ไขมันพอกตับ คือภาวะการสะสมไขมันในตับที่มากเกินไป คือ มากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ จะทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งนำไปสู่การเกิดตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับได้ในที่สุด
โดยปกติร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งมาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือหน้าท้องและตับ ไขมันที่ตับนับเป็นแหล่งพลังงานใหญ่ที่สุด หากเกิดการสะสมของไขมันที่ตับมากๆ จะส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับอีกด้วย
ตับเป็นอวัยวะสำคัญมีหน้าที่ในการดำรงชีวิตหลายอย่าง เช่น
- ผลิตน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร
- สร้างโปรตีนให้กับร่างกาย เก็บสะสมธาตุเหล็กและวิตามินต่างๆ เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน
- สร้างสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (เกาะตัวกันเพื่อรักษาบาดแผล)
- รวมถึงช่วยต่อต้านการติดเชื้อ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันและกำจัดแบคทีเรียและสารพิษออกจากเลือด
- การกำจัดสารพิษและยาต่างๆ
จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นไขมันพอกตับ (Fatty liver disease)
ปกติตับที่แข็งแรงจะมีไขมันเพียงเล็กน้อย หากตรวจพบไขมันในตับประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตับ ถือว่ามีภาวะไขมันพอกตับ โรคไขมันพอกตับ ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรง หรือส่งผลต่อการทำงานของตับ แต่พบว่า 7- 30% ของผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับจะมีอาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป เกิดการอักเสบและมีพังผืดเกิดขึ้นภายในตับ ส่งผลให้มีการดำเนินโรคที่มากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นต้น
ไขมันพอกตับ มีกี่ระยะ
โดยภาวะไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 เป็นระยะการสะสมไขมันในตับ ยังไม่มีอาการหรือการอักเสบเกิดขึ้นในตับ มักตรวจพบโดยบังเอิญ หรือจากการตรวจสุขภาพ
- ระยะที่ 2 เป็นระยะที่มีการอักเสบของตับ เซลล์ตับได้รับความเสียหาย ค่าการทำงานของตับจากผลเลือดผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นได้
- ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มีพังผืดภายในเนื้อตับและเส้นเลือดในตับ ในระยะนี้ตับยังสามารถทำงานได้ปกติ หากได้รับการรักษาที่สาเหตุ ก็จะสามารถหยุดการดำเนินโรคต่อไปได้
- ระยะที่ 4 เป็นระยะตับแข็ง เนื่องจากตับได้รับความเสียหายถาวร เกิดเป็นพังผืดทั่วทั้งตับและกลายเป็นตับแข็ง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับวายและมะเร็งตับได้
โดยแบ่งการดำเนินโรคได้ ดังนี้
- ตับอักเสบ (บวม) ซึ่งทำลายเนื้อเยื่อของตับ เรียกระยะนี้ว่าภาวะตับอักเสบ (steatohepatitis)
- การอักเสบรุนแรงต่อเนื่อง เนื้อเยื่อแผลเป็นที่ตับได้รับความเสียหายจนเกิดเป็นพังผืด (fibrosis)
- เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก เนื้อเยื่อแผลเป็นมีขนาดใหญ่จนตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ เข้าสู่ภาวะตับแข็ง (cirrhosis of the liver) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับวายและมะเร็งตับ
สาเหตุของโรคไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ
- ไขมันพอกตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol fatty liver disease) เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก (การดื่มในระดับมาตรฐานหมายถึงการดื่มไวน์วันละ 1 แก้ว สำหรับผู้หญิงและไม่เกิน 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย) ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยไขมันพอกตับจากการดื่มประมาณ 5%
- ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ Non-alcohol related fatty liver disease (NAFLD) (Non-alcoholic fatty liver disease; NAFLD) เกิดขึ้นในผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะนี้ส่งผลต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 3 คนและเด็ก 1 ใน 10 คนในสหรัฐอเมริกาพบอุบัติการณ์ในผู้ใหญ่ประมาณ 25-30% ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด และในเด็กประมาณ 10%
ปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันพอกตับ ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของโรคไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ แต่พบว่าอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ดังนี้
- กลุ่มอาการอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) ซึ่งประกอบไปด้วยรอบเอวที่เกิน 90 ซม. ในผู้หญิง และ 100 ซม. ในผู้ชาย ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับไขมันดี แอชดีแอลน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเพศชาย และน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในเพศหญิง และน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่า 110 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
- โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคไขมันสูง
- กินอาหารที่มีพลังงานสูงเป็นประจำ เช่น ไขมัน น้ำตาล แป้ง
- สตรีวัยหมดประจำเดือน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาต้านไวรัสบางชนิด
อาการของโรคไขมันพอกตับ ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับมักไม่มีอาการทางร่างกาย หรือหากมีอาการก็อาจเป็นอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น
- อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้เล็กน้อย
- รู้สึกปวดใต้ชายโครงขวา
ดังนั้นการตรวจพบโรคไขมันพอกตับส่วนใหญ่จึงมักพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือ พบค่าการทำงานของตับผิดปกติ หรือ ตรวจพบจากการตรวจทางการแพทย์ด้วยสาเหตุอื่น ผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับมักไม่มีอาการจนกว่าโรคจะลุกลามเป็นตับแข็ง
หรือมีอาการ ดังนี้
- ปวดท้องหรือรู้สึกอิ่มที่ด้านขวาบนของช่องท้อง
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด
- ผิวเหลืองและตาขาว (ดีซ่าน)
- ท้องและขาบวม (บวมน้ำ)
- รู้สึกเหนื่อยล้าหรือสับสน
การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับ
- การตรวจเลือด ในภาวะไขมันพอกตับระยะเริ่มต้น ค่าการทำงานของตับมีค่าปกติได้ แต่ในรายที่มีตับอักเสบจากไขมันพอกตับร่วมด้วย จะพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ
- การตรวจอัลตร้าซาวด์ สามารถตรวจพบไขมันพอกตับได้ เมื่อมีการสะสมไขมันในตับมากกว่า 30% แต่ก็มีข้อจำกัดในรายที่มีผนังหน้าท้องหนา
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ
- การตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน (FibroScan) เนื่องจากโรคไขมันพอกตับมักไม่มีอาการ
แพทย์อาจตรวจพบระดับเอนไซม์ตับที่สูงขึ้น จากการตรวจเลือดเพื่อหาภาวะอื่นๆ ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
- อัลตร้าซาวด์หรือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อให้ได้ภาพตับ
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ (ตัวอย่างเนื้อเยื่อ) เพื่อระบุว่าโรคตับลุกลามไปมากน้อยเพียงใด
- ไฟโบรสแกน (FibroScan) เป็นการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ ซึ่งตรวจได้โดยง่าย ได้ผลเร็ว และไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆ
นอกจากนี้ยังสามารถช่วยการวินิจฉัยในรายที่มีพังผืดมากเสี่ยงต่อภาวะตับแข็งในระยะแรกๆ ได้ซึ่งเป็นอัลตร้าซาวด์พิเศษที่ใช้แทนการตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อหาปริมาณไขมันและเนื้อเยื่อแผลเป็นในตับ ซึ่งตรวจง่ายได้ผลเร็วโดยไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ อีกทั้งยังสามารถช่วยวินิจฉัยผู้ที่เป็นตับแข็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก นอกจากนี้ยังสามารถติดตามผล และประเมินระดับความรุนแรงของตับแข็งและช่วยในการวางแผนรักษาไขมันพอกตับต่อไป
ผู้ที่ควรตรวจไฟโบรสแกน
- ผู้ป่วยโรคตับที่มีผลเลือดค่าการทำงานตับ AST/ALT มากกว่า 1
- ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เรื้อรังทุกราย
- ผู้ป่วยที่มีการดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
- ผู้ที่รับประทานยา หรือสมุนไพร ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนปกติ ถึง 4 เท่า
- ภาวะอ้วนลงพุง โรคอ้วน
- ผู้ป่วยภาวะไขมันพอกตับที่อายุมากกว่า 45 ปี
- ผู้ป่วยไขมันพอกตับที่มีข้อห้าม หรือปฎิเสธการเจาะตับ
การรักษาโรคไขมันพอกตับ ปัจจุบันไม่มียารักษาโรคไขมันพอกตับโดยเฉพาะ แต่มุ่งเน้นการปฏิบัติตัวปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่จะช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น และลดไขมันพอกตับได้ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม หากมีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักลง 7-10% โดยให้ค่อยๆ
- ลดน้ำหนักลง เนื่องจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วอาจทำให้โรคไขมันพอกตับแย่ลงได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150-200 นาทีต่อสัปดาห์ทั้งแบบแอโรบิค และแบบมีแรงต้าน
- ควบคุมอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงหรือน้ำตาลสูง เช่น อาหารประเภททอด เนื้อติดมัน ผลไม้ที่มีรสหวานและน้ำผลไม้ต่างๆ ขนมต่างๆ ให้รับประมาณที่มีกากใยสูง และพลังงานต่ำ เช่น ผักต่างๆ
- หากเป็นเบาหวาน หรือ ไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดี ด้วยการรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ สมุนไพรที่นอกเหนือจากแพทย์สั่ง
- ในรายที่มีค่าการทำงานของตับผิดปกติ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยยาเพื่อทำให้ผลเลือดกลับมาปกติได้ อย่างไรก็ตามยาเหล่านี้ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถลดไขมันพอกตับได้ดี
ตับมีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้อย่างน่าทึ่งหากหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักและโรคประจำตัว ซึ่งสามารถช่วยลดไขมันพอกตับ การอักเสบรวมถึงฟื้นฟูความเสียหายของตับในระยะเริ่มต้นได้โรคไขมันพอกตับไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่และส่วนใหญ่ไม่มีอาการ การดำเนินโรคค่อนข้างช้า
การตรวจพบโรคไขมันพอกตับจึงมักพบเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจทางการแพทย์ด้วยเหตุผลอื่นๆ ซึ่งในบางรายอาจมีภาวะไขมันพอกตับมานานแล้วก็อาจตรวจพบในระยะตับแข็งไปแล้ว ดังนั้นหากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยภาวะไขมันพอกตับตั้งแต่เนิ่นๆ และปฏิบัติตัวเพื่อลดโอกาสการเป็นไขมันพอกตับ รวมไปถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จากไขมันพอกตับด้วย
ข้อมูล : นพ. ปฏิพัทธ์ ดุรงค์พงศ์เกษม สมิติเวช สุขุมวิท
ภาพ : Pexels
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ