ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและภาระหน้าที่ หลายคนอาจไม่ทันสังเกตเลยว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนบางอย่างผ่าน ‘อาการปวด’ ที่แทรกซึมเข้ามาอย่างเงียบๆ และนี่คือจุดเริ่มต้นของบทสนทนากับคุณหมอเปียง (อาจารย์นายแพทย์กันตพงศ์ ทองรงค์ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่ง เปียง รีแฮบบิลิเทชัน คลินิก) แพทย์ผู้เชื่อมั่นว่าการฟื้นฟูร่างกาย ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับผู้ป่วยหลังอุบัติเหตุหรือโรคร้ายเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับ ‘ทุกคน’ ในทุกช่วงวัยของชีวิต ที่ควรใส่ใจตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ร่างกายจะส่งเสียงดังจนสายเกินฟัง
Q : อะไรคือเหตุผลที่คุณหมอเลือกเส้นทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู?
“ผมมองว่าเวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นศาสตร์ที่พูดถึง ‘คุณภาพชีวิต’ เป็นหลักครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยไหน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา เวชศาสตร์ฟื้นฟูก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดูแลสุขภาพได้เสมอ เพราะการแพทย์โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 เสาหลัก คือ การป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ซึ่งฟื้นฟูก็ถือเป็นอีกหนึ่งพาร์ทที่สำคัญมาก เราจะมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา ก่อนจะเกิดอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างออฟฟิศซินโดรม หรืออาการปวดเรื้อรังจากท่าทางการทำงานที่ผิด อาการเหล่านี้ลดทอนทั้งคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงาน หน้าที่ของเราคือช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างอิสระได้อีกครั้ง ในแบบที่พวกเขาควรจะเป็น และไม่ใช่แค่โรคกล้ามเนื้อหรือออฟฟิศซินโดรมเท่านั้นนะครับ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ผู้ป่วยหลังผ่าตัด หรือผู้ที่สูญเสียอวัยวะเอง ก็ต้องการการฟื้นฟูเช่นกัน ผมเชื่อว่าศาสตร์นี้สามารถช่วยให้คนจำนวนมากมีชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ ซึ่งผมเองเป็นคนทำคอนเทนต์เล่าเรื่องมาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ พอมีโอกาสเป็นแพทย์เฉพาะทาง ก็อยากนำความรู้จากเวชศาสตร์ฟื้นฟูมาบอกเล่าในแบบที่คนทั่วไปเข้าใจง่าย ให้เนื้อหาสุขภาพกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและจับต้องได้”
Q : คุณหมอเองเคยมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับอาการปวดไหม?
“มีครับ… ยุคนี้ใครทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือตลอดวันก็มีโอกาสเจอปัญหาเหล่านี้กันทั้งนั้น รวมถึงตัวผมเองก็มีอาการปวดเมื่อยบ้างตามธรรมชาติของงาน แต่เพราะเราเป็นหมอ ก็พอรู้ว่าควรดูแลตัวเองอย่างไร และยังชอบแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆ ในวงการแพทย์อยู่เสมอว่ามีวิธีไหนที่เหมาะสมบ้าง เพราะสุขภาพก็เป็นเรื่องที่ไม่หยุดพัฒนาเหมือนกันครับ”
Q : จุดเริ่มต้นของ เปียง รีแฮบบิลิเทชัน คลินิก มาจากอะไร?
“คลินิกแห่งนี้เกิดจากความตั้งใจที่อยากทำให้ศาสตร์เวชศาสตร์ฟื้นฟู มีบทบาท และความชัดเจนมากขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้คน เราเน้นให้การรักษาทุกขั้นตอนมีงานวิจัยและข้อมูลทางการแพทย์รองรับอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจว่าทุกวิธีการที่ใช้ มีประสิทธิภาพและปลอดภัย และที่นี่ เปียง รีแฮบบิลิเทชัน คลินิก (PYONG Rehabilitation) เปิดมาเกือบครบ 2 ปีแล้วครับ ผมเองดูแลคลินิกนี้โดยตรง พร้อมกับมีทีมแพทย์และบุคลากรที่พร้อมให้คำปรึกษาทุกวัน”
Q : แนวคิดการทำงานของคุณหมอในการดูแลคนไข้เป็นแบบไหน?
“สำหรับผม เวชศาสตร์ฟื้นฟู ไม่ได้มีแค่การรักษาโรคเท่านั้น แต่คือการเข้าใจผู้ป่วยอย่างแท้จริง หลายครั้งที่อาการเจ็บปวดซ่อนอยู่ในพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ป่วยเองอาจไม่เคยสังเกต เช่น ท่านั่ง ท่านอน หรือแม้แต่การถือมือถือข้างไหนนานเกินไป ดังนั้น ผมเชื่อในคำว่า ‘Empathy’ คือการพยายามเข้าใจความรู้สึกของคนไข้ให้มากที่สุด เมื่อเราเข้าใจเขาแล้ว จะช่วยให้วินิจฉัยได้ถูกต้องและแม่นยำขึ้น เพราะต้นเหตุบางอย่างอาจไม่ได้อยู่ที่ร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมหรือวิถีชีวิตของเขาด้วย”

Q : มีอาการไหนที่พบเจอเป็นพิเศษไหม?
“ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ออฟฟิศซินโดรม’ หรือชื่อเต็มๆ ทางการแพทย์คือ Myofascial Pain Syndrome โรคนี้เกิดจากพฤติกรรมการนั่งทำงานซ้ำๆ ในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งเก้าอี้ที่ไม่รองรับหลัง นั่งจ้องจอคอมพ์นานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยจะปวดบริเวณคอ บ่า ไหล่ แต่ไม่ใช่เฉพาะคนทำงานเท่านั้นนะครับ นักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็พบได้เยอะเช่นกัน เพราะถ้าขาดความรู้เรื่องการวอร์มอัพ คลูดาวน์ หรือยกน้ำหนักเกินกำลัง ก็สามารถเจ็บกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นได้เหมือนกัน”
Q : กีฬาชนิดไหนที่คุณหมอมักพบว่ามีการบาดเจ็บบ่อยเป็นพิเศษ?
“ที่พบบ่อยก็จะเป็นคนที่เข้าฟิตเนสครับ เพราะบางครั้งยกเวทหรือออกกำลังหนักเกินไปโดยไม่ได้เตรียมร่างกายให้พร้อม รวมถึงนักกีฬากอล์ฟและเทนนิสก็มีให้เห็นเยอะเช่นกัน เนื่องจากเป็นกีฬาที่ต้องใช้กล้ามเนื้อชุดเดิมซ้ำๆ และบางท่าทางก็มีแรงกระแทกหรือบิดตัวสูงมาก ถ้าขาดความรู้เรื่องท่าทางที่ถูกต้อง หรือเล่นเกินความสามารถของร่างกาย ก็จะเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายครับ”
Q : โปรแกรมการรักษาที่นี่เน้นเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้าง?
“พื้นฐานของการรักษาที่นี่ เราให้ความสำคัญกับ ‘การค้นหาสาเหตุที่แท้จริง’ เป็นอันดับแรกครับ หลังจากนั้นจะให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม และเสริมด้วยเทคนิคทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา กายภาพบำบัด การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เรียกว่า Physical Modality ซึ่งล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์เฉพาะทาง เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
โดย Physical Modality หรือการรักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพ เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า อัลตราซาวด์คลื่นเสียงลึก หรือเลเซอร์บำบัด ซึ่งจะช่วยลดอาการปวด บรรเทาอาการอักเสบ และกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการทำ Manual Therapy หรือการรักษาด้วยมือ เช่น การจัดกระดูก การดัดยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะของแพทย์และนักกายภาพบำบัด เพื่อช่วยคลายจุดตึงตัวของกล้ามเนื้อและพังผืดที่เป็นต้นเหตุของอาการปวด
และสุดท้ายก็คือการออกแบบ Exercise Program หรือการจัดโปรแกรมการออกกำลังกายฟื้นฟูให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพราะในเวชศาสตร์ฟื้นฟู เราไม่เน้นให้คนไข้แค่หายปวดชั่วคราว แต่เราต้องการให้เขาแข็งแรงขึ้นจริงๆ และลดโอกาสกลับมาเจ็บซ้ำในระยะยาว เพราะฉะนั้นเราจะออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงการฝึกกล้ามเนื้อเชิงลึก เพื่อเสริมสร้างความสมดุลและความมั่นคงให้กับร่างกายอย่างยั่งยืนครับ”
Q : นอกจากการรักษาอาการปวดแล้ว เวชศาสตร์ฟื้นฟูยังช่วยเรื่องอะไรได้อีกบ้าง?
“เวชศาสตร์ฟื้นฟูไม่ได้โฟกัสแค่เรื่องอาการปวดนะครับ จริงๆ แล้วศาสตร์นี้กว้างมาก ครอบคลุมตั้งแต่ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหว ผู้ที่ผ่านการผ่าตัด ผู้ที่มีอาการอ่อนแรงจากโรคระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดทางกายภาพอย่างผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ผู้พิการทางร่างกาย เราก็จะช่วยวางแผนการฟื้นฟูให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้ดีที่สุดตามศักยภาพที่เหลืออยู่
อีกด้านที่ผมให้ความสำคัญมากคือ ‘การป้องกัน’ เวชศาสตร์ฟื้นฟูไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่เจ็บแล้วต้องมารักษา แต่ยังสามารถเข้ามาเรียนรู้เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บในอนาคตได้ด้วย เช่น คนที่มีท่าทางการนั่งทำงานไม่ถูกต้อง หรือเริ่มมีอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเข้ามาปรึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ เราสามารถช่วยออกแบบพฤติกรรมและท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันไม่ให้มันลุกลามจนกลายเป็นโรคได้ครับ”
Q : สำหรับคนที่กำลังเผชิญกับอาการปวดหรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพกายบ้างไหม?
“อย่าปล่อยให้อาการปวดกลายเป็นเพื่อนสนิทครับ หลายๆ คนพอเริ่มปวด ก็เลือกจะทน เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง หรือกินยาแก้ปวดไปก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการปวดมักเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ร่างกายพยายามบอกอะไรบางอย่างกับเรา และถ้าปล่อยไว้นานๆ มันอาจลุกลามไปถึงระดับที่รักษายากขึ้น หรือบางกรณีกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้เลย
ผมเชื่อว่าการดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องของความเจ็บป่วยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการรู้จักฟังร่างกายของตัวเอง ใส่ใจพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ท่านั่ง ท่านอน การใช้โทรศัพท์ หรือแม้แต่ท่าทางการออกกำลังกาย หากมีข้อสงสัยหรือเริ่มรู้สึกผิดปกติ ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ครับ เพราะสุขภาพที่ดีคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเลยจริงๆ”


หลังจากพูดคุยกันอย่างจริงจังในแง่มุมของเวชศาสตร์ฟื้นฟูและอนาคตของคลินิกไปพอสมควรแล้ว ขอเปลี่ยนโหมดมาชวนคุณหมอคุยในมุมเบาๆ กันบ้าง เพราะนอกจากบทบาทของแพทย์และอาจารย์แล้ว คุณหมอยังเป็นนักเดินทางตัวยง เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ และมีโปรเจกต์ส่วนตัวอีกเพียบ แต่จะบาลานซ์ชีวิตหลายบทบาทยังไงให้ยังยิ้มได้ทุกวัน ตามไปฟังคุณหมอเล่าแบบกันเองๆ กัน
Q : เป็นทั้งคุณหมอ นักเดินทาง และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ชีวิตหลากหลายบทบาทแบบนี้ คุณหมอมีวิธีบาลานซ์ชีวิตยังไงบ้าง?
“ผมมองว่าชีวิตเรามีหลายด้านที่สำคัญ ทั้งเรื่องงาน กิจกรรมที่เราชอบ ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การดูแลตัวเอง ซึ่งทั้งหมดคือ Priority หรือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ละช่วงเวลา Priority เหล่านี้อาจเปลี่ยนลำดับได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น แต่ถ้าเราตั้งสิ่งใดไว้เป็น Priority แล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ได้ครับ เหมือนกับการอาบน้ำ แปรงฟัน ที่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องทำให้เสร็จ
อย่างผม ถ้าให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย ผมก็จะพยายามหาเวลาให้ได้ในแต่ละวัน อย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง การนอนก็สำคัญมากครับ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับกับหน้าที่ในแต่ละวัน ส่วนเรื่องงาน ผมก็ใส่หมวกหลายใบครับ เป็นอาจารย์ เป็นหมอ เป็นผู้ประกอบการ แล้วก็ทำคอนเทนต์ ซึ่งก็ต้องสลับจัดลำดับความสำคัญให้เหมาะกับช่วงเวลา ถ้าเป็นช่วงที่ต้องสอนเยอะ ก็จะเทไปทางนั้น
ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวเป็น passion ที่อยู่กับผมมานาน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้วย ซึ่งตอนนี้ก็สามารถสร้างรายได้ได้เหมือนกัน แต่แม้จะเป็นงาน ก็ยังเป็นสิ่งที่ผมรักอยู่ดี ทุกครั้งที่ไปเที่ยว ผมก็จะพยายามกลับมาพร้อมคอนเทนต์ที่ดี อย่างน้อยก็มีสปอนเซอร์ติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง (หัวเราะ) มันเป็นการฮาร์โมไนซ์ชีวิต คือทำให้ทุกอย่างกลมกล่อมไปด้วยกัน โดยไม่ต้องแบ่งว่าอะไรสำคัญที่สุดเสมอไป แต่ดูว่าช่วงนั้น อะไรควรมาเป็นลำดับต้นๆ ครับ”
Q : ในแต่ละด้านที่คุณหมอให้ความสำคัญ มีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ยังไง?
“ทุกอย่างที่เป็น Priority ผมตั้งเป้าหมายไว้หมดครับ อย่างในเรื่องธุรกิจ ผมก็อยากให้มันค่อยๆ เติบโต สร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือขึ้นเรื่อยๆ ส่วนบทบาทแพทย์และอาจารย์ ผมอยากมีผลงานทางวิชาการเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการวิจัย การสอน รวมถึงการพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ที่ใช้ในระบบสุขภาพ
ผมสนใจเรื่อง Design Thinking กับ Universal Design มาก อยากให้มันถูกนำมาใช้ในระบบบริการสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในสายเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง
ส่วนพอพูดถึงการเที่ยว สำหรับผมไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็สนุกทั้งนั้น มันคือการพักหายใจจากสิ่งอื่นๆ ได้บ้าง ได้ไปทำสิ่งที่เราชอบ และเติมพลังกลับมา ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นด้วยซ้ำ เพราะถ้าเราดูแลตัวเองไม่ดี ก็จะไปทำอย่างอื่นต่อไม่ไหว”
Q : การเปิดคลินิกมาเกือบ 2 ปี มีผลต่อไลฟ์สไตล์ของคุณหมอบ้างไหม โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว?
“ช่วงแรกเปิดคลินิกก็แทบไม่ได้เที่ยวเลยครับ เพราะตอนนั้นมีหมออยู่แค่คนเดียว ก็คือผม ต้องดูแลทุกอย่างเอง แต่พอเวลาผ่านไป เราค่อยๆ สร้างทีมขึ้นมา ตอนนี้ทีมก็ใหญ่ขึ้นตามลำดับ ซึ่งช่วยให้ผมมีเวลาจัดการชีวิตได้ดีขึ้น ผมเชื่อว่าถ้างานเริ่มหนักเกินไปจนกระทบคุณภาพชีวิต เราก็ต้องหาคนมาช่วย เพราะคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องปัจเจกนะครับ สำหรับผม ถ้าเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหว ก็จะจัดการด้วยการเพิ่มทีมทันที
ตอนนี้เราก็เตรียมจะเปิดศูนย์ใหม่ที่เกษร ทาวเวอร์ (ประมาณกลางปี 2025 นี้) เป็นศูนย์ที่ดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร อยู่ในธีม Geriatric Medicine ทั้งป้องกัน รักษา และฟื้นฟู โดยใช้แนวคิดเวชศาสตร์ฟื้นฟูผสมกับเทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์เพื่อการฟื้นฟูสมอง หรือกายภาพแบบใหม่ที่ช่วยให้สมองเรียนรู้และซ่อมแซมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป้าหมายคือให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าร่างกายดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นไปอีก ถ้าเริ่มมีปัญหา เช่น สโตรก พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ก็อยากให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเต็มที่ครับ”
และนี่คือบทสนทนากับคุณหมอเปียง คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากาย ที่ไม่ลืมดูแลใจตัวเองผ่านการเดินทางและการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายลุย ตลอดบทสัมภาษณ์นี้ คุณจะได้เห็นมุมมองการทำงานและการใช้ชีวิตที่บาลานซ์กันได้ดีของคุณหมอ และหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้หลายคนเข้าใจและเห็นความสำคัญของ “เวชศาสตร์ฟื้นฟู” มากขึ้น
