“โค้ชเหมียว - กีรติ ปลอดโปร่ง” Cover

“โค้ชกีรติ” แชร์เทคนิคพลิกชีวิตให้เป็นบวก สะสางปมในอดีต สร้างความสุขในปัจจุบัน

“โค้ชเหมียว - กีรติ ปลอดโปร่ง” Cover
“โค้ชเหมียว - กีรติ ปลอดโปร่ง” Cover

ฉากหน้าชีวิตของใครหลายๆ คนที่ผู้คนเฝ้ามองด้วยความชื่นชมและใฝ่ฝันอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง ไม่ว่าจะมีเงินทองมากมาย มีชีวิตที่ดีต่างๆ นานา ใครจะรู้ว่าคนเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความสุขอย่างภาพที่เห็น

Exclusive Talk ครั้งนี้ แพรว จึงขอพาไปทำความรู้จักกับ “โค้ชเหมียว – กีรติ ปลอดโปร่ง” โค้ชหญิงไทยที่มีแรงบันดาลใจและปรารถนาที่จะช่วยผู้หญิงทุกคนที่ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตให้กลับมารักตัวเองและมีพลังในการสร้างชีวิตในแบบที่ดีที่สุดเพื่อตัวเอง จะมาเผยเรื่องราวจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยเจอเรื่องราวร้ายๆ ก่อเกิดปมในวัยเยาว์และส่งผลกระทบในการใช้ชีวิต จวบจนผันตัวมาอยู่ในบทบาทของไลฟ์โค้ชในวันนี้

บาดแผลทางใจในวัยเด็กสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อตัวเอง

“เหมียวโตมาจากครอบครัวที่คุณพ่อใช้ความรุนแรงกับคุณแม่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งที่อยากจะปกป้องคุณแม่ แต่ก็ทำไม่ได้ จึงเกิดความหวาดกลัวและความเจ็บปวด จากที่ต้องเห็นเหตุการณ์นี้หลายครั้ง ทำให้ส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตเมื่อเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับตัวเอง ความเชื่อมั่นในทุกๆ สิ่งที่ทำ อีกทั้งความรู้สึกด้อยคุณค่าในตัวเอง

“เมื่อเวลาผ่านไปเหมียวประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่วนตัวในออสเตรเลีย เมื่อมีโอกาสไปแคสติ้งก็ได้งานแสดง เหมียวเต็มที่กับทุกอย่างและทำได้ดี แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีความสุข และยังมีบางอย่างในชีวิตที่ขาดไป เมื่อได้มาใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เหมียวแต่งงานกับสามีนักธุรกิจด้านการเงินที่ประสบความสำเร็จ มีฐานะการเงินที่ดี และมีชีวิตที่มั่นคง แต่เหมียวรู้สึกว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่นและไม่มีความสุขเท่าที่ควร จึงต้องกลับมาโฟกัสและหาสาเหตุจากตัวเราเองว่าเกิดจากอะไร และพบว่าเกิดจากที่เรามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตัวเอง ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เจอในวัยเด็กนั่นเอง”

เพราะปมทำให้ต้องเปลี่ยน

“เราได้พยายามค้นหาสาเหตุ โดยในเบื้องต้นได้ไปพบจิตแพทย์ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ทำให้ได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจไปในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเริ่มรู้จักกับศาสตร์ของการ Coaching (NLP) ที่ช่วยให้เราสามารถปลดล็อกชีวิตและออกแบบชีวิตเองได้ เราจึงตัดสินใจเข้ารับการโค้ช ซึ่งโค้ชจะถามคำถามเพื่อให้เราสะท้อนตัวเอง เข้าใจตัวเองในเชิงลึก และให้เราตั้งเป้าหมายของชีวิต ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

“หลังจากนั้นเราค่อยๆ เริ่มค้นพบและรู้จักตัวเองมากขึ้นทีละนิดว่าเราเป็นแม่ เป็นภรรยา เป็นลูก เป็นเพื่อน แล้วโค้ชจะมีคำถามเกี่ยวกับความเชื่อว่าคุณมีความเชื่ออะไรในชีวิต พอเราเปิดใจและเล่าความเชื่อต่างๆ ออกมา โค้ชจะให้เราหาเหตุผลและเข้าใจความเชื่อเชิงลบ ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่ปิดกั้นชีวิตเราไว้ เมื่อเข้าใจถึงสาเหตุนั้น ความเชื่อเชิงลบก็จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเชื่อที่ไม่ได้ทำร้ายเราอีกต่อไป

“ต่อมากระบวนการสำคัญนั่นก็คือการทำ Timeline Therapy คือการให้เรากลับไปในเหตุการณ์แรกที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดกับชีวิตเราในปัจจุบัน และให้เรามองปัญหานั้นอย่างผู้สังเกตการณ์อย่างมีสติ เราจะเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ผูกใจโกรธ เกลียด และรู้จักปล่อยวาง สุดท้ายเราจะรู้ว่าตัวเองมีค่าและคู่ควรที่จะได้รับสิ่งดีๆ และมีชีวิตที่ดี ซึ่งการโค้ชแบบนี้ทำให้เหมียวรู้สึกมีพลังมากค่ะ

“เหมียวรับการโค้ชระยะหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่ารู้จักตัวเองมากขึ้นและกลับมามีความมั่นใจในตัวเอง หลังจบคอร์สรู้สึกประทับใจมากและอยากเรียนรู้ศาสตร์นี้มากขึ้น จนตัดสินใจบินไปเรียนศาสตร์ NLP กับริชาร์ด แบนด์เลอร์ ที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาอยากศึกษาในเชิงลึกกว่าเดิม จึงมาเรียนกับลูกศิษย์ของริชาร์ด

แบนด์เลอร์ ที่ออสเตรเลียอีกครั้ง ซึ่งศาสตร์ Timeline Therapy คือการพาเราเข้าไปในเส้นเวลาในอดีต เพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้น หรือเรียกว่ากลับไปปลดปล่อยอารมณ์เชิงลบ อารมณ์โกรธ เศร้า ความรู้สึกผิด หรือการรู้สึกไม่ดีกับตัวเองทั้งหมด เหตุผลที่เหมียวมาเรียนนอกจากจะอยากเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเยียวยาตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ”

“โค้ชกีรติ” ไลฟ์โค้ชหญิงไทยใช้แพสชั่นเพื่อช่วยผู้หญิงที่มีบาดแผลทางใจ

“ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อมาเป็นไลฟ์โค้ช แต่พอลูกหรือเพื่อนๆ มีปัญหาแล้วเราได้ช่วยเหลือพวกเขาและคนอื่นๆ อีกหลายคน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น จนบางคนถึงกับนำของขวัญมาให้เพื่อแทนคำขอบคุณ และเหมียวสังเกตว่าเวลาได้โค้ชให้ใครมักจะไม่ได้แค่ตัวเขา แต่ผลลัพธ์ที่ดีจะได้กับครอบครัว เพื่อนฝูง รวมทั้งสังคมของเขาด้วย ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้รับรางวัล และในเวลาที่เราโค้ชใครก็ตาม ก็เสมือนว่าเราได้เยียวยาและค่อยๆ รักษาจิตใจของเราไปด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเราน่าจะใช้ความรู้ในศาสตร์ของการโค้ชที่เรียนมาเพื่อช่วยคนอื่นๆ อย่างจริงจัง

“เหมียวเติบโตมากับความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งตอนเด็กๆ เราอยากจะปกป้องคุณแม่ แต่ก็ทำไม่ได้ เราจึงเติบโตมากับความรู้สึกหวาดกลัว ความเจ็บปวด ความไม่ยุติธรรม และความรู้สึกผิด พอเราโตขึ้นก็รู้สึกว่าอยากช่วยเหลือและปกป้องเพศหญิงด้วยกัน จึงทำให้งานโค้ชชิ่งที่ทำตอนนี้โฟกัสมาที่ผู้หญิงมากกว่า

“ปัญหาของผู้หญิงที่เหมียวเจอบ่อยๆ มักเป็นเรื่องของความรู้สึกไม่มั่นคงภายในใจ อย่างเช่น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมียวมีโอกาสได้ช่วยด้วยการโค้ชชิ่ง เธอคนนี้โตมากับคุณแม่ที่คุ้มดีคุ้มร้ายและมีความเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผี เธอเล่าว่าตอนเธอเรียนอยู่ชั้นประถม เมื่อกลับถึงบ้านหลังเลิกเรียนเห็นคุณแม่กำลังจับน้องชายแขวนคอ เธอช็อก กลัว และตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก แต่เข้าไปช่วยน้องชายได้ทันเวลา หลังจากนั้นเธอจึงอยู่กับความกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยมาตลอด จนเป็นแผลลึกในใจที่ติดตัวมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเธอแต่งงานมีครอบครัว แต่แผลในใจยังไม่ได้รับการเยียวยา สิ่งนี้จึงเป็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจ เมื่อตั้งครรภ์เธอรู้สึกว่าสามีไม่เคารพและดูแลเธอดีเท่าที่ควร และคิดเสมอว่าการตั้งครรภ์เป็นประสบการณ์เลวร้าย หลังจากนั้นเธอท้องลูกคนที่สอง แต่สุดท้ายก็สูญเสียลูกไป แม้จะเสียใจมาก แต่ในใจลึกๆ เธอกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะความกลัวจากเหตุการณ์ในอดีตยังอยู่ในใจมาตลอด

“เมื่อเธอบอกว่าตั้งท้องลูกคนที่สาม เหมียวมีสัญชาตญาณบางอย่างที่บอกว่าครั้งนี้เหมียวต้องช่วยเธอ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนลูกคนที่สอง ระหว่างการโค้ชชิ่งเหมียวพบว่าในใจของเธอมีแต่ความกลัวจากบาดแผลทางใจในวัยเด็กและจากการคลอดลูกคนแรกที่เธอไปคลอดคนเดียว เธอจึงรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวมาก พอรู้ปมในใจแล้ว เหมียวจะใช้การโค้ชชิ่งค่อยๆ ทำให้เธอเข้าใจ จนเกิดความรู้สึกปลอดภัย พอเธอรู้สึกดีแล้ว เราจะใช้ Timeline Therapy พาไปที่เส้นเวลาในอนาคต โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำให้เธอเห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ปลอดภัยและคลอดด้วยความราบรื่น ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีพลังบวกต่อการตั้งครรภ์ในครั้งนี้

“หลังจากนั้นเธอกลับมาเล่าให้เหมียวฟังว่าเธอคลอดด้วยความสุขและอบอุ่นมาก เธอยังบอกอีกว่าเห็นภาพเหมียวยืนอยู่ใกล้ๆ ในห้องคลอด เหมือนอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจที่สำคัญ ทำให้ไม่กลัวและมั่นใจในการคลอดครั้งนี้

“เหมียวได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขมาก น้ำตาไหล เป็นน้ำตาของความปลื้มปีติ รู้สึกว่าเราผูกพันกัน ที่สำคัญคือความสัมพันธ์ในครอบครัวของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นด้วยค่ะ”

3 เทคนิคเยียวยาจิตใจด้วยตัวเอง

“สิ่งสำคัญข้อแรกคือ ต้องมีสติ แม้ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ต้องมีสติเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น และเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้กับทุกคน ข้อสองคือ นอกจากดูแลจิตใจแล้ว เราต้องดูแลร่างกายไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะตอนที่เหมียวมีปัญหาเรื่องคุณพ่อ และสุดท้ายสูญเสียคุณพ่อไป เหมียวกลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่ทานข้าว เพราะเป็นทุกข์เสียใจ ร่างกายทรุดโทรม ทำให้เป็นทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม และข้อสามคือ มีที่ปรึกษาที่ดี ซึ่งเป็นใครก็ได้ที่เข้าใจ พร้อมรับฟังและเป็นผู้แนะนำที่ดี อย่าจมกับปัญหาอยู่คนเดียว ทั้งสามข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถเยียวยาตัวเองในเบื้องต้นได้ค่ะ”

ความสุขในแบบฉบับของ “โค้ชกีรติ”

“ทุกวันนี้เหมียวใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างมีความสุขที่สุด เพราะสามารถเชื่อมโยงกับตัวเอง เคารพและเห็นคุณค่าในตัวเองว่าเราคู่ควรได้รับในสิ่งดีๆ ไม่ต้องมองหาสิ่งอื่นจากข้างนอก แต่เริ่มจากข้างในตัวเราเอง และเมื่อเรามีความสุข เราจะเปล่งประกายจากภายใน ผ่านสีหน้า แววตา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของเรา แล้วส่งต่อความสุขถึงคนในครอบครัว รวมถึงคนรอบข้างด้วยค่ะ”

“สิ่งสำคัญของความสุขคือการเชื่อมโยงกับตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรักและดูแลตัวเราเองได้ดีเท่ากับตัวเราค่ะ”

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : KeeratiWomenCoach, Instagram : @KeeratiWomenCoach

Praew Recommend

keyboard_arrow_up