ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดเพื่อก้าวต่อไป

ชีวิตสีเข้มของ ‘เต้ย-จรินทร์พร’ ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดมากขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

Alternative Textaccount_circle
ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดเพื่อก้าวต่อไป
ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดเพื่อก้าวต่อไป

คุยแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ ‘เต้ย-จรินทร์พร’ ชีวิตสีเข้มๆ ในวัยเลยสาม โตขึ้น สงบขึ้น ตกตะกอนความคิดมากขึ้น เพื่อก้าวเดินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

ความอะเมซิ่งสำหรับ “เต้ย – จรินทร์พร จุนเกียรติ” ก็คือ ภาพจำของวันแรกๆ ที่ทุกคนเห็นตอนเธอเป็นเด็กสาวอายุ 17 ปี ว่าเป็นอย่างไร เวลาผ่านไปจนถึงวัย 30 ปี ความน่ารักสดใสเปี่ยมพลังของเธอก็ยังคงเหมือนเดิมอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน

ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตปริญญาโทอีกครั้งนะคะ

“ขอบคุณค่า (ยิ้ม) ในที่สุดก็ทำสำเร็จ เรียนจบปริญญาโท สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลแล้วค่ะ (ยิ้มกว้าง) จริงๆ เต้ยอยากจบตั้งนานแล้ว แต่ด้วยงานและเวลาหลายๆ อย่าง ซึ่งปีนี้เวลาบังคับ (ปีที่ 5) ว่าต้องจบแล้วจริงๆ บวกกับสถานการณ์โควิด เลยทำให้มีเวลาว่างทำวิทยานิพนธ์จนสำเร็จ ในหัวข้อ ‘พฤติกรรมการอนุรักษ์เต่ามะเฟืองของประชาชนในตำบลท้ายเหมือง จังหวัดพังงา’ ค่ะ (ยิ้ม)

“ต้องเล่าจุดเริ่มต้นของการเรียนปริญญาโทก่อนค่ะ คือเมื่อประมาณ 5 ปี ที่แล้วที่เต้ยและอเล็กซ์ (อเล็กซ์ เรนเดลล์) ได้รู้จักกับครูกต (ดร.อลงกต ชูแก้ว) ตอนที่เต้ยช่วยช้างขวัญเมืองที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เขาใหญ่ จากนั้นมีโอกาสไปดำน้ำกับครูกตที่พังงา ซึ่งไม่ใช่เพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ครูพาเด็กๆ ดำน้ำไปเรียนรู้โลกใต้ทะเล เพื่อศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

“การดำน้ำครั้งนั้นทำให้เต้ยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันชอบธรรมชาติ ชอบไปเที่ยว ชอบดำน้ำ แต่ไม่รู้เรื่องการอนุรักษ์เลย เต้ยกับอเล็กซ์เห็นตรงกันว่า เรามาทำอะไรด้วยกันเถอะ จึงเกิดเป็นค่าย EEC โดยนำสิ่งที่ครูกตสอนมาขยายความจริงจัง และความที่ EEC เป็นองค์กรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เต้ยกับอเล็กซ์จึงคิดว่าเราควรไปเรียนต่อด้านนี้เพิ่มเติมด้วย เพื่อเสริมองค์ความรู้ให้แข็งแรงขึ้นแบบเจาะลึก จนมาถึงช่วงที่ต้องทำวิจัย ต้องเดินทางไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเอง ซึ่งช่วงนั้นเต้ยยังมีงานหลายอย่าง ติดถ่ายละครด้วย จึงใช้เวลานานหน่อยกว่าจะเรียนจบ” (ยิ้ม)

ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดมากขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

งานของเต้ยใน EEC เป็นประมาณไหน

“ช่วงแรกเต้ยกับอเล็กซ์ทำกันเองหมดทุกอย่างเลยค่ะ ทุกอย่างจริงๆ นะ ตั้งแต่ทำโลโก้ ออกแบบภาพรวม เต้ยดูแล Art Direction ทั้งหมดขององค์กร ทำเฟซบุ๊ก ไอจี เว็บไซต์ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสื่อสาร รวมทั้งคิดว่าควรมีคอร์สเรียนอะไรบ้าง จนถึงการติดต่อประสานงาน อย่างติดต่อหาสถานที่พักเวลาจะพาเด็กๆ และผู้ปกครองไป เรื่องบัญชีก็ต้องเรียนรู้ด้วยว่าต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง คือดูแลด้านการจัดการเป็นหลักค่ะ

“ตอนนั้นเราสองคนคิดเหมือนกันว่าในการจะเริ่มทำอะไรสักอย่างควรต้องรู้ดีเทลจริงๆ เหมือนการปลูกต้นไม้ต้องมุ่งให้รากแข็งแรงก่อน จึงทำกันเองทุกอย่าง อย่างเวลาไปออกค่าย เมื่อก่อนเต้ยจัดเตรียมของ แบกของ จนถึงล้างจาน ฯลฯ เพื่อจะได้รู้ปัญหาในทุกจุด ส่วนเรื่องการเรียนการสอนก็ยกให้เป็นงานของครูอลงกตไป

“ขณะที่อเล็กซ์รับหน้าที่ Managing Director และตอนนี้เป็น CEO ดูภาพรวมทั้งหมด เรามีทีมงานประมาณ 20-30 คนที่คอยดูแลงานในส่วนต่างๆ (ยิ้ม) เต้ยเป็น Co-founder และเป็นเหมือนที่ปรึกษาเวลามีเรื่องที่ต้องช่วยกันตัดสินใจ สำหรับด้านการบริหารจัดการคน เต้ยเน้นการใช้ Soft Side ของตัวเอง ในการแก้ปัญหา ซึ่งจริงๆ ปัญหาส่วนใหญ่อเล็กซ์จัดการได้เองอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเจอเรื่องที่ใหญ่จริงๆ หรือต้องการอีกเสียงช่วยตัดสินใจ เต้ยก็จะช่วยตรงนั้น โดยมองจากมุมนอกเข้าไป เพราะบางครั้งอเล็กซ์เขาอยู่ใกล้เกินไป อาจมองไม่เห็นในบางมุม เต้ยก็จะช่วยมอนิเตอร์ดูอยู่รอบๆ เรียกว่าคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง ประมาณนั้นค่ะ” (ยิ้ม)

สถานะความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปมีผลกับการทำงานไหม

(ส่ายหน้า) “เหมือนเดิมทุกอย่างค่ะ เราค่อนข้างแฮ็ปปี้มาก (ยิ้ม) เพราะเต้ยกับอเล็กซ์ไม่ได้ใช้ความรู้สึกด้านอารมณ์มาปน เราแยกได้ ไม่มีว่าเลิกกันแล้ว ต้องไม่คุยไม่คบ เราไม่เคยคิดไม่ดีต่อกันเลย ที่สำคัญคือ ไม่ดราม่าใส่กัน เพราะฉะนั้นการทำงานด้วยกันจึงค่อนข้างชิลมากค่ะ และเต้ยก็เชื่อว่าอเล็กซ์เขาเก่งมากอยู่แล้ว (ยิ้ม)

“อย่างล่าสุดเขาเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีแห่งชาติด้านสิ่งแวดล้อมคนแรกของไทยจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เต้ยดีใจกับเขามากๆ เพราะเขาพร้อมอยู่แล้ว ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท นี่เป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับเขามากเลยค่ะ” (ยิ้ม)

ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดมากขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

การทำงานบันเทิงตั้งแต่อายุ 17 จนถึงตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างคะ

“สำหรับในวงการบันเทิง เต้ยไม่รู้จริงๆ ว่าจะตั้งเป้าตัวเองอย่างไรดี ถ้าในแง่รางวัลเราก็เคยได้รับ ละครและภาพยนตร์ก็เล่นมาหลายบทบาท และบางครั้งเราไม่ได้เป็นคนกำหนดงานของตัวเอง แต่มาจากผู้ใหญ่เลือกให้ รวมทั้งผู้จัดละครและลูกค้า

“อย่างเมื่อก่อนเคยคิดว่าในอนาคตอยากเป็นผู้กำกับหรือผู้จัดฯ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบให้ตัวเอง รู้แค่ว่าเราแฮ็ปปี้กับสิ่งที่ทำอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ อย่างเร็วๆ นี้กำลังจะมี Youtube Channel ชื่อ เต้ย จรินทร์ ซึ่งคิดมานานมากแล้วว่าทำดีไหม คนรอบข้างทุกคนเชียร์ให้ทำ แต่ที่ลังเลเพราะเต้ยรู้สึกว่าถ้าไปเที่ยวแล้วต้องถือกล้องถ่ายตัวเองตลอดจะทำได้เหรอ แต่สุดท้ายก็ขอลองดูค่ะ

“เพราะจริงๆ แล้วเต้ยอยู่ได้ด้วยแพสชั่นประมาณหนึ่ง เวลาที่ทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ก็เป็นธรรมดาที่รู้สึกเบื่อบ้าง แต่ไม่ได้ท้อนะ ก็แค่หาอะไรอย่างอื่นทำเพิ่ม สำหรับงานการแสดงคงพักไม่ได้ ต้องทำไปเรื่อยๆ ใช้วิธีปรับมุมมองใหม่ๆ ถ้ารู้สึกเบื่อก็ลองชาลเลนจ์ตัวเองดู แม้บทอาจจะคล้ายเดิม แต่เราลองหามุมใหม่ๆ ให้ได้ท้าทายตัวเอง มันก็สนุกขึ้นนะ ซึ่งการแสดงมีความแปลกอย่างหนึ่งนะคะ ถ้าตั้งใจเกินไปก็ไม่ดี ไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ได้ ประมาณว่าต้องตั้งใจแบบไม่ตั้งใจ (หัวเราะ) ฉะนั้นต้องทำการบ้านมาให้แน่น ซึ่งก็คือความตั้งใจ แต่พออยู่หน้าเซต เราจะต้องปล่อยให้ตัวละครไหลลื่นไปเอง ซึ่งที่ผ่านมาเต้ยสู้กับตัวเองตลอด อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดก็ได้รับบทที่สนุกมากๆ ในเรื่อง ทุ่งเสน่หา ทำให้รู้สึกว่าแพสชั่นที่เริ่มจะมอดกลับมาลุกโชนใหม่อีกครั้ง

“เรื่องนี้ตัวละครมีพัฒนาการชีวิตค่อนข้างเยอะ เต้ยจึงต้องทำการบ้านมากๆ ปกติเต้ยท่องบทก่อนไปถึงกองอยู่แล้ว หมายถึงว่าท่องให้แม่นตั้งแต่ก่อนวันถ่าย เพราะไม่อยากให้เวลาทำงานจริงแล้วคนอื่นต้องมารอเพราะเราพูดไม่ได้ อารมณ์ไม่มา เทคนิคของเต้ยคือ เติมสีให้ตัวละครไว้ในบทแต่ละช่วง เพื่อแทนความรู้สึกและความคิดในช่วงเวลานั้น เช่น ตัวละครยุพินช่วงแรกอาจเป็นสีชมพูสดใส แต่พอเวลาผ่านไปเริ่มมีสีอื่นเข้ามาผสม อย่างสีน้ำเงิน สีเทา เพราะบางครั้งเต้ยถ่ายละคร 2 เรื่องพร้อมกัน เรื่องหนึ่งเป็นเหมือน กระต่าย มีความซอฟต์มาก อีกเรื่องสตรองเชียว ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกว่าตัวละครแต่ละตัวกำลังรู้สึกอย่างไร ผ่านอะไรมาบ้าง โดยดูจากสีที่เราแต้มไว้ในบท”

แล้วชีวิตจริงตอนนี้เต้ยเป็นสีอะไรคะ

“….มีหลายสีเลยค่ะ แต่ออกไปทางโทนเข้มๆ หนักๆ หน่อย อย่างสีเอิร์ธโทน สีคราม หรือสีที่ดูนิ่งสงบ คือไม่ได้เจอเรื่องหม่นหมองนะ แต่เหมือนเริ่มตกตะกอนอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต แต่ก็ยังต้องตกตะกอนไปอีกเยอะเลย

“หลายคนอาจจะดูเหมือนเต้ยเป็นสีรุ้งใช่ไหม แน่นอนว่ามุมร่าเริงก็มีค่ะ เพียงแต่ค่อนไปทางจริงจังและมุ่งมั่นมากกว่า และจริงๆ แล้วเบื้องลึกค่อนข้าง Introvert (เก็บตัว) การชาร์จพลังของเต้ยคือการอยู่นิ่งๆ ได้เห็นต้นไม้งอกออกมาทีละนิด นี่คือสิ่งที่ทำให้มีความสุขมาก เต้ยรู้สึกว่าการที่ได้อยู่นิ่งๆ เหมือนเราได้เคลียร์ใจ เต้ยเชื่อว่าทุกคนมีถังขยะในตัวเอง พอเจอเรื่องนู่นนี่นั่นก็จะเก็บมาใส่ในถังไว้ ฉะนั้นการชาร์จพลังของเต้ยคือการกลับมาอยู่กับตัวเอง แล้วดูว่าตอนนี้เรามีขยะอะไรบ้าง เพื่อหยิบทิ้งออกไป ให้จิตใจได้พัก และโล่งขึ้น

“หลายคนบอกว่าเต้ยชอบคิดชอบทำอะไรแก่ๆ (หัวเราะ) ชอบอยู่นิ่งๆ เข้าวัดปฏิบัติธรรม จึงคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นสีคราม สีน้ำตาลอ่อน สีเบจ แล้วก็มีสีเหลืองปนนิดหน่อย (ยิ้ม) แบบบาลานซ์ทั้งเรื่องจริงจังและความสนุก”

ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดมากขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

ปีนี้เข้าสู่เลข 3 แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง

“เปลี่ยนไปเยอะมากค่ะ ช่วง 25-30 ของเต้ยมีความซัฟเฟอร์หนัก ซึ่งหลายคนก็น่าจะเป็นเหมือนกัน คือต้องการหาตัวเอง แบบว่าเราต้องมีโน่นมีนี่ มองหาความมั่นคงอะไรบางอย่าง

“พอปีนี้อายุ 30 แล้ว เต้ยคิดว่าเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตแล้วนะ จึงเป็นปีที่เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน จากเมื่อก่อนตั้งโกลระยะสั้นๆ เพราะเวลาตั้งเป้าสั้นๆ แล้วทำสำเร็จ เราจะแฮ็ปปี้ แตพอยิ่งโตขึ้น ด้วยอายุ ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เรามีช่องว่างของเป้าหมายกว้างขึ้น เช่น เมื่อก่อนเป้าสั้นๆ ของเต้ยคือซื้อรถให้คุณพ่อ ซื้ออะไรให้คนนี้คนนั้น แต่พอ 25 เป้าหมายใหญ่ขึ้น ต้องใช้เวลานานขึ้น อย่างสร้างบ้าน เรียนปริญญาโท ความรู้สึกคล้ายกับที่กว่าต้นไม้จะออกผล ต้องใช้เวลา และปีนี้บ้านสร้างเสร็จ เรียนจบปริญญาโทสำเร็จ ก็ถือว่าแฮ็ปปี้ค่ะ (ยิ้ม)

“เพราะจริงๆ แล้วเต้ยเป็นคนจริงจัง และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ จนช่วง 28 29 30 คือจริงจังแบบพีคสุดๆ ค่อนข้างซีเรียสนะคะ (หัวเราะ) เรียกว่ามีความมุ่งมั่นมากกว่า ชอบก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอด ชอบพัฒนาตัวเองเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ประมาณหนึ่ง แต่พอเราเรียนรู้มาเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าบางอย่าง ถ้าเราอยากได้มากๆ ก็อาจจะไม่ได้ แต่ถ้าลองนิ่งแล้วมองดูดีๆ มันอาจจะอยู่ตรงนั้นแล้วก็ได้ ทำให้เราต้องกลับมามองและเรียนรู้ตัวเองจริงๆ ว่าชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นแน่ๆ คือ เต้ยเรียนรู้ผู้คนมากขึ้น การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รวมถึงการเรียนรู้ข้างในใจของเราเองและสนุกกับการได้มองเห็นมุมมองต่างๆ จากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตค่ะ

“เพราะเต้ยทำงานมาตั้งแต่เด็ก ชอบหาอะไรใหม่ๆ ทำ ตั้งแต่ EEC ทำเสื้อผ้า ทำแหวนขาย และช่วงปลายปีนี้ก็กำลังจะเปิดธุรกิจใหม่ด้วย แต่ยังบอกไม่ได้ (ยิ้ม) ทั้งหมดนั้นทำให้ได้เรียนรู้การแก้ปัญหาใหม่ๆ อยู่ตลอด ทั้งจากคนอื่นและตัวเอง เช่น ที่ผ่านมาเราเคยรับมือกับปัญหานี้อย่างไร และวันนี้เรารับมือกับปัญหาแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไรบ้าง

“ซึ่งนี่คือเป้าหมายต่อไปในชีวิตของเต้ย คือการรวบทุกอย่างใน 30 ปีที่ผ่านมา เหมือนการจัดชั้นวางของในตัวเราใหม่ให้เรียบร้อยขึ้น เพื่อที่จะก้าวต่อไปสู่อีกสเต็ปของชีวิตให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเรานิ่งขึ้นกว่าเดิม มองเห็นภาพหลายๆ อย่างชัดกว่าเดิมแล้ว การตัดสินใจจะดีขึ้นกว่าเดิม”

เวลามีปัญหาปรึกษาใคร

“ชอบปรึกษาแก๊งพี่ๆ ค่ะ อย่างพี่โอปอล์ (ปาณิสรา อารยะสกุล) ที่พร้อมจะคุยกับเราได้ทุกเรื่องจริงๆ ส่วนใหญ่เรื่องที่ทำให้เต้ยเครียดคือเรื่องความรับผิดชอบที่เต้ยยึดถือมาตั้งแต่เด็ก ทั้งงาน ธุรกิจ ครอบครัว

“แต่ที่ทำให้รู้สึกเครียดจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องคนค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ อย่างความคิดเห็นของคน ทุกวันนี้เต้ยยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองฟื้นคืนชีพจากเหตุการณ์นั้นหรือยัง (จากข่าวเรื่องความรัก) มันยากมากจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้”

ชีวิตสีเข้มของ 'เต้ย-จรินทร์พร' ในวัยเลขสาม ตกตะกอนความคิดมากขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

หมายถึงคอมเมนต์ต่างๆ ในโซเชียล

“ใช่ค่ะ ซึ่งจริงๆ เต้ยคิดว่าตัวเองก็โชคดีระดับหนึ่งแล้วนะที่โดนไม่เยอะ แต่พอตอนโดนก็เจ็บมากนะ เพราะเต้ยค่อนข้างแคร์คนอื่น ก่อนหน้านั้นเคยโดนมาแล้วรอบหนึ่ง ก็พยายามทำความเข้าใจว่าเราไม่สามารถไปห้ามความคิดใครได้ นานาจิตตัง แล้วแต่คนคิด ซึ่งพอคิดแบบนั้นได้ ก็เรียนรู้ที่จะปล่อย ไม่เอาใจไปจับ ไม่โฟกัสกับคอมเมนต์ต่างๆ แค่ทำตัวเองให้ดีก็พอ ซึ่งเต้ยก็อยู่อย่างนั้นมายาวๆ เลยนะ กระทั่งโดนอีกรอบ ชีวิตเลยสะดุด แต่ตอนนี้ก็โอเคขึ้นแล้ว ถือเป็นอีกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ และรู้ว่าสมัยนี้รุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก (ยิ้ม)

“เต้ยเคยคุยกับคนในวงการหรือคนที่รู้จัก อย่างบางคนที่ดูสตรองมากๆ เวลาเจอคอมเมนต์ร้ายๆ เขาก็เจ็บนะ เต้ยเชื่อว่าไม่มีใครที่โดนแล้วจะไม่รู้สึกหรอก แม้กระทั่งคนที่คอมเมนต์เอง ถ้าเขาโดนบ้างก็ต้องรู้สึก แต่ทำไมผู้คนยังปาเรื่องเหล่านี้ใส่กัน ทั้งที่เวลาโดนเราก็เจ็บเหมือนกัน”

แล้วกับแก๊งเพื่อนๆ คนอื่นๆ ล่ะคะ

“เจมส์ก็ใช่ค่ะ วันนี้จึงดีใจมากที่ได้ทำงานด้วยกันอีกครั้ง เพราะไม่ได้เจอกันนานเลยค่ะ ล่าสุดตั้งแต่ตอนไปเล่นสโนว์บอร์ดด้วยกันที่ญี่ปุ่น จากนั้นพอเป็นช่วงกักตัวก็มีโทรศัพท์คุยกันบ้างนิดหน่อย เต้ยรู้จักกับเจมส์มานานหลายปี ตั้งแต่ตอนที่น้องเพิ่งเข้าวงการและได้เล่นหนังด้วยกัน เจมส์เป็นน้องคนหนึ่งที่เต้ยรักค่ะ เราคุยกันได้ในหลายๆ เรื่อง และเขาก็เป็นคนที่รู้เรื่องของเต้ยเยอะด้วย (หัวเราะ) เต้ยเอ็นดูเจมส์นะ คือรักนางแหละ (ยิ้ม)

“ส่วนสาวๆ แก๊งเฟอร์บี้เรามาสนิทกันตอนทำงานของช่อง 3 ส่วนใหญ่จะนัดสังสรรค์ เป็นสายเฮฮา อีกแก๊งที่สนิทมานานมากๆ คือแก๊งญาติมิตร อย่างพี่โอปอล์ รู้จักกันมากว่า 10 ปีแล้ว พี่อ้อม (สุนิสา สุขบุญสังข์) ก็รู้จักกันตั้งแต่เต้ยเข้าวงการใหม่ๆ พี่จ๋า (ยศสินี ณ นคร) พี่ป๋อมแป๋ม (นิติ ชัยชิตาทร) เวลาเจอจะมีเรื่องคุยกันประมาณล้านหัวข้อ (หัวเราะ)

“เต้ยเคยฟังที่พี่นิ้วกลม (สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์) บอกว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องถ่ายเทความรู้สึกซึ่งกันและกัน การที่เราไม่ได้พูดออกมาก็เหมือนเราไม่ได้เทถังขยะ ซึ่งวันหนึ่งมันอาจจะระเบิดได้ ฉะนั้นเราต้องหมั่นทบทวนตัวเอง เทถังขยะ และคุยกับใครสักคนเพื่อเปิดมุมมองของตัวเองให้เพิ่มขึ้น รับฟังความคิดของคนอื่น

“เต้ยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีคนรอบข้างเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เวลาเจอกันก็มีแต่จะส่งพลังบวกให้กัน มีความสุขและสบายใจ เต้ยเชื่อว่าชีวิตของคนเราต้องมี Safe Zone หรือมีใครที่ไว้ใจได้จริงๆ สำหรับให้เราเล่าอะไรได้ให้เราเป็นตัวเองได้อย่างสบายใจ ซึ่งเต้ยโชคดีที่มีตรงนี้ มีคนที่เราสามารถคุยได้ทุกเรื่อง คิดแบบไหนก็พูดออกมา โดยเราอาจไม่ต้องเป็นคนดีเต็มร้อย แต่เป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และเป็นการได้ทบทวนตัวเองด้วย อย่างที่บอกไปว่า เต้ยกำลังจัดชั้นวางของในตัวเองใหม่ เตรียมพร้อมสำหรับก้าวต่อไปของชีวิตค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 960

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

8 ปี บนเส้นทางมายา ‘เจมส์-จิรายุ’ ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

เปิดดวง12 ราศีครึ่งปี 2563 กับพยากรณ์หนุ่มสุดหล่อ”หมอแชมป์”เงิน งาน ความรัก ปังหรือแป้ก!

ชีวิตบนความคาดหวัง เผยแผลศัลยกรรมตาสองชั้นของ ‘หมอรวงข้าว’

Praew Recommend

keyboard_arrow_up