/สารอาหารบางอย่างไม่เพียงพอ และมักมีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย การรักษาใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย รวมไปถึงการทำจิตบำบัด การกินยาลดอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ร่วมกันการดูแลสุขภาพโดยแพทย์โภชนาการ

9. ความผิดปกติของบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder)
อาการที่พบ เช่น อารมณ์แปรปรวนไม่คงที่ กลัวการถูกทอดทิ้งไม่สามารถคงความสัมพันธ์กับใครคนหนึ่งได้ยาวนานอารมณ์รุนแรงควบคุมตนเองไม่ได้ มีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือมีความคิดฆ่าตัวตาย เพื่อบรรเทาความรู้สึกว่างเปล่าในใจ มองว่าตนเองไร้ค่า ส่วนมากมักพบในวัยรุ่น

10. ความผิดปกติในการใช้สาร (Substance-Used Disorder)
โรคความผิดปกติในการใช้สาร มีลักษณะคือยังคงใช้สารชนิดนั้นต่อเนื่อง แม้จะทราบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ ไม่สามารถควบคุมตนเองในการใช้สารได้ มีความอยากใช้สารมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่าเดิม ใช้เวลาในการหาสารและใช้สาร จนเกิดผลกระทบต่อการทำงานหรือความสัมพันธ์ พยายามเลิกใช้สารแต่เลิกไม่ได้ ส่วนมากบุคคลที่มีความผิดปกติจากการใช้สารมักมีภาวะอื่นๆ ทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ การรักษาคือการทำพฤติกรรมบำบัด ร่วมกับการให้ยารักษาภาวะทางจิตเวชที่เกิดขึ้น ผลของการรักษาต้องใช้ความร่วมมือกันของตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว/สังคมรอบข้าง และแพทย์หรือทีมที่ให้การบำบัดรักษา และโดยพื้นฐานของโรคมีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำสูง การให้กำลังใจ ชื่นชมผู้ป่วย เป็นสิ่งที่คนรอบข้างทำให้ได้

ข้อมูล : แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาล BMHH
ภาพ : Pexels


Praew Recommend

keyboard_arrow_up