นิโคลีน 01

เปิดอีกด้านของ นิโคลีน นางงามสายสตรองกับความลับที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน

Alternative Textaccount_circle
นิโคลีน 01
นิโคลีน 01

ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ ” นิโคลีน – พิชาภา ลิมศนุกาญจน์” คุยถึงเรื่องสำคัญอื่นๆ ในชีวิตของนิโคลีน ซึ่งจะทำให้คุณรู้จักผู้หญิงคนนี้มากขึ้น และอาจเป็นคำอธิบายว่าเพราะอะไร เธอถึงได้รับคำชื่นชมจากคนมากมาย

การเกิดและเติบโตที่อเมริกาให้อะไรคุณบ้าง?

อเมริกาสอนให้เข้มแข็งค่ะ การใช้ชีวิตที่นั่นไม่ง่าย เนื่องจากครอบครัวของนิโคลไม่ได้ร่ำรวยหรือมีพร้อมทุกอย่าง แต่ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น คอยช่วยเหลือกันและกันอยู่เสมอ นิโคลทำงานหาเงินจ่ายค่าเรียนกับค่ารถเองตั้งแต่อายุ 16 ปี เริ่มจากการทำงานในร้านอาหาร ทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งพาแขกไปนั่งที่โต๊ะ เก็บจาน รับโทรศัพท์ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ทั้งได้พูดคุยกับผู้คนที่หลากหลาย รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ที่สำคัญคือสอนให้รู้จักความอดทน

บางครั้งการเป็นเด็กเอเชียในสังคมอเมริกันก็ไม่ง่าย นิโคลไม่ได้ถูกแกล้งหรือล้อเลียนเท่าไรนะคะ มีเพื่อนที่โดนมากกว่า เนื่องจากนิสัยนิโคลค่อนข้างสตรอง รู้ว่าถ้าโดนแกล้งจะต้องจัดการอย่างไร เคยตีศอกเด็กผู้ชายด้วยนะ (หัวเราะ) สมัยเด็กมีเพื่อนผู้ชายใช้ปากกาเมจิกสีดำมาขีดหน้า นิโคลหันไปศอกกลับ แต่ทำเพื่อให้เขาหยุดแค่นั้นนะคะ เพราะรู้ว่าการใช้ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา จากนั้นจึงบอกคุณครูให้ช่วยจัดการ แต่ปัญหาพวกนี้เกิดในช่วงประถมถึงมัธยมต้นเท่านั้น พอเรียนมัธยมปลายก็ดีขึ้น

นิโคลีน 04

คิดว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้คุณได้รับคำชมว่าตอบคำถามดีอยู่บ่อยๆ?

อืม…อาจเพราะเพื่อนๆ ชอบขอคำปรึกษาจากนิโคล ความที่เราเป็นกัปตันทีม Colorguard ของโรงเรียน (กีฬาชนิดหนึ่งที่ผสมผสานการเต้น ยิมนาสติก และทักษะการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น การโบกธง ควงปืน ควงดาบเข้าด้วยกัน) ทำให้นิโคลอยากดูแลเพื่อนกับน้องๆ ในทีม ทั้งเรื่องการฝึกซ้อมและชีวิตส่วนตัว

อย่างมีรุ่นน้องในทีมคนหนึ่งเป็นเกย์ แต่ไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ได้ เขาจึงมาปรับทุกข์กับนิโคล ความจริงเขาอาจไม่ได้ต้องการคำแนะนำอะไรมาก แต่ต้องการคนรับฟังและมุมมองจากคนที่อยู่วงนอกบ้างว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ซึ่งเรายินดีอยู่แล้ว พร้อมกับบอกว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนั้นจะทำอย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำตามนั้นนะคะ อยากให้กำลังใจเขามากกว่า ซึ่งในทางกลับกันการรับฟังเรื่องราวจากคนอื่นก็ช่วยให้เราได้แนวคิดที่เป็นประโยชน์ด้วย นิสัยนิโคลจึงชอบฟังมากกว่าพูด แม้ว่าเหมือนตอนนี้จะกลายเป็นคนพูดมากไปแล้ว (หัวเราะ)

หนังสือ เพลง และภาพยนตร์เรื่องอะไรที่สื่อถึงตัวคุณได้ดีที่สุด

ชอบฟังเพลงฮิปฮ็อป อาร์แอนด์บี และป็อป ถึงแม้จะโตที่อเมริกา แต่นิโคลก็ได้ฟังเพลงไทยบ้าง เพราะแม่เปิดให้ฟัง โดยเฉพาะเพลงของพี่เบิร์ด-ธงไชย ชอบมาก (ยิ้ม) หนังสือเล่มโปรดคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ส่วนภาพยนตร์ชอบเกือบทุกเรื่องของค่ายมาร์เวล นิโคลชอบหนังแอ๊คชั่น ไม่ค่อยดูแนวโรแมนติก คอมเมดี้ หรือดราม่า อ้อ…นิโคลเคยเรียนมวยไทยด้วยนะคะ เพราะที่โรงเรียนเกิดเรื่อง Sexual Harassment พ่อแม่จึงอยากให้เรียนศิลปะการป้องกันตัว เนื่องจากที่อเมริกาเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ทุกวันและทุกที่ของสังคม นิโคลจึงเลือกเรียนมวยไทย ถือเป็นการออกกำลังกายด้วย นิโคลชอบท่าตีเข่าที่สุด โหดไหม (หัวเราะ) อย่างที่บอกว่าไม่ใช่สาวหวานเท่าไร ออกจะแมนนิดๆ คงเพราะแบบนี้ถึงชอบกีฬา Colorguard ที่ได้ควงปืนอะไรแบบนั้น

เป็นนางงามที่ดูดุดันมากนะ?

(หัวเราะ) นิโคลเชื่อว่าทุกคนมีความแตกต่างอยู่ในตัวเอง และคิดว่าการเป็นนักกีฬากับนางงามก็เป็นส่วนผสมที่ลงตัวนะ กีฬาสอนให้ทำงานเป็นทีม รู้จักแพ้และชนะ ขณะที่การประกวดนางงามก็ทำให้เราพัฒนาตัวเองในหลายแง่มุม ทั้งบุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ และยังได้โอกาสสร้างแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นต่อด้วย

คุณพูดเสมอว่าคติประจำใจคือ ไม่ยอมแพ้ เหตุการณ์ไหนที่ใกล้เคียงกับคำว่าแพ้ที่สุด?

ตอนประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 ที่นิโคลเข้ารอบถึงแค่รอบ 10 คนสุดท้าย (หลังจากนั้นเธอจึงประกวดเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์และได้มงกุฎไปครอง) รู้สึกผิดหวังมากว่าทำไมเราทำไม่ได้ ร้องไห้ด้วยนะ ตอนนั้นเหมือนกดดันตัวเองว่าเราแพ้ ทั้งที่ความจริงเป็นความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นเอง และเมื่อชีวิตเดินทางมาถึงวันนี้ ก็ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วความผิดพลาดหรือความล้มเหลวถือเป็นประสบการณ์ที่สอนให้เข้มแข็ง นิโคลจึงอยากขอบคุณประสบการณ์ครั้งนั้นจริงๆ

คิดว่าปัญหาเรื่องอะไรของประเทศไทยที่ควรแก้ไขที่สุด?

นิโคลคิดว่าปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งคือ เรามีกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ที่อยู่อาศัย และความเจริญต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดอีกหลายปัญหาตามมา เพราะเมื่อคนเยอะก็ต้องมีการสร้างที่อยู่อาศัย ทุกครั้งที่นิโคลเดินทางไปที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯจะเห็นการก่อสร้างอาคารตลอดเวลา เมื่อคนเยอะ รถก็ติด ทำให้เกิดปัญหามลภาวะต่างๆ ตามมา ขณะที่พื้นที่สีเขียวก็มีอยู่จำกัด จนแทบไม่มีพื้นที่ให้หายใจรับอากาศดีๆ กันเท่าไร แต่ถ้าเรากระจายความเจริญออกไปยังต่างจังหวัดบ้าง นอกจากช่วยให้ปัญหาในกรุงเทพฯลดลง ยังทำให้คนในจังหวัดต่างๆ มีรายได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเข้ามาทำงานในเมือง เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจะดีขึ้นไปด้วย แต่นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันถึงจะเป็นจริงได้

นิโคลีน 02

มีความลับที่ไม่เคยบอกใครไหม?

อืม…(นิ่งคิดอยู่พักใหญ่) นึกออกแล้วค่ะ! ไม่ใช่ความลับที่ซีเรียสนะ แต่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน เรื่องนี้เกิดที่อเมริกา ตอนนั้นนิโคลอายุ 18 ปี เพิ่งได้ใบขับขี่มาไม่นาน แต่ยังไม่มีรถของตัวเอง วันหนึ่งแม่จอดรถไว้ที่บ้านแล้วออกไปข้างนอก นิโคลจึงแอบหยิบกุญแจแล้วขับรถออกไปรับเพื่อน ตอนนั้นรู้สึกว่าเราได้ใบขับขี่แล้ว ไม่ต้องมีผู้ใหญ่อยู่ในรถด้วยก็ได้ ลุยเลยละกัน (หัวเราะ)

จากนั้นเราไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่ามีรถจอดแน่นมาก ที่ว่างเดียวที่เหลือคือช่องว่างเล็กๆ ริมฟุตปาธ ปัญหาคือตอนสอบใบขับขี่ที่อเมริกา ไม่มีการสอบเรื่องจอดรถแนบฟุตปาธ (หัวเราะ) ตอนนั้นพยายามอยู่เกือบ 10 นาที ให้เพื่อนช่วยลงไปดูก็แล้ว แต่ยังจอดรถไม่ได้ เพราะเขาเองก็ขับรถไม่เป็น สักพักรถก็เสียหลักไปชนต้นไม้เล็กๆ จนด้านข้างรถเป็นรอยถลอก นิโคลอุทานออกมาเลย Oh my god! (หัวเราะ) ที่สุดแล้วจอดรถได้เอียงแบบสุดๆ แต่ทำเต็มที่แล้วจริงๆ จึงตัดสินใจไปกินข้าวก่อน น่าจะโดนคนด่าเยอะมาก (หัวเราะ) นิโคลไม่เคยบอกเรื่องนี้กับแม่เลยนะคะ คิดว่าท่านก็ไม่รู้ว่ารถไปได้แผลมาจากไหน คงคิดว่ามีรถคันอื่นขับมาเฉี่ยวตอนจอดไว้ก็ได้

สัญญาว่าจะส่ง แพรว ฉบับนี้ให้คุณแม่อ่าน?

ทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ (หัวเราะ) แต่แม่ขายรถคันนั้นไปแล้ว ไม่มีหลักฐานแล้วละ (หัวเราะ) แต่เหตุการณ์นั้นก็เป็นบทเรียนว่าอย่าห้าวมาก บางครั้งคิดว่าเราเก่งเกินไป คงเพราะช่วงวัยด้วย ตอนนี้นิโคลใจเย็นขึ้นเยอะ ไม่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนั้นอีกแล้ว

นิโคลีน 03

ถ้าคุณสามารถมอบมงกุฎนางงามให้ใครก็ได้ในโลก คนที่เหมาะสมที่สุดคือ?

(นิโคลีนยิ้มแล้วตอบทันที) คุณแม่ค่ะ นิโคลอยากเก่งให้ได้สักครึ่งหนึ่งของแม่ ท่านเป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมแพ้ ติดดิน สตรอง ทำงานเก่ง และทำสิ่งต่างๆ เพื่อคนอื่นตลอดเวลา เหตุการณ์หนึ่งที่นิโคลไม่ลืมเลย ตอนนั้นอยู่ที่เมืองไทย แล้วแม่โทรศัพท์มาบอกว่าโรงเรียนแจ้งมาว่านาธาน (น้องชายของนิโคลีน) เป็นออทิสติกนะ คือก่อนหน้านั้นเรารู้แค่ว่าน้องมีพัฒนาการช้า แต่เพิ่งรู้ชัดๆ เมื่อปีก่อนว่าเป็นออทิสติก ตอนนั้นนิโคลสัมผัสจากเสียงของแม่ได้ว่าท่านรู้สึกกลัวและท้อ หลังจากนั้นนิโคลกับแม่ก็พยายามช่วยกันให้น้องมีคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุด เราต้องต่อสู้กับความกดดันและความท้าทายหลายรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจเด็กออทิสติกผิดว่าเขามีปัญหาทางสมอง ช่วยเหลือตัวไม่ได้ บางครั้งก้าวร้าว และเป็นภาระของผู้อื่น แต่ความจริงไม่ใช่เลย

เหตุการณ์นั้นเป็นแรงบันดาลใจให้นิโคลเริ่มทำโครงการ Love for All เพื่อเป็นกระบอกเสียงและตัวแทนของเด็กพิเศษเหล่านี้ ให้สังคมได้รู้ว่าเขามีคุณค่า ความสามารถ และควรมีโอกาสได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมาแม่ทุ่มเทกับโครงการนี้เต็มที่ ช่วยนิโคลในการทำงานกับเด็กออทิสติกหลายคน นิโคลรู้สึกเลยว่าแม่คือซูเปอร์วูแมน นอกจากก้าวข้ามความรู้สึกที่ท้อแท้มาได้แล้ว ท่านยังมีพลังในการทำสิ่งดีๆ เพื่อคนอื่น แม่สมควรได้รับมงกุฎนี้จริงๆ และที่นิโคลตั้งใจทำงานในทุกๆ วันก็เพราะอยากทำให้แม่ภูมิใจด้วย (ยิ้ม)


ที่มา นิตยสารแพรว ฉบับ 943

Praew Recommend

keyboard_arrow_up