Exclusive Talk คุณเอี๋ยม - วีรชัย Cover

เปิดธุรกิจระดับพันล้านของ คุณเอี๋ยม – วีรชัย มั่นสินธร ซีอีโอบริษัทอุตสาหกรรมไทยบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) 1 ใน 5 ผู้ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของประเทศ

Exclusive Talk คุณเอี๋ยม - วีรชัย Cover
Exclusive Talk คุณเอี๋ยม - วีรชัย Cover

จากลูกหนี้ธนาคารหลายร้อยล้านบาท สามารถสร้างรายได้กว่า 3,200 ล้านบาทต่อปี ไม่ใช่เพราะ “โชค” แต่ด้วยหัวใจนักสู้ที่ไม่มีคำว่า “ยอมแพ้” ทำให้ “วันนี้” คุณเอี๋ยมในวัย 66 ปี ได้เริ่มต้น “ส่งต่อ” ธุรกิจไปยังรุ่นลูก พร้อมกับ เตรียมมอบสิ่งดีๆ คืนให้กับสังคมไทย เพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาเชื่อและทำมาตลอดว่า “Give Before Take”

“ย้อนไปสมัยผมเรียนจบชั้นไฮสคูลจากเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย แล้วตั้งใจเรียนต่อ Junior College ด้านเครื่องกล และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ที่บ้านไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะตอนนั้นฐานะการเงินของครอบครัวไม่ค่อยคล่อง เนื่องจากพี่ชายเพิ่งลงทุนสร้างโรงงานผลิตกล่องกระดาษ ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่ผมก็ตื๊อขอไป เรียนได้หนึ่งปีที่บ้านเขียนจดหมายมาบอกว่า กลับเถอะ ไม่มีเงินส่งแล้ว

“ก่อนกลับเมืองไทย ผมเดินทางไปบริษัทเครื่องจักรที่โรงงานเราเป็นลูกค้าอยู่เพื่อให้เขาแนะนำโรงงานผลิตกล่องกระดาษที่ใช้เครื่องจักรนี้ เพื่อผมจะได้ขอฝึกงาน อย่างน้อยก็เรียนรู้ขั้นตอนการผลิตก่อนกลับไปเมืองไทย เมื่อกลับมาเมืองไทยปรากฏว่าเครื่องจักรของโรงงานเราเก่ากว่ามาก ทำให้กล่องที่ผลิตออกมาคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ของเสียเยอะ แถมยังล่าช้า ผมจึงกลับไปโรงงานที่ญี่ปุ่นเพื่อถ่ายภาพส่วนต่าง ๆ ของเครื่องจักรแล้วให้ช่างคนไทยช่วยปรับแก้ เพื่อให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และผลิตได้จำนวนมากขึ้น

“ตอนนั้นรายได้ของบริษัทเดือนละ 8 แสนบาท ปีหนึ่งไม่ถึง 10 ล้าน แล้วยังมีหนี้ค้างชำระประมาณ 13 ล้านบาท มาจากเงินต้นกู้ 8 ล้านบาท ดอกเบี้ยอีก 5 ล้านบาท กำลังถูกแบงก์ฟ้องและจะยึดโรงงาน ตอนนั้นผมอายุเพียง 23 ปี เข้าไปขอประนอมหนี้กับแบงก์ เพราะสินค้าเรายังขายได้ และลูกค้าก็มีเพิ่มขึ้น จนแบงก์ยอมให้ตั้งเป็นเงินต้นใหม่คือ 13 ล้านบาท

“ตอนนั้นผมทำ 3 หน้าที่ คือ ผู้จัดการโรงงาน ดูแลเรื่องการผลิต ปรับปรุง เครื่องจักร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ดูแลด้านการขาย หิ้วกระเป๋าไปติดต่อหาลูกค้าเอง และผู้จัดการการเงิน ติดต่อกับแบงก์โดยตรง ทำอยู่ 4 ปี จากยอดขาย ปีละไม่ถึง 10 ล้าน เพิ่มเป็น 200 กว่าล้านบาท

 “จากนั้นก็ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อประมาณปี 2540 ผมเห็นว่าธุรกิจเราเติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังเตรียมนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ จึงตัดสินใจกู้เงินมา 20 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบเป็นเงินไทยคือ 500 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตกล่องกระดาษที่ทันสมัยสุดในประเทศ ที่จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากโรงงานสร้างเสร็จ รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาท แบงก์ประกาศปรับดอกเบี้ยเงินกู้คืน แล้วผมจะเอาเงินกู้ที่ไหนมาคืนได้ ปีนั้นเราจ่ายดอกเบี้ยไปร้อยกว่าล้านบาท

“ผมจึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับแบงก์อีกรอบว่า วิกฤติครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะเรา ธุรกิจเรายังไปได้ แบงก์จึงอนุญาตให้ปรับ โครงสร้างหนี้ แล้วเราก็ทยอยใช้หนี้มาประมาณ 14 ปี คือมีเงินเท่าไรก็ใช้หนี้หมด จนปลดหนี้ได้เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว หลังจากปลดหนี้ทั้งหมดได้แล้ว ผมจึงอยากขยายกิจการ ด้วยการสร้างโรงงานอีกแห่งที่มหาชัย จึงขอกู้ใหม่อีก 500 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยดี ปลายปีที่ผ่านมายอดขายประมาณ 3,200 ล้านบาท

“ผมให้นิยามธุรกิจนี้ว่า เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมกึ่งบริการ เพราะเทคโนโลยีของเรากับคู่แข่งไม่ได้ต่างกัน คุณภาพก็พอ ๆ กัน ดังนั้นเราต้องผลิตกล่องที่มีคุณภาพ และส่งมอบให้ตรงเวลา เราจึงต้องบริการให้ดี เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ และเชื่อถือ ผมจึงบริหารธุรกิจแบบมีจริยธรรม โดยใช้นโยบายซื่อสัตย์ 3 อย่าง คือ หนึ่ง ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า สอง ซื่อสัตย์ต่อคู่ค้าก็คือ Supplier ของเรา และสาม ซื่อสัตย์ต่อพนักงาน คือดูแลพนักงานอย่างดีเหมือนคนในครอบครัว”

ได้เวลาส่งไม้ต่อ

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณเอี๋ยมได้ส่งต่อธุรกิจนี้ให้กับลูกชายคนโต คุณอู๋ – ทิฆัมพร มั่นสินธร ทายาทเจเนอเรชั่นที่3 ในฐานะกรรมการบริษัท อุตสาหกรรมไทยบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ด้วยวัย 28 ปี สามารถพิสูจน์ฝีมือการบริหารธุรกิจระดับพันล้านจนเป็นที่ยอมรับ โดยมีคุณพ่อเป็นต้นแบบ

“หลังจากจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจที่ประเทศญี่ปุ่น ผมก็กลับมาช่วย ธุรกิจของครอบครัว เพราะคุณพ่อทำงานคนเดียวมาหลายปีแล้ว อย่างน้อยควรมีใคร มาช่วยสักคน เมื่อเราเป็นลูกชายคนเดียวจึงถือเป็นหน้าที่ด้วย ตอนเริ่มทำงาน คุณพ่อให้แนวทางว่าให้ผมไปอยู่ในทุกจุดที่สำคัญในบริษัท หลักคือฝ่ายผลิต ฝ่ายการเงิน และฝ่ายการตลาด โดยเข้าไปเรียนรู้งานแผนกละหนึ่งปี แล้วคุณพ่อ ยังให้โจทย์อีกว่าเขาทำอะไรกันอยู่ ก็ไปทำแบบเขาแล้วกัน แค่นั้นเลยครับ (หัวเราะ) ซึ่งมันไม่ง่ายเลย เราต้องไปนั่งหาคำตอบเอง คุณพ่อให้เหตุผลว่า เพราะถ้าพ่อพูดให้ฟัง ลูกก็คงไม่เชื่อ ให้ไปเจอกับตัวเองดีกว่า แรก ๆ ก็แอบมี น้อยใจคุณพ่อว่าทำไมไม่สอนอะไรเลย ก็อย่างที่คุณพ่อบอก ถ้าไม่ลองผิด เราก็จะไม่รู้หรอกว่าถูกคืออะไร ส่วนใหญ่จะได้ลองผิดครับ (หัวเราะ)

“สำหรับเป้าหมายในการทำงานของผมคือคุณพ่อสร้างธุรกิจนี้มาจนยอดขายเพิ่มเป็น 3,200 ล้านบาท สำหรับผมวางไว้ว่าอย่างน้อยได้สักครึ่งหนึ่งของคุณพ่อก็ยังดี ซึ่งตอนนี้กำลังทำอยู่ครับ ผมมีเวลาอีก 30 ปีที่จะต้องลุยให้ได้เหมือนเขา เรื่องความกดดันก็มีครับ คุณพ่อชอบเล่าให้ฟังว่าตามความเชื่อของคนจีน ลูกที่มา รับช่วงต่อธุรกิจมักจะสบาย จึงทำให้ธุรกิจไม่โต ผมมองว่าความเชื่อนี้อาจจะใช้ได้กับบางคน ไม่ใช่ทุกคน ส่วนตัวผมถามว่าหวั่นใจไหม มีบ้างครับ แต่คิดว่าเป็นหนึ่งในความท้าทายของเราแล้วกัน เราจึงต้องเร่งพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นได้รู้ว่า เจเนอเรชั่นที่ 3 อย่างเราสามารถสานต่อธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้”

นอกจากนี้ลูกสาวคนเล็ก “คุณมีมี่” ณพรัตน์ มั่นสินธร ดีกรีปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ อินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังเรียนปริญญาโทเทอมสุดท้ายด้าน MBA Master Administration ที่ University of Southern California ช่วงเวลาว่างจากการเรียนเธอเลือกทำธุรกิจที่ถนัดเพื่อเติมประสบการณ์สำหรับสานต่อธุรกิจของครอบครัว

“ก่อนหน้านี้ได้ลองทำธุรกิจส่วนตัวกับเพื่อนๆ เปิดบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องสำอาง ก่อนจะหันมาเปิดบริษัทของตัวเองที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะตอนเด็กๆ มีมี่ไปเรียนที่นั่น ทำให้มีเพื่อนหลายคน และเป็นประเทศที่ทำธุรกิจด้วยง่าย เก็บภาษีน้อยมาก ทำมากว่า 5 ปีแล้วค่ะ

“หน้าที่ของมีมี่คือการไปคุยกับลูกค้า บินไปหาทีมงานที่ฮ่องกงเอง ทำให้มีลูกค้าอยู่ใน 4 ประเทศ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ด้วยเป็นธุรกิจประเภท B2B (Business to Business) เป็นการขายในแบบ Professional Equipment เช่น ร้านซาลอน จึงสามารถให้ทีมดูแลได้ สำหรับหลักในการ ทำงาน มีมี่ยึดตามแบบคุณพ่อ คือการเป็น ผู้ให้และมีจริยธรรมสูง ทำอะไรที่ถูกต้อง ไม่ เอาเปรียบใคร ซึ่งมีมี่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติที่ เขาทำกันนะ แต่พอเราออกไปเจอโลกจริง ๆ กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เราจึงต้องเรียนรู้และหา ประสบการณ์ให้มากขึ้น

“มีมี่จึงขอคุณพ่อกับพี่อู๋ไว้ว่า ก่อนจะกลับมาช่วยงานธุรกิจของที่บ้าน ขอไปประลองฝีมือที่บริษัทอื่นก่อน เพราะมีมี่ไม่เคยทำงานบริษัทหรือไม่เคยเป็นลูกจ้างมาก่อน คิดว่าเรายังขาดตรงนี้ เล็งไว้สองที่ คือที่ลอสแอนเจลิส เพราะกำลังเรียน MBA อยู่ที่นั่น ถ้าเรียนจบ ก็สามารถทำงานต่อได้เลย หรือไม่ก็ประเทศ สิงคโปร์ เพราะธุรกิจของเราอยู่ที่นั่น และอยู่ ใกล้กับประเทศไทยด้วย”

ธุรกิจใหม่เพื่อสังคม

 “ผมทำงานอยู่สภาอุตสาหกรรม และเป็นประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย – จีน ได้รับมอบหมายให้คอยประสานงานและเข้าไปดูแลคนจีนที่มาลงทุนในเมืองไทย และดูแลคนไทยที่อยากจะขายสินค้าหรือไปลงทุนในจีน จึงทำให้เห็นปัญหาทางธุรกิจเยอะมาก โดยเฉพาะคนไทยที่นำสินค้าไปขายที่ประเทศจีน ส่วนใหญ่พูดภาษาจีนไม่ได้ ทำให้เราเสียเปรียบ ผมจึงคิดทำหลักสูตร ‘เตรียมความพร้อมรับการเปิดตลาดของธุรกิจ ในปี 2023 ให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่’ โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญในวงการต่าง ๆ มามอบ ‘โอกาส’ ให้ กับกลุ่มนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ อาทิ คุณหนุ่ย – ดร.ศิริกุล เลากัยกุล, คุณตือ – สมบัษร ถิระสาโรช, คุณแซม – เผย หลี่ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านประเทศจีน, คุณก้อง – อรรฆรัตน์ นิติพน

“หลังจากทำไป 2 รุ่น การนำสินค้าไทยไปขายที่จีนยังเป็นไปได้ยากมาก พอดีมีคนแนะนำให้คุยกับทาง TikTok เขาบอกว่า สินค้านั้นต้องขายในเมืองไทยให้ดังก่อน เพราะคนจีนจะดูว่าสินค้านั้นคนไทยนิยมหรือเปล่า แล้วทาง TikTok ก็แนะนำให้ตั้งเป็นบริษัท เพื่อเซ็นสัญญาเป็นพาร์ตเนอร์กัน

“ผมกับลูกสาวคนโต ใหม่ – ธิดารัตน์ มั่นสินธร ดูรองด์ จึงตั้งบริษัทมดแดง มีเดีย จำกัด ขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่า ‘สร้างพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ด้วยเงินลงทุน 0 บาท’ ถือเป็นแพลตฟอร์มให้เจ้าของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ถนัดทำการตลาด มาให้เราช่วยไลฟ์ขายทางออนไลน์ให้แบบ 24 ชั่วโมง

“ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการ Recruit คนที่เข้ามาร่วมงาน หลังจากประกาศรับสมัครแม่ค้าออนไลน์ไป มีคนสนใจสมัครเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งประเภทอยู่ประจำออฟฟิศ โดยผมสร้างห้องไลฟ์ไว้ให้ วันหนึ่งจะต้องไลฟ์คนละ 2 ครั้ง และ ต้องทำคอนเทนต์อย่างน้อย 2 คลิปต่อวัน โดยเราจะอบรมและให้ความรู้ก่อน อีกประเภทคือทำงานที่บ้าน สำหรับคนที่เคยไลฟ์มาแล้ว ส่วนบริษัทเราจะจัดการงานหลังบ้านให้ทุกอย่าง ตั้งแต่แพ็คสินค้า ส่งสินค้า และทุกสิ้นเดือนมีค่าคอมมิชชั่นให้

“สำหรับผู้ผลิตสินค้าเราจะเป็นผู้คัดสินค้าที่นำมาขาย ไม่ว่าจะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้า OTOP หรือของในชุมชนได้หมด เพราะปฏิญาณของบริษัทเราคือ การคืนให้กับสังคม ช่วยพ่อค้าแม่ค้าให้มีของขายและขายของได้ เราจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่19 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีการไลฟ์สดให้เห็นการทำงานของเราอย่างละเอียด คาดว่าจะสามารถช่วยคนที่ตกงาน มาเป็นแม่ค้าออนไลน์ด้วยเงินลงทุน 0 บาทได้เป็นหลักพันคนหรือหมื่นคน

“ฉะนั้นผมถึงบอกว่าอายุเริ่มต้นที่ 66 คือการเริ่มต้นเป็นผู้ให้กับสังคม ช่วยผู้คน แล้วก็ช่วยคนไทยขายสินค้าก่อนจะไปขายที่เมืองจีน โดยเฉพาะ นักธุรกิจหน้าใหม่ที่สินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก แล้วกำลังที่จะทำการตลาดไม่พอ ซึ่ง ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวเราทำให้ คุณมีหน้าที่ผลิตสินค้าดี ๆ แล้วเรามีคนช่วยขายให้ ถือเป็นเจตนารมณ์ของผมที่อยากจะทำเพื่อให้ทุกคนมีความสุขครับ”

หนึ่งในกำลังสำคัญในการทำธุรกิจ บริษัท มดแดง มีเดีย จำกัด ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ ใหม่ ให้กับวงการ Live Commerce ในเวลานี้ “คุณใหม่” ธิดารัตน์ มั่นสินธร ดูรองด์  ลูกสาวคนโตที่เดินตามรอยเท้าพ่อแบบทุกกระเบียดนิ้ว พร้อมด้วยสามี ดาเมียง เสเลสแตง โจอัน ดูรองด์

“ใหม่จบไฮสกูลที่ประเทศสิงคโปร์ แล้วต่อปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ อินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วช่วงปีสุดท้ายได้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ทำงานต่อที่เซี่ยงไฮ้ปีกว่า ก่อนจะต่อปริญญาโทด้าน International Relation มหาวิทยาลัยวาเซดะ ที่โตเกียวค่ะ

“หลังจากนั้นกลับมาช่วยงานที่บริษัทเมื่อปี 2015 ด้าน Business Development หาช่องทางการขยายธุรกิจ หรือจริง ๆ ก็คือเป็นเลขาฯคุณพ่อค่ะ (ยิ้ม) ก่อนที่คุณพ่อจะดึงตัวให้มาช่วยงานเรื่องการจัดตั้งบริษัท มดแดง มีเดีย จำกัด เรียกว่าเป็นมือขวาของคุณพ่อในตำแหน่ง Founder ค่ะ

“การ Live Streaming E-Commerce หรือ Live Commerce ในเมืองจีนน่าจะเริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 แล้วประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงที่โควิด-19 ระบาด ถ้าได้ไปช็อปปิ้งที่ช็อปแบรนด์เนมในยุโรป จะเห็นคนจีนที่เข้ามา พร้อมโทรศัพท์มือถือแล้วไลฟ์สด ๆ ตรงนั้นเลย นั่นคือ Live Commerce คือให้เห็นเลยว่า กระเป๋าใบนี้ สีนี้ แล้วลูกค้าก็สั่งซื้อและกดจ่ายเงินตรงนั้นเลย ทำให้ธุรกิจ E-Commerce ในประเทศจีนเป็นระบบที่ใหญ่มาก ทำให้ใหม่เชื่อมั่นเลยว่า บริษัทมดแดง มีเดีย จำกัด จะประสบความสำเร็จ

“เป้าหมายของบริษัทมดแดง มีเดีย จำกัด เราวางไว้ว่า ถ้าธุรกิจไปได้ด้วยดี ก็คงต้องหาพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งเรื่องการสร้าง Social Commerce มาร่วมงานกับเรา เพื่อจะได้นำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แล้วอาจจะต้องมี Professional CEO มาช่วยงาน เพราะคุณพ่อ มีแผนที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่จำกัดอยู่แต่ในเมืองไทย แต่เราจะก้าวไปในระดับ Southeast Asia หรือ ระดับอาเซียนเลยทีเดียว”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up